สติปัฏฐาน 4 มิใช่การกําหนด แต่เป็นการเข้าถึงอารมณ์ คือการเข้าถึงธาตุ
เห็นธาตุ ก็คือเห็นโลก ทั้งวัฏจักร ธรรม.....จึง......จัก เปิดเผย
ในตํารา กรรมฐาน มัชฌิมา ก็มี รูปปรมัตถ์
จงตั้งใจไปตามกรรมฐานนี้ ตั้งรูป ขึ้นมาให้ได้.......เพราะมิใช่แค่ภาษาพูดหรือแค่เปรียบเทียบเพื่อสนุกสนาน
เพราะรูปต้องตั้งได้ จึงจะเห็นเป็นพระธรรมปีติ
ตั้งรูปได้แล้ว ก็ปล่อยรูป นอนรูป คือปล่อยวาง
ตั้งเกิด นอนดับ
หากตั้งและนอนพร้อมกัน........เรียกว่าเห็น เกิดขึ้นพร้อมดับ
ตั้งสมถะ....นอน วิปัสสนา เรียกว่าเห็นทั้ง สมถะ-วิปัสสนา มีทั้งสมถะวิปัสสนา
ตอนนั้นคือได้ทั้ง สมถะวิปัสสนา ครบ ไม่หลง ก็ควงไปด้วยด้วยโคตรภู ต่อไป ก็คือ รูปวัตถุ 16
( ปู่โต ท่านได้ สร้างเจดีย์ นอน) เป็นอนุสรณ์ เมื่อท่านได้วิปัสสนา มีแต่ไม่ทราบอยู่วัดใด....ใครเก่งลองไปสืบค้นดู ข้าพดูเจอในทีวี แต่จําชื่อวัดไม่ได้ ไม่ทราบว่ายังมีซากเหลืออยู่หรือมีแค่ประวัติ ทําไมต้องสร้าง เป็น รูปนอน เจดีย์นอน ความหมายคือ วิปัสสนา เรียกว่าเจดีย์วิปัสสนา
ก็ตั้งได้ถ้าวางมันก็นอน วางคือวิปัสสนาหรือดับๆๆๆ
เรียกว่าเห็นเกิดดับแบบสติปัฏฐาน เห็นในรูป วิปัสสนาในรูป
ในกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ ไม่เรียกว่า ฌานสมาบัติ
แต่เรียกว่าการ สัมปยุตธาตุ สัมปยุตธรรม คือการรวมพระลักษณะ และพระรัศมี เข้าสะกด
สามห้องนี้เต็มที่ เข้าถึงกาย เข้าถึงรูป .......กายพระโสดาบัน
การเห็นความเกิดดับ ต้องเห็นทั้งรูปนาม คือเห็นทั้งได้รูป ในรูป และในอารมณ์ เห็นทั้งสองอย่างสัมพันกันและเข้าใจไม่สงสัย
กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลําดับ จึงมีรูปปรมัตถ์
อานาปานสติ สติปัฏฐาน 4 กาย เวทนา จิต ธรรม นี้ ไม่ใช่ภาษาการ ปัจเวก ธรรมดาๆ แบบคิดเอาเอง
แต่ต้องเรียน ในรูป วัตถุสิบหก และญาณสติ สองร้อย
ตรวจสอบตัวเอง ง่ายๆ.......
หากเรียนกรรมฐานนี้ ท่านอยู่ตรงไหน.............ปัคหะนิมิต(เริ่มฝึกตั้งรูป)
บริกรรมนิมิต....บริกรรมเพื่อตั้งรูป
อุเบกขานิมิต....วางอารมณ์ เฉยๆแต่มีรูป(ขั้นนี้คงเป็นของครูอาจารย์ที่ได้กสิน)
ก็ว่ากันไปตามอุปาทาน วิสัยทัศน์....ไม่มีผิดมีถูก ไม่มีใครได้ ไม่มีใครเสีย