ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: 'ธรรมะวันเด็ก' สำหรับ 'ผู้ใหญ่'  (อ่าน 1567 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
'ธรรมะวันเด็ก' สำหรับ 'ผู้ใหญ่'
« เมื่อ: มกราคม 11, 2013, 10:23:52 pm »
0

'ธรรมะวันเด็ก' สำหรับ 'ผู้ใหญ่'

'ธรรมะวันเด็ก'สำหรับ'ผู้ใหญ่' : วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยพระชาย วรธัมโม
     
      "ดูเหมือนวันเด็กคือวันที่ผู้ใหญ่พาเด็กๆ ไปเที่ยวจนเราลืมไปแล้วว่าแก่นแท้ของวันเด็กคืออะไร"
      วันเด็กกำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้อีกแล้ว มีใครทราบบ้างหรือไม่ว่าวันเด็กมีที่มาที่ไปอย่างไรและอะไรคือแก่นแท้ของวันเด็ก


      วันเด็กเกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๙๘ โดยนายวี เอ็มกุล ผู้แทนองค์การสหพันธ์เพื่อสวัสดิการเด็กระหว่างประเทศมองเห็นความสำคัญและความต้องการของเด็กและต้องการกระตุ้นให้เด็กเห็นความสำคัญของตนเองต่อสังคม ในปีนั้นมีประเทศที่ร่วมจัดงานวันเด็กพร้อมกันประมาณ ๔๐ กว่าประเทศโดยถือเอาวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมเป็นวันเด็กสากล ในเมืองไทยจัดติดต่อกันมาได้ ๙ ปีก็เห็นอุปสรรคเพราะเดือนตุลาคมยังเป็นฤดูฝนการจัดงานจึงไม่สะดวก อีกทั้งวันจันทร์เป็นวันที่พ่อแม่ผู้ปกครองยังต้องไปทำงาน รัฐบาลจึงเปลี่ยนการจัดงานวันเด็กเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๐๘ เป็นต้นมา

      สถานที่สำคัญต่างๆ เปิดให้เด็กๆ เข้าชมฟรีโดยไม่เสียค่าผ่านประตู เช่น พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์ สวนสนุก ฯลฯ นายกรัฐมนตรีมีคำขวัญให้เด็กทุกปี เด็กๆ ได้รับโอกาสในวันนั้นอย่างเต็มที่จนเป็นที่รับรู้กันโดยทั่วไปว่าวันเด็กคือวันที่ผู้ใหญ่ต้องพาเด็กๆ ไปเที่ยวโดยลืมไปว่าแท้จริงแล้ววันเด็กถูกกำหนดขึ้นมาเพื่อให้ผู้ใหญ่ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของเด็ก ไม่กดขี่เด็ก ไม่เอาเปรียบเด็ก ไม่ใช้อำนาจกับเด็ก
      แต่ทุกวันนี้วันเด็กกลายเป็นวันพาเด็กไปเที่ยวแค่นั้นเอง หลังจากนั้นเด็กก็ไม่ได้รับการดูแลเอาใจใส่อีกเลยจนกว่าจะถึงวันเด็กในปีถัดไป เราควรบูรณาการวันเด็กกันเสียใหม่ วันเด็กไม่ใช่แค่พาเด็กไปเที่ยว ไม่ใช่แค่วันเด็กเท่านั้นที่เราต้องเอาใจใส่เด็ก แต่เราควรเอาใจใส่เด็กทุกวัน



ลดการเปรียบเทียบ มอบคำชมเชย
        ในชีวิตประจำวันเด็กๆ มักไม่ได้รับคำชมเชยแต่มักได้รับคำเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นๆ เปรียบเทียบกับพี่ๆ น้องๆ ในบ้าน หรือแม้แต่ถูกนำไปเปรียบเทียบกับลูกของคนข้างบ้านว่าดีกว่า ฉลาดกว่า ผู้ใหญ่ควรตระหนักรู้ว่าการเปรียบเทียบทำให้เด็กรู้สึกด้อยค่าในตัวเอง รู้สึกตนเองไม่เป็นที่คาดหวังหรือไม่เป็นที่สมหวังของผู้ใหญ่ นำไปสู่การขาดความเชื่อมั่นในตนเองและการไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง

        ผู้ใหญ่ควรหยุดเปรียบเทียบหยุดใช้คำพูดด้านลบกับเด็กๆ หยุดการให้ฉายาประชดประชัน เพราะคำพูดเหล่านั้นบั่นทอนกำลังใจและการมีชีวิตอยู่ของเด็ก ผู้ใหญ่ควรเรียนรู้ที่จะชมเชยเด็ก คำชมเชยจะทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในตนเองทำให้เด็กรู้สึกดีกับตัวเองมองเห็นคุณค่าในตัวเองไม่รู้สึกเป็นปมด้อย ถ้าเราหวังจะให้เด็กช่วยเหลือสังคมและประเทศชาติได้เราต้องสร้างพื้นฐานให้เขารักตัวเองเห็นคุณค่าในตัวเองเสียก่อน
        เมื่อเขารักตัวเองเห็นคุณค่าในตัวเองเมื่อนั้นเขาจะสามารถเผื่อแผ่ความรักและคุณค่าภายในที่เขามีสู่บุคคลและสังคมรอบๆ ตัว แต่ถ้าเรามัวแต่เปรียบเทียบเขากับเด็กคนอื่นๆ โอกาสที่เขาจะกลายเป็นเด็กมีปมด้อยแล้วสร้างปัญหาย่อมเกิดขึ้นได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการเปรียบเทียบแล้วหันมามอบคำชมเชยให้เด็ก


หยุดคำตวาดคำรุนแรง
       ผู้ใหญ่ไม่ชอบคำตวาดหรือคำรุนแรงเช่นไร เด็กๆ ก็ไม่ชอบคำดุด่ารุนแรงเช่นนั้นเหมือนกัน เราทราบกันดีคำตวาดหรือคำรุนแรงสร้างความขุ่นเคืองให้กับผู้ที่ถูกว่าถูกตวาด คำตวาดไม่ได้สร้างสรรค์ให้คนเป็นคนดีแต่คำตวาดสร้างสถานการณ์อันเลวร้ายภายในบ้าน ทำให้บ้านไม่อบอุ่น
       ถ้าบรรยากาศภายในบ้านไม่อบอุ่นสมาชิกในบ้านจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะได้อย่างไร ควรหันมาใช้คำแนะนำอย่างสุภาพและมีเหตุผลกับเด็กๆ เมื่อเราใช้คำสุภาพและมีเหตุผลเด็กจะรู้สึกว่าเขาได้รับความรักและความเอาใจใส่ เมื่อนั้นเขาก็จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีวุฒิภาวะไม่ใช่ผู้ใหญ่ที่พร้อมจะตวาดคนอื่นต่อไป



ลดความคาดหวังมองหาจุดเด่น
      พึงเข้าใจว่าเด็กก็คือเด็ก เด็กไม่ได้มีความสามารถที่จะทำตามความคาดหวังของผู้ใหญ่ไปเสียทุกเรื่อง บางครั้งเด็กทำอะไรไม่ได้อย่างใจก็ถูกลงโทษด้วยการดุด่าหรือตบตีอย่างรุนแรง ผู้ใหญ่ควรพยายามลดความคาดหวังพยายามเข้าใจอารมณ์ของตนเองและพยายามเข้าใจเด็กๆ เด็กแต่ละคนมีจุดเด่นมีความเก่งที่ไม่เหมือนกัน เด็กบางคนเก่งคณิตศาสตร์ บางคนเก่งศิลปะ บางคนเก่งกีฬา
      บางครั้งผู้ใหญ่ต้องเรียนรู้ที่จะละความคาดหวังของตนเองแล้วหันกลับมามองดูว่าเด็กของเราเก่งเรื่องใด ผู้ใหญ่บางคนอยากให้เด็กเป็นหมอ อยากให้เด็กเป็นทหาร อยากให้เด็กเป็นครู อยากให้เด็กเป็นโน่นเป็นนี่แต่ไม่เคยถามเด็กเลยว่าเด็กอยากเป็นอะไร


      พยายามมองให้เห็นว่าเด็กถนัดเรื่องใดแล้วสนับสนุนเขาในเรื่องนั้น ทุกวันนี้เด็กๆ ถูกคาดหวังให้เก่งวิชาการเหมือนกันหมด นอกจากจะต้องไปโรงเรียนจันทร์ถึงศุกร์แล้ว เสาร์อาทิตย์ยังต้องไปเรียนกวดวิชาอีก เด็กไม่มีวันหยุดแล้วสุขภาพจิตจะดีได้อย่างไร สังคมเรากำลังทำร้ายเด็กด้วยการพยายามสร้างเด็กให้เก่ง แต่เด็กที่มีความสุขกำลังมีจำนวนน้อยลง


เด็กนอกกระแสถูกลืม
       ถึงวันเด็กคราวใด เชื่อว่ามีเด็กนอกกระแสถูกมองข้ามความสำคัญลงไปอย่างแน่นอน เช่น เด็กเร่ร่อน เด็กไร้บ้าน เด็กแว๊น เด็กในสถานพินิจ เด็กเหล่านี้แต่เดิมเขาก็เป็นเด็กมีบ้านเหมือนกับเด็กทั่วไป แต่เนื่องจากในบ้านขาดความรักความอบอุ่น ทำให้พวกเขาต้องออกมาแสวงหาความรักความอบอุ่นนอกบ้าน แสวงหาเอาจากเพื่อนที่มีความสนใจ มีความต้องการ มีความรู้สึกเดียวกัน ก่อนที่เด็กๆ ของเราจะเดินออกจากบ้านไปไม่กลับเราควรมอบความรัก ความอบอุ่น ความเข้าใจให้พวกเขา ปรับความเข้าใจกันก่อนที่พวกเขาจะกลายเป็นภาระที่ซับซ้อนของสังคม


เอาใจใส่เด็กพิเศษที่แตกต่าง
       เด็กพิการ เด็กออทิสติค หรือเด็กที่ต้องการแสดงออกทางบุคลิกภาพแบบข้ามเพศ เช่น เด็กกะเทย เด็กทอม ผู้ใหญ่ต้องเรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับการดูแลเอาใจใส่พวกเขาเป็นพิเศษ เด็กที่มีความพิเศษเหล่านี้ไม่มีผู้ใหญ่คนไหนคาดคิดมาก่อนว่าเขาจะเกิดมาแตกต่าง มีแต่จะต้องเตรียมพร้อมกับการยอมรับ เตรียมพร้อมสติปัญญากับการเผชิญหน้าสิ่งใหม่ๆ ในชีวิต ดูแลสนับสนุนให้ความรักความเอาใจใส่ความเข้าใจแก่พวกเขา
       อย่ามัวแต่คิดว่าเป็นกรรมหรือสิ้นหวัง แต่ควรมีมุมมองที่ก้าวไปข้างหน้าว่าทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นเป็นบททดสอบสติปัญญาของเราที่จะฝ่าฟันอุปสรรคเพื่อที่ทั้งเราและเด็กที่เกิดมาจะสามารถดำรงอยู่ในโลกนี้ได้ด้วยตนเองอย่างภาคภูมิใจ


อย่าลืมมอบ 'วินัย' ให้เด็ก
       ทุกวันนี้เครื่องมือเทคโนโลยีหาก็ง่ายใช้ก็คล่องมีตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ โน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต ไอโฟน ไอแพ็ด ผู้ใหญ่มักมอบอุปกรณ์เหล่านี้ให้เด็กๆ ไว้ใช้แต่ลืมมอบ 'วินัย' ให้กับเด็กไปใช้ด้วย ปัญหาเด็กติดเกมไม่ได้เกิดจากเด็กฝ่ายเดียวแต่เกิดจากผู้ใหญ่ลืมสร้างวินัยให้เด็ก ก่อนมอบเครื่องมือเหล่านี้ให้เด็กใช้ควรมีข้อตกลงร่วมกับเด็กอย่างชัดเจนว่าในหนึ่งวันเด็กสามารถเล่นเวลาไหนได้บ้าง ต้องเข้านอนกี่โมง ตื่นกี่โมง ต้องทำงานบ้านอะไรเป็นหน้าที่หลัก
       หากมีการละเมิดข้อตกลงต้องถูกงดค่าขนมหรือต้องทำอะไรทดแทน ปัญหาเด็กติดเกมเวลานี้เกิดขึ้นทุกบ้าน เป็นเพราะเราขาดข้อตกลงเรื่องวินัยของชีวิตร่วมกับเด็ก หากผู้ใหญ่สร้างวินัยข้อนี้ให้กับเด็กได้ปัญหาเรื่องเด็กติดเกมก็จะหมดไป


       วันเด็กกำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ ผู้เขียนหวังว่าเราคงใช้โอกาสนี้ในการสร้างสรรค์พัฒนาคุณภาพชีวิตของเด็กทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา หยุดใช้ความรุนแรงกับเด็กแล้วปฏิบัติกับเขาด้วยความเมตตากรุณา เมื่อนั้นบ้านจะกลายเป็นบ้านที่อบอุ่นน่าอยู่ ไม่เกิดปัญหาเด็กติดเกมหรือเด็กหนีออกจากบ้านอีกต่อไป


ขอบคุณภาพและบทความจาก
www.komchadluek.net/detail/20130111/149145/ธรรมะวันเด็กสำหรับผู้ใหญ่.html#.Q-urA6zjrRc
http://www.kroobannok.com/,http://news.mthai.com/,http://hilight.kapook.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

saichol

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 247
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: 'ธรรมะวันเด็ก' สำหรับ 'ผู้ใหญ่'
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 11, 2013, 11:38:07 pm »
0
พรุ่งนี้วันเด็ก อย่าลืมพาลูก หลาน ไปเที่ยว วันเด็ก กันนะคะ
 
   และอย่าลืมว่าเรา ก็เคยเป็นเด็ก มาเหมือนกัน เอาใจเด็กใส่ใจเรา แล้วเราจะไม่รำคาญเด็ก ๆ กันในวันนี้ คะ

  แบ่งปันเวลา เสียบ้างนะคะ

  ดิสคอนเน็กซ์ กัน นะคะ ก่อนที่ อะไร จะหายไป
 


 thk56 thk56 thk56
บันทึกการเข้า