ทำไมต้องเจริญ มรณัสสติ
เพราะ ความกลัว ต่อการที่จะตาย ด้วยอำนาจอกุศลจิต เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่อยากตาย มีทุกข์เป็นเหตุ
และ ความอาลัย ( ความห่วง ) ด้วยอำนาจ กุศลจิต เป็นสิ่งที่ทำให้ไม่อยากตาย มีสุขเป็นเหตุ
มรณานุสสติ ควรเจริญทุกวัน และ เจริญบ่อย ๆ นะจ๊ะ
เพราะเป็นกรรมฐาน ที่ อารักขากรรมฐาน อื่น ๆ ได้นะจีะ
ว่าโดยผล แล้ว มรณานุสสติ นั้นจักมีแก่พระอริยะบุคคล ตั้งแต่พระโสดาบัน เป็นต้นไป
ว่าโดยเหตุ แล้ว มรณานุสสติ นั้นจักมีแก่ โคตรภูบุคคล ขึ้นไป คือผู้ปรารถนาพ้นจากสังสารวัฏ
การฝึก มรณานุสสติ นั้น มีอยู่ 2 แบบ
แบบที่ 1 เจริญเป็น สติ ตามชื่อ เจริญแบบนี้นึกขึ้น คิดถึง บ่อย ด้วยอำนาจปัญญา ประกอบด้วยสติ ทำให้จิตของผู้เจริญ ได้มีความรู้สึก ปล่อยวาง เข้าใจ ละได้บางอารมณ์ บางโอกาส เป็นบางครั้ง อย่างน้อยเพื่อชนะ โลกธรรม 8 เบื้องต้น
มีวิธีการคือ การสวด การนึกถึง การคิดถึง ความตาย เพื่อให้รู้สาระแก่นสาร ก่อนตาย และ เห็นความสำคัญ ก่อนที่จะตาย และ เห็นความตายเป็นเรื่อง ธรรมดา มีผลเป็น ธรรมสังเวช เท่านี้ การเจริญเช่นนี้ ทำให้ตัดอาลัยในความตาย ได้ แต่ ไม่สามารถละความกลัว จากความตายได้ เพราะอำนาจ สติ นั้นยังไม่พอ
การเจริญ อภิณหปัจจเวกขณ ก็เป็นวิธีการนี้ ด้วยเช่นกัน
แบบที่ 2 เจริญ มรณานุสสติ ด้วยอำนาจ สมาธิ ตั้งแต่ อุปจาระฌาน ขึ้นไป มีผลจิตเข้าสู่ การรู้แจ้งเห็นตามความเป็นจริง ชัดเจน แจ่มแจ้ง ผ่องใส พ้นจากอำนาจแห่งความกลัว และ อาลัย ไม่หวนคืน เกิิดขึ้นแล้วมิอยู่ ไม่เสื่อม ไม่ดับ เพราะผู้ที่เจริญได้นั้น ต้องเป็นพระอริยะบุคคลตั้งแต่ พระโสดาบัน ขึ้นไป
ผู้ที่เจริญแบบที่สองนี้ เป็นผู้ที่เจริญได้ ถึง นิพพิทานุปัสสนา คือความหน่ายต่อสังสารวัฏ
ควรเจริญแบบไหน ใน 2 แบบ
ควรเจริญ มรณัสสติ ทั้ง 2 แบบ เพราะ ทั้ง 2 แบบ เกื้อกูล ซึ่งกันและกัน เพราะ มรณัสสตินั้น ทำลายอัตตา ความเป็นเรา เป็นของเรา เป็นตัวเป็นตนของเราได้
ลำดับการบรรลุธรรมของ มรณัสสติ
1.การได้ธรรมสังเวช ในเรื่อง ความเกิด และ ความตาย ธรรมของคู่ เห็น ความเกิด และ ตาย เป็นธรรมดา เป็นอำนาจของสติ เบื้องต้น
2.การได้ความหน่าย ต่อ การเกิด และ การตาย อำนาจจิตที่ต้องการพ้นจากอำนาจความเกิดและตาย เป็นอำนาจของสัมปชัญญะ
3.การได้รูปนิมิตตน และ เห็นรูปนิมิต เป็นของไม่เที่ยง ทนอยู่ไม่ได้ และ ว่างเปล่าจากความหมายแห่งความเป็นตัวเป้นตน เป็นอำนาจของสมาธิ
4. จากนี้ไปเป็นอำนาจของวิปัสสนา
เจริญธรรม