« เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2013, 08:56:54 am »
0
ทรงเป็นพี่เลี้ยงให้แก่สาวกชั่วระยะจำเป็น
ภิกษุทั้งหลาย ! เปรียบเหมือนเด็กที่ยังอ่อน ยังได้แต่นอนหงาย เมื่อพี่เลี้ยงเผลอ ได้คว้าชิ้นไม้หรือกระเบื้องกลืนเข้าไป พี่เลี้ยงเห็นแล้วก็จะพยายามหาวิธีเอาออกโดยเร็ว. เมื่อเอาออกไม่ได้โดยง่าย ก็ประคองศรีษะเด็กด้วยมือซ้าย งอนิ้วมือขวาล้วงลงไปเกี่ยวขึ้นมา แม้จะถึงโลหิตออกก็ต้องทำ,
ข้อนี้เพราะเหตุไรเล่า ?
เพราะเหตุว่าแม้เด็กนั้นจะได้รับความเจ็บปวดก็จริง แต่พี่เลี้ยงที่หวังความปลอดภัยแก่เด็ก หวังจะช่วยเหลือเด็ก มีความเอ็นดูเด็ก ก็ต้องทำเช่นนั้น เพราะความเอ็นดูนั่นเอง. ครั้นเด็กเติบโตขึ้น มีความรู้เดียงสาพอควรแล้ว พี่เลี้ยงก็ปล่อยมือไม่จ้ำจี้จ้ำไชในเด็กนั้นเกินไป ด้วยคิดว่าบัดนี้เด็กคุ้มครองตัวเองได้แล้ว ไม่อาจจะไร้เดียงสาอีกแล้ว ดังนี้, ข้อนี้ฉันใด.
ภิกษุทั้งหลาย ! ข้อนี้ก็เช่นกัน: ตราบใดที่ภิกษุยังมิได้ทำกิจในกุศลธรรมทั้งหลาย อันตนจะต้องทำด้วยศรัทธา ด้วยหิริ ด้วยโอตตัปปะ ด้วยวิริยะ และด้วยปัญญา, ตราบนั้นเรายังจะต้องตามคุ้มครองภิกษุนั้น.
แต่เมื่อใดภิกษุนั้นได้ทำกิจในกุศลธรรมทั้งหลาย อันตนจะต้องทำด้วยศรัทธา ด้วยหิริ ด้วยโอตตัปปะ ด้วยวิริยะ ด้วยปัญญา สำเร็จแล้ว เราก็หมดห่วงในภิกษุนั้น โดยคิดว่าบัดนี้ ภิกษุนี้คุ้มครองตัวเองได้แล้ว ไม่อาจจะประพฤติหละหลวมอีกต่อไปแล้ว, ดังนี้.ที่มา
http://www.bds53.com/index.php?name=knowledge&file=readknowledge&id=88ขอบคุณภาพจาก เฟซบุ้ค