ทําไมต้องเข้าใจเบญจขันธ์......เพราะเบญจขันธ์ คือรูป และ นาม แปลอีกที ก็คือกายและใจเรานี้เอง
ถ้าฝึกตามแบบ กรรมฐาน มัชฌิมา เรียนปีติห้า ก็จะเห็นความเกิด-ดับ จัดเป็นญาณที่สี่ (อุทยัพ) เห็นวิปัสนาญาณ ความเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป บ้าง
การฝึกกรรมฐาน ก็เพื่อปล่อย และ คลายความยึดถือ ออกจากขันธ์ทั้งห้า หรือปีติห้า เรียนปีติห้า ก็เพื่อรู้ และละ ถอยออกจากความยึดถือในเบญจขันธ์ ไม่ยึดมั่นถือมั่น
เรียนกรรมฐานมัชฌิมา ก็เพื่อรู้ ความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ และปล่อยขันธ์ห้า
เรียนปีติห้า ก็เพื่อทําลายความยึดมั่นถือมั่น ออกจากขันธ์ห้า เพราะเข้าไปรู้ทันเบญจขันธ์ เมื่อรู้ทันมันก็ไม่ถือเพราะมันหนัก
พระพุทธองค์ ตรัสไว้ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา
เมื่อปฏิบัติเห็นความเกิด-ดับ
เมื่อธรรมทั้งหลายในภาวนาปรากฏ ทิฏฐิ ความคิด ความอ่าน การปรุงแต่ง ที่เคยเป็นทุกข์เป็นสุข ที่ใส่ไว้ ในกล่องดํา ทั้งในรูป และอารมณ์ ที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ และขันธ์ห้า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ถูกล้างออกตามขั้นตอน ตามลําดับ ตามธรรม พระกรรมฐาน
เพราะการเรียนกรรมฐาน มีครูเราไม่ได้เรียนเองรู้เอง เพราะเรามีครู
มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวที่รู้เองได้
ฝึกกรรมฐานอย่าให้เกินเจ็ดปี มันเกินที่พระสูตรพระพุทธองค์ระบุไว้
คงต้องย้อนกลับไปดูที่เหตุ...ว่า...ทําไมเราจึงไม่สําเร็จดั่งที่ตั้งใจ
การฝึกกรรมฐาน ตั้งใจมากก็ไม่ได้ ไม่ตั้งใจเลยก็ไม่ได้ ต้องเฉลี่ยใจเอาไว้กลางๆ(between) เอาให้อยู่ระหว่าง ตั้งใจ-ไม่ตั้งใจ การฝึกตรวจตรงนี้หน่อยก็ดี เฉลี่ยให้อยู่ตรงระหว่าง
เรา เชื่อความคิดตัวเองมากไปรึเปล่า
หรือเอาตามแนวเฉพาะที่ชอบ ที่เราไม่ชอบไม่ใช่ไม่เอา สรุปเอง
เชื่อเพื่อน ตามเพื่อน ชอบความโด่งดัง ติดฤทธิ์ ชอบฟัง ชอบคุย ชอบเล่า ชอบอวด
สํานักนั้น สํานักนี้ ชอบเที่ยวไป แต่ไม่มีเป้าหมาย ปณิธาน ว่าเราตั้งตัวเราไว้ยังไง เอาสําเร็จหมดมั๊ย
ก็ต้องเริ่มต้น การเริ่มต้นก็ไม่ยาก......หยุด (สําเร็จทุกอย่าง)
แล้วตั้งปณิธานเป้าหมายใหม่
มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นใหญ่ที่ใจ
กัลญาณมิตร ครูอาจารย์ ที่จะบอกกรรมฐานเฉพาะตัวของเราโดยตรง
ถ้ายังไม่มี เราขอเชิญชวนท่าน
ไปที่ คณะห้า วัดราชสิทธาราม ฝั่งธน
พระอาจารย์กรรมฐานใจดี มีเมตตาสูง
ทั้งหมดที่เล่ามาเพราะเรามีครูบาอาจารย์พระกรรมฐาน