ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: [1] 2 3 ... 10
 1 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 04:32:58 pm 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้

 2 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 07:55:29 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ขรรค์ชัย-สุจิตต์ เล่าสุดมันส์ ‘พญาคันคาก’ ยกทัพรบแถน จุดกำเนิด ‘บุญบั้งไฟ’ ทำไมต้องจุดขึ้นฟ้า..?

เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม ที่ พิพิธภัณฑ์พญาคันคาก อำเภอเมือง จังหวัดยโสธร นายขรรค์ชัย บุนปาน ประธานบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) และนายสุจิตต์ วงษ์เทศ คอลัมนิสต์ในเครือมติชน ร่วมถ่ายทำรายการ ‘ขรรค์ชัย-สุจิตต์ ทอดน่องท่องเที่ยว’ ตอน ‘คางคกยกรบ คันคากหักแถน บั้งไฟขอฝน’

นายสุจิตต์ กล่าวว่า คำว่า ‘คันคาก’ เป็นภาษาลาว หมายถึงคางคก พิพิธภัณฑ์พญาคันคากเป็นแหล่งเรียนรู้เรื่อง ‘พญาคันคาก’ ซึ่งเป็นวรรณกรรมที่ยิ่งใหญ่มาก บริเวณใกล้เคียงกันยังมีประติมากรรมรูป ‘พญาแถน’ ซึ่งตนสงสัยว่าทราบได้อย่างไรว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ส่วนตัวแล้วในจินตนาการของตนเป็นอีกอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ลักษณะเช่นนี้ นอกจากนี้ ลานโดยรอบยังมีพื้นที่สำหรับเรียนรู้ในด้านต่างๆ เมื่อไปเดินดู พบศาลาศูนย์วรรณกรรมยโสธร คำพูน บุญทวี ซึ่งตนเรียกว่า ‘บักคำพูน’ เจ้าของผลงาน ‘ลูกอีสาน’

“ผมว่าลูกอีสานคืองานชั้นเยี่ยม ซื่อ บริสุทธิ? ไม่ปรุงแต่ง กึ่งดิบ กึ่งสุก อร่อย เขียนจากหัวใจ” นายสุจิตต์กล่าว




จากนั้น นายสุจิตต์ กล่าวถึงวรรณกรรม ‘พญาคันคาก’ ซึ่งเป็นที่มาของประเพณีการจุดบั้งไฟ ว่า คันคาก หรือ คางคกเป็นสัตว์ครี่งบก ครึ่งน้ำ มีความขัดแย้งกับพญาแถนบนฟ้าซึ่งไม่ยอมปล่อยน้ำให้ตกลงมาเป็นฝนเพื่อให้คนทำนา จึงตัดสินใจยกทัพขึ้นไปรบ มีรายละเอียดต่างๆ มากมาย

“ฝนคือเรื่องสำคัญ ไม่มีฝนอยู่ไม่ได้ เราอยู่ในเขตมรสุม ต้องตกต้องตามฤดูกาล อย่างไรก็คาม กลับมีปัญหาเรื่องการบริหารจัดการน้ำมานานเป็นพันปี” นายสุจิตต์กล่าว

นายสุจิตต์ กล่าวว่า เนื้อหาโดยสรุปในวรรณกรรม คือ พญาคันคาก ยกทัพขึ้นไปรบกับพญาแถน หลังจากไม่ยอมให้นาคทั้งหลายไปเล่นน้ำบนฟ้า ฝนจึงไม่ตก พญาคันคากจึงให้พญานาครวบรวมภูเขาทั้งหมดมากองรวมกันเพื่อต่อยอดให้ขึ้นไปถึงฟ้าหวังพบพญาแถน นอกจากนี้ ยังบอกปลวกให้ขนดินมาพอกภูเขา ระดมครุฑ ต่อ แตน มิ้ม ผึ้ง มอด มด สารพัดสัตว์มาพอกภูเขาร่วมด้วย จากนั้น พญาคันคากขึ้นหลังช้างเดินทางไปสู่ฟ้า พบพญาแถน เพื่อบอกกล่าวว่า ผู้คนอดอยากแร้นแค้น เพราะฝนไม่ตก สุดท้าย รบกัน พญาคันคากเป็นฝ่ายชนะ




“พญาคันคากบอกว่า แถนต้องรักษาหน้าที่ปล่อยน้ำฟ้าน้ำฝนให้ตกต้องตามฤดูกาล ไม่อย่างนั้นจะขึ้นมาบนฟ้าอีก พญาแถนถามว่า แล้วจะรู้ได้อย่างไร ว่าเมืองมนุษย์ต้องการน้ำตอนไหน พญาคันคากบอกว่า จะส่งสัญญาณให้พญาคันคากขึ้นมาบอก แล้วเล่นน้ำบนฟ้า พญาแถนตอบว่า กว่าพญานาคจะมาถึง เดี๋ยวช้าเกินไป เพราะฟ้าอยู่ไกล พญาคันคากบอกว่า จะให้พญานาคขี่บั้งไฟขึ้นมาอย่างไว พอได้ยินเสียงและเห็นบั้งไฟมีหัวพญานาคเมื่อไหร่ ให้ไขน้ำทำฝนหล่นสู่เมืองมนุษย์ทันที นี่คือที่มาประเพณีบุญบั้งไฟ” นายสุจิตต์ กล่าว

นายสุจิตต์กล่าวด้วยว่า การจุดบั้งไฟ สัมพันธ์กับชีวิตปกติของสามัญชนไม่ใช่เพียงชาวยโสธร ชาวอีสาน หรือคนไทย แต่รวมถึงชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทั้งภาคผืนแผ่นดินใหญ่และหมู่เกาะ ดังนั้น ภาครัฐจึงควรให้ความสำคัญกับคำอธิบายในเรื่องดังกล่าวมากกว่านี้

สำหรับรายการในตอนดังกล่าว จะเผยแพร่ผ่านเฟซบุ๊กมติชนออนไลน์, ข่าวสด, ศิลปวัฒนธรรม และยูทูปมติชนทีวี ในวันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคมนี้ เวลา 20.00 น.
















ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/entertainment/arts-culture/news_4570757
วันที่ 11 พฤษภาคม 2567 - 16:28 น.   

 3 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 07:48:58 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan


.



‘เที่ยวมุกดาหาร’ แวะ ถ้ำโส้ม....พระใหญ่บนหน้าผา

‘เที่ยวมุกดาหาร’ ครั้งนี้ เมื่อเห็น ‘พระใหญ่บนหน้าผา’ ชวนให้สะดุดตา สะดุดใจ ฉุกคิดถึงสอนของพระพุทธองค์ ที่พอจะนำมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต สู่ความสงบสุขได้บ้าง

ผมมีโอกาสได้ไปใช้ถนนสายใหม่ถนนหมายเลข 12 หรือ AH 12 (กาฬสินธุ์-คำชะอี)ที่ต่อไปถึง จังหวัดมุกดาหาร เป็นถนนที่เปิดใช้มาปีกว่าๆแล้ว เป็นถนนที่สวยมาก เป็นถนนคู่ขนานไป-กลับ ข้างละ 3 เลน(ถ้าจำไม่ผิด) ทิวทัศน์สองข้างทางสวยมากโดยเฉพาะช่วงใกล้ๆ กุฉินารายณ์ไปคำชะอี มีภูเขาสองฝั่งทาง เส้นทางสูงต่ำ   รถไม่มาก ขับรถเล่นเพลินๆ แต่หลายคนบ่นว่าไม่มีปั้ม ถนนเปิดใหม่ เข้าใจว่าคนที่อยากทำปั้มก็คงเตรียมหาที่หาทางอยู่ละครับ ไม่นานก็คงมี

จากกาฬสินธุ์ไปพอไปถึงแยกตรงบ้านนาไคร้ จะมีถนนที่มาจากกุฉินารายณ์มาเชื่อมรวมเป็นถนนเส้นเดียวกัน ช่วงนี้แหละวิวสวย เป็นถนนเส้นเดียวไปไม่เท่าไหร่ ก็จะแยกเป็นสองเส้นคู่ขนานกัน สายบนคือ สาย 12 ส่วนสายล่างคือถนนสายเก่า สาย 299 ให้ใช้ถนนสายล่างนี้ มันก็จะผ่านบ้านคำพอก ผ่านน้ำตกตาดโตน

จนกระทั่งไปถึงอำเภอหนองสูง ซึ่งถ้าตรงไปตามถนนสาย 299 เดิม ก็จะไปอำเภอคำชะอีไปบรรจบกับถนนสาย 12 นั่นเอง แต่ตรง ‘อำเภอหนองสูง’ นี้ เราจะใช้ถนนหมายเลย 2370 ซึ่งถนนเส้นนี้ จะไปทะลุออกอำเภอนิคมคำสร้อย แล้วก็ไปบรรจบถนนสาย 212 ซึ่งมาจากทางอำนาจเจริญ หรืออุบลฯ แล้วก็ไปจังหวัดมุกดาหารได้เช่นกัน 

ที่ต้องอธิบายเรื่องถนนตัดใหม่นี้ค่อนข้างมาก เพราะถ้าเราเผลอวิ่งไปบนถนนสายที่ตัดใหม่แบบขับเพลินๆ มันจะหลงไปไกลเลยครับ สมมติว่าเลยจุดที่เราจะแวะ แต่มันไม่มีทางเข้า ทางกลับรถอะไรไกลกันมาก ไม่มีชุมชน ไม่มีคนให้ถามทาง มีแต่สวนยางพารา เพราะชุมชนต่างๆ จะมาอยู่ริมถนนสายเก่า หมายเลข 299 กันหมด

ย้อนกลับมาที่ อำเภอหนองสูง อำเภอนี้เป็นอำเภอเล็กๆ บรรยากาศชนบท แต่ก็ไม่ได้ทุรกันดารอะไรถนนหนทางก็ดี ถนนสาย 2370 ที่เราจะใช้เดินทางนี้ จะผ่านหมู่บ้านในชนบท มีทิวทัศน์สองข้างทางสวยงามมากโดยเฉพาะในฤดูฝน ทุกอย่างดูเขียวขจี สดชื่น มีวิวทุ่งนา ภูเขาสองฝั่งทาง จนเข้าเขตเทศบาลตำบลบ้านเป้า ทางขวามือ(หรือด้านตะวันตกของถนน) 



ภาพที่สะดุดตา ย่านบ้านเป้า สิ่งปลูกสร้างบนหน้าผาสูง

ก็จะมี ภูเขาหินทราย สูง   หลังเขาแบนราบแบบภูเขาหินทรายทั่วไป   มีหน้าผาตัดตรง   และเห็นสิ่งก่อสร้างคล้ายศาลาอยู่บนภูเขาสูง เป็นที่สะดุดตานัก จนต้องจอดรถดู   แล้วก็เหลือบไปเห็นป้าย วัดถ้ำโส้ม หรือ วัดถ้ำผาขาว  ถามชาวบ้านเพื่อความมั่นใจว่าใช่ไหม   พอชาวบ้านบอกว่าใช่  ผมก็ยังสงสัยว่า แล้วมันจะมีทางรถยนต์ขึ้นไปได้เหรอ ก็ในเมื่อมันสูงชันขนาดนั้น

“เข้าไปเถอะ  ขึ้นได้”

พอชาวบ้านให้ความมั่นใจ ผมก็เลี้ยวรถเข้าไปทันที ทางเข้าเป็นทางปูนเล็กๆสองข้างทางเป็นนาข้าวบ้าง สวนยางพาราบ้าง ดีที่พอมีทางแยก เขาจะมีป้ายบอกตลอด พอใกล้ไปถึงตีนเขา ทางจะเริ่มชันขึ้น ก็ขับไปตามทางเรื่อยๆ จนสุดทาง มีศาลาเล็กๆ มีห้องน้ำ เราก็รู้แล้วว่าเป็นเขตวัด ก็จอดรถ แล้วเดินเท้าไปตามทาง ซึ่งจริงๆก็เป็นถนนปูน แต่เขาไม่ให้รถขึ้น ให้เดินเท้าอย่างเดียว ทางก็ชันไปเรื่อยๆ หักศอกซ้ายขวา ไปมาจนไปเห็นอาคารสูงสร้างติดอยู่กับหน้าผานั่นแหละ จึงรู้ว่ามาถึงจนได้



ทางเข้าวัดถ้ำผาขาวหรือวัดถ้ำโส้ม ในเทศบาลตำบลบ้านเป้า


แม้ทางเขาจะมีหลายแยกแต่ ก็มีป้ายบอกตลอดทาง


สิ่งปลูกสร้างบนหน้าผาสูง

อาคารนี้เป็นอาคารที่สร้างติดหน้าผาอย่างที่บอก  รูปทรงคล้ายป้อมค่ายที่เคยเห็นในอินเดีย   แต่จริงๆที่สร้างแบบนี้คงจะเป็นด้วยสถานที่บังคับ  เท่าที่เห็นมีอยู่ 2-3 ชั้น  และที่สำคัญ   กำลังอยู่ในการก่อสร้าง ยังไม่แล้วเสร็จ ผมว่าทั้งหมดคงเสร็จไปแค่ 50 %  เท่านั้น โดยเฉพาะชั้นล่างนั้น กองวัสดุ อุปกรณ์ช่าง เครื่องไม้เครื่องมือระเกะระกะไปหมด  มีการแกะสลักผนังหินทราย เป็นภาพพุทธประวัติด้วย แต่ยังไม่แล้วเสร็จ


ทางเดินขึ้นเขา ที่ห้ามนำรถยนต์ขึ้น เดินเท้าอย่างเดียว


อาคารที่เห็นบนภูเขาสูง ก็มาถึงจนได้

มีช่องทางเล็กๆแทรกเข้าไปยังบันได ที่นำพาขึ้นไปชั้นบน ซึ่งเป็นลานโล่ง ส่วนหนึ่งของลานมีหลังคาคลุม มีพื้นที่ยกสูงขึ้นมาหน่อยหนึ่ง มีโต๊ะหมู่บูชา ลานด้านนอก เปิดโล่ง มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่และพระอัครสาวกซ้ายขวา แกะสลักไปบนหน้าผาหินทราย กลายเป็นว่าศาลาที่เห็น เป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางศาสนาใช้แทนพระอุโบสถ โดยมีพระพุทธรูปแกะสลักเป็นพระประธานของสถานที่


ชั้นล่าง ที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จ จึงยังมีวัสดุอุปกรณ์มากมาย

ภูเขาที่เห็นนี้เป็นภูเขาลูกเดียวกันกับ ผาน้ำทิพย์’ หรือเจดีย์ชัยมงคล ในอำเภอหนองพอกของร้อยเอ็ดนั่นเอง เป็นภูขาลูกเดียวกันแบ่งแดนกัน ครึ่งหนึ่งอยู่ทางร้อยเอ็ด อีกครึ่งอยู่ทางมุกดาหาร


รูปแกะสลักที่หน้าผาหิน ในชั้นล่าง

เคยอ่านเจอว่าเหตุที่สร้างพระพุทธรูปบนหน้าผา นี้มาจากการที่เมื่อ มีนาคม 2544 กลุ่มตาลีบัน ในอัฟกานิสถาน ได้ระเบิดพระพุทธรูปที่เมืองบาบียัน ทิ้งอย่างไม่แยแส จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้คณะสงฆ์แห่ง วัดถ้ำโส้ม ร่วมกับญาติโยมผู้มีจิตศรัทธา สร้างพระพุทธรูปองค์นี้ขึ้นมาบนหน้าผาสูงดังกล่าว ซึ่งนอกจากจะมีพระพุทธรูปองค์ใหญ่แล้ว ยังมีการแกะสลักหินทราย เป็นภาพพุทธประวัติต่างๆ อีกมากมาย บนหน้าผาในส่วนอื่นๆด้วย


ทางขึ้นสู่ชั้น ๒ ยังคงก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ


ชั้น ๒ คือชั้นดาดฟ้า มีศาลาเป็นที่ประกอบพิธีกรรมทางสงฆ์ แทนศาลา แทนอุโบสถ

สิ่งที่เป็นที่น่าชื่นชมจากลานหน้าพระพุทธรูปแกะสลักคือ ทิวทัศน์เบื้องล่าง ที่มองไปเห็นชุมชนใน ตำบลบ้านเป้า ภูเขาในเขตอำเภอหนองสูง ที่เป็นหลังแป ตามสไตล์ ภูเขาหินทราย ไกลๆออกไปคือแนวภูเขาใหญ่ใน เขตคำชะอี และต่อเนื่องกันไป  สวยงามมาก โดยเฉพาะในฤดูฝน ทุกอย่างจะแลดูเขียวขจี สวยงาม มีสายลมพัดเอื่อยๆ เสียงนกร้อง เพลินเลยแหละ ชนิดที่ดูกี่ครั้ง ดูนานขนาดไหนก็ไม่เบื่อ ถ้าจะมีเสียอย่างเดียวก็คือ


ภาพแกะสลักทางศาสนาต่างๆ บนหน้าผาหินทราย

นักท่องเที่ยว...!

ถ้าทุกคนรู้ว่าไปเที่ยววัด แล้วไม่ส่งเสียงดัง ไม่กระโดดโลดเต้น ไม่ตะโกนชักชวนกันมามุมนั้นมุมนี้ ราวกับมองไม่เห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่บนหน้าผา ไปเที่ยว ไปดู ก็ไปด้วยอาการสำรวม วัดเปิดให้เข้าเที่ยวชม ก็อย่าไปแสดงอากัปกริยาจนเลยเถิด ต้องคิดเสมอว่านี่คือวัด



ลานด้านบน เป็นเหมือนที่ประกอบพิธีกรรม  โดยมีพระพุทธรูปแกะสลักเป็นพระประธาน

วัดค่อยๆก่อสร้างไปตามกำลังเงินที่ได้มาจากการทอดกฐินบ้าง ความคืบหน้าจึงเป็นไปอย่างช้าๆ ถ้าท่านผู้อ่านท่านใดมีจิตศรัทธาอยากก่อสร้างให้แล้วเสร็จก็ติดต่อไปที่วัดได้


ทิวทัศน์ที่สวยงามของตำบลบ้านเป้า และภูเขาทาง อ.หนองสูง-คำชะอี

ภาพศาลาหลังใหญ่ที่เห็นบนหน้าผาจากไกลๆ ,ภาพพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่อยู่บนหน้าผาเมื่อมองจากลานด้านหน้า น่าสะดุดตาสะดุดใจ ให้ผู้คนได้ฉุกคิด น้อมนำถึงคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ นำมาแนวทางในการดำเนินชีวิตไปสู่ความสงบสุขได้บ้าง ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นได้คงไม่มีการซื้อนิพพานอย่างที่เป็นข่าวคราวในปัจจุบันแน่นอน

เที่ยววัดบ้าง จะได้สบายใจ...



ทิวทัศน์มุมสูงที่สวยงาม





ขอบคุณ : https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/travel/1126285
By คมฉาน ตะวันฉาย / คอลัมน์ประเทศไทยใจเดียว | 11 พ.ค. 2024 เวลา 7:43 น.

 4 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 07:29:17 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



โบสถ์จิ๋ววัดคูหาภิมุข (วัดควนถ้ำ) ขนาดเล็กสุดประเทศไทย กำลังเป็นที่สนใจของคนทั่วไป

เมื่อวันที่11 พฤษภาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดควนถ้ำในอดีตที่ถูกเปลี่ยนชื่อมาเป็นวัดคูหาภิมุขในปัจจุบันมีเจ้าอาวาสชื่อพระภักดี ฐิตธรรมโม วัดตั้งอยู่บนเขาควนถ้ำ บริเวณถนนอุดมธารา ต.ตะกั่วป่า จ.พังงาซึ่งไม่ปรากฎหลักฐานว่า

สร้างในสมัยใด แต่คาดว่าสร้างในสมัยระหว่างรัชกาล 2-3 เนื่องจากปรากฎหลักฐานการขุดพบเงินพดด้วงและเงินเปอร์เชียใต้ฐานโบสถ์เก่าแก่ แล้วสร้างใหม่เป็นในปัจจุบันเป็นเพียงแค่อาคารวิหารเท่านั้น ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่าวัดควนถ้ำ

ส่วนที่เป็นอาคารขนาดเล็กที่มีลักษณะคล้ายโบสถ์จิ๋วที่เล็กที่สุดในประเทศไทยนั้น พระวรรณโณ แต่สกุล รองเจ้าอาวาส ซึ่งบวชพระมา 31 พรรษาแล้ว กล่าว เดิมที่ก่อนเป็นอาคารหลังนี้เป็นสถานที่ตั้งคล้ายกับศาลพระภูมิสร้างด้วยไม้มุงหลังคาเป็นสังกะสี ใช้เป็นสถานที่สำหรับเก็บกระดูกบรรพบุรุษที่เป็นชาวจีน ด้วยกาลเวลานับร้อยปีผ่านไปได้ผุพังไปตามกาลเวลา

ต่อมาวิญญานบรรบุรุษได้เข้าฝันลูกหลานว่าสถานที่เก็บกระดูกแห่งนี้บรรพบุรุษสถิตย์อยู่อย่างยากลำบาก ในฝันลูกหลานจึงขอให้ได้โชคได้ลาภจะสร้างเป็นอาคารหลังใหม่ให้ ต่อมาลูกหลานได้มีโชคลาภตามที่ขอจริง จึงได้นำเงินก่อสร้างเป็นอาคารหลังใหม่เมื่อปี พ.ศ.2513 (สร้างโดยนางฮวดบี๋) อุทิศให้บรรพบุรุษ รูปทรงคล้ายโบสถ์ที่มีขนาดเล็กจนชาวบ้านและผู้พบเห็นเรียกกันว่าโบสถ์จิ๋วในปัจจุบัน

ส่วนลูกนิมิตที่ขุดค้นพบจำนวน 8 ลูกที่มีลักษณะเป็นวงรีไม่เหมือนลูกทรงกลมในปัจจุบันที่ขุดพบใต้ฐานโบสถ์หลังเก่าคาดว่ามาจากการนำหินในถ้ำตามสถานที่ต่างๆแล้วนำมาฝังไว้ใต้อาคารโบสถ์หลังเก่านั่นเองและคาดว่าน่าจะมีอายุหลายร้อยปีใกล้เคียงกับอายุของการสร้างศาลพระภูมิสำหรับเก็บกระดูกบรรพบุรุษที่ปัจจุบันชาวบ้านเรียกว่าโบสถ์จิ๋ว











 



ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/region/news_4571275
วันที่ 11 พฤษภาคม 2567 - 23:59 น.   

 5 
 เมื่อ: วันนี้ เวลา 12:51:09 am 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
การเล่าเรื่องอย่างมีส่วนร่วมเป็นองค์ประกอบพื้นฐานในการนำเสนอข่าวสารที่โดนใจผู้ชม ผู้นำเสนอข่าวสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมและกระตุ้นให้เกิดความเห็นอกเห็นใจหรือความเข้าใจต่อเนื้อหาได้ด้วยการใช้การเล่าเรื่องตามอารมณ์ ตัวอย่างเช่น แทนที่จะรายงานสถิติเกี่ยวกับความยากจนเพียงอย่างเดียว เรื่องราวข่าวอาจติดตามการเดินทางของครอบครัวที่กำลังดิ้นรน ทำให้ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงในระดับส่วนตัวได้ นอกจากนี้ การผสมผสานองค์ประกอบภาพ เช่น รูปภาพ วิดีโอ หรืออินโฟกราฟิก สามารถปรับปรุงการเล่าเรื่องโดยมอบประสบการณ์ที่ดื่มด่ำยิ่งขึ้นให้กับผู้ชม การวิจัยพบว่าเครื่องช่วยการมองเห็นสามารถเพิ่มระดับการเก็บรักษาข้อมูลและการมีส่วนร่วมได้อย่างมาก

ผลกระทบของการรายงานที่เป็นกลางต่อความน่าเชื่อถือของข่าวไม่สามารถกล่าวเกินจริงได้ การนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลาง โดยไม่ใส่อคติหรือความคิดเห็นส่วนตัวถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความไว้วางใจของผู้ฟัง ด้วยการให้มุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับเรื่องราวข่าว นักข่าวสามารถเสนอมุมมองที่รอบด้านซึ่งส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล การหลีกเลี่ยงกลวิธีเชิงโลดโผนและคลิกเบตก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันในการรักษาความน่าเชื่อถือของข่าวสาร พาดหัวข่าวที่เร้าใจหรือการกล่าวอ้างที่เกินจริงอาจสร้างความสนใจในระยะสั้น แต่ท้ายที่สุดอาจทำลายความไว้วางใจในแหล่งข่าวได้

การรักษามาตรฐานทางจริยธรรมในการนำเสนอข่าวถือเป็นความรับผิดชอบที่นักข่าวต้องยึดถือ การตรวจสอบแหล่งที่มาและการตรวจสอบข้อมูลก่อนการรายงานถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจถึงความถูกต้องและแท้จริง ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น โศกนาฏกรรมส่วนตัวหรือกิจกรรมทางอาญา การเคารพความเป็นส่วนตัวและการได้รับความยินยอมจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องถือเป็นหลักปฏิบัติทางจริยธรรมที่ไม่สามารถเจรจาต่อรองได้ นักข่าวต้องรับผิดชอบต่อข้อมูลที่นำเสนอต่อผู้ชมด้วยความโปร่งใสเกี่ยวกับข้อผิดพลาดหรือการแก้ไขใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับข่าว

URL : https://cmnnews.co




 6 
 เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2024, 11:27:38 pm 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
การเล่าเรื่องอย่างมีส่วนร่วมเป็นองค์ประกอบพื้นฐานในการนำเสนอข่าวสารที่โดนใจผู้ชม ผู้นำเสนอข่าวสามารถดึงดูดความสนใจของผู้ชมและกระตุ้นให้เกิดความเห็นอกเห็นใจหรือความเข้าใจต่อเนื้อหาได้ด้วยการใช้การเล่าเรื่องตามอารมณ์ ตัวอย่างเช่น แทนที่จะรายงานสถิติเกี่ยวกับความยากจนเพียงอย่างเดียว เรื่องราวข่าวอาจติดตามการเดินทางของครอบครัวที่กำลังดิ้นรน ทำให้ผู้ชมสามารถเชื่อมโยงในระดับส่วนตัวได้ นอกจากนี้ การผสมผสานองค์ประกอบภาพ เช่น รูปภาพ วิดีโอ หรืออินโฟกราฟิก สามารถปรับปรุงการเล่าเรื่องโดยมอบประสบการณ์ที่ดื่มด่ำยิ่งขึ้นให้กับผู้ชม การวิจัยพบว่าเครื่องช่วยการมองเห็นสามารถเพิ่มระดับการเก็บรักษาข้อมูลและการมีส่วนร่วมได้อย่างมาก

ผลกระทบของการรายงานที่เป็นกลางต่อความน่าเชื่อถือของข่าวไม่สามารถกล่าวเกินจริงได้ การนำเสนอข้อเท็จจริงอย่างเป็นกลาง โดยไม่ใส่อคติหรือความคิดเห็นส่วนตัวถือเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาความไว้วางใจของผู้ฟัง ด้วยการให้มุมมองที่หลากหลายเกี่ยวกับเรื่องราวข่าว นักข่าวสามารถเสนอมุมมองที่รอบด้านซึ่งส่งเสริมการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล การหลีกเลี่ยงกลวิธีเชิงโลดโผนและคลิกเบตก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกันในการรักษาความน่าเชื่อถือของข่าวสาร พาดหัวข่าวที่เร้าใจหรือการกล่าวอ้างที่เกินจริงอาจสร้างความสนใจในระยะสั้น แต่ท้ายที่สุดอาจทำลายความไว้วางใจในแหล่งข่าวได้

การรักษามาตรฐานทางจริยธรรมในการนำเสนอข่าวถือเป็นความรับผิดชอบที่นักข่าวต้องยึดถือ การตรวจสอบแหล่งที่มาและการตรวจสอบข้อมูลก่อนการรายงานถือเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้มั่นใจถึงความถูกต้องและแท้จริง ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เช่น โศกนาฏกรรมส่วนตัวหรือกิจกรรมทางอาญา การเคารพความเป็นส่วนตัวและการได้รับความยินยอมจากฝ่ายที่เกี่ยวข้องถือเป็นหลักปฏิบัติทางจริยธรรมที่ไม่สามารถเจรจาต่อรองได้ นักข่าวต้องรับผิดชอบต่อข้อมูลที่นำเสนอต่อผู้ชมด้วยความโปร่งใสเกี่ยวกับข้อผิดพลาดหรือการแก้ไขใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับข่าว


URL : https://cmnnews.co
textlinks : cmnnews.co





 7 
 เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2024, 08:19:57 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



เรื่องบังเอิญมีจริงไหม.? | ทำไมเราเห็นอะไรซ้ำๆ อีกแล้ว.? | เข้าใจเหตุผลทางจิตวิทยาของความบังเอิญ

เคยไหม? เวลาเราซื้อกระเป๋าใบใหม่ พอหยิบใช้ก็จะเห็นคนใช้กระเป๋ายี่ห้อเดียวกัน ทรงเดียวกันกับเราเต็มไปหมด หรือตอนที่เรากำลังเล็งจะไปกินอาหารสักร้าน เข้าไอจีไปดูดันเห็นเพื่อนหลายคนลงรูปร้านอาหารนั้น กระทั่งตอนทำงาน เวลาที่เราเงยหน้าขึ้นจากหน้าจอคอมพิวเตอร์ ก็มักจะเห็นนาฬิกาบอกเวลาเดิมๆ ซ้ำๆ แบบไม่ตั้งใจ จนบางทีก็แอบนึกว่า ชีวิตคนเรานี่มันเป็นแหล่งรวมเรื่องบังเอิญชัดๆ

และไม่ใช่แค่เรื่องในชีวิตประจำวันเท่านั้น แต่ตอนนี้มีปรากฏการณ์ใหม่ในโลกทวิตภพ ที่แฟนคลับวงที่มีตัวเลขต่อท้าย มักจะบังเอิญเจอตัวเลขเหล่านั้นอยู่บ่อยๆ ราวกับว่านี่คือปาฏิหาริย์ระหว่างพวกเรา เช่น แฟนคลับวง NCT127 ก็มักจะเห็นเลข ‘127’ ในทุกๆ ที่ ไม่ว่าจะเป็นซอยที่ขับรถผ่าน ค่าอาหารที่สั่ง วินาทีที่ติดไฟแดง หรือแม้กระทั่งฉากในละคร จนกลายเป็นปรากฏการณ์ในโลกออนไลน์ที่ใครเจอเลข 127 ก็จะเก็บหลักฐานมาโพสต์ทวิตเตอร์ และเกิดเป็นแฮชแท็กโด่งดังอย่าง #ยังจะ127อยู่นั่น

มองเผินๆ แล้ว นี่อาจจะเป็นเรื่องบังเอิญที่เราเห็นสิ่งเดิมๆ ซ้ำกันหลายครั้งจนเหมือนเป็นสัญญาณพิเศษ หรือในเชิงจิตวิญญาณก็มีคำอธิบายรองรับไว้เช่นกันว่าเป็นการเปิดพลังงานให้กลับมาสำรวจชีวิตตัวเองอีกครั้ง แต่ในอีกมุมหนึ่ง นี่อาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะมีคำอธิบายเชิงจิตวิทยาที่อาจทำให้เราเข้าใจปรากฏการณ์นี้ได้เช่นกันว่า การบังเอิญเห็นอะไรซ้ำๆ สอดคล้องอย่างไรกับจิตใจของเรา




Synchronicity : เป็นเพราะความบังเอิญ ที่เพิ่มเติมคือมัน ‘พิเศษ’

เหตุผลข้อแรกที่เราจะหยิบยกมาอธิบายคือ มันเป็น ‘ความบังเอิญ’ จริงๆ ที่เราดันมาเจอเลขหรือสิ่งของซ้ำๆ แบบไม่ได้ตั้งใจ โดยคาร์ล จุง (Carl Jung) นักจิตวิทยาได้อธิบายลักษณะของความบังเอิญนี้ผ่านเหตุการณ์ที่ว่า ครั้งหนึ่งเขาเคยจับแมลงปีกแข็ง (scarab) ที่เป็นแมลงนำโชคในวัฒนธรรมอียิปต์ไว้ แล้วนำไปให้คนไข้ พอดีกับที่คนไข้เล่าว่า ตัวเองเพิ่งฝันว่าได้รับเครื่องประดับทองคำรูปแมลงดังกล่าว ทำให้คนไข้คนนั้นรู้สึกถึงความโชคดี และเปิดใจรับคำแนะนำในการรักษาจากจุงมากขึ้น

หลังจากเหตุการณ์นี้ จุงก็ได้ยืมคำอธิบายจากคัมภีร์อี้จิงในปรัชญาเต๋ามาอธิบายว่า ถ้าเราหมกมุ่นอยู่กับ ‘ความฝัน’ ของเรามากเท่าไร เราก็เสาะหา ‘ความบังเอิญ’ จากความฝันมากเท่านั้น และเนื่องจากคนเรามักหาความหมายให้ความฝัน ความบังเอิญนั้นๆ จึงมีความหมายขึ้นมา จุงจึงเรียกเหตุการณ์ที่มีลักษณะเช่นนี้ว่า ‘Synchronicity’ ซึ่งแปลว่าความบังเอิญอันหาสาเหตุที่ชัดเจนไม่ได้ แต่มีความหมายกับผู้ประสบพบเจอเหตุการณ์นั้นๆ ด้วย

หากจะอธิบายให้ใกล้เคียงกับชีวิตเรามากขึ้น สมมติว่าเรากำลังอยากกินหมาล่า คิดวนๆ ซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น แต่ยังไม่ทันได้พูด หรือแชตไปบอกใคร ทันใดนั้น เพื่อนสนิทก็ทักมาว่า ‘แก ไปกินหมาล่ากันไหม’ หรือเหตุการณ์ที่เราเงยหน้ามาเห็นตัวเลขซ้ำๆ โดยที่เราไม่ได้ตั้งใจมองหา แต่บังเอิญตัวเลขนั้นดันเป็นตัวเลขที่มีความหมายกับเรามากๆ

จุงยังได้อธิบายถึง Synchronicity อีกว่า ปรากฏการณ์นี้อาจอยู่นอกเหนือจากความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่และเวลา ซึ่งเป็นที่มาของ ‘เหตุผล’ จากเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันของเรา ความบังเอิญที่อธิบายไม่ได้นี้เองจึงกลายมาเป็นจุดตั้งต้นในการศึกษาเหตุบังเอิญรูปแบบอื่นๆ เช่น เดจาวู หรือปรากฏการณ์ตรงข้ามอย่าง จาเมส์วู ซึ่งทำให้เราค้นหาความหมายเบื้องหลังเหตุการณ์ที่ดูเหมือนจะเกิดซ้ำกันระหว่างความฝันและความเป็นจริงไปด้วย




Visual Selective Attention: เพราะสมองตั้งใจ เลยทำให้เห็นแบบ ‘เหมือนบังเอิญ’

เหตุผลทางจิตวิทยาอีกอย่างหนึ่งที่เข้ามาอธิบายปรากฏการณ์การความบังเอิญเหล่านี้ได้ คือ Visual Selective Attention  ที่เราจะเลือกเพ่ง ‘ความสนใจ’ กับบางสิ่งบางอย่างที่เราให้ความหมาย หรือให้ความสำคัญเท่านั้น จนเราไม่ได้โฟกัสสิ่งอื่นๆ ที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน

หนึ่งในการทดลองของ Visual Selective Attention ที่ทำให้เราเข้าใจปรากฏการณ์นี้ง่ายขึ้นคือ ‘กอริลล่าเอฟเฟ็กต์’ (Gorilla Effect) ซึ่งมาจากการทดลองที่ให้คนดูคลิปวีดิโอการรับ-ส่งลูกบอล โดยให้โจทย์ว่า คนที่ใส่เสื้อขาวส่งบอลกี่ครั้ง แต่ในคลิปวีดิโอดังกล่าว จะมีคนสวมชุดกอริลล่าเดินผ่านวงผู้เล่นบอลด้วย ผลปรากฏว่า อาสาสมัครที่เข้ารับการทดลองนี้ สามารถนับจำนวนครั้งที่คนใส่เสื้อสีขาวส่งบอลได้ แต่ไม่มีใครเห็นกอริลล่าที่เดินผ่ากลางวงเลย จึงอาจสรุปได้ว่า ถ้าเราโฟกัสการรับรู้ไว้กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาจทำให้เราหลุดโฟกัสอีกสิ่งได้

@@@@@@@

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเห็นเลข หรือสิ่งของแบบซ้ำๆ ล่ะ.?

นั่นก็เป็นเพราะว่าสมองของมนุษย์มีการรับรู้ ‘รูปแบบ’ ซึ่งเป็นวิวัฒนาการหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถเอาตัวรอดได้ ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของการขึ้น-ตกของดวงอาทิตย์ น้ำขึ้น-น้ำลง รวมไปถึงฤดูกาลต่างๆ ทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจรูปแบบซ้ำๆ ได้ง่ายกว่าการรับรู้อื่นๆ มนุษย์จึงสามารถจดจำและมองหารูปแบบในชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็วจนเป็นเหมือนความบังเอิญ ยิ่งถ้าเราให้ความหมาย หรือให้ความสำคัญกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งอยู่ ก็อาจทำให้เราเห็นสิ่งนั้นอยู่บ่อยๆ จนเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญไปด้วย

ง่ายที่สุดคือ เราอาจจะนึกถึง ‘Angel Number’ ตัวเลขนำโชค หรือชุดตัวเลขที่เรามักพบเจออยู่บ่อยๆ ซึ่งแต่ละชุดตัวเลขมีความหมายและสอดคล้องกับชีวิตแตกต่างกันไป แม้จะมีคำอธิบายทางจิตวิญญาณบอกว่า การพบเห็นชุดตัวเลขเดิมซ้ำๆ เป็นเสมือนสัญญาณจากสวรรค์ให้ทบทวนการกระทำและชีวิตของตัวเองเพื่อเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น แต่อีกแง่หนึ่ง การเห็นตัวเลข Angel Number บ่อยๆ นั้น อาจมาจากการรับรู้เลขเชื่อมโยงกับความหมายของตัวเลขในความรู้สึกเรา จนนำไปสู่การค้นหาความหมายของตัวเลขนั้นๆ ในเชิงจิตวิญญาณด้วย

อีกตัวอย่างหนึ่งที่อาจเห็นได้ชัดคือ การรับรู้ของเรานำไปสู่การโฟกัสสิ่งที่ใกล้เคียงกับความทรงจำหรือประสบการณ์ของเรา คล้ายกับว่าเรากำลังดึงดูดสิ่งที่คล้ายคลึงกับเราเข้ามาในชีวิตเรามากขึ้น เช่น ถ้าเราเพิ่งออกรถใหม่เป็นรถไฟฟ้าสีขาว นั่นอาจทำให้คุณเห็นรถรุ่นเดียวกัน สีเดียวกันกับรถที่เราเพิ่งซื้อบ่อยขึ้นกว่าเดิม หรือหากเราเป็นคนที่กำลังวางแผนจะมีลูก เราก็อาจเห็นคนท้องบ่อยขึ้นกว่าเดิมจนดูเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญ หรือแม้กระทั่งปรากฏการณ์ #ยังจะ127อยู่นั่น ที่กลายเป็นว่าไม่ใช่แค่แฟนคลับ NCT127 เท่านั้นที่สังเกตตัวเลขชุดนี้ในฐานะตัวเลขประจำวง แต่ยังรวมไปถึงคนอื่นๆ ที่ร่วมสังเกตตัวเลขนี้และแชร์ภาพลงในแฮชแท็ก จนกลายเป็นการสังเกตในระดับสังคม ที่ก่อให้เกิดการมีส่วนร่วมระหว่างกันบนโลกโซเชียลไปด้วย




จากสิ่งที่เห็นโดย ‘บังเอิญ’ สู่เรื่องที่ ‘ตั้งใจ’ ใช้ในชีวิตจริง

อย่างที่บอกไปว่า เรามักจะมองหาสิ่งที่เหมือน หรือคล้ายกับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ สิ่งของ หรือตัวเลขที่มีความหมายกับชีวิตของเรา ซึ่งอาจมาในรูปแบบของเรื่องบังเอิญที่ลึกๆ แล้วเกิดจากการที่สมองของเราตั้งใจ แล้วถ้าเราอยากลองเอาความบังเอิญเหล่านี้มาปรับใช้ในชีวิตของเราดูจริงๆ มันจะได้ไหมนะ?

มีแนวคิดทฤษฎีมากมายที่เป็นที่มาของการพัฒนาตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการปรับปรุงพฤติกรรม การเข้าไปสำรวจความคิดของตัวเองแล้วแปรรูปออกมาเป็นการกระทำ แม้กระทั่ง Law of Attraction หรือ ‘กฎแห่งแรงดึงดูด’ ที่เคยเป็นเทรนด์ในการพัฒนาตัวเอง ซึ่งเริ่มต้นจากคอนเซ็ปต์ที่ว่า ความคิดในแง่บวกของเราจะเป็นพลังดึงดูดให้จักรวาลส่งพลังงานที่ดี และทำให้เจอสิ่งดีๆ ผ่านสิ่งที่เรียกว่า ‘Manifestation’ หรือการตั้งจิตมุ่งมั่นเพื่อดึงดูดพลังงานดีๆ ในชีวิต อาศัยการนึกถึงสิ่งที่เราต้องการอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้เราได้ในสิ่งที่ต้องการ สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการมองหาตัวเลขซ้ำๆ หรือบังเอิญโฟกัสกระเป๋าแบบเดียวกับที่เราเพิ่งซื้อมา แต่ต่างกันตรงที่ Manifestation โฟกัสไปที่เรื่องของอนาคต 

แง่หนึ่งการโฟกัสสิ่งดีๆ ในชีวิตอาจต้องเริ่มต้นจากพื้นฐานที่ดีก่อน Selective Attention จึงอาจนำมาประยุกต์ใช้กับการตั้งเป้าหมายและสร้างความสนใจกับเรื่องดีๆ ในชีวิตได้ เช่น เราอาจจะมองหาสกิลใหม่ๆ ในหน้าที่การงาน จึงอาจทำให้เราโฟกัสกับการพัฒนาตัวเองมากขึ้น เช่น หากเราต้องการโฟกัสการเขียนของเราให้ดีขึ้น เราก็อาจจะเห็นหนังสือพัฒนาการเขียน หรือจดจ่อกับการพัฒนางานเขียนมากขึ้น หรือถ้าขยับใกล้ตัวเข้ามาหน่อยอย่าง เราที่กำลังตั้งใจเก็บเงินซื้อกระเป๋าใบหนึ่ง ก็อาจจะเห็นกระเป๋ายี่ห้อนั้นบ่อยขึ้นมากๆ จนมีแรงฮึดสู้เก็บเงินเพื่อกระเป๋าใบนั้นมากขึ้น

นอกเหนือจากนี้ กฎแห่งแรงดึงดูดยังมีปรากฏการณ์หนึ่งที่สืบเนื่องจากการบังเอิญเจอสิ่งใดสิ่งหนึ่งซ้ำๆ ที่เรียกว่า ‘Self-fulfilling Prophecy’ ซึ่งมีหลักการคือ ถ้าเราคิดว่ามันจะเกิดอะไร สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นจริง โดยเราจะมองหาข้อสนับสนุนให้สิ่งที่เราคิดเสมอ เช่น ถ้าเราคิดว่าวันนี้เป็นวันที่ดี เราก็มักจะมองหาสิ่งดีๆ ในชีวิต อย่างบังเอิญเห็นดอกไม้สวยๆ ระหว่างทางที่ไปทำงาน บังเอิญเจอแมวน่ารักระหว่างเดินเข้าซอย บังเอิญกลับถึงบ้านทันก่อนฝนจะตกห่าใหญ่ จากเหตุการณ์ที่เราบังเอิญสังเกตเห็นนี้ นำมาสู่วันดีๆ ที่เรายิ้มออกมาได้ และถ้าทุกๆ วันเราบังเอิญเจอเรื่องราวดีๆ อย่างนี้เสมอ มันก็จะพัฒนากลายเป็นรูปแบบของพฤติกรรมในชีวิตประจำวันไปได้ในที่สุด

ดังนั้น หากเราบังเอิญเจอตัวเลขซ้ำๆ สิ่งของซ้ำๆ หรือเหตุการณ์ซ้ำๆ ก็อาจไม่ได้เป็นเพราะความบังเอิญเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะเราอาจจะกำลังโฟกัสอะไรสักอย่างโดยไม่รู้ตัว และถ้าสิ่งที่เรากำลังโฟกัสนั้นเป็นเรื่องดีๆ ในชีวิตที่ทำให้ยิ้มได้แล้ว ก็ไม่มีอะไรต้องกังวล

เพราะฉะนั้นเราจะมองหาเลข 127 ต่อไปก็ได้ ในเมื่อมันทำให้เรายิ้มออกมาได้นี่นา


 




Thank to : https://thematter.co/lifestyle/why-we-see-things-again-and-again/225810
Posted On 10 May 2024 | Kewalin Thanomthong

อ้างอิงจาก :-
- psychologytoday.com
- pubmed.ncbi.nlm.nih.gov
- urbancreature.co

Graphic Designer : Krittaporn Tochan
Editorial Staff : Runchana Siripraphasuk

 8 
 เมื่อ: พฤษภาคม 11, 2024, 07:34:13 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.

ภาพประกอบเนื้อหา - จิตรกรรมฝาผนัง ในวิหารลายคำ วัดพระสิงห์วรมหาวิหาร จังหวัดเชียงใหม่


รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา สำนวนไทยนี้มาจากไหน เกี่ยวอะไรกับ “จั่ว” และ “เสา”


“รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา” เป็น สำนวนไทย ที่ใช้กันมาเนิ่นนาน ในพจนานุกรมราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 แปลความว่า “ใฝ่ดีจะมีความสุขความเจริญ ใฝ่ชั่วจะได้รับความลำบาก.”

แล้ว “จั่ว” กับ “เสา” เกี่ยวอะไร และสำนวนไทยนี้ต้องการสอนอะไรกันแน่.?

ใน นิตยสารศิลปวัฒนธรรม บทความ “รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา” ของ ศาสตราจารย์ ดร. อุดม วโรตม์สิกขดิตถ์ อดีตคณบดี คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ได้ให้คำตอบเกี่ยวกับสำนวนนี้ไว้อย่างละเอียดยิบ ซึ่งขอยกมาให้อ่าน ดังนี้

@@@@@@@

ศ. ดร. อุดม คาดว่า ความหมายที่ถูกบัญญัติไว้น่าจะเกิดจากการตีความของท่านผู้รู้ เพราะไม่มีคำไหนเลยที่เกี่ยวข้องกับความเจริญและความลำบาก และอาจจะเกิดจากการตีความว่า การหามจั่วนั้นน่าจะดีกว่าหามเสา เพราะจั่วเป็นเครื่องไว้ประกอบด้านบน ต่างจากเสาที่สามารถเลอะโคลนดินได้เพราะเป็นเครื่องล่างของบ้าน

หรืออาจจะคิดไปได้ว่า จั่วนั้นเบากว่าเสา ดังนั้น คนที่รักดีก็หวังจะหามจั่วเพื่อให้ตนเองสบาย ดีกว่าหามเสาหนัก ๆ

อย่างไรก็ตาม อดีตคหบดี คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เห็นต่างจากข้อสันนิษฐานดังกล่าว เพราะแท้จริงแล้ว จั่วมีรูปลักษณ์เป็นสามเหลี่ยมขนาดใหญ่ ถือและขนย้ายลำบากกว่าเสานัก และยังให้เหตุผลอีกว่า…

    “บางท่านมองว่าจั่วนั้นเบากว่าเสา คนรักดีก็เลือกหามสิ่งที่เบา คนรักชั่วเท่านั้นที่เลือกหามสิ่งที่หนัก ใครก็ตามที่มีความคิดเช่นนั้นสังคมควรจะรวมกันตำหนิว่าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัว และไม่ควรเอาเยี่ยงอย่าง
     ถ้าเป็นไปได้ควรจะขจัดออกไปเสียจากสังคม เพราะเป็นคนเอาเปรียบเพื่อนฝูง คอยฉกฉวยโอกาสเลือกแต่สิ่งที่ง่าย ที่สบาย สังคมควรยกย่องบุคคลที่เสียสละ ไม่ใช่ยกย่องคนที่เห็นแก่ตัว การที่กล่าวเสาสกปรกเลอะเทอะเปรอะเปื้อนโคลนนั้นก็ไม่เกี่ยวอะไรด้วยกับการใฝ่ชั่ว เสาใหม่ ๆ ก็ไม่มีโคลนเปรอะเปื้อนเหมือนจั่วเช่นกัน…”


@@@@@@@

แล้ว รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา สำนวนไทยนี้ เกี่ยวข้องอะไรกับ “จั่ว” และ “เสา” รวมถึง ต้องการสอนอะไรเรากันแน่.? นักวิชาการคนเดิมให้คำตอบไว้ดังนี้…

    “ความจริงแล้วคนโบราณท่านคิดลึกกว่านั้นมากนัก ท่านให้สำนวน รักดีหามจั่ว รักชั่วหามเสา โดยมุ่งเน้นไปที่สัญลักษณ์มากกว่าความหมายตื้นอย่างที่ท่านผู้รู้บางท่านมอง เรารู้จักกันดีว่าคนโบราณใช้ งู เป็นสัญลักษณ์ของเพศชาย

     นอกจากนั้นแล้วในคำสุภาพที่พูดถึงเพศชายก็มี ม้า ปลาช่อน หอก ถ่อ เห็ดโคน ฯลฯ อันรวมถึง เสา ด้วย

     ฉะนั้นคำพังเพยนี้จัดว่าเป็นสุภาษิตสอนหญิงที่ดีเยี่ยม เพราะท่านหมายว่า จั่ว ซึ่งเป็นรูปสามเหลี่ยมเป็นสัญลักษณ์ของเพศหญิง และ เสา เป็นสัญลักษณ์ของเพศชาย ในความที่ว่า รักดี ก็ให้รักนวลสงวนตัวดูแลจั่วไว้ให้ดี ถ้ารักชั่วก็ให้ริอ่านเอาเสาไปหามหรือคบชู้สู่ชาย ด้วยประการฉะนี้แล”


อ่านเพิ่มเติม :-

    • สำนวนไทย “สะโพกสุดเสียงสังข์” ชมความงามสตรี มีที่มาจากไหน?
    • ทำไมสำนวนไทยถึงใช้ “เกลือ” แทนความอึด ความทน? ทำไมต้องเป็นเกลือเค็มๆ?
    • สำนวนไทยใช้ “ปลากัด” ตำหนิผู้หญิงมารยา-จัดจ้าน แล้ว “กระต่ายแก่แม่ปลาช่อน” สื่ออะไร?





ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : ปดิวลดา บวรศักดิ์
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 10 พฤษภาคม 2567
URL : https://www.silpa-mag.com/culture/article_132343

 9 
 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2024, 07:16:40 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 10 
 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2024, 03:37:17 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

หน้า: [1] 2 3 ... 10