สำหรับอาการ ที่เกิดนั้นเป็นเพียงเบื้องต้น ในพระธรรมปีติ ขั้นที่ 1
สำหรับ โยม ISSARPAP นั้นถ้าให้ความเคารพต่อพระกรรมฐาน
ควรจะขึ้นพระกรรมฐาน เป็นทางการ การภาวนาจะุรุดหน้ามากกว่านั้น
สำหรับเรื่องหนึ่งที่อาตมาเห็น ดีในพระกรรมฐาน ก็คือ เรื่องของ ภวังค์
ผู้ฝึกปฏิบัติสามารถเดินจิต ในองค์พระกรรมฐาน ก็จะไม่ตกภวังค์
ส่วนการเล่าอารมณ์ พระกรรมฐาน ซึ่งกันและกันนั้นถึงห้ามไว้ ในความ
เป็นจริงด้วยความเป็นปุถุชน ยังมีมานะอยู่บ้าง ดังนั้นผู้ฝึกปฏิบัติเพื่อไม่ให้
สร้างภาวะกดดันซึ่งกันและกัน ก็ไม่ควรพูดระดับของตนเองให้ผู้อื่นฟังนอก
จากพระอาจารย์
โดยส่วนพระอาจารย์ มีลูกศิษย์ ค่อนข้างจำนวนมาก พอทราบเพื่อนที่มาด้วยกัน
ปฏิบัติไปในขั้นที่สูงกว่า ก็ัมักจะมาปรารภ ให้พระอาจารย์สอนกรรมฐานให้เป็นพิเศษ
บางคนถึงกับขอเปลี่ยนขั้น ขอเข้าสะกด สารพัดที่คิดว่าจะทำให้ตนเองนั้นจะเสมอเขาได้
แท้จริง พระกรรมฐานเป็นไปเพื่อกำจัด กิเลส ผู้ฝึกขาดเหตุปัจจัย ในการเพียรในการฝึก
ส่วนใหญ่ จะติดนิสัยนิ่ง ๆ และก็ทิ้ง พุทโธ เพราะติดนิสัยแบบเก่า ในส่วนนี้ต้องทุบกำแพง
ออกมาด้วยการภาวนา ไม่ให้ขาด ดังนั้นการนับจะทำให้เกิดการประคองอารมณ์ และ สติ
จะสามารถผูกจิตได้ ในองค์กรรมฐาน ยิ่งผู้ฝึกมีอารมณ์ ในพระกรรมฐาน มากขึ้นเท่าใด
สติ ก็จะอยู่กับ พุทโธ มากขึ้น ในระดับของ พุทโธ ก็บอกแล้ว มี 3 ระดับ
คือ ขั้นตรี สามารถกำหนด ฐานจิต และ พุทโธ ลงได้บ้าง
ขั้นโท สามารถกำหนด ฐานจิต และ พุทโธ จนเข้าถึงลักษณะได้
ขั้นเอก สามารถกำหนด ฐานจิต และ พุทโธ จนเข้าถึงรัศมีได้
ดังนั้น ผู้ที่ไม่ได้ขึ้น กรรมฐาน จึงไม่ได้รับการถ่ายทอด ในขั้นที่สูงขึ้นหากยังไม่ขึ้นกรรมฐาน
ส่วนผู้ขึ้นกรรมฐาน ก็ต้องเก็บอารมณ์ ของปีติ ไว้เพื่อกำหนด ลักษณะ และ รัศมี ให้ปรากฏ
ในส่วนการฝึก กรรมฐาน ในสายเจโต แล้ว ผู้ฝึกจะเกิด โอภาส เป็นสิ่งที่ไม่ขาด และ ขาดไม่ได้
ส่วนผู้ฝึกที่เป็นปัญญาวิมุตติ นั้น ไม่ค่อยจะำกำหนดอะไรได้ ใจจะดึงไปอยู่สภาพนิ่ง ว่างตามวิสัย
ของวิปัสสนา ที่เคยฝึกมา ดังนั้น การสำเร็จของศิษย์ กรรมฐาน จึงแตกต่างกัน
การอนุเคราะห์ ซึ่งกันและกัน นั้นก็คือไม่บอกระดับของตนเอง แก่กัน และกัน
เพราะปุถุชน ไม่ร่วมอนุโมทนาในความสำเร็จ การบอกไปจะไปเร่งเร้า กิเลส นิวรณ์ให้มากขึ้น
การคุยบอกคนนั้น คนนี้อีก ก็เป็นความฟุ้งซ่าน
อธิบายพอแค่นี้เถอะ เพราะคำถามเป็นคำถามที่ต้องชี้แจง ค่อนข้างมากสำหรับ คนที่ไม่เคยปฏิบัติ