หัวข้อ: เกี่ยวกับเรื่อง สมาบัติ ต่างๆ เริ่มหัวข้อโดย: noppadol ที่ มกราคม 06, 2010, 11:49:31 am ผมอ่านในเรื่อง นิโรธสมาบัติ แล้วในหัวข้อ นิโรธสมาบัติคืออะไร ?
แต่คำว่า สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ อเนญชาสมาบัติ เจโตสมาธิอนิมิตร 3 สมาบัติ มีความต่างกันอย่างไร ครับ เป็นคุณธรรมของใคร ขอบคุณครับ ;) หัวข้อ: สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 07, 2010, 11:45:36 am ในเบื้องต้นขอยกเอาประเภทของพระอรหันต์ ที่แสดงไว้ใน พจนานุกรมพุทธศาสน์ ของท่านปยุตโต มาปูพื้นทำความเข้าใจกันก่อน ดังนี้
อรหันต์ ๕ (an Arahant; arahant; Worthy One) ๑. ปัญญาวิมุต (ผู้หลุดพ้นด้วยปัญญา — one liberated by wisdom) ๒. อุภโตภาควิมุต (ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ได้ทั้งเจโตวิมุตติ ขั้นอรูปสมาบัติก่อนแล้วได้ปัญญาวิมุตติ — one liberated in both ways) ๓. เตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา ๓ — one possessing the Threefold Knowledge) ๔. ฉฬภิญญะ (ผู้ได้อภิญญา ๖ — one possessing the Sixfold Superknowledge) ๕. ปฏิสัมภิทัปปัตตะ (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา ๔ — one having gained the Four Analytic Insights) ทั้งหมดนี้ ย่อลงแล้วเป็น ๒ คือ พระปัญญาวิมุต กับพระอุภโตภาควิมุตเท่านั้น พระสุกขวิปัสสกที่กล่าวข้างต้น เป็น พระปัญญาวิมุต ประเภทหนึ่ง (ในจำนวน ๕ ประเภท) พระเตวิชชะ กับพระฉฬภิญญะ เป็น อุภโตภาควิมุต ที่ไม่ได้โลกิยวิชชาและโลกิยอภิญญา ก็มี ส่วนพระปฏิสัมภิทัปปัตตะ ได้ความแตกฉานทั้ง ๔ ด้วยปัจจัยทั้งหลาย คือ การเล่าเรียน สดับ สอบค้น ประกอบความเพียรไว้เก่าและการบรรลุอรหัต วิมุตติ ๒ (ความหลุดพ้น : deliverance; liberation; freedom) ๑. เจโตวิมุตติ (ความหลุดพ้นแห่งจิต, ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการฝึกจิต, ความหลุดพ้นแห่งจิตจากราคะ ด้วยกำลังแห่งสมาธิ : deliverance of mind; liberation by concentration) ๒. ปัญญาวิมุตติ (ความหลุดพ้นด้วยปัญญา, ความหลุดพ้นด้วยอำนาจการเจริญปัญญา, ความหลุดพ้นแห่งจิตจากอวิชชา ด้วยปัญญาที่รู้เห็นตามเป็นจริง : deliverance through insight; liberation through wisdom) ถึงตอนนี้เราจะย่ออรหันต์เหลือเพียง ๒ ประเภท คือ ๑.พระปัญญาวิมุต ๒.พระอุภโตภาควิมุต (เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุต) ............................................................... ขอนำคำสอนของหลวงพ่อฤาษีลิงดำบางส่วน จากลิงค์http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=159.0 (มัชฌิมา) ที่ถามว่า ผลสมาบัติ คือ อะไร มาแสดง ดังนี้ นิโรธสมาบัติ “ท่านที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้ ต้องเป็นพระอริยะขั้นต่ำตั้งแต่พระอนาคามี เป็นต้นไป และพระอรหันต์เท่านั้น และท่านต้องได้สมาบัติแปดมาก่อน ตั้งแต่ท่านเป็นโลกียฌาน ท่านที่ได้สมาบัติแปด เป็นพระอริยะต่ำกว่าพระอนาคามีก็เข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ ต้องได้มรรคผลถึง อนาคามีเป็นอย่างต่ำจึงเข้าได้” จะเห็นว่า การที่จะเข้านิโรธสมาบัติได้ ต้องได้ สมาบัติ ๘ และต้องเป็น อนาคามี(ผล)บุคคลเป็นอย่างต่ำ ............................................................... จากอรหันต์ ๒ ประเภทที่แสดงไว้ข้างบน ระบุว่าพระอุภโตภาควิมุต(เจโตวิมุตติและปัญญาวิมุต) ได้อรูปสมาบัติ ซึ่งหมายถึง ได้สมาบัติ ๘ นั่นเอง ............................................................... เพื่อความเข้าใจในขั้นต่อไป ขอนำบทความเกี่ยวกับนิโรธสมาบัติบางส่วน จากเว็บ http://www.nkgen.com/434.htm (http://www.nkgen.com/434.htm) มาแสดง ดังนี้ นิโรธสมาบัติ เป็นสมาบัติที่ประณีตที่สุดในบรรดาสมาบัติทั้งปวง จัดเป็นอรูปฌานในสมถกรรมฐานอย่างหนึ่ง แม้จะเป็นสมาบัติขั้นประณีตสูงสุดแล้วก็ตาม แต่ก็ยังไม่ใช่การวิปัสสนาโดยตรง เป็นเครื่องอยู่หรือวิหารธรรมของพระอริยเจ้าเป็นครั้งคราว เป็นสภาวะจิตที่ถึงภาวะของความสงบประณีตระดับสูงสุด จิตหยุดการทำงาน หรือการเกิดดับ..เกิดดับ..เกิดดับ..ทั้งหลายทั้งปวง ดุจดั่งผู้ถึงกาละ กล่าวคือ เนื่องจากการหยุดการทำงานหรือดับไปของสัญญา อันคือ ขันธ์ที่เกี่ยวเนื่องกับความคิด ความนึก อันเป็นความจำได้ ความหมายรู้ ในสิ่งทั้งหลายทั้งปวงทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อดับสัญญา หรือดับความคิด ความนึก(และตลอดจนดับความจำ ความหมายรู้ ซึ่งเกิดขึ้นในภายหลัง)ทั้งปวงลงไปจากการเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ จึงเป็นปัจจัยทำให้ธรรมารมณ์ต่างๆเช่นความคิดความนึกต่างๆ แม้แต่สังขารกิเลสต่างๆ ที่ต้องอาศัยสัญญาคืออาสวะกิเลส เป็นเหตุปัจจัยเบื้องต้นในการเกิดขึ้นและเป็นไปของขันธ์ ๕ จึงดับไป เวทนาจึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้หรือต้องดับไปตามเหตุปัจจัยคือสัญญาที่ถูกกุมไว้ด้วยสติ จึงเป็นปัจจัยให้เวทนาดับลงไปด้วย จึงเป็นเหตุให้ชื่อว่า สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ที่มาจากรากศัพท์ของคำว่า สัญญา-ความจำได้,ความหมายรู้๑ เวทนา-การเสวยอารมณ์๑ นิโรธ-การดับ๑ และสมาบัติ-ภาวะสงบประณีต๑ ทั้ง ๔ คำ สมาสรวมกันเป็น สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ที่หมายถึง สภาวะสงบประณีตที่เกิดจากสัญญาและเวทนาดับไป ............................................................... จากที่ได้อธิบายมาเป็นลำดับ จะเห็นว่า คำว่านิโรจสมาบัตินั้น มาจากคำเต็มๆว่า สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ ดังนั้น คนที่จะเข้าสมาบัตินี้ได้ นอกจากต้องอยู่ในกลุ่มของพระอุภโตภาควิมุต ได้อรูปสมาบัติ ๔ หรือ สมาบัติ ๘ แล้ว จะต้องเป็น ๑.อนาคามี(ผล)บุคคล (ตัดสังโยชน์ ๕ ข้อแรกได้) ๒.อรหันตบุคคล (ตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อได้หมด) ผมตอบข้อแรกให้แล้วนะครับ หัวข้อ: อเนญชสมาบัติ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 07, 2010, 11:50:18 am ต่อไปเป็นคำตอบข้อสอง
จากการค้นหาคำแปลของ คำว่า “อเนญชา” พบว่า น่าจะมาจากคำเต็มๆว่า อเนญชาภิสังขาร จากพจนานุกรม พุทธศาสน์ ได้ให้ความหมายไว้ว่า อเนญชาภิสังขาร คือ เครื่องปรุงแต่งที่มั่นคง, สิ่งที่ปรุงแต่งชีวิตจิตใจของสัตว์ทั้งหลาย กล่าวโดยสรุป มี ๓ อย่าง คือ บุญ บาป และอเนญชา-ภิสังขาร หมายถึง อรูปสมาบัติ ๔. อภิสังขาร ๓ (สภาพที่ปรุงแต่ง, ธรรมมีเจตนาเป็นประธานอันปรุงแต่งผลแห่งการกระทำ, เจตนาที่เป็นตัวการในการทำกรรม — volitional formation; formation; activity) ๑. ปุญญาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นบุญ, สภาพที่ปรุงแต่งกรรมฝ่ายดี ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นกามาวจรและรูปาวจร — formation of merit; meritorious formation) ๒. อปุญญาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญคือเป็นบาป, สภาพที่ปรุงแต่กรรมฝ่ายชั่ว ได้แก่ อกุศลเจตนาทั้งหลาย — formation of demerit; demeritorious formation) ๓. อาเนญชาภิสังขาร (อภิสังขารที่เป็นอเนญชา, สภาพที่ปรุงแต่งภพอันมั่นคง ไม่หวั่นไหว ได้แก่ กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร ๔ หมายเอาภาวะจิตที่มั่นคงแน่วแน่ ด้วยสมาธิแห่งจตุตถฌาน — formation of the imperturbable; imperturbability-producing volition) อภิสังขาร ๓ นี้ เป็นความหมายของสังขารในหลักปฏิจจสมุปบาท ท่านแสดงไว้อีกนัยหนึ่งเพิ่มจากนัยว่าสังขาร ๓ ดู (๑๑๙) สังขาร ๓ ............................................................... ขอนำอรรถกถาบาลีจากเว็บ http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=343 (http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=343) บางส่วนมาแสดงดังนี้ “บทว่า อเนญฺชํ ความว่า ใส่ใจอเนญชสมาบัติคือ อรูปสมาบัติ ว่า เราจักเป็นอุภโตภาควิมุตติ.” “บทว่า ตสฺมึเยว ปุริมสฺมึ ท่านกล่าวหมายถึงฌานที่เป็นบาท.” “ ก็เมื่อภิกษุนั้นออกจากฌานที่เป็นบาท ที่ยังไม่คล่องแคล่ว ใส่ใจสุญญตาในภายใน จิตย่อมไม่แล่นไปในสุญญตาสมาบัตินั้น. แต่นั้นใส่ใจไปในภายนอกว่า ในสันดานของผู้อื่นเป็นอย่างไรหนอ จิตย่อมไม่แล่นไปในสุญญตาสมาบัตินั้น. แต่นั้นใส่ใจทั้งภายในและภายนอกว่า ในสันดานของตนบางครั้งเป็นอย่างไร ในสันดานของผู้อื่นบางครั้งเป็นอย่างไร จิตย่อมไม่แล่นไป แม้ในสุญญตาสมาบัตินั้น.” “แต่นั้น ผู้ประสงค์จะเป็นอุภโตภาควิมุตติ ใส่ใจอเนญชาสมาบัติว่า ในอรูปสมาบัติเป็นอย่างไรหนอแล จิตย่อมไม่แล่นไป แม้ในอเนญชาสมาบัตินั้น. ภิกษุผู้ละเพียร ไม่พึงประพฤติตามหลังอุปัฏฐากเป็นต้น ด้วยคิดว่า บัดนี้จิตของเรายังไม่แล่นไป แต่พึงใส่ใจถึงฌานอันเป็นบาทให้สม่ำเสมอด้วยดีอย่างเดียว.” ............................................................... เมื่่อ ดูความหมายของคำว่า อเนญชา และอ่านอรรถกถาแล้ว จะเห็นว่า อเนญชภสมาบัติ หมายถึง อรูปสมาบัติ ๔ นั่นเอง และยังเป็นส่วนหนึ่งของอุภโตภาควิมุตติ จากคำอธิบายและคำตอบในข้อแรก จะเห็นว่า อุภโตภาควิมุตติ หมายถึง ผู้หลุดพ้นทั้งสองส่วน คือ ได้ทั้งเจโตวิมุตติ ขั้นอรูปสมาบัติก่อน แล้วได้ปัญญาวิมุตติ อเนญชสมาบัติ จึงอยู่ในส่วนแรกของอุภโตภาควิมุตติ คือ เจโตวิมุตติ ขั้นอรูปฌาน นั่นเอง ดังนั้น คนที่จะเข้าอเนญชสมาบัติได้ นอกจากต้องอยู่ในกลุ่มของพระอุภโตภาควิมุต ได้อรูปสมาบัติ ๔ หรือ สมาบัติ ๘ แล้ว จะต้องเป็น ๑.อนาคามี(ผล)บุคคล (ตัดสังโยชน์ ๕ ข้อแรกได้) ๒.อรหันตบุคคล (ตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อได้หมด) คำตอบข้อสองเหมือนกับคำตอบข้อแรกทุกประการ(เพราะว่า อเนญชสมาบัติ ก็คือ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ) หัวข้อ: อนิมิตตเจโตสมาธิ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มกราคม 07, 2010, 11:59:37 am ต่อไปเป็นคำตอบข้อสาม
ขอนำความหมายของคำต่างๆ ตามพจนานุกรม พุทธศาสน์ มาแสดงเพื่อความเข้าใจ ดังนี้ สมาธิ ๓ (ความตั้งมั่นแห่งจิต หมายถึงสมาธิในวิปัสสนา หรือตัววิปัสสนานั่นเอง แยกประเภทตามลักษณะการกำหนดพิจารณาไตรลักษณ์ ข้อที่ให้สำเร็จความหลุดพ้น — concentration) ๑. สุญญตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาเห็นความว่าง ได้แก่ วิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยกำหนดอนัตตลักษณะ — concentration on the void) ๒. อนิมิตตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาธรรมไม่มีนิมิต ได้แก่ วิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยกำหนดอนิจจลักษณะ — concentration on the signless) ๓. อัปปณิหิตสมาธิ (สมาธิอันพิจารณาธรรมไม่มีความตั้งปรารถนา ได้แก่ วิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยกำหนดทุกขลักษณะ : concentration on the desireless or non-hankering) อนิจจลักษณะ ลักษณะที่เป็นอนิจจะ, ลักษณะที่ไม่เห็นว่าเป็นของไม่เที่ยง ไม่คงที่ ได้แก่ ๑) เป็นไปโดยการเกิดขึ้นและสลายไป คือ เกิดดับๆ มีแล้วก็ไม่มี ๒) เป็นของแปรปรวน คือ เปลี่ยนแปลงแปรสภาพไปเรื่อยๆ ๓) เป็นของชั่วคราว อยู่ได้ชั่วขณะๆ ๔) แย้งต่อความเที่ยง คือ โดยสภาวะของมันเอง ก็ปฏิเสธความเที่ยงอยู่ในตัว เจโตวิมุตติ ความหลุดพ้นแห่งจิต, การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจการฝึกจิตหรือด้วยกำลังสมาธิ เช่น สมาบัติ ๘ เป็นเจโตวิมุตติอันละเอียดประณีต (สันตเจโตวิมุตติ) ............................................................... คำว่า “เจโตสมาธิอนิมิตร” ที่คุณกล่าวถึง ผมหาไม่เจอ ที่หาเจอคือคำว่า “อนิมิตตเจโตสมาธิ” แต่ในพจนานุกรม พุทธศาสน์ กลับไม่มีคำนี้ อย่างไรก็ตาม พอที่จะสรุปความหมายได้ดังนี้ เจโต คือ จิต ถ้าหมายเอาการหลุดพ้นเป็นเกณฑ์ ควรจะเป็นคำเต็มๆว่า เจโตวิมุตติ ซึ่งหมายถึง ความหลุดพ้นแห่งจิต, การหลุดพ้นจากกิเลสด้วยอำนาจการฝึกจิตหรือด้วยกำลังสมาธิ ปัญหามีอยู่ว่า เจโตวิมุตติ มี ๒ ขั้น คือ รูปสมาบัติ ๔ กับ อรูปสมาบัติ ๔ และทั้งสองขั้น บรรลุเป็น อนาคามี(ผล) และ อรหันต์ได้ ถ้าจะพูดถึงการเข้านิโรธสมาบัติแล้ว ต้องเป็น เจโตวิมุตติ ขั้นอรูปสมาบัติ ๔ เท่านั้นที่เข้าได้ ส่วนขั้นรูปสมาบัติ ๔ เข้าได้แต่ผลสมาบัติเท่านั้น ............................................................... มาถึง คำว่า อนิมิตตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ คือ “สมาธิอันพิจารณาธรรมไม่มีนิมิต ได้แก่ วิปัสสนาที่ให้ถึงความหลุดพ้นด้วยกำหนดอนิจจลักษณะ” จากคำอธิบายเรื่อง สมาธิ ๓ ข้างบน จะเห็นว่า การเจริญวิปัสสนานั้น เมื่อนำเอาไตรลักษณ์มาพิจารณา เพื่อให้หลุดพ้นสำเร็จเป็นอริยบุคคลขั้นต่างๆนั้น ไม่จำเป็นต้องพิจารณาทั้ง ๓ ข้อ คือ ทุกข์ อนิจจัง และอนัตตา สามารถเลือกข้อใดข้อหนึ่งมาพิจารณาก็ได้ สำเร็จได้เหมือนกัน ............................................................... ดังนันคำว่า “อนิมิตตเจโตสมาธิ” หรือ คำว่า “เจโตสมาธิอนิมิตร” ที่คุณกล่าวถึง ควรจะหมายถึง ผู้ที่หลุดพ้นดัวยกำลังสมาธิ โดยการพิจารณาอนิจจลักษณะ ............................................................... ผมขอสรุปคำตอบให้คุณดังนี้ ผู้เป็น “อนิมิตตเจโตสมาธิ” ขั้น รูปสมาบัติ ๔ เข้านิโรธสมาบัติไม่ได้ เข้าได้เฉพาะผลสมาบัติ เท่านั้น บุคคลที่จะเข้าผลสมาบัติได้ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ - โสดาบัน(ผล) ได้ รูปสมาบัติ ๔ (ตัดสังโยชน์ ๓ ข้อแรกได้) - สกิทาคา ได้ รูปสมาบัติ ๔ (ตัดสังโยชน์ ๓ ข้อแรกได้ ข้อที่เหลือเบาบางลงไปเมื่อเทียบกับโสดาบัน) - อนาคามี ได้ รูปสมาบัติ ๔ (ตัดสังโยชน์ ๕ ข้อแรกได้) - อรหันต์ ได้ รูปสมาบัติ ๔ (ตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อได้หมด) ผู้เป็น “อนิมิตตเจโตสมาธิ” ขั้น อรูปสมาบัติ ๔ เข้าได้ทั้งนิโรธสมาบัติ เข้าผลสมาบัติ บุคคลที่เข้าสมาบัติทั้งสองได้ ต้องมีคุณสมบัติดังนี้ ๑.อนาคามี(ผล)บุคคล ได้ อรูปสมาบัติ ๔ (ตัดสังโยชน์ ๕ ข้อแรกได้) ๒.อรหันตบุคคล ได้ อรูปสมาบัติ ๔ (ตัดสังโยชน์ทั้ง ๑๐ ข้อได้หมด) อนึ่งผู้เป็น “อนิมิตตเจโตสมาธิ” ขั้นรูปสมาบัติ ๔ และขั้นอรูปสมาบัติ ๔ ต่างก็อยู่ในกลุ่มของพระอุภโตภาควิมุต ............................................................... สรุปคำตอบโดยย่อ สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ และ อเนญชสมาบัติ เป็นตัวเดียวกัน ต่างกันที่ การหยิบองค์ธรรมองค์ไหน มาอธิบายความหมายเท่านั้น ผู้ที่จะเข้าสมาบัตินี้ได้ ต้องเป็นบุคคลที่หลุดพ้นด้วย เจโตวิมุตติ พร้อมทั้งได้ อรูปสมาบัติ ๔ หรือ สมาบัติ ๘(ปัญญาวิมุตติเข้าไม่ได้) และต้องเป็นอริยบุคคล ในระดับอนาคามี(ผล) และอรหันต์เท่านั้น ในส่วนของ “อนิมิตตเจโตสมาธิ” เป็นเพียงแค่ตัวเลือกหนึ่ง ในวิธีพิจารณาไตรลักษณ์(ทุกข์ อนิจจัง และ อนัตตา)เท่านั้น “อนิมิตตเจโตสมาธิ” เป็นการพิจารณาอนิจจลักษณะ ไม่ได้เป็นนิโรธสมาบัติแต่อย่างไร ผมตอบคำถามทั้งหมดให้แล้วนะครับ สงสัยอะไรก็ถามได้ ขออนุโมทนา หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับเรื่อง สมาบัติ ต่างๆ เริ่มหัวข้อโดย: ธรรมะ ปุจฉา ที่ ตุลาคม 21, 2010, 01:37:06 am :25:
หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับเรื่อง สมาบัติ ต่างๆ เริ่มหัวข้อโดย: tcarisa ที่ ตุลาคม 22, 2010, 09:30:48 am เป็นบทความ ที่อ่านง่าย ดีคะ
อนุโมทนากับ ผู้ลงบทความด้วยคะ :25: :25: :25: หัวข้อ: Re: เกี่ยวกับเรื่อง สมาบัติ ต่างๆ เริ่มหัวข้อโดย: PRAMOTE(aaaa) ที่ มกราคม 18, 2015, 01:47:16 pm เกี่ยวกับเรื่อง สมาบัติ ทั้งหลาย |