สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม => ข้อความที่เริ่มโดย: naka-54 ที่ สิงหาคม 13, 2015, 07:54:00 pm



หัวข้อ: อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ
เริ่มหัวข้อโดย: naka-54 ที่ สิงหาคม 13, 2015, 07:54:00 pm
อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ
  ไม่ทราบว่าใคร มี คะ เอามาลงให้อ่านบางคะ

   thk56 thk56 thk56


หัวข้อ: Re: อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ
เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ สิงหาคม 14, 2015, 09:48:31 pm
จะเอาแบบละครหรือค่ะ  ask1


หัวข้อ: Re: อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ สิงหาคม 15, 2015, 09:52:05 am

(http://variety.teenee.com/world/img8/105416.jpg)

"แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์"  ทั้งสองวัดนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไร

ภาพวาดแสดงให้เห็นแร้งวัดสระเกศ ที่กำลังทึ้งศากซพ โดยมีเจ้าหน้าที่คอยไล่ศพเหล่านี้ คือผู้เสียชีวิตจากอหิวาตกโรค หรือที่เรียกกันเป็นภาษาทางการว่า "ไข้ป่วงใหญ่" ชาวบ้านเรียกว่า "โรคห่า" และคนที่เป็นโรคนี้เรียกกันว่า "ห่ากิน" ซึ่งเป็นโรคเมืองร้อนระบาดในภูมิภาคย่านนี้เป็นประจำทุกปีในช่วงฤดูแล้ง ซึ่งในขณะนั้นยังขาดความรู้เกี่ยวกับสาเหตุของการเกิดโรค และการรักษา ส่งผลให้อหิวาตก์จึงระบาดอย่างรวดเร็ว และคร่าชีวิตผู้คนปีละมาก ๆ

      อหิวาตกโรค แปลตามศัพท์ว่า โรคอันเกิดแต่ลม ซึ่งมีพิษร้ายแรงดั่งพิษงู
      อหิ แปลว่า งู 
      วาตก แปลว่า ลม
      โรค แปลว่า ธรรมชาติที่เสียดแทงชีวิต


(http://www.bloggang.com/data/lcrapphom/picture/1226028301.jpg)

ยุคสมัยนั้นผู้คนยังต้องอาศัยน้ำในแม่น้ำลำคลองดื่มกิน เมื่อเข้าเดือนเดือนเมษายนอหิวาตก์จะเริ่มระบาดและหลังจากเดือนตุลาคมเมื่อฝนหยุดตก และน้ำตามแหล่งน้ำธรรมชาติทั้งหลายค่อยๆ เหือดแห้ง การที่ประชาชนนิยมทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในแหล่งน้ำลำคลอง จึงกลายเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค ทำให้อหิวาตก์ระบาดอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งถึงเดือนกรกฎาคมเข้าสู่ฤดูฝน เมื่อฝนตกลงมาอย่างหนักอีกครั้งจึงชำระล้างสิ่งสกปรกทั้งหลายในแม่น้ำลำคลองให้ไหลลงสู่ทะเล และเชื้ออหิวาตก์ก็จะหายไปเอง

ในปี พ.ศ.2363 ซึ่งอหิวาตก์เกิดขึ้นรุนแรงครั้งแรกโดยแพร่ระบาดจากประเทศอินเดียอีกทั้งการไม่รู้วิธีป้องกันและรักษาโรค พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ทรงใช้วิธีให้กำลังใจ โปรดฯให้ตั้งพิธีขับไล่โรคนี้ขึ้น เรียกว่า "พิธีอาพาธพินาศ"

โดยจัดขึ้นที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท มีการยิงปืนใหญ่รอบพระนครตลอดคืน อัญเชิญพระแก้วมรกตและพระบรมสารีริกธาตุออกแห่ โดยมีพระราชาคณะโปรยพระพุทธมนต์ตลอดทาง ทรงทำบุญเลี้ยงพระ โปรดให้ปล่อยปลาปล่อยสัตว์ และประกาศไม่ให้ประชาชนฆ่าสัตว์ตัดชีวิต และให้ประชาชนอยู่กันแต่ในบ้าน


(http://variety.teenee.com/world/img8/105415.jpg)

แต่ก็ยังมีคนตายเพราะอหิวาตก์ประมาณ 3 หมื่นคน ซากศพกองอยู่ตามวัดเป็นภูเขาเลากา เพราะฝังและเผาไม่ทัน บ้างก็แอบเอาศพทิ้งลงในแม่น้ำลำคลองในเวลากลางคืน จึงมีศพลอยเกลื่อนกลาดไปหมด

ประชาชนต่างอพยพหนีออกไปจากเมืองด้วยความกลัว พระสงฆ์ทิ้งวัด งานของราชการ และธุรกิจทั้งหลายต้องหยุดชะงัก เพราะหากผู้คนไม่หนีไปก็จะมีภาระในการดูแลคนป่วยและต้องจัดการกับศพของญาติมิตร ผู้ที่เป็นอหิวาตก์ส่วนใหญ่จะเป็น พวกนักโทษ ทาสและสามัญชนโดยทั่วไป ที่ไม่ระมัดระวังในการกินอยู่ ผู้ที่มีฐานะดีจะมีอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้น้อยกว่า


(http://www.alittlebuddha.com/Pics%20of%20One%20Shot%20a%20Day/Rang04.jpg)

สำหรับในพระบรมมหาราชวังและบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์นั้น ได้มีการจัดหาดื่มน้ำใช้ที่สะอาดมาจากต้นน้ำเพชรบุรี ซึ่งเป็นน้ำบริสุทธิ์ที่ได้จากป่าเขาและไหลผ่านกรวดทราย นำตักใส่โอ่งและลำเลียงมาทางเรือ

เจ้าฟ้ามงกุฏฯ คือ รัชกาลที่ 4 ซึ่งขณะนั้นทรงดำรงเพศบรรพชิตเป็นพระราชาคณะ ได้ทรงบัญชาให้วัดสามวัด  คือ วัดสระเกศ วัดบางลำพู(วัดสังเวชวิศยาราม) และวัดตีนเลน(วัดเชิงเลน หรือวัดบพิตรพิมุข) เป็นสถานที่สำหรับเผาศพ มีศพที่นำมาเผาสูงสุด ถึงวันละ 696 ศพ 


(http://www.alittlebuddha.com/Pics%20of%20One%20Shot%20a%20Day/Rang03.jpg)

แต่กระนั้นศพที่เผาไม่ทัน จะถูกกองสุมกันอยู่ตามวัด โดยเฉพาะวัดสระเกศ มีศพส่งไปไว้มากที่สุด ทำให้ฝูงแร้งแห่งไปลงทึ้งกินซากศพ ตามลานวัด บนต้นไม้ บนกำแพง และหลังคากุฏิเต็มไปด้วยแร้ง แม้เจ้าหน้าที่จะถือไม้คอยไล่ก็ไม่อาจกั้นฝูงแร้ง ที่จ้องเข้ามารุมทึ้งซากศพอย่างหิวกระจายได้ และจิกกินซากศพ จนเห็นกระดูกขาวโพลน พฤติกรรมของ "แร้งวัดสระเกศ" ที่น่าสยดสยองจึงเป็นที่กล่าวขวัญกันตามปรากฎดังภาพ

(http://4.bp.blogspot.com/_dMpI2XX8YYY/S3qoU4f04KI/AAAAAAAACJ4/LBSgt28XLVc/s400/K5551406-7.jpg)

นอกจากนี้ยังมีศพนักโทษที่แก่ตาย และศพนักโทษประหารมาทิ้งไว้ที่วัดสระเกศด้วย ทั้งนี่เพราะในสมัยก่อนห้ามเผาศพกันในเมือง เมื่อมีคนตายต้องเอาไปเผานอกกำแพง แล้วประตูเมืองที่อนุญาตให้เอาศพผ่านออกไปมีเพียงประตูเดียวที่เรียกว่า "ประตูผี"   ซึ่งวัดสระเกศเป็นวัดที่อยู่ใกล้กับประตูผี หรือเมื่อเดินผ่านประตูเมืองมาก็เจอกับวัดสระเกศเป็นวัดแรกนั่นเอง จึงต้องเอาศพมาทิ้งที่นี่


(http://image.ohozaa.com/i/eaf/0st03.jpg)


"เปรตวัดสุทัศน์" มีที่มาอย่างไรเอ่ย.?

ความเชื่อแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์เกี่ยวกับเรื่องราวของเปรตแห่งวัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร ซึ่งมีเรื่องเล่ากันว่า วัดแห่งนี้มักมีเปรตปรากฏกายในเวลากลางคืนเป็นที่น่ากลัวอย่างยิ่ง สอดคล้องกับอหิวาตกโรคที่แพร่ระบาดจนมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากในรัชสมัยที่ 2 จนเผาศพแทบไม่ทัน ณ วัดสระเกศ จนมีคำกล่าวคล้องจองกันว่า "เปรตวัดสุทัศน์ แร้งวัดสระเกศ"

แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องเล่าเปรตวัดสุทัศน์ฯนั้น มีที่มาจากภาพวาดบนฝาผนังในอุโบสถ ที่เป็นรูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายอยู่และมีพระสงฆ์ยืนพิจารณาอยู่ ซึ่งภาพนี้มีชื่อเสียงมากในสมัยอดีตและเป็นที่เลื่องลือกันของผู้ที่ไปที่วัดแห่งนี้ว่าต้องไปดู และสิ่งที่ผู้คนเห็นว่าเป็นเปรตนั้น ผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณวัดแห่งนี้มายาวนานบอกว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นเงาของเสาชิงช้าที่อยู่หน้าวัด ในสายหมอกยามเช้านั่นเอง


(http://t3.gstatic.com/images?q=tbn:ANd9GcRpABLwNX3PsI7yFcSFPNxl2_VuVvsH7WU004bjarJgSSEzWo4E)


โพสต์เมื่อ 25th January 2012 โดย Varangkana Niyomrit
ที่มา http://griffonmany.blogspot.com/ (http://griffonmany.blogspot.com/)
ขอบคุณภาพจาก
http://variety.teenee.com/ (http://variety.teenee.com/)
http://www.bloggang.com/ (http://www.bloggang.com/)
http://www.alittlebuddha.com/ (http://www.alittlebuddha.com/)
http://4.bp.blogspot.com/ (http://4.bp.blogspot.com/)
http://image.ohozaa.com/ (http://image.ohozaa.com/)
http://t3.gstatic.com/ (http://t3.gstatic.com/)


หัวข้อ: Re: อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ สิงหาคม 15, 2015, 10:08:11 am
(http://www.palungdham.com/watthai/ghost_gate02.jpg)

"แร้งวัดสระเกศ" และ "เปรตวัดสุทัศน์"

    "เนื้อหาที่ท่านจะได้อ่านต่อไปนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน" เพราะวันที่ 31 ต.ค. ของทุกปีเป็นวันปล่อยผีของฝรั่งหรือวันฮัลโลวีน ซึ่งในฐานะที่ฉันเป็นผู้นิยมการท่องเที่ยวในเมืองกรุงโดยเฉพาะ ฉันจึงจะพาไปในสถานที่ที่เคยมีเรื่องลึกลับจำพวกผีหรือเปรตเพื่อให้เข้ากับเทศกาลปล่อยผีนี้ แต่แทนที่จะพาไปดูผีฝรั่ง ฉันก็จะพาไปดูผีไทยแทนเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเปรียบ

(http://www.palungdham.com/watthai/ghost_gate01.jpg)
ย่านประตูผียามค่ำคืน ถึงจะไม่มีผีแต่ก็ดูวังเวง

    ที่แรกที่จะพาไปก็คือ "ประตูผี" แน่นอนว่าฉันไม่ได้จะพาไปกินสารพัดอาหารอร่อยแถวๆ นั้นหรอก แต่ดูจากชื่อก็รู้ว่าต้องมีอะไรเกี่ยวกับผีๆ สักอย่าง แต่ก่อนอื่นก็ต้องรู้ที่มาที่ไปของชื่อประตูผีกันเสียก่อน โดยต้องย้อนไปในกรุงเทพมหานครสมัยเมื่อเริ่มสร้างเมืองใหม่ๆ หรือในสมัยรัชกาลที่ 1 นั้น กรุงเทพฯ ยังไม่ได้มีพื้นที่กว้างขวางแบ่งเป็น เขตๆเหมือนอย่างทุกวันนี้ แต่จะมีศูนย์รวมอยู่ภายในกำแพงเมือง ส่วนด้านนอกกำแพงก็จะมีการทำนาทำการเกษตรอยู่เป็นส่วนใหญ่

    และภายในกำแพงเมืองนี้ก็ถือธรรมเนียมกันอยู่ว่าหากมีชาวบ้านเสียชีวิตในกำแพงเมือง จะต้องขนเอาศพออกไปเผาด้านนอกกำแพง และทางออกที่จะขนศพออกไปได้ก็มีอยู่ทางเดียว คือ ประตูทางด้านทิศตะวันออกของเมือง ถ้าจะให้ระบุตำแหน่งก็น่าอยู่ช่วงระหว่างเสาชิงช้าและวัดสระเกศ หรือใกล้กับสี่แยกสำราญราษฎร์ปัจจุบัน เหตุที่ประตูเมืองด้านนี้ได้ชื่อว่าเป็นประตูผี ก็เพราะเป็นทางขนย้ายศพผีออกไปนอกกำแพงเมืองนั่นเอง ซึ่งวัดคนส่วนมากนำศพมาเผาหรือฝังก็มักจะเป็นที่วัดสระเกศ ซึ่งอยู่ติดๆ กับประตูผีนั่นเอง และไม่เพียงแต่กรุงเทพฯ เท่านั้นที่มีประตูผีเช่นนี้ แต่เมืองใหญ่ๆ ในสมัยโบราณเช่นเมืองเชียงใหม่ก็มีประตูผีเช่นกัน

    แม้จะเรียกย่านนี้กันว่าย่านประตูผี แต่ในปัจจุบันนี้ก็ไม่เห็นจะมีประตูสักบานให้เห็นแล้ว (แต่จะเห็นผีหรือไม่อันนี้ก็แล้วแต่ความซวยของแต่ละบุคคล) เพราะหลังจากที่ได้มีการตัดถนนบำรุงเมืองผ่านประตูผี และมีการรื้อถอนกำแพงเมืองและประตูออกไป ประตูผีก็เหลือแต่ชื่อไว้ให้ระลึกถึง แต่จะว่าเหลือแต่ชื่อก็ไม่ถูกนัก เพราะภายหลังยังได้เปลี่ยนชื่อเรียกบริเวณนี้จากเดิมที่เรียกว่าย่าน "ประตูผี" มาเป็น "สำราญราษฎร์" เพื่อให้เป็นมงคลแก่สถานที่อีกด้วย แต่ชื่อประตูผีก็ยังคงเป็นชื่อเรียกติดปากหลายๆ คนมาจนปัจจุบัน


(http://www.palungdham.com/watthai/watsagate01.jpg)
ลานวัดสระเกศที่อดีตเคยมีศพนับหมื่นวางกองไว้และมีแร้งมาจิกกิน

    และถ้าพูดถึงช่วงที่ประตูผีถูกใช้เป็นเส้นทางลำเลียงขนศพอยู่บ่อยครั้งก็คงจะเป็นช่วงที่เกิดโรคระบาดในกรุงเทพฯ และเมืองใกล้เคียงในสมัยรัชกาลที่ 2 โดยเกิดโรคห่า หรืออหิวาตกโรคระบาดไปทั่ว ทำให้มีคนตายหลายหมื่นคนด้วยกัน วัดสระเกศซึ่งเป็นสถานที่จัดการศพก็ยังไม่สามารถเผาศพหรือฝังได้ทันจนศพกองพะเนินมากมาย จึงต้องขุดหลุมขนาดใหญ่แล้วฝังศพไปในหลุมเดียวกัน แต่จำนวนศพที่มากมายเกินไปก็ทำให้ฝูงแร้งจำนวนมากมาจิกกินซากศพเป็นอาหาร

    และต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 และรัชกาลที่ 5 ก็ยังคงมีโรคระบาดเกิดขึ้นและมีคนตายเป็นจำนวนมากซ้ำอีกครั้ง และวัดสระเกศก็ยังคงประสบปัญหาเผาศพไม่ทันเหมือนเดิม และมีแร้งมาจิกกินศพอีกเช่นเคย ทำให้มีคำเรียก "แร้งวัดสระเกศ" เกิดขึ้น

    แต่ถ้าพูดถึงแร้งวัดสระเกศ แล้วไม่พูดถึง "เปรตวัดสุทัศน์" ก็จะดูเหมือนเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ เพราะเรามักจะได้ยินสองอย่างนี้คู่กันเสมอๆ สำหรับ "เปรต" นั้น ก็เป็นชื่อเรียกผีหรือมนุษย์ที่ทำบาปทำกรรมหนักหนาสาหัส เมื่อตายไปแล้วก็จะมาเกิดเป็นเปรตเพื่อชดใช้กรรมที่ทำไว้เมื่อยังเป็นมนุษย์

    เปรตนั้นก็มีหลายประเภทหลายลักษณะด้วยกัน แต่ภาพของเปรตที่คนส่วนมากจะคิดถึงก็คือต้องตัวสูงเท่าต้นตาล มือเท้าใหญ่เหมือนใบลาน ปากเท่ารูเข็ม ส่งเสียงร้องหวีดๆ ตอนกลางคืน และมักมาปรากฏตัวให้เห็นตอนกลางดึกเพื่อขอส่วนบุญ ส่วนคนที่ได้เห็นเปรตก็ถือว่าช่วงนั้นดวงตกต้องไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เปรตตนนั้นเสีย


(http://www.palungdham.com/news/watsuthat07.jpg)
อย่าลืมไหว้พระศรีศากยมุนีก่อนไปดูเปรต(จิตรกรรมฝาผนัง)ในวัดสุทัศน์

    และสำหรับเปรตที่วัดสุทัศน์นี้ บางคนก็ว่า มีคนเคยเห็นเปรตสองผัวเมียออกมาหลอกคนแถววัดสุทัศน์อยู่บ่อยครั้งจนเป็นที่ร่ำลือถึงความน่ากลัว
    บ้างก็ว่า คำว่าเปรตวัดสุทัศน์นั้นใช้เป็นคำเรียกเชิงประชดประชันของพวกมารศาสนา ซึ่งก็เป็นคนเหมือนๆ เรานี่แหละ แต่ชอบมาหลอกลวงชาวบ้านชาวช่องให้หลงงมงายอยู่แถวๆ วัดสุทัศน์นี่เอง

    ไม่ว่าจะเป็นเปรตแบบไหนก็ตาม แต่ฉันขอฟันธงว่าใครก็ตามที่ได้ไปวัดสุทัศน์ก็จะได้เห็นเปรตแน่นอน!!!
    ถ้าไม่เชื่อวันนี้ก็ลองเดินเข้าไปในพระวิหารของวัดสุทัศน์ ไหว้พระประธานหรือพระศรีศากยมุนีเสียก่อนเพื่อให้อุ่นใจ จากนั้นให้เดินไปทางด้านขวามือของพระประธาน เดินไปให้ถึงเสาต้นที่สี่ซึ่งอยู่ด้านในสุดของพระวิหาร จากนั้นเงยหน้ามองขึ้นไปด้านบนเสาใกล้ๆ กับโคมไฟ สิ่งที่จะได้เห็นก็คือ...เปรตที่กำลังนอนเหยียดยาวอยู่นั่นเอง.!!


(http://www.palungdham.com/news/watsuthat06.jpg)
ภาพเปรตในวัดสุทัศน์

    ใช่แล้ว... เปรตที่ฉันว่ามานี้ก็คือ ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังเป็นรูปเปรตที่อยู่บนเสาพระวิหารนั่นเอง โดยภาพวาดนี้วาดขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3 จุดประสงค์ก็เพื่อใช้ภาพวาดสอนคนให้รู้ถึงการทำดีทำชั่ว หากทำดีก็จะได้อยู่ในชาติภพที่ดี แต่หากทำชั่วไว้มากก็ต้องมาเกิดเป็นเปรต ต้องทนทุกขเวทนารอส่วนบุญส่วนกุศลที่จะมีคนอุทิศให้อย่างในภาพวาดนี้... รู้นะว่ามีคนแอบโล่งใจที่ได้เห็นภาพวาดเปรตแทนที่จะได้เห็นเปรตตัวเป็นๆ

แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ผู้จัดการออนไลน์
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9500000128822 (http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9500000128822)
http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9530000103701 (http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9530000103701)
http://www.palungdham.com/t213.html (http://www.palungdham.com/t213.html)


หัวข้อ: Re: อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ
เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ สิงหาคม 15, 2015, 10:15:15 am


 ans1 ans1 ans1 ans1

ฟังเรื่อง แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์ ได้ที่นี่
https://www.youtube.com/watch?v=uA2KENwHOUE (https://www.youtube.com/watch?v=uA2KENwHOUE)

สยามสยอง : แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์
อัพโหลดโดย Siams Sayong

หลายๆคนคงเคยได้ยินคำว่า "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" กันมาจนชินหู ทั้งสองวัดนี้.. มักจะได้ยินพร้อมๆกันเสมอ..เพราะครั้งหนึ่­งมันเคยเป็นอย่างนั้นและมันก็คือ นรกจำลองดีๆ นี่เอง


หัวข้อ: Re: อยากอ่านเรื่อง เปตร วัดสุทัศน์ คะ
เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ สิงหาคม 15, 2015, 04:02:22 pm

             สาธุ สาธุ

           ได้อ่านเรื่องในอดีต กันบ้างก็ดี     มีคนตายตั้งหลายหมื่น

           การเก็บประวัติไว้ ก็เพื่อ ชนยุคต่อไป  จะได้ทราบที่มา......ในทุกเรื่อง ครับ