ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - นิรตา ป้อมนาวิน
หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 24
761  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กรรมเชื่ออย่างไรไม่งมงาย เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2012, 05:44:38 pm

กรรมเชื่ออย่างไรไม่งมงาย เรื่องโดย เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ



สแกนกรรม ผู้หญิงตาทิพย์ มองทะลุกรรม เมื่อดวงตาที่สามถูกเปิดขึ้น เธอจึงหยั่งรู้ชะตากรรม

“คนเปิดกรรม ไม่มีใครแก้กรรมในอดีตชาติได้ แต่ทำให้ทุเลาขึ้นได้ แค่เพียงคุณรู้ว่ากรรมเก่าของคุณคืออะไร”

เอกซเรย์กรรม พบกับมนุษย์ที่เปิดความลับสวรรค์ มองเห็นอดีตและอนาคต ดังคำว่าที่ “ตาทิพย์”

ในช่วงปีที่ผ่านมา เราคงผ่านตากับข้อความเหล่านี้ทั้งในหน้าหนังสือพิมพ์ ในอินเทอร์เน็ต ในรายการโทรทัศน์ ตามคลื่นวิทยุ รวมทั้งบนแผงหนังสือ ซึ่งมีหนังสือแนวนี้ออกมาวางจำหน่ายมากเป็นประวัติการณ์ ทั้ง แก้กรรมเก่า ตัดกรรมใหม่ หนทางเลี่ยงกรรม ตัดกรรมหนักตามรังควาน ไขรหัสบุญ เปลี่ยนรหัสกรรม 99 วิธีแก้กรรมด้วยตนเองฯลฯ

ที่สำคัญ ได้เกิดปรากฏการณ์ “คนเห็นกรรม” ซึ่งกลายเป็นที่สนใจของคนในวงกว้างตามมาเริ่มตั้งแต่ แม่ชีธนพร หรือแม่ชีทศพร ชัยประคอง , อาจารย์เอ๋-กฤษณา สุยะมงคล , ริชชี่ พีระวัฒน์ อริยทรัพย์กมล , ตุ้ย เอ๊กซเรย์ หรือ จักรินทร์ –โกศัยดิลก และอาจารย์วารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหรชื่อดังแห่งล้านนา ที่บอกว่าตัวเองสามารถมองเห็นกรรมและเห็นอนาคต

หลังจากที่กระแสนี้ทยอยกันออกมา ก็มีคำวิพากษ์วิจารณ์ตามมามากมาย บ้างมองว่าเป็นพุทธพาณิชย์ในรูปแบบหนึ่ง เพราะในการแก้กรรม ต้องมีฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ได้เงินและมีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นผู้เสียเงินเพื่อสะเดาะ เคราะห์กรรมของตน

บ้างก็มองว่า การตัดกรรม สแกนกรรม เอกซเรย์กรรม เป็นเรื่องต้มตุ๋นหลอกชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ และเชื่อว่ากรรมดีหรือกรรมชั่วอยู่ที่การกระทำของเราอง จะมีก็แต่ตัวเราเท่านั้นที่รู้ว่าทำกรรมดีหรือกรรมชั่วอะไรเอาไว้บ้าง ยิ่งกว่านั้นบางคนก็ตั้งคำถามว่า “คนเห็นกรรม” เหล่านี้เป็นใครมาจากไหน ทำไมถึงมองเห็นกรรมของคนอื่น และกรรมนั้นสามารถมองเห็นกันง่ายๆ ขนาดนี้เชียวหรือ

แม้เราจะไม่สามารถพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาว่าสิ่งที่ “คนเห็นกรรม” เหล่านี้พูดถึงจะจริงเท็จแค่ไหน แต่กระแสที่ว่านี้มีข้อดีบางประการซ่อนอยู่

ข้อดีที่ว่านี้ก็คือ ถือเป็นโอกาสอันดีที่เราจะได้ทำความเข้าใจเรื่อง “กรรม” ให้ถูกต้อง เพื่อเป็นหลักในการพินิจพิเคราะห์เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต

อย่าปล่อยให้เรื่องของกรรมเป็นเพียงกระแส (ที่ทำให้เราสับสน) แต่ลองมาทบทวนกันดีกว่าว่าคุณเข้าใจเรื่องกรรมถูกต้องมากน้อยแค่ไหน



ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “กรรม”

ศาสตราจารย์พิเศษเสถียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต กล่าวว่า หลักกรรมเป็นหลักคำสอนสำคัญในพระพุทธศาสนา แต่น่าประหลาดเรากลับเข้าใจว่าตรงกับที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ ว่าจะผิดโดยสิ้นเชิงก็ไม่ใช่ แต่ว่าไม่ถูกต้องสมบูรณ์ ซึ่งความเข้าใจผิดที่ว่านี้คือ

คนไทยส่วนมากเข้าใจว่า กรรมคือผลของความชั่วร้ายที่เราได้กระทำแต่ชาติปางก่อน บันดาลให้เราได้มาเกิด มาเป็น อย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน เรื่องร้ายๆ และเรื่องใหญ่ เท่านั้นจึงเรียกว่า “กรรม” เรื่องเล็กน้อยไม่เรียกว่ากรรม ส่วนผลของความดีที่ทำไว้แต่ชาติปางก่อนเราไม่ เรียกว่า “กรรม” กลับเรียกว่า “บุญ” จึงมักมีคำพูดว่า “บุญทำกรรมแต่ง” หรือ “แล้วแต่บุญแต่กรรม”

ความจริง คือ กรรมมิใช่ผล แต่เป็นเหตุ มิใช่เรื่องที่ล่วงไปแล้ว แต่เป็นเรื่องปัจจุบัน มิใช่เรื่องเลวร้ายอย่างเดียว เรื่องดีๆ ก็เป็น “กรรม” ด้วย และมิใช่เรื่องใหญ่ๆ อย่างเดียว เรื่องเล็กๆ ก็เป็น “กรรม” ด้วย

กรรม คือการกระทำทางกาย วาจา และใจ ที่มีเจตนาเป็นตัวนำ เราตั้งใจทำ พูด คิดสิ่งใด ทั้งในแง่ดีและไม่ดี ก็เรียกว่า “กรรม” ถ้าเป็นกรรมดีก็เรียกว่า “กุศลกรรม” หรือ “บุญ” ส่วนกรรมไม่ดีก็เรียกว่า “อกุศลกรรม” หรือ “บาป”

ความเข้าใจผิดอีกอย่างหนึ่งคือ กรรมเป็นกฎตายตัวที่แก้ไขไม่ได้ ทางเดียวที่ทำได้คือยอมรับสภาพหรือ “ปลงเสียเถอะ” หรือ “เป็นกรรมของสัตว์” เช่น เกิดมายากจน ก็ยอมรับสภาพว่าเราทำกรรมไม่ดีไว้ มาชาตินี้จึงจน แล้วก็ยอมรับสภาพอยู่อย่างนั้น ไม่คิดแก้ไขพัฒนาให้ดีขึ้น มีแต่ทอดอาลัย งอมืองอเท้า

ความจริง คือ พุทธศาสนาสอนว่ากรรมเก่ามีจริง ดังนั้นการที่เราเกิดมาจน อาจเป็นเพราะผลของกรรมเก่าที่เราทำไว้ ทำให้เกิดมายากจน แต่มิได้หมายความว่ากรรมจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขไม่ได้ เราเกิดมาจนเพราะกรรมเก่าส่งผล แต่เราก็สามารถสร้างกรรมใหม่ นั่นคือขยันหมั่นเพียรทำงานสร้างเนื้อสร้างตัวอย่างสุดกำลังความสามารถ ในที่สุดเราก็อาจเปลี่ยนจากฐานะยากจนเป็นพอมีพอกินหรือมีฐานะร่ำรวยได้

พระพุทธเจ้าสอนให้ยอมรับความจริง แต่ไม่ให้ยอมรับสภาพ ดังนั้นผู้ที่เข้าใจหลักกรรมถูกต้อง เมื่อรู้ว่าความจริงเป็นเช่นนี้ ย่อมจะต้องพยายามอุตสาหะพัฒนาตนเองให้ดีขึ้นกว่าเดิม ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก

นอกจากนั้นเรามักเข้าใจกันว่า ทำกรรมอย่างไร ย่อมได้รับผลอย่างนั้น ทำกรรมดีต้องได้รับผลดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำกรรมชั่วก็ต้องได้รับผลชั่วร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง

ความจริงคือ การพูดอะไรตายตัวร้อยเปอร์เซ็นต์นั้น มิใช่แนวทางของพระพุทธศาสนา ดังในกรณีเรื่องตายแล้วเกิด ถ้าพูดในแง่เดียวว่าตายแล้วต้องเกิด หรือตายแล้วต้องดับสูญ อย่างนี้ก็ไม่ถูก เพราะปุถุชนที่ยังมีกิเลส ตายแล้วย่อมเกิดอีก เนื่องจากยังมี “เชื้อ” คือกิเลส ทำให้ต้องมาเกิดอีก ส่วนผู้ที่ตายแล้วไม่เกิดคือ พระอรหันต์ เพราะหมด “เชื้อ” ดังกล่าวแล้ว ดังนั้นจะพูดโดยแง่เดียวว่าตายแล้วต้องเกิดหมดทุกคน หรือตายแล้วไม่เกิดเลย ไม่ได้

ส่วนที่ว่าทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่วนี่จริงแน่นอน แต่มิได้หมายความว่า “ทำอย่างไรต้องได้อย่างนั้น” เช่น นาย ก. ยิงเขาตาย เมื่อเกิดชาติหน้า ก็ไม่จำเป็นว่านาย ก.จะต้องถูกเขายิงตายเช่นกัน แต่อาจได้รับผลคล้ายๆกันนั้น หรือผลที่หนักพอๆ กับกรรมนั้น

หรือนาง ข. เอาไข่เค็มใส่บาตรทุกวัน เมื่อตายไปเกิดใหม่ ก็ไม่จำเป็นว่านาง ข. จะต้องกินไข่เค็มทุกมื้อ แต่อาจได้ผลดีอย่างอื่นที่มีน้ำหนักพอๆกันกับกรรมนั้น อย่างที่พระท่านว่า “ได้รับผลสนองคล้ายกับกรรมที่ทำ”

สรุปก็คือ เราทำอย่างไรไม่จำเป็นต้องได้อย่างนั้น แต่เราอาจได้ผล “คล้าย” อย่างนั้น และอีกประเด็นหนึ่งก็คือ ทำดีไม่จำเป็นต้องได้ผลดีร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำชั่วไม่จำเป็นต้องได้ผลชั่วร้อยเปอร์เซ็นต์ คือได้รับผลแน่ๆ แต่ “ไม่ใช่ต้องได้เต็มที่” ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขอย่างอื่นที่จะมาเบี่ยงเบนหรือผ่อนปรนด้วย

เงื่อนไขที่ว่านี้ก็คือกรรมใหม่ที่เราทำนั่นเอง สมมุติว่าเราทำกรรมชั่วบางอย่างไว้ แต่เรามีโอกาสทำกรรมดีในเวลาต่อมา ได้ทำบ่อยๆ และทำมากๆด้วย กรรมชั่วที่ทำไว้ก่อนนั้น แม้จะรอจังหวะที่จะสนองผลดุจสุนัขไล่ล่าเนื้อ แต่กรรมดีใหม่ๆ ที่เราทำไว้เมื่อมีมากก็อาจทำให้กรรมเก่านั้นเบาบางหรือจางหายไป จนไม่สามรถให้ผลเลยก็ได้

“วิบากกรรม” และ “เจ้ากรรมนายเวร”

เมื่อพูดถึงกรรม ประเด็นต่อมาที่มักจะสนใจกับมากคือเรื่องวิบากกรรม และเจ้ากรรมนายเวร สิ่งที่ว่านี้คืออะไร ส่งผลกระทบกับชีวิตในปัจจุบันของเราอย่างไร ทันแพทย์สม สุจีรา อธิบายถึงเรื่องนี้ไว้ว่า

กรรมเก่าที่เคยกระทำไว้ในอดีตจะสนองคืนในสองรูปแบบคือ ส่งผลในรูปของภพภูมิที่ไปเกิด และส่งผลภายหลังการเกิด คือระหว่างดำรงชีวิต

วิบากกรรม คือ ผลอันเกิดจากกรรมที่สนองโดยอาศัยทวารทั้งหกของมนุษย์ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเครื่องมือ ทวารทั้งหกนี้เป็นสิ่งสำคัญที่มนุษย์ขาดไม่ได้ เจ้าตัวกรรมเก่ารู้ดีว่าจะมีประสิทธิภาพที่สุด ถ้าใช้ทวารเหล่านี้มาทำลายมนุษย์ผู้นั้นเสียเอง

สำหรับ เจ้ากรรมนายเวร ไม่มีชีวิต จิตใจ ความรู้สึก แต่ก็น่าแปลกเหมือนกันที่มีพฤติกรรมคล้ายกับมีความรู้สึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสามารถทำให้ใครคนหนึ่งประสบเคราะห์กรรมได้ แถมยังโหดร้ายเหลือเกิน เพราะแม้บุคคลผู้นั้นจะลืมเรื่องราวที่เคยทำไว้ในอดีตไปหมดแล้ว กรรมเก่าก็พร้อมที่จะสนองเสมอ

การให้ทาน รักษาศีล เจริญภาวนาเป็นหลักใหญ่ของการทำกุศลเพื่อหลุดพ้นจากบ่วงกรรม แต่กุศลที่จะเกิดแก่ตัวเราได้มากที่สุดและเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นที่แท้ จริงมาจากการ “ภาวนา” และต้องเป็นบุญกิริยาแบบ วิปัสสนากรรมฐาน เท่านั้น เพราะวิปัสสนาจะช่วยเจริญสติสัมปชัญญะและสกัดวิบากกรรมได้ดีที่สุด การทำทาน การรักษาศีล ผลที่ได้จะมาทางอ้อม ซึ่งใช้สกัดรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ไม่ทัน และการเจริญสติวิปัสสนาเป็นการฝึกตนเพื่อต่อสู้กับเจ้ากรรมนายเวรโดยตรง เป็นกรรมเหนือกรรม เป็นกรรมฝ่ายธรรมะที่สามารถหยุดยั้งกรรมฝ่ายอธรรมไม่ให้ส่งผลได้

.....................................................

แบ่งปันกันกิน,รักษาศีล คือ กาย วาจา
เจริญสมาธิภาวนา, กาย- วาจา-ใจอ่อนน้อม
ยอมตนรับใช้, แบ่งให้ความดี
มีใจอนุโมทนา, ใฝ่หาฟังธรรม
นำแสดงออกไม่ได้เว้น, ทำความเห็นให้ถูกต้อง


ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?

762  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ชมภาพหัวใจทั่วโลก ต้อนรับ'วาเลนไทน์' เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2012, 05:07:17 pm
 :c017: :c017: :c017: :25: :25: :25:
763  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไขปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2012, 04:27:04 pm
ไขปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย


มนุษย์ และสัตว์มิได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะการ "ตาย" หมายถึง สภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีก วิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ


1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้บรรลุธรรม ดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ

2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว

3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ชนิด สังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปาก เป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทาง เมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้ จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท




- ตา ชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตาย ดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)

- หู ชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตาย หูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย

- จมูก ชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนัน ชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯ บาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ

- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอด จะเกิดเป็นสัตว์น้ำ ไปอยู่กับรสชาติที่โสโครกและสกปรก


เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน?

ดวง วิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้น พอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่


วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่าน แต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วน วิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์ หรือเรียกว่า "อนันตริยกรรม" มีอยู่ 5 อย่าง คือ 1.ฆ่าพ่อ 2. ฆ่าแม่ 3. ฆ่าพระอรหันต์ 4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก 5. ทำร้ายพระพทุธเจ้าห้อเลือด

หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2 วัน ปกติแล้ว เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย 7 วันให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49 วันเพื่อรอพิจารณาคดี ในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลานทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพ

เรามาดูปรากฏการณ์ 49 วัน ชีวิตหลังความตาย ขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพัง เท่านั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้ เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้น


เจ็ดวันรอบแรก

วิญญาณ ผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่า ซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทาง เมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไป ฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนา

ส่วน วิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉย ไม่กล้าทำอะไร จึงผ่านไปได้โดยปลอดภัย


เจ็ดวันรอบที่ สอง

เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่าน เมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานี และยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้น

ส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผี จะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัย


เจ็ดวันรอบที่ สาม

เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้ และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม ยามมีชีวิตทำชั่วอะไร ภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติ เสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษ ถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้ว

ส่วน วิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับ มีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆ และพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิด


เจ็ดวันรอบที่ สี่

เมื่อ มาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมาก กระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากา ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์


เจ็ดวันรอบที่ ห้า

วิญญาณ ผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลาน คนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตน ถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์


เจ็ดวันรอบที่ หก

เมื่อ วิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชี ยมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิต หลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให้ไปเกิดยังสุคติภูมิ ถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนา


เจ็ดวันรอบที่ เจ็ด

เมื่อ วิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่า ผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกิเจ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว.

ที่ กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชีวิตอยู่นั้น เร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลก ตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็น กฏแห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริง ขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ...


อนุโมทนาบุญกับทุกท่านที่ส่งต่อเมล์นี้นะครับ

ที่มา  http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=24961
   
764  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กรรมที่ทำให้ชายกลายเป็นหญิง เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2012, 04:14:01 pm


กรรมที่ทำให้ชายกลายเป็นหญิง

ชีวิตของคนเราจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการกระทำของแต่ละคนเป็นสำคัญ การเกิดเป็นชายเป็นหญิงก็เป็นส่วนหนึ่งของกรรมที่เราเคยทำไว้ อย่างไรก็ตามพุทธศาสนาก็ไม่ได้เน้นที่อดีต พระองค์ทรงเน้นปัจจุบันมากกว่า ทั้งชายและหญิงหากตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจังก็สามารถที่จะบรรลุธรรมได้ด้วยกันทั้งนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องไม่ทำความชั่วทั้งปวง ไม่เช่นนั้นก็จะประสบกับความทุกข์ความเดือดร้อน ดังเรื่องในครั้งพุทธกาลเรื่องหนึ่ง

วันหนึ่งขณะที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ในกรุงสาวัตถี มี ลูกชายของโสไรยเศรษฐี อาศัยอยู่ในโสไรยนคร ได้นั่งยานน้อยออกไปจากพระนครกับพระสหายและบริวารอย่างมีความสุข เพื่อจะไปอาบน้ำ

ในขณะนั้น “พระมหากัจจายนเถระ” กำลังจะเข้าไปบิณฑบาตในโสไรยนคร รูปร่างผิวพรรณของพระมหากัจจายนะนั้นงดงามมาก มีสีผุดผ่องดั่งทองคำ ลูกชายของโสไรยเศรษฐีเหลือบมองเห็นท่าน จึงคิดในใจว่า “สวยจริงๆ หนอ พระเถระรูปนี้ ท่านควรจะเป็นภริยาของเรา หรือผิวพรรณของภรรยาของเราควรจะสวยแบบนี้” ในขณะที่เขาแค่สักแต่ว่าคิดเท่านั้นเอง ความเป็นเพศชายของเขาก็กลายเป็นเพศหญิงทันที !!

พอเขาทราบเช่นนั้นก็เกิดความละอายอย่างมาก จึงรีบลงจากยานน้อยแล้วหลบหนีไป พวกเพื่อนและบริวารของเขาต่างก็พากันออกตามหา แต่ก็ไม่มีใครพบลูกชายเศรษฐี และไม่มีใครรู้ว่าเขาได้กลายเป็นผู้หญิงไปเสียแล้ว เมื่อมารดาเขารู้ข่าว ก็ออกตามหาแต่ก็ไม่พบ จึงร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ เพราะคิดว่าลูกชายของตนคงตายไปแล้ว จึงได้ทำบุญอุทิศไปให้


ส่วนชายหนุ่มที่กลายเป็นหญิงสาวนั้น ได้เดินตามหลังหมู่เกวียนที่กำลังมุ่งหน้าไปเมืองตักสิลา พวกชาวบ้านคิดว่าลูกชายเศรษฐีในกรุงตักสิลายังไม่มีภรรยา พวกเราจะแนะนำผู้หญิงคนนี้ให้ และคงได้รางวัลมากเป็นแน่ เมื่อไปถึงเมืองตักสิลาจึงได้เล่าเรื่องให้ลูกชายเศรษฐีฟัง ลูกชายเศรษฐีจึงให้เรียกนางมา พอได้เห็นหน้า ก็ตกหลุมรักทันที เพราะนางมีรูปงาม ผิวพรรณดีมาก จึงขอแต่งงานกับนาง ทั้งสองได้อยู่กินกันจนมีลูกถึง ๒ คน (ก่อนหน้าที่นางจะกลายเป็นหญิงนั้น นางก็มีบุตรอยู่แล้ว ๒ คน รวมแล้วนางจึงมีบุตร ๔ คน)

วันหนึ่งลูกชายเศรษฐีผู้เป็นเพื่อนของนาง ได้ออกจากโสไรยนครไปเมืองตักสิลา ขณะที่นางกำลังเปิดหน้าต่างปราสาทชั้นบนยืนดูถนนอยู่ ได้มองเห็นเพื่อนพอดี นางจำเขาได้แม่นยำ จึงบอกสาวใช้ให้ไปเชิญมาที่บ้าน และได้เลี้ยงต้อนรับอย่างใหญ่โต จนเพื่อนสงสัยว่านางเคยรู้จักเขาหรือ นางจึงบอกว่ารู้จัก จากนั้นนางจึงได้ถามถึงสารทุกข์สุขดิบของพ่อแม่ ภรรยา พร้อมกับลูกๆ ของนาง เขาก็บอกว่าสบายดีทุกคน แต่เมื่อนางแกล้งถามถึงลูกชายของโสไรยเศรษฐี เพื่อนของนางจึงบอกว่าเขาได้หายตัวไปอย่างลึกลับ พ่อแม่ของเขาก็ได้แต่ร้องไห้เสียใจ และทำบุญไปให้ นางได้ยินดังนั้นจึงสารภาพว่า นางคือลูกชายของโสไรยเศรษฐีนั่นเอง แล้วนางก็เล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนฟัง


ฝ่ายเพื่อนพอทราบความจริงเช่นนั้นก็ตกใจ บอกว่านางได้ทำกรรมอันหนัก แล้วถามว่านางได้ไปขอโทษพระเถระที่คิดไม่ดีกับท่านแล้วหรือยัง นางบอกว่ายังไม่ได้ขอโทษเลย เพราะไม่รู้ว่าพระเถระอยู่ที่ไหน เพื่อนจึงบอกว่าท่านอาศัยอยู่ในเมืองนี้แหละ นางจึงบอกว่าถ้าท่านมาบิณฑบาตที่นี่ จะถวายภัตตาหารแก่ท่าน เพื่อนของนางจึงบอกว่าให้รีบเตรียมของไว้ จากนั้นเขาก็ไปหาพระเถระและนิมนต์ท่านมารับบิณฑบาตที่บ้านของนาง

เมื่อนางได้ถวายภัตตาหารอันประณีตจำนวนมากแล้ว เพื่อนจึงเรียกนางให้หมอบลงแทบเท้าของพระเถระพร้อมกับบอกว่า “ท่านขอรับ ขอท่านจงยกโทษแก่หญิงผู้เป็นเพื่อนของกระผมด้วย” ฝ่ายพระเถระก็สงสัยว่าเรื่องอะไร เขาจึงเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง ท่านจึงได้เอ่ยขึ้นว่า “ฉันยกโทษให้” ทันใดนั้น เพศหญิงก็ได้หายไป นางได้กลายเป็นเพศชายเหมือนเดิมทันที

ฝ่ายลูกชายเศรษฐีในกรุงตักสิลาที่เคยเป็นสามีของนางรู้เช่นนี้ จึงไม่อยากจะอยู่ที่นี่อีกต่อไป แต่อยากจะบวช จึงขอบวชกับพระเถระ หลังบวชแล้วก็ได้จาริกไปตามที่ต่างๆ ผู้คนได้ยินเรื่องราวของท่านก็เข้ามาถามความจริงมากมาย ท่านจึงเกิดความเบื่อหน่ายหนีไปอยู่คนเดียว และปฏิบัติธรรมอย่างเต็มที่ ในที่สุดก็ได้บรรลุพระอรหันต์ ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอีกต่อไป


บางท่านอาจจะสงสัยว่าชายกลายเป็นหญิงได้อย่างไร ในเรื่องนี้พระพุทธองค์เคยตรัสไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าพวกผู้ชายที่ไม่เคยกลับเป็นผู้หญิง หรือพวกผู้หญิงที่ไม่เคยกลับเป็นผู้ชายนั้น ไม่มี เพราะว่าหากผู้ชายมีชู้กับภรรยาของคนอื่น หลังจากตายไปแล้ว จะไหม้ในนรกแสนปีแล้วเมื่อกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเกิดเป็นผู้หญิงอีก ๑๐๐ ชาติ แม้แต่ พระอานนทเถระ ผู้เป็นอริยสาวก ก็เคยท่องเที่ยวอยู่ในสังสาร ชาติหนึ่งท่านเคยเกิดในตระกูลช่างทอง และได้มีชู้กับภรรยาของคนอื่น จึงไปเกิดในนรก หลังจากนั้นด้วยผลกรรมที่ยังเหลือ ได้กลับมาเป็นหญิงรับใช้อีก ๑๔ ชาติ เป็นหมันอีก ๗ ชาติ

ส่วนพวกผู้หญิงที่ชอบทำบุญสุนทาน คลายความพอใจในความเป็นหญิง หากตั้งจิตปรารถนาว่า “บุญของข้าพเจ้าทั้งหลายนี้ ขอจงเป็นไปเพื่อกลับได้อัตภาพเป็นชาย” หลังจากตายแล้ว ย่อมกลับได้อัตภาพเป็นชาย อีกอย่างหนึ่งพวกหญิงที่มีสามีเหมือนเทวดา ย่อมกลับได้อัตภาพเป็นชาย แม้ด้วยอำนาจแห่งการปรนนิบัติดีในสามีเหมือนกัน ส่วนลูกชายเศรษฐีนี้คิดไม่ดีต่อพระเถระ จึงกลับได้ภาวะเป็นหญิงในอัตภาพนี้ทันที


จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้เราต้องระมัดระวังความคิดของเราในการกระทำสิ่งต่างๆ พร้อมทั้งไม่ประมาทในชีวิตด้วย เพราะไม่เช่นนั้น เราอาจจะเผลอคิดในสิ่งที่ไม่ดี ทำในสิ่งที่ไม่ดี จนเป็นเหตุให้ต้องได้รับทุกข์โทษทรมานทั้งในชาตินี้และชาติหน้า นอกจากนั้นเราก็ยังเห็นโทษของการประพฤติผิดในกาม ที่ทำให้ได้รับโทษมากมาย ทุกคนจึงควรดำเนินชีวิตด้วยศีลธรรม อันจะทำให้ได้พบแต่ความสุขตลอดไป



ที่มา  http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=26621
765  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: หลวงปู่เทพโลกอุดร ทำไมต้องชื่อ "เทพโลกอุดร" เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2012, 03:52:15 pm
 :25: :25: :25: อนุโมทามิ  :c017: :c017: :c017:
766  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ทุกข์ที่สุด จะหลุดได้อย่างไร เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2012, 03:07:04 pm
ทุกข์ที่สุด จะหลุดได้อย่างไร

อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้น จะมีตลอดไป... อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไข... หนทางที่เร็วที่สุดคือ เปลี่ยนอารมณ์... ท่านใดมีทุกข์ ขอให้มันผ่านไปโดยไวครับ.....

เมื่อเราเกิดมาย่อมได้รับ ทั้งสุขและทุกข์ ปะปนกันไปอยู่แล้ว แต่เมื่อทุกข์ที่สุดเราควรจะทำอย่างไร ปัจจุบันเราได้ยินข่าวเรื่อง การฆ่าตัวตายบ่อยมาก ในชีวิตของความเป็นหมอ ก็เจอคนที่ฆ่าตัวตายบ่อยมาก ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ หมอได้พูดได้คุยกับคนเหล่านี้มากมาย คำถามที่น่ารู้ก็คือ...



บทความนี้จะไม่สนใจว่าการกระทำอย่างนั้นจะมีผลในอนาคตอย่างไร ทำลายตนเองจะบาปมากแค่ไหน ต้องเกิดมาฆ่าตัวตายใช้กรรมอีก 500 ชาติจริงหรือ เพราะถ้าบอกไป ต้องใช้ความเชื่อและศรัทธาในตัวศาสนามาพูดคุยกัน แต่ต้องการจะบอกว่า การทำลายตนเอง เป็นสิ่งที่น่าเสียดายนัก เสียดายโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดีอีกมากที่จะตามมา และเสียดายแทนญาติมิตรที่เกี่ยวข้องที่จะต้องได้รับผลกระทบกายและใจตลอดไป
ในเรื่องความทุกข์ที่สุดนี้ ธรรมะในพระพุทธศาสนาสอนให้เราแก้เรื่องนี้ได้ทันที ด้วยความเข้าใจ ด้วยความรู้ที่เราไตร่ตรองเองได้ และด้วยประสบการณ์ในอดีตของเราทุกคน ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่อด้วยเหตุ 10 อย่าง เช่นด้วยเหตุผลว่าผู้สอนเป็นครูของเรา และอื่นๆ รวมสิบประการ แต่จะให้เชื่อก็ต่อเมื่อไตร่ตรองรู้ได้ด้วยตนเองจึงเชื่อ การจะไตร่ตรองให้รู้ได้ด้วยตนเอง จะมีได้ก็ต่อเมื่อเรามีประสบการณ์ในเรื่องนั้นมาแล้ว ดังนั้นประสบการณ์ในอดีตจึงเป็นธรรมะที่เราตรึกตรองได้เช่นกัน

เมื่อความทุกข์ที่สุดมาถึง สิ่งที่ควรระลึกถึงมีสองสามอย่างคือ หนึ่ง อย่ากลัวว่าความทุกข์นั้นจะมีตลอดไป เพราะมันจะไม่คงอยู่ตลอดไป เดี๋ยวมันก็จางไป สอง อย่าคิดว่าไม่มีทางแก้ไขให้ดีขึ้นได้ เพราะจะมีทางแก้ไขเสมอ เพียงแต่ตอนนี้ยังนึกไม่ออกเท่านั้น สาม อย่านึกว่าต่อไปนี้เราจะไม่ได้รับสิ่งดีๆ อีก เพราะเมื่อทุกข์ผ่านไป เราจะยังมีความสุข สนุกสนาน ได้อย่างเดิมแน่นอน และสุดท้ายคือ ให้นึกถึงคนข้างหลัง ที่เขาจะต้องเศร้า ได้รับการกระทบกระเทือน จากการกระทำด้วยอารมณ์ของเรา เมื่อทุกข์ที่สุดมาถึงสิ่งที่เราต้องทำทันที ในขณะที่ยังตั้งตัวปรับใจไม่ทันก็คือ รีบหาทางเปลี่ยนอารมณ์ เมื่อเราไปเจอคนอื่นทุกข์สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือช่วยเปลี่ยนอารมณ์เขาก่อน จากนั้นสติจึงจะตามมา

ความทุกข์ที่มากสุดจะแก้ได้เร็วและง่ายที่สุด ด้วยการเปลี่ยนอารมณ์ ดึงอารมณ์ออกจากสถานการณ์นั้นก่อน อาจง่ายๆ เพียงแค่ทำอะไรที่ชอบ ฟังเพลง ดูหนัง หาของอร่อยกิน ชวนเพื่อนไปเที่ยว ชวนคุยเรื่องอื่น ลืมเรื่องทุกข์ไปชั่วคราวก่อน บางทีก็เบาบางได้เอง ที่สำคัญถ้ามีเพื่อนดี จะเบาบางไปได้มากที่สุด ที่ไม่ควรทำคือดื่มสุรา หรือพูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ควรหันไปดื่มเหล้าเบียร์ เพราะการกินเหล้าก็ดับทุกข์ได้ระดับหนึ่งเท่านั้น แต่จะมีข้อเสียกว่าคือ จะยิ่งโกรธง่าย น้อยใจง่ายและโมโหง่ายกว่าเดิม และไม่มีสติยับยั้งความโกรธ หรืออารมณ์ที่รุนแรงเหล่านั้น เมื่อเปลี่ยนอารมณ์ได้ ใจจะเข็มแข็งมากพอที่จะแก้ในขั้นต่อไป

ขั้นต่อไปคือพยายามตั้งใจใช้สติคิดว่าจะแก้ได้อย่างไร อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล สายไปแค่ไหนแล้วและแก้ได้หรือไม่ ทำให้ดีขึ้นได้หรือไม่ ถ้าแก้ไม่ได้ ขั้นสุดท้ายคือ ทำให้ใจของเรายอมรับสิ่งนั้นให้ ได้ ใจของเราจะยอมรับได้ คิดได้ ปลงตกได้ต้องมีสิ่งที่เรียกว่า ธรรมะ

ท่านพุทธทาสภิกขุ สอนว่า โดยสรุปรวมในธรรมะของพระพุทธเจ้า อาจสรุปเป็นแบบหนึ่งได้ว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น นั่นเป็นเพราะในความเป็นจริง สิ่งทั้งหลายย่อมไม่ได้ดั่งใจเรา มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาด้วยเหตุและปัจจัย จึงไม่สมควรที่จะไปหลงยึดมั่นหมายว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา หรือเป็นของของเรา สิ่งทั้งหลายไม่ได้ดั่งใจทั้งนั้น ไม่ว่าเราจะเป็นใคร รวยเพียงใด อำนาจล้นฟ้าขนาดไหน ต่างก็มีความทุกข์ประจำตัวประจำอยู่ทุกคนทั้งสิ้น

เมื่อคนคนหนึ่งประสพอุบัติเหตุขาขาดสองข้าง เขาจะรู้สึกอยากตายไม่อยากอยู่ จะรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว แต่ผ่านไปสักสองปี ไปดูอีกทีกำลังหัวเราะอยู่เพราะดูละคร ส่วนเรื่องขาขาดก็นั่งรถเข็นเอา และก็ชินเสียแล้ว ไม่เสียใจมากเหมือนตอนขาขาดใหม่ๆ บางคนแฟนตายไปเสียใจแทบตายตาม ผ่านไป 3 ปี มีแฟนใหม่แล้ว มีความสุขดีมากเลย ความทุกข์จึงเป็นของไม่เที่ยงเสมอ เช่นเดียวกับความสุข เพียงแต่ว่าตอนทุกข์ ให้ผ่านวันเวลาไปได้ ไม่ด่วนตายไปเสียก่อน เมื่อทุกข์ผ่านไป จะมีสิ่งดีๆ ตามมาได้แน่นอน

และเมื่อมองย้อนไป ความทุกข์เหล่านั้นมันก็เท่านั้นเอง เมื่อเราอ่านมาถึงตอนนี้ ก็ขอให้ลองใช้เวลานี้ นึกถึงอดีตที่มีทั้งทุกข์และสุขของเราดู อดีตนั่นแหละที่จะสอนตัวเราในความจริงแห่งธรรมะ ในกาลามสูตรพระพุทธเจ้าทรงสอนไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ แต่สอนว่าเมื่อเราพิจารณาได้เอง ว่านี้เป็นสิ่งดีหรือไม่ดีแก่จิตใจจึงค่อยเชื่อ การจะพิจารณาได้อย่างนั้น จะต้องมีประสบการณ์ในความรู้สึก แบบนั้นในอดีตมาก่อน อดีตจึงเป็นธรรมะที่สอนใจได้เป็นอย่างดี

ทุกข์ที่สุดจะเกิดจาก ความยึดมั่นถือมั่นที่สุด สิ่งใดที่เรารักมากยึดมากว่าเป็นตัวเราหรือของเรา สิ่งนั้นถ้าขาดหายไปจะทำให้ทุกข์ถึงที่สุด ถ้าเรารักความสวยงาม เมื่อเสียโฉมจะทุกข์ที่สุด ถ้าเรารักสามีหรือภรรยา เมื่อเขานอกใจ หรือเสียเขาไปจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักลูก ลูกหายหรือพิการหรือตายจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักยศถาบรรดาศักดิ์เมื่อสูญเสียจะทุกข์ที่สุด ถ้ารักตนเอง เมื่อทราบว่าตนป่วยเป็นมะเร็ง เป็นเอดส์ หรือโรคที่รักษาไม่หายก็จะทุกข์ที่สุด

แต่ถ้าเราไม่มีสิ่งนั้นเลย ก็ไม่มีอะไรจะทุกข์กับสิ่งนั้น ไม่มีลูกก็ไม่ทุกข์กับลูก ไม่มีแฟนก็ไม่มีทุกข์จากแฟน ไม่มีทรัพย์สิน ก็ไม่ทุกข์กับทรัพย์สิน หรือถ้าเรามีแต่ทำใจไว้เสมือนไม่มี หรือทำใจไว้ว่าของที่มีมันไม่เที่ยงย่อมแปรปรวนไป ก็จะทุกข์น้อยลง ยิ่งยึดมั่นได้น้อยลงเท่าไรก็ทุกข์น้อยลงเท่านั้นเป็นสัดส่วนไป เมื่อไม่ยึดมั่นก็ไม่ทุกข์เลย หมายความว่าไม่มีอะไรทำให้ทุกข์ใจได้อีกเลย แต่ความเจ็บปวดยังมีตราบเท่าที่มีสังขารร่างกายอยู่ เพียงแต่ความทุกข์กายอันนั้น จะไม่สามารถมากินใจให้ทุกข์ใจได้เลย

ความทุกข์ที่เกิดขึ้น มักเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้คนคิดจะทำความดี เพราะธรรมชาติของเราจะหลงลืมและเพลินในสุข ซึ่งความสุขส่วนมากที่เราชอบ มักจะตั้งอยู่บนความไม่เที่ยงทั้งสิ้น พระพุทธองค์เห็นข้อนี้จึงสละทุกสิ่งออกบวชแสวงหาธรรมะ แต่อย่างเราๆ มักจะไม่คิดเรื่องนี้จนกว่าจะทุกข์ เสียก่อน เราจึงพบว่าคนจำนวนมาก ได้ประพฤติธรรมะ ได้ทำสิ่งดีๆ แก่ตนและผู้อื่นเพราะประสพกับความทุกข์มาแล้ว ดังนั้นเมื่อมีทุกข์นั่นคือเราได้อยู่ใกล้ธรรมะแล้ว ถ้าผ่านช่วงนี้ไปได้ก็มักจะมีสิ่งดีโอกาสดี และเราเองก็จะดำรงอยู่ในความดีมากขึ้น ความทุกข์และความสุขเป็นของคู่โลกเช่นนี้มาตลอด


เมื่อเราทุกข์หรือพบคนที่ทุกข์ อย่าลืมเปลี่ยนอารมณ์ ตั้งสติหาทางแก้ไข ใช้ความดีเอาชนะสิ่งไม่ดี ทุกข์ย่อมไม่เที่ยง ย่อมผ่านไป เป็นธรรมดา และเราก็มีโอกาสที่จะได้รับสิ่งที่ดี ได้ปรับปรุงตนเป็นคนดีเสมอ หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกท่าน



 ที่มา   http://www.dhammajak.net/dhamma/1.html
 
767  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ประดุจ.....ขอนไม้ที่ลอยน้ำ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2012, 12:39:27 pm

๐ ขอนใหญ่น้อย ลอยตาม กระแสน้ำ
ด้วยแรงกรรม ที่กระทำ แต่หนหลัง
มีสัมมาทิฏฐิ เป็นพลัง
ประคองขอน ให้ยัง ไหลลอยไป

๐ แม้พลัง มีน้อย แพ้กระแส
ขอนชะแง้ ติดฝั่งนี้ จะทำไฉน
บ้างหลุดจาก ฝั่งนี้ รี่ฝั่งใน
สู่ฝั่งใหม่ ฝั่งโน้น มิพ้นดิน

๐ บ้างหลุดจาก ฝั่งนี้โน้น โดนกระแส
ดังผู้แพ้ หมดพลัง ความหวังสิ้น
ต้องเปื่อยเน่า จมอยู่ใต้ ธารไหลริน
กลายเป็นดิน เกินจะฝืน กล้ำกลืนใจ

๐ บ้างประคอง ลอยล่องมา เจอเกาะแก่ง
ที่เป็นแหล่ง ขวางกลาง ทางน้ำไหล
ต้องเกยตื้น ขึ้นบก รันทดใจ
มิสามารถ ไหลไป ตามน้ำพลัน

๐ บ้างลอยไป หลุดเกยตื้น ฝืนขอนไว้
แต่โชคร้าย เจอผู้ใคร่ ได้ขอนนั่น
หมู่มนุษย์ ยกขึ้นบก ไปโดยพลัน
เกินจะกั้น เกินกำลัง ของจิตตน

๐ บ้างเจอสิ่ง ที่เป็น อมนุษย์
ก็ยื้อยุด มิให้ลอย พลอยสับสน
หลุดมาได้ เจอสิ่งเสียว เกลียวน้ำวน
พาขอนหล่น ดิ่งลง สู่ก้นธาร

๐ บางขอนไหล ผ่านมาได้ เกือบจะหลุด
สู่สมุทร แต่กลับจม ถมประสาน
เพราะขอนเจ้า เน่าภายใน ให้เสียการ
พระภูบาล เปรียบไว้ ให้ตรึกตรอง

๐ ภัยเจ็ดอย่าง กลางกระแส มิแลเห็น
ประหนึ่งเป็น ตัวขวาง ทางให้หมอง
ศึกษาไว้ ประคองกาย สู่ครรลอง
เพื่อทิ้งหนอง ล่องสู่มหา สมุทรไกล


ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/
768  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / รวยเงิน VS รวยธรรม เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2012, 12:31:40 pm
ความต่าง

ยิ่งรวยเงิน ยิ่งเห็นแก่ตัว

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งเห็นแก่ผู้อื่น

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนเห็นแก่ตัว

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนเห็นแก่ผู้อื่นยิ่ง



ยิ่งรวยเงิน ยิ่งโลภมากอยากรวยขึ้น

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งอยากแผ่เผื่อเจือจาน

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนโลภมากอยากรวยขึ้น

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนอยากแผ่เผื่อเจือจานยิ่ง



ยิ่งรวยเงิน ยิ่งทำตามใจชอบ

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งทำตามถูกตามควร

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนทำตามใจชอบ

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนทำตามถูกตามควรยิ่ง



ยิ่งรวยเงิน ยิ่งหงุดหงิดง่าย

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งมีใจใสนิ่งสงบเย็น

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนหงุดหงิดง่าย

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนมีใจใสนิ่งสงบเย็นยิ่ง



ยิ่งรวยเงิน ยิ่งรักง่ายหน่ายเร็ว

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งพอใจในสิ่งที่ตนมี

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนรักง่ายหน่ายเร็ว

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนพอใจในสิ่งที่ตนมียิ่ง



ยิ่งรวยเงิน ยิ่งหยิ่งยะโส

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตน

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนหยิ่งยะโส

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตนยิ่ง



ยิ่งรวยเงิน ยิ่งบ้าอำนาจ

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งกระจายอำนาจ

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนบ้าอำนาจ

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนกระจายอำนาจยิ่ง



ยิ่งรวยเงิน ยิ่งเห็นโลกบิดเบี้ยว

ยิ่งรวยธรรม ยิ่งเห็นโลกตรงจริง

ถ้ารวยเงินเท่ากับรวยธรรม

จะไม่เป็นคนเห็นโลกบิดเบี้ยว

ถ้ารวยธรรมยิ่งกว่ารวยเงิน

จะเป็นคนเห็นโลกตรงจริงยิ่ง


ความเหมือน

ยิ่งรวยจริง ยิ่งอิ่มใจ

ยิ่งรวยจริง ยิ่งรู้สึกมั่นคง

ยิ่งรวยจริง ยิ่งบารมีมาก

ยิ่งรวยจริง ยิ่งเสียงดัง

ยิ่งรวยจริง ยิ่งทรงกำลังกระทำกิจ

ยิ่งรวยจริง ยิ่งเนื้อหอมน่าพิสมัย

ยิ่งรวยจริง ยิ่งถูกจับตา

ยิ่งรวยจริง ยิ่งเข้าใจยาก

ยิ่งรวยจริง ยิ่งแตกต่างจากคนอื่น



แม้รวยเท่าใด อย่างไรก็รักสุขเกลียดทุกข์

ไม่มีใครอยากทุกข์กายทุกข์ใจ

หากทุกข์ต้องรีบแก้ไขให้หายทุกข์

ระมัดระวังไม่ก่อเหตุให้เกิดทุกข์ซ้ำซาก



แม้รวยเท่าใด อย่างไรก็ต้องหายใจ

ไม่มีใครรอดชีวิตเพียงด้วยความรวย

หายใจยาวได้เป็นก็สุขมาก

ถ้าหายใจสั้นไม่เอาไหนก็สุขน้อย



แม้รวยเท่าใด อย่างไรก็ต้องตาย

หอบหิ้วไปได้แต่บุญบาป

ไม่มีใครรวยแล้วรวยเลย

จะเป็นสุขในปรโลกได้ก็เพียงด้วยบุญที่สั่งสมไว้



แม้รวยเท่าใด อย่างไรก็ต้องเกิดตายไม่สิ้นสุด

จะหยุดได้ก็เพียงด้วยยอดแห่งบุญ

คือรู้วิธีเห็นโลกตามจริงจนถอนความติดใจ

หลุดพ้นขาดจากความอยากมีอยากเป็นสิ้นแล้ว


รวยเงินแค่ห่างหนี้

รวยธรรมแค่ห่างบาป

รวยความว่างจึงห่างทุกข์

คัดลอกจาก...http://www.dungtrin.com/empty3/14.htm
769  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อนิจจังความรัก เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 05:19:15 pm

อนิจจังความรัก



๐ โอ้”ความรัก”หนักจิตพิศวาส ใจจะขาดเมื่อไม่ได้ดังใจหวัง

เมื่อ”รักร้าง”ห่างสิ้นถึงภินทน์พัง ”ความรักดังผีร้าย”กลับกลายเป็น!!!

“ที่ใดที่มีรักมักมีทุกข์” จะสมสุขใจแท้ไม่แลเห็น

“มีแต่สุขทุกข์เศร้าเคล้าลำเค็ญ” “สุขที่เห็นแท้คือทุกข์-เป็นสุขลวง”!!!

๐ ไม่สมสุขลุกลามเป็น”ความแค้น”!!! “รักอัดแน่น”จนระเบิดเกิดหึงหวง

หาก”สมรัก”หลงงายงมระทมทรวง เมื่อ”รักลวง””มือที่สาม”ตามราวี

“รักเป็นพิษ”ผิดหวังก็”ชังมาก” แสนลำบากทนทุกข์ไม่สุขศรี

เมื่อ”รักสิ้น”กินน้ำตาทุกนาที “รักคนมีเจ้าของ”จึงต้องตรม....

๐ “รักคนผิด”คิดจนตายไม่หายเศร้า เบื่อ”รักเก่า”มี”รักใหม่”ยังไม่สม

“รักสามเส้า”เศร้านัก”รักระทม” เจอ”รักขม”ขื่นใจกลืนไม่ลง!!

แม้”รักซึ้ง”หนึ่งเดียวที่เกี่ยวข้อง ยาก”จิตสองรวมเป็นหนึ่ง”พึงประสงค์

ยังมีกระทบกระทั่งกันไม่มั่นคง มีขึ้น-ลงไม่ราบรื่นทุกคืนวัน!!

๐ ยิ่ง”รักเพลิน”เกินไปช้ำใจยิ่ง “รักชาย-หญิง”ล้วนทุกข์ไม่สุขสันต์

“รักทรยศ-ขบถรัก”หน่วงหนักครัน “รักสะบั้น-รักอลวน”บ่นกันอึง!!

เมื่อ”เบื่อรักหนักจิต”คิดไม่ตก “รักหนักอกหนักใจ”คิดไม่ถึง

หาก”หน่ายรัก”ลมหวนครวญคนึง “รักรำพึง”โหยหา”รักลาไกล”!!

๐ “รักสุดรัก”เพียงใด”กาย-ใจห่าง” “ระยะทาง”ยั้งหยุดฉุดไม่ไหว

ยิ่ง”ไกลตา”ชาย-หญิงยิ่ง”ไกลใจ” เหมือน”เถาวัลย์พันไม้”ช้ำใจนัก!!!

“รัก-ไม่รัก”พักใจไว้กับ”พระ- รัตนตรัย”สุดดีเป็นศรีศักดิ์

“รักพระพุทธ-พระธรรม-พระสงฆ์”ให้”จงรัก” จิตแน่นหนักกับ”องค์พุทธ”เป็นสุดงาม!!!

๐ ใคร”จะรักหรือไม่รัก”ไม่หนักจิต ชั่วชีวิตไม่กลัวยากในขวากหนาม!!

“แสงทิพย์ฯส่องเห็นผลเหตุ”ทุกเขตคาม “รักคุณงามความดี”บุญมีมา!!!

“รักพุทธะ-พระนิพพาน”ทุกกาลยุค จิตเป็นสุขเยือกเย็นเป็นนักหนา

เปิดหัวใจใสสว่างทางมรรคา ถึงเวลาขอ”กลับบ้านนิพพาน”เอยฯ.....

.....................................................
[รอยยิ้ม...ก็เช่นแสงแดดในฤดูหนาว และลมเย็นในฤดูร้อน..]
 
 
ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewforum.php?f=4&start=315
 

770  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ภรรยา 4 คน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 11:15:00 am
ขอเป็นกำลังใจให้คุณหมวยนีย์ สำเร็จการศึกษาเร็วๆน่ะค่ะ

  :08: :08: :08:
771  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: ตาเคลิ้ม กับ สังกะสีแผ่นเดียว เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2012, 10:01:35 am
อนุโมทนา สาธุค่ะ  :25: :25: :25:
772  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ภรรยา 4 คน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 06:09:42 pm
ชายคนหนึ่งมีภรรยา อยู่ 4 คน

ภรรยาคนที่ 1 เขารักที่สุด ไปไหนมาไหนด้วยกัน ตามใจตลอดอยากได้อะไร
เขาหาให้ทุกอย่าง

ภรรยาคนที่ 2 เขารักมาก เขาจะทำทุกสิ่ง
ทุกอย่างเพื่อภรรยาคนนี้
และจะไปหาภรรยาคนนี้เสมอ

ภรรยาคนที่ 3 เขารักรองลงมา ดูแลเอาใจใส่พอควร แวะไปหาบางเป็นครั้งคราว
ภรรยาคนที่ 4 เขาไม่เคยสนใจ ไม่เคยดูแลเอาใจใส่ ไม่เคยไปหา ไม่คิดถึงเลย ด้วยซ้ำ
ต่อมาชาย คนนี้ไปกระทำความผิดร้ายแรง
และถูกจับ ต้องถูกประหารชีวิต ก่อนที่จะถูกประหาร เขาขอร้องว่า เขาขอกลับบ้าน
เพื่อไปร่ำลาภรรยาสุดที่รักซักครั้ง
ผู้คุมเห็นใจจึงอนุญาต
เมื่อกลับมาถึงบ้าน เขารีบตรงไปหาภรรยาคนที่ 1
เล่าเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟัง
และถามภรรยา คน ที่ 1 ว่า

" ถ้าเขาต้องตายภรรยาคนที่ 1 จะทำอย่าง ไร? "

ภรรยาคนที่ 1 ตอบน้ำเสียงที่เย็นชาว่า
“ถ้าเธอตาย เราก็จบกัน”
คำตอบที่ได้รับ
เหมือนสายฟ้าที่ผ่าเปรี้ยง!! ลงมาที่เขาอย่างจัง
เขารู้สึกเจ็บปวด และเสียใจเป็นอย่างยิ่ง
นึกเสียดาย ว่าเขาไม่ควรทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เลย


จากนั้นเขาก็ ไปหา ภรรยาคนที่ 2
ด้วยอาการเศร้าโศก เล่า เรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง
และถามคำถามเดิมกับภรรยาคนที่ 2 ว่า

" ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 2 จะทำอย่างไร? "

ภรรยาคนที่ 2 ก็ ตอบอย่างหน้าตาเฉย ว่า
" ถ้าเธอตาย ฉันจะมีใหม่ "
เหมือนสายฟ้า!! ผ่าลงมาซ้ำที่เขา อย่างจัง
เขารู้สึกเสียใจมาก และนึกเสียดายว่าที่ผ่านมา
เขาไม่ควร ทุ่มเทให้ภรรยาคนนี้เช่นกัน

เขาเดินคอตกมาหาภรรยาคนที่ 3
เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ ฟัง
และถาม ภรรยา คนที่ 3 ว่า

"ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคน ที่ 3 จะทำอย่างไร? "

ภรรยาคนที่ 3 ตอบว่า
"ถ้าเธอตาย ฉันจะไปส่ง "
ทำให้เขาคลายความ เศร้าโศกขึ้นมาได้บ้าง
อย่างน้อยก็ ยังมีภรรยาที่จริงใจกับเขา

ก่อนกลับไปรับโทษ
เขานึกขึ้นมาได้ว่ามีภรรยาอีกคน ซึ่งไม่เคยไปหาเลย จึงไปหา ภรรยาคนที่ 4 และถามว่า


" ถ้าเขาต้องตาย ภรรยาคนที่ 4 จะทำอย่าง ไร?"

ภรรยาคนที่ 4 ตอบว่า
" ถ้าเธอตาย ฉันจะตามไป ด้วย "
แทนที่เขาจะดีใจกลับนึกเสียใจหนักขึ้นไปอีก
เพราะ...มัน สายเกินไปเสียแล้ว ช่วงที่เขามีชีวิตอยู่
เขาไม่เคยเห็นค่าของภรรยาคนนี้ แต่ภรรยาคนนี้ไม่คิดที่จะทิ้งเขา จะติดตามเขาไปอยู่ด้วย
แล้วชายคนนี้ก็กลับไปรับโทษประหาร
และเมื่อเขาตาย ภรรยาคนที่ 4 ก็ตายตามไป ด้วย.....


เราทุกคนก็ มีภรรยา 4 คน นี้

มีคำถามว่า ภรรยาทั้ง 4 คนเป็นใคร? คิดกันก่อนนะ แล้วค่อยเฉลย...

ทีนี้เรามาดูกันว่า
ภรรยาคน ที่ 1, 2, 3 และ 4
เป็นใครกันบ้าง

ภรรยาคน ที่ 1

ร่างกายของเรา เพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่
เราจะบำรุงบำเรอด้วยของสิ่งทุกอย่าง
อยากได้อะไรก็หาให้
แต่พอเราตายมันกลับไม่ไปกับเรา
เมื่อเราตาย ร่างกายมันก็มีค่าเท่ากับท่อนไม้
ท่อนหนึ่งเท่านั้น

ภรรยาคน ที่ 2

ทรัพย์สมบัติ เพราะเวลาเรามีชีวิตอยู่
เราจะทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้มันมา
แต่พอเราตาย มันกลับไม่ไปกับเรา
แต่ไปเป็นของคนอื่น

ภรรยาคนที่ 3

พ่อแม่ ลูกเมีย ญาติ พี่น้อง เพราะพอเราตาย
เขาจะทำศพให้เรา ทำบุญไปให้
แปลว่า เขาแค่ไปส่งเราเท่านั้น

ภรรยาคนที่ 4

บุญกับบาป เมื่อเราตายไป
เราไม่สามารถเอาอะไรไปด้วยได้
มีเพียงแค่บุญกับบาปเท่านั้น
ที่จะตามเราไป .....


เห็นไหมว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับชีวิต
แต่เดี๋ยวก่อนอย่าพึ่งคิดว่าเงินไม่สำคัญ
สำคัญ … แต่
ไม่สำคัญที่สุดเท่านั้นเอง
อย่าลืม…ยังมีเรื่องอื่น
ที่สำคัญกว่าเงินอีกเยอะ

.....................................................
...รู้จักทำ รู้จักคิด รู้ด้วยจิต รู้ด้วยศรัทธา...
..................ศรัทธาธรรม..................
 
ที่มา  http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=4&t=25793
 

773  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / หมดหวังท้อแท้ในชีวิต..คิดอย่างไรให้ใจสู้ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 04:57:13 pm

หมดหวังท้อแท้ในชีวิต..คิดอย่างไรให้ใจสู้

ในช่วงเวลาที่ผ่านมาของชีวิต..
หลายคนคงผ่านบทเรียนแห่งชีวิตมานับไม่ถ้วน..
ทั้งบทเรียนแห่งความผิดหวัง..
บทเรียนแห่งความท้อแท้..แพ้ชีวิต..
บทเรียนแห่งความสำเร็จ..

ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนใด ๆ ก็ตาม..
เมื่อเราเกิดความผิดหวัง...ท้อแท้..ในชีวิต..
เราต้องพยายามปรับใจ..วางใจให้ถูก..
ด้วยวิธีการคิดที่จะปรับเปลี่ยน..ชีวิตของเรา..
ให้มีกำลังใจ..สู้ต่อไป..


๔ วิธีคิดที่จะสร้างพลังใจให้สู้ คือ..
วิธีที่ ๑ คิดแบบตรงกันข้ามกับความรู้สึกในขณะนั้น เช่น
>>>…ถ้าทุกข์ ก็คิดสร้างสุข
>>>…ถ้ายากก็คิดแบบง่าย...
>>>…ถ้าเกิดปัญหา ก็คิดแก้ปัญหา..

วิธีที่ ๒ คิดแบบสร้างกำลังใจ เช่น
>>>…ปลุกปลอบใจตนเอง...ทุกครั้งที่เกิดความท้อแท้..ผิดหวัง
>>>…บอกตนเองเสมอว่า..เราต้องทำได้..เราต้องทำได้อย่างแน่นอน..
>>>…เราต้องทำได้แน่นอนที่สุด..ไม่มีคำว่า..ทำไม่ได้..
>>>…ท่องไว้ในใจว่า..ไม่มี ไม่เป็น ไม่เหนื่อย...
>>>….ไม่ทุกข์ ไม่ท้อ ไม่หนี ไม่มีปัญหา...

วิธีที่ ๓ คิดแบบมีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว..
>>>…หากยังไม่ประสบความสำเร็จ..
>>>…ก็จะไม่เลิก ลด ละ ความเพียรพยายาม..
>>>…จงสู้ต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ..
>>>…แม้จะเป็นวินาทีสุดท้ายของลมหายใจก็ตาม..

วิธีที่ ๔ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก..
>>>…มองปัญหาออก..แก้ปัญหาเป็น..
>>>…คิดการใหญ่...ใช้คนเป็น..รู้เห็นตามความถูกต้อง..
>>>…มุ่งปรองดอง...รักษาน้ำใจ..สร้างมิตรภาพ..
>>>…อย่าลืมว่า.. “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ...
>>>…ต้องคิดดี..ทำดี..พูดดี..ทุกที่ทุกเวลา...

ดังนั้น..
ถ้าท้อแท้..หมดหวังในชีวิต..
จงพยายามคิดให้ใจสู้...
อย่าเชื่อว่า...เราทำไม่ได้..ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำ..
อย่าท้อแท้..ตราบใดที่เรายังไม่ได้พยายาม..
อย่าสิ้นหวัง...ตราบใดที่เรายังมีกำลังใจ..
อย่าแพ้ชีวิต...ตราบใดที่ใจของเรายังมีหวัง..
จงอย่าทำลายความหวัง...เพียงเพราะ....
การดูหมิ่นตนเองว่า... “ทำไม่ได้”...


................................................
บทความโดย..ชายน้อย...
ธรรมะไทย http://www.dhammathai.org

774  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ค ว า ม ผู ก พ ัน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 04:50:10 pm

ค ว า ม ผู ก พ ัน
โดย รศ.พญ.จิรพรรณ มัธยมจันทร์
***************

ความผูกพัน หมายถึง การเกาะเกี่ยวกันทางใจด้วยความรักหรือความโกรธเกลียด หรือความหลง ทำให้ปล่อยวางหรือลืมเรืองนั้นเสียไม่ได้ สิ่งนั้นก็จะเกาะติดอยู่ในใจติดตามตัวไปทุกแห่งทุกหน ทำให้หาความผาสุก ความเป็นอิสระไม่ได้ เหมือนขาที่ถูกคล้องไว้ด้วยโซ่ตรวน ย่อมจะหนักและเดินลำบาก การมีความผูกพันกับสิ่งใด คนใด เรื่องใด ก็ไม่ต่างกับการมีโซ่ตรวนล่ามขาอยู่ฉะนั้น การผูกพันกันด้วยความรัก ใช่ว่าจะทำให้เกิดความสุขเสมอไป เมือมีความรักก็ย่อมมีความห่วงใยเป็นธรรมดา อยากให้คนที่ตนรักเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ หรือไม่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ความอยากของคนเราใช่ว่าจะได้ดังที่อยากเสมอไปก็หาไม่ บางครั้งก็ไม่สมอยาก พระพุทธองค์จึงได้ทรงตรัสสอนว่า "ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง แปลว่า ปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้สิ่งนั้น นั่นก็เป็นทุกข์" ผูกพันด้วยความโกรธ ความเกลียด โดยไม่ละ ไม่วาง ยังผูกใจเจ็บแค้นกันอยู่ตลอดเวลา ก็เหมือน เอาโซ่ตรวนล่ามกันไว้เช่นกัน การที่จะอธิษฐานจิตว่า "เกิดชาติใดขออย่าให้ได้พบได้เจอคนอย่างนี้อีกเลย" ก็คงเป็นเรื่องยาก เพราะใจเราผูกพันกับเขาด้วยความโกรธ ความเกลียด ความชิงชังอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยแกะโซ่ตรวนที่ล่ามติดกับเขาไว้ แล้วจะพ้นจากคนที่เราไม่ชอบได้อย่างไร ตราบใดที่ยังไม่แกะโซ่ตรวนออกก็ต้องตามผจญกรรมกันไปทุกภพทุกชาติ ไม่ว่าจะอธิษฐานอย่างไร ถ้าไม่ชอบใคร ไม่อยากเจอใคร ต้องทำใจไม่ให้นึกถึงคนนั้น เรื่องเกี่ยวกับคนนั้น หรือถ้านึกถึงก็ให้น้อยที่สุด ยิ่งอโหสิกรรมหรือให้อภัยกันเสีย ก็จะมีโอกาสหนีพ้นจากกัน เปรียบเหมือนแกะโซ่ตรวนออกแล้ว ก็ย่อมเป็นอิสระ ไม่ต้องไปเผชิญเวรเผชิญกรรมกันอีกทุกภพทุกชาติ ยิ่งทำดี มีเมตตากรุณากับผู้ที่เราไม่ชอบ ผลแห่กรรมดีที่เรากระทำยิ่งสูงกว่าคนที่เราไม่ชอบเท่าใด ภพ ภูมิก็จะต่างกันเท่านั้น ยิ่งเกลียด ยิ่งไม่อยากเห็นหน้ากัน ก็อย่าฝังใจอยู่ทุกวี่วัน ยิ่งจะดึงเขาเข้ามาหาเรามากขึ้นเท่านั้น จึงต้องตามผจญกันไปทุกชาติ อยากให้พ้นจากใคร ก็จงให้อภัยทาน จะได้หมดเวรหมดกรรมกัน

การผูกพันด้วยความหลง เป็นเรื่องหนักกว่าเพื่อน เพราะผู้ที่มีความหลงก็คือ เห็นสิ่งที่ผิดเป็นถูก เห็นสิ่งที่ไม่งามเป็นสิ่งที่งาม ฯลฯ ที่โบราณเรียกว่า "เห็นกงจักรเป็นดอกบัว" คือเห็นสิ่งที่เป็นอันตราย (กงจักรเป็นอาวุธที่อันตราย) ว่าเป็นของที่น่ารัก น่าบูชา แม้ใครจะบอก ใครจะเตือน ก็ไม่สามารถจะเอาชนะความงมงายหรือความหลงได้ ผู้ที่มีความผูกพันด้วยความหลง จึงจัดเป็นผู้ที่น่าสงสารที่สุด จะอยู่ในสภาพที่เรียกว่า "มดไต่ขอบกระด้ง" หาทางออกไม่ได้ ก็วนเวียนอยู่อย่างนั้นไม่รู้จบ ชีวิตที่มีความผูกพันกับสิ่งใดมากเกินไป ไม่เคยให้ความสุขแก่ผู้ใดเลย รักมากก็ห่วงมาก กลุ้มมาก เกลียดมากก็ร้อนใจมาก จะเห็นว่าล้วนเป็นบ่อเกิดแหงทุกข์ทั้งสิ้น

การเดินสายกลาง อย่าไปผูกพันยึดติดกับสิ่งใด และรู้จักปล่อยวาง จะเป็นหนทางดับทุกข์ได้ ยกตัวอย่างง่าย ๆ ถ้าเราเลี้ยงสุนัข เรารักเขามาก ผูกพันกับเขาเหลือเกิน แต่อายุขัยของสุนัขน้อยกว่าคนมาก จึงมักตายก่อน เจ้าของผู้มีความผูกพันกับสุนัขตัวนั้น ก็จะเศร้าสร้อยไปพักหนึ่งทีเดียว ความรักความปรานีเราจะให้แก่ใครก็ได้ และเป็นสิ่งที่ควรให้ แต่การผูกพัน การยึดติดนั้นเป็นเรื่องอันตราย เป็นเหตุแห่งทุกข์ ไม่อยากมีทุกข์ ก็อย่ายึดติด หรือผูกพันกับสิ่งหนึ่งสิ่งใด รู้จักปล่อยวาง รู้จักหาอิสรภาพให้แก่ตนเอง จะเป็นสุขในที่สุด...

***

  ที่มา  http://www.dhammajak.net/dhamma/66.html
775  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / Re: ย้อนรอย "พระคาถาไก่เถื่อน" มหามนต์อันลือลั่นในอดีต เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 03:17:53 pm
 :25: :25: :25:   :c017: :c017: :c017:
776  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / จงแยกแยะความรัก เพื่อไม่ให้เกิดทุกข์ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 01:47:55 pm

ชื่นชอบ ความชื่นชอบมีลักษณะดังนี้ พอใจในสิ่งนั้น อยากได้ อยากเป็นเจ้าของในสิ่งนั้น มีความชื่นชมยินดีที่ได้ครอบครองสิ่งนั้น ไม่พอใจที่ผู้อื่นครอบครองหรือสิ่งนั้นไม่อยู่ หายไป จากไป หรือผู้ใดครอบครองให้เห็น ได้รับรู้ จนอยากจะกลายเป็นความโกรธ ที่นี้ถ้าหลงแก่การชื่นชอบหรือได้ครอบครอง เมือสิ่งนั้นต้องจากไป ก็จะกลายเป็นความพยาบาท หาหนทางเพื่อให้ได้มาซึ่งการครอบครอง แต่ถ้าไม่ได้ก็จะกลายเป็นการทำลาย

ความรัก มักมีลักษณ์ที่ชื่นชมยินดี เห็นคุณค่าของสิ่งนั้น ทะนุถนอมสิ่งนั้น มีความพอใจเมื่อมีผู้อื่นชื่นชมสิ่งเหล่านั้น และยิ่งรู้สึกว่าสิ่งนั้นมีค่ายิ่งขึ้น มีความอยากหรือความพยามยามให้สิ่งมีค่ามากขึ้น มีความสุข ความเจริญ และอาจจะเสียดายหากสิ่งนั้นถูกครอบครองโดยผู้อื่นแต่จะทำใจได้หากเห็นว่าผู้ครอบครองทำสิ่งนั้นให้ดีขึ้นสุขขึ้น มีค่ามากขึ้น พูดง่ายๆคือดีขึ้นกว่าอยู่ที่เรา พอใจ ยินดีกับความเจริญงอกงาม เช่นความรักของพ่อแม่ที่มีต่อบุตร

ความหลง อันนี้ เป็นความขาดสติ มุ่งมั่น ดุดัน มุทะลุ ความเป็นตัวตน ยืดมั่นถือมั่น เห็นแก่ตัว ขาดการพิจารณา ขาดการยับหยั่ง มีแต่ความต้องการเพื่อตนเอง

เมื่อความหลง ไปรวมกับความชื่นชอบ ไปรวมกับความรัก ก็จะเป็นอันตราย ความสูญเสียความน่ากลัวอีกมากมาย ฉะนั้น รักได้แต่อย่าหลง ชอบแต่อย่าเห็นแก่ตัว


ที่มา www.teenee.com
777  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: "สาธุ" และ "อนุโมทนา" คืออะไร? เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 01:41:42 pm
อนุโมทนาทามิได้ไหมค่ะ เอามารวมกัน  :25: :25: :25:
778  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / กรรม ชำระล้างได้อย่างไร ? เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 12:48:00 pm

"พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)"



๓) กรรม ชำระล้างได้อย่างไร ? หน้า ๑๔๓-๑๔๖


มีพุทธพจน์ว่า “ภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า “บุรุษนี้ทำกรรมไว้อย่างไร ๆ เขาย่อมได้เสวยกรรมนั้นอย่างนั้น ๆ”
เมื่อเป็นอย่างที่กล่าวนี้ การครองชีวิตประเสริฐ(พรหมจรรย์) ก็มีไม่ได้ (คือไม่มีประโยชน์อะไร) เป็นอันมองไม่เห็นช่องทางที่จะทำความสิ้นทุกข์ให้สำเร็จได้เลย”

“แต่ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า “บุรุษนี้ทำกรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งเวทนาอย่างไร ๆ เขาย่อมได้เสวยวิบากของกรรมนั้นอย่างนั้น ๆ” เมื่อเป็นอย่างที่กล่าวนี้ การครองชีวิตประเสริฐ(พรหมจรรย์) จึงมีได้ (คือสำเร็จประโยชน์) เป็นอันเห็นช่องทางที่จะทำความสิ้นทุกข์ให้สำเร็จได้

“ภิกษุทั้งหลาย สำหรับบางคน กรรมชั่วที่ทำไว้เพียงเล็กน้อย ก็นำเขาไปนรกได้
แต่สำหรับบางคนกรรมชั่วที่ทำไว้เล็กน้อยอย่างเดียวนั่นแหละ ให้ผลแค่ในปัจจุบัน ทั้งส่วนที่เล็กน้อยก็ไม่ปรากฏด้วย ปรากฏแต่ที่มาก ๆ เท่านั้น”

“คนประเภทไหน กรรมชั่วที่ทำไว้เพียงเล็กน้อย ก็นำเขาไปนรกได้? คือ คนบางคนเป็นผู้ไม่ได้อบรมกาย ไม่ได้อบรมศีล ไม่ได้อบรมจิต ไม่ได้อบรมปัญญา มีคุณน้อย มีอัตภาพเล็ก มีปรกติอยู่เป็นทุกข์เพราะวิบากเล็ก ๆ น้อย ๆ บุคคลประเภทนี้ กรรมชั่วที่ทำไว้เพียงเล็กน้อย ก็นำเขาไปนรกได้ (เหมือนใส่ก้อนเกลือในขันน้ำน้อย)”

“คนประเภทไหน กรรมชั่วที่ทำไว้เล็กน้อยอย่างเดียวกันนั่นแหละ ให้ผลแค่ในปัจจุบัน ทั้งส่วนที่เล็กน้อยก็ไม่ปรากฏด้วย ปรากฏแค่ที่มาก ๆ เท่านั้น? คือ คนบางคนเป็นผู้ได้อบรมกาย อบรมศีล อบรมจิต อบรมปัญญามีคุณไม่น้อย เป็นมหาตมะ มีธรรมเครื่องอยู่หาประมาณมิได้สำหรับบุคคลประเภทนี้ กรรมชั่วที่ทำไว้เล็กน้อยเช่นเดียวกันนั้นแหละ ให้ผลแค่ในปัจจุบัน ทั้งส่วนที่เล็กน้อยก็ไม่ปราฏด้วย ปรากฏแต่ที่มาก ๆ เท่านั้น (เหมือนใส่ก้อนเกลือในแม่น้ำ)

“ดูกรนายคามณี ศาสดาบางท่าน มีวาทะ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า.....
ผู้ที่ฆ่าสัตว์ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด
ผู้ที่ลักทรัพย์ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด
ผู้ประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด
ผู้ที่พูดเท็จต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมดสาวกที่เสื่อมใสในศาสดานั้น คิดว่า “ศาสดาของเรามีวาทะ มีทิฏฐิว่า ผู้ที่ฆ่าสัตว์ ต้องไปอบาย ตกนรกทั้งหมด” เขาจึงได้ทิฏฐิขึ้นมาว่า “สัตว์ที่เราฆ่าไปแล้วก็มี เราก็ต้องไปอบาย ตกนรกด้วย เขาไม่ละวาจานั้นไม่สละทิฏฐินั้นเสีย ก็ย่อมอยู่ในนรกเหมือนถูกจับมาใส่ไว้...”

“ส่วนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จอุบัติในโลก….พระองค์ทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาต...อทินนาทาน...กาเมสุมิจฉาจาร...มุสาวาท โดยเอนกปริยาย และตรัสว่า

“ท่านทั้งหลายจงงดเว้นเสียเถิดจากปาณาติบาต... อทินนาทาน...กาเมสุมิจฉาจาร...มุสาวาท” สาวกมีความเสื่อมใสในพระศาสดานั้น ย่อมพิจารณาเห็นดังนี้ว่า “พระผู้มีพระภาคทรงตำหนิติเตียนปาณาติบาต ฯลฯ โดยอเนกปริยายและตรัสว่า ท่านทั้งหลายจงงดเว้นเสียเถิดจากปาณาติบาต ฯลฯ “ก็สัตว์ที่เราฆ่าเสียแล้วมีมากถึงขนาดนั้น ๆ การที่เราฆ่าสัตว์ไปเสียมาก ๆ ถึงขนาดนั้น ๆ ไม่ดี ไม่งามเลย เราจะกลายเป็นผู้เดือนร้อนใจเพราะการกระทำนั้นเป็นปัจจัยแท้และเราก็จักไม่ชื่อว่าไม่ได้กระทำกรรมชั่ว” เขาพิจารณาเห็นดังนี้แล้ว จึงละปาณาติบาตนั้นเสีย และเป็นผู้งดเว้นจากปาณาติบาตต่อไปด้วยเป็นอันว่า เขาละกรรมชั่วนั้นได้ด้วยการกระทำอย่างนี้.......”

“เขาละปาณาติบาต งดเว้นจากปาณาติบาต ฯลฯ ละมุสาวาท...ปิสุณาวาจา... ผรุสวาจา.... สัมผัปปลาปะ...อภิชฌา....พยาบาท....มิจฉาทิฏฐิ แล้วเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิเขาผู้เป็นอริยสาวก มีใจปราศจากอภิชฌา(ความละโมบ) ปราศจากพยาบาท(ความคิดเบียดเบียน) ไม่ลุ่มหลง มีสัมปชัญญะ มีสติมั่น อยู่ด้วยใจที่ประกอบด้วยเมตตาปกแผ่ไปทิศ ๑... ทิศ ๒... ทิศ ๓....ทิศ ๔ ครบถ้วน ทั้งสูง ต่ำ กว้างขวาง ทั่วทั้งโลก ทั่วสัตว์ทุกเหล่า ในที่ทุกสถาน ด้วยใจประกอบด้วยเมตตา อันไพบูลย์ ยิ่งใหญ่ ไม่มีประมาณไร้เวร ไร้พยาบาท ฯลฯ เมื่อเจริญเมตตาเจโตวิมุตติ ทำให้มากอย่างนี้ กรรมใดที่ทำไว้พอประมาณ กรรมนั้นจักไม่เหลือ จะไม่คงอยู่ในเมตตาเจโตวิมุตตินั้น.....

พุทธพจน์ในข้อ ๓ นี้ นำมาแสดงไว้เพื่อประกอบการพิจารณาในเรื่องการให้ผลของกรรม ให้มีการศึกษาโดยละเอียด เป็นการป้องกันไม่ให้ลงความเห็นตัดสินความหมายและเนื้อหาของหลักกรรมง่ายเกินไป แต่ก็ยังเป็นเพียงตัวอย่างส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถนำมารวมไว้ได้ทั้งหมด เพราะจะกินเนื้อที่มากเกินไป

ที่มา www.teenee.com
779  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อสุรกายในเมืองมนุษย์ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 12:40:20 pm

อสุรกายในเมืองมนุษย์
โดย ท.เลียงพิบูลย์

จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๓


มนุษย์เราเกิดมาในโลกนี้มีอิสระ ทั้งการสร้างกรรมดีและกรรมชั่วอย่าคิดว่าเราต้องมีชีวิตอยู่ในโลกมนุษย์เป็นประจำตลอดไป ไม่รู้แก่ไม่รู้เจ็บไม่รู้ตาย อย่าคิดว่ากรรมนั้นไม่มีจริง หรือไม่สามารถจะติดตามมาสนองเราเมื่อปลายมือ
ดังจะนำตัวอย่างชีวิตเกิดขึ้นสมัยก่อนของผู้หญิงผู้หนึ่งต้องชดใช้หนี้กรรมนอนทนทุกข์ทรมาน หญิงผู้นี้ไม่มีอาหารตกท้องเป็นเวลาประมาณ ๖ เดือนแล้วไม่รู้ว่าชีวิตรอดอยู่ได้อย่างไร เมื่อก่อนที่หญิงผู้นี้จะล้มหมอนนอนเสื่อ รูปร่างอ้วนเจ้าเนื้อ แต่อยู่ๆ ก็เป็นโรคอยากกินอะไรอยากกินจนใจจะขาด แต่ก็กินไม่ได้ ของดีๆ ก็กลืนไม่เข้า กลืนไม่ลงคอมันตีบน้ำก็หยอดไม่ลง หญิงผู้นี้ได้เริ่มป่วย ญาติพี่น้องก็รีบหาหมอที่มีชื่อมารักษาแต่หมอก็ไม่สามารถจะชี้ให้แจ้งชัดลงไปได้ว่าเป็นโรคอะไรเพราะไม่พบสาเหตุของโรค

หมอตรวจดูทุกส่วนทางร่างกายอย่างละเอียดถี่ถ้วนก็ปกติ ผิดแต่อยากกินอาหารแต่กินไม่ได้ เมื่อไม่มีอาหารตกถึงท้องแม้หมอพยายามรักษาก็ไม่สามารถจะช่วยอะไรได้ ระยะป่วยร่างกายก็ยุบลง รูปร่างที่เคยอ้วนใหญ่เจ้าเนื้อสมบูรณ์ก็ค่อยๆ ผอมลง เพราะอาหารไม่ได้ตกถึงท้องเพื่อหล่อเลี้ยงร่างกายน้ำหนักตัวก็ลดลง ในระยะ ๖ เดือน รูปร่างก็เหลือแต่หนังหุ้มกระดูก มันทรมานชีวิตหญิงผู้นี้อย่างสาหัส บางคนก็บอกว่าเป็นโรคประสาท ผู้รู้เรื่องดีก็ว่าโรคบาปกรรม รักษายาก ถ้าปัจจุบันนี้หมอคงให้อาหารทางร่างกาย คงจะต้องทรมานอีกนาน

ท่านผู้ให้เรื่องเรื่องนี้กับข้าพเจ้า ท่านอาจารย์คุณหญิงระเบียบ สุนทรลิขิต ท่านเป็นผู้รู้เรื่องนี้ดีนับแต่เริ่มต้นจนอวสานแม้จะเป็นเรื่องเก่าแต่ก็มีสิ่งน่าคิดท่านได้กรุณาเล่าว่า หญิงผู้นี้สมัยก่อนยากจน เป็นแม่ครัวอยู่กับหญิงสูงอายุ มั่งคั่งเละสูงศักดิ์ท่านหนึ่ง เป็นผู้ใจบุญ มีความศรัทธาสร้างกุศลได้ใส่บาตรพระสงฆ์ทุกเช้าจำนวนร้อยรูป และได้มอบเงินให้แม่ครัวจับจ่ายอาหารมาทำกำชับว่าต้องการอาหารชั้นดีมาใส่บาตรเช้าถูกแพงเท่าไหรเท่ากันหวังจะให้พระได้ฉันอาหารดีๆ ทุกวัน ค่อยเปลี่ยนอย่าให้ซ้ำพระท่านจะเบื่อ ไม่สนใจเรื่องเงินทองค่าใช้จ่าย แม่ครัวก็ตกปากรับคำ ว่าจะจัดอาหารดีจะไม่ซ้ำให้พระท่านเบื่อ ที่สุดนายจ้างก็ไว้เนื้อเชื่อใจ แม่ครัวจะเบิกเงินค่าอาหารใส่บาตรวันละเท่าไหร่ก็มอบให้ไปไม่เคยทักท้วง แรกๆ แม่ครัวก็จัดการเป็นที่เรียบร้อย แต่ก็ยักยอกเบียดบังค่าอาหารใส่บาตรพระบ้างแต่ก็ไม่มากนัก

ต่อมาเมื่อชินนานเข้าก็ได้ใจเท่าที่ยักยอกไว้ได้ยังน้อยไป ก็นึกว่าของอยู่ในห่อไม่มีใครรู้เราจะทำอะไรก็ได้ จิตใจอกุศลก็เพิ่มขึ้น เริ่มทำอาหารถูกๆ แล้วก็เบิกเงินนายจ้างว่าอาหารดีราคาแพงๆ มาใส่บาตร นายจ้างพาซื่อคิดว่าตัวเป็นคนซื่อใจบุญคนอื่นก็คงจะเหมือนตนก็หลงไว้วางโจก็มอบเงินทองค่าอาหารให้ตามคำเรียกร้องและสิ่งอื่นๆ เวลาผ่านไปเป็นปีๆ จนหญิงผู้นี้ยักยอกเงินทองจนเกิดมังคั่งขื้นมา มีที่ดินปลูกบ้าน ลูกหลานมีเพชรมีทองใส่ร่ำรวย เพราะส่วนมากก็เบียดบังค่าอาหารใส่บาตรทุกเช้าประจำสิ่งที่ใส่บาตรห่อเรียบร้อยเช้าๆ ทุกวันก็คือถั่วงอกผัดน้ำมันราคาถูกๆ จะมีสามสี่ห่อที่ไว้แก้หน้าเมื่อนายจ้างสงสัย ทำให้เหลือไว้ให้นายจ้างดูได้รู้ได้เห็นว่าอาหารชั้นดีราคาแพงเพื่อให้ถูกอกถูกใจ แม้คนในบ้านจะรู้ก็ไม่กล้าว่ากล่าวฟ้องร้องนายแต่อย่างใด

นี่ก็เป็นเหตุที่ทำให้หญิงแม่ครัวมั่งคั่งขึ้น แต่บัดนี้กำลังได้รับทุกข์ทรมาน ไม่รู้เมื่อใดจะสิ้นสุดลงในโลกมนุษย์และทั้งต้องไปรับใช้หนี้กรรมความโลภอีกภพหนึ่ง จนกว่าจะสิ้นกรรม โรคบาปกรรมในปัจจุบันก็คืออยากกินแต่ก็กินไม่ได้ บางครั้งอยากกินเหลือเกินจนร้องไห้แต่เหมือนเป็นโรคคอตันแม้แต่น้ำก็หยอดไม่ลง คิดว่าอาหารใส่บาตรเช้าๆ ที่พระมารับบาตรประจำวันก็มีถั่วงอกผัดน้ำมันและจากนั้นก็น้ำเปล่าผัดถั่วงอก ความจริงก็อย่างเดียวกันเป็นประจำวัน พระท่านจะชอบหรือไม่ชอบเมื่อเขาศรัทธาก็ต้องรับไว้ฉันทั้งผัดเอาไว้มากๆ ค้างคืนค้างวันจนถั่วงอกบูดเสียก็ยังใส่บาตรและไม่สนใจว่าพระจะฉันได้หรือไม่
พระที่ท่านบรรลุธรรมชั้นสูงแล้วท่านก็ไม่สนใจในอาหารเพราะท่านฉันไม่ได้ติดรสอาหาร ท่านฉันเพื่อให้สังขารอยู่เท่านั้น หรือเรียกว่าท่านกินเพื่ออยู่ แต่พระที่ท่านยังปลงไม่ได้ ที่ท่านยังมีความรู้สึกในรสอาหาร เพราะท่านอยู่เพื่อฉัน ยังมีกิเลสท่านก็คงฉันอาหารบูดไม่ลงและฉันทุกวันก็เหม็นเบื่อ นี่แหละกรรมที่ได้เบียดบังยักยอกเงินที่มีอำนาจจิตศรัทธาเพื่อสร้างกุศลทำของดีๆ ถวายพระกลับเป็นของเลวๆ ผิดความเจตนาของผู้ศรัทธาตั้งใจจริงก็นับว่าบาปหนัก ฉะนั้น ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าเพียงชาตินี้กรรมก็ตามสนองเห็นทันตาแล้ว อาจารย์หญิงท่านบอกว่ายังไม่ทันตายก็เป็นอสุรกาย หรือเปรตในร่างมนุษย์ พระอรหันต์โปรดไม่ถึงแม้แต่อยากน้ำก็ดื่มไม่ได้เพราะกรรมชั่วที่ตัวได้สร้างไว้ตามสนอง


    เมื่อข้าพเจ้าได้รับเรื่องนี้จากท่านอาจารย์ คุณหญิงที่เคารพนับถือแล้วมาพิจารณาดูก็จะเห็นได้ว่า ชีวิตแต่ละบุคคลไม่ว่าชายหญิงเมื่อสร้างกรรมไว้แล้ว หากมีผู้รู้เห็นใกล้ชิดตลอดมาในชีวประวัติแล้ว จะเห็นได้ว่ากรรมใดผู้นั้นสร้างไว้ก็จะติดตามมาสนอง เมื่อใกล้จะจากโลกนี้ไปต้องทนทุกข์ทรมาน เมื่อรู้ตัวว่าผิดบางครั้งก็สายเกินไป บางครั้งก็ยังมีเวลากลับใจหญิงผู้นี้กำลังรับกรรม และแม้จะมั่งมีเงินทองเพียงใด ก็ไม่สามารถจะหาผู้ที่รักษาโรคบาปกรรมให้หายได้

เงินทองที่ได้มาโดยไม่สุจริตเบียดเบียนหรือเบียดบังทางทุจริตจิตโลภทำให้พระสงฆ์ได้รับความเดือดร้อน เป็นต้นเหตุ แห่งกรรมตามสนอง เมื่อตัวจะตายแม้จะมีทรัพย์สินมากมายเพียงใดก็ขนเอาไปไม่ได้ ซ้ำกลับเป็นโทษหากมีนรกก็ต้องไปเสวยทุกข์อยู่ในขุมนรกเป็นเปรตอสุรกายต้องทนทุกข์ทรมานอย่างสาหัส อยากกินอะไรก็กินไม่ได้ เพราะกรรมชั่วตามที่ตนได้สร้างไว้ เมื่อยังมีชีวิตอยู่ในเมืองมนุษย์กว่าจะสิ้นสุดกรรม


ฉะนั้น ผู้มีปัญญามีสติจึงไม่คิดประมาท ใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ไม่ให้ออกนอกขอบเขตของวงศีลธรรมถือศีลปฎิบัติธรรมไม่ใช้เวลาชีวิตปัจจุบันอย่างสุรุ่ยสุร่ายไปในทางผิดคิดมิชอบ อย่าอยู่นอกเขตของวงศีลธรรมจะทำให้จิตใจห่อหุ้มไปด้วยกิเลสตัณหา มัวเมา มืดมน แสงสว่างของธรรมไม่สามารถส่องเข้าไปถึง ชีวิตจิตใจก็มีแต่ความเศร้าหมองหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลา กรรมตามสนองย่อมทำลายอนาคตตนเอง ทำลายชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลและเป็นตัวอย่างชั่วให้อนุชนรุ่นหลัง ทำลาย ความดีงามของชาติและศาสนา ดังตัวอย่างของหญิงผู้เป็นโรคบาปกรรม ที่มองเห็นไดัชัดเจนอย่างเงาบนกระจก

ฉะนั้น หากท่านได้พิจารณามิใช่อ่านแล้วผ่านไป คิดว่าไม่เป็นเรื่องไร้สาระก็คงจะได้ประโยชน์ทางใจบ้าง ระยะ ๖ เดือน ก่อนจะตายอยากกินอาหารอยากดื่มน้ำแต่ตนเองได้กลายเป็นเปรตอสุรกายไปแล้ว อย่างโบราณบอกว่าปากเท่ารูเข็ม พอจิตดับก็ดึงไปสู่นรก คงจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วกัลป์กว่าจะสิ้นสุด



....................... เอวัง .......................

 ที่มา  http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=251
780  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ถูกบอกเลิกจากแฟนแล้ว ยังถูกใส่ร้ายต่ออีก เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2012, 07:32:26 pm
ขอเป็นกำลังใจให้คุณ Goodbye นะค่ะ อย่าไปสนใจเลยผู้ชายที่เห็นแก่ตัวขนาดนั้น วันนี้เค้าทำกับเราวันหน้าเค้าต้องได้รับกรรมที่เค้าทำไว้ ให้ถือซะว่าโชคดีที่สามารถหลุดพ้นจากผู้ชายเลวๆคนหนึ่งไปได้ ให้บทเรียนครั้งนี้สอนใจเรา อย่าได้แค้นใจหรือว่าสาบแช่งผู้ชายคนนี้เลย อโหสิกรรมให้เค้าไปเถอค่ะจะได้ไม่มีเวรกรรมต่อกันทั้งในชาตินี้และชาติหน้า และในอนาคตขอให้คุณ Goodbye ได้เจอผูชายที่ดีๆ เข้ามาในชีวิตค่ะ
781  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / Re: กรรมของคนด่าพระ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2012, 06:48:53 pm
 :smiley_confused1: :smiley_confused1: :smiley_confused1:  :25:
782  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: วิบากกรรม ทำให้เป็นเปรต เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2012, 09:53:50 am
 :25: :25: :25: สาธุค่ะ
783  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คุณใช้ชีวิตของคุณได้คุ้มหรือยัง เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 06:43:09 pm

ถ้าคุณใช้เวลานอน ๖ ชั่วโมงต่อวัน ก็แปลว่าคุณมีเวลาใช้ชีวิตได้ทั้งหมดหนึ่งในสี่ 
สมมุติว่าอายุขัยของคุณคือ ๘๐  คุณก็มีเวลาทำอะไรเท่าที่หนึ่งสมองสองมือจะทำได้ เพียง ๖๐ ปีเท่านั้น ไม่ใช่ว่ามีอายุ ๘๐ ก็ได้ใช้ชีวิต ๘๐

ยังครับ... ไม่ใช่แค่นั้น

ถ้าแต่ละวันคุณเอาแต่เฝ้าเสียดายอดีตสัก ๑ ชั่วโมง  แล้วใช้เวลาอีกร่วม ๕ ชั่วโมงในการฟุ้งซ่านถึงอนาคต รวมทั้งหมด ๖ ชั่วโมงที่หายไปในแต่ละวัน ก็แปลว่า "เวลาจริงๆ" ที่คุณมีโอกาส "ใช้ชีวิต" นั้น เหลือแค่ ๓๐ ปี บวกลบกว่านั้นไม่มาก

ถ้านึกว่าตัวเลขนี้เกินจริง ก็ลองเฝ้าสังเกตกันเอาเอง  ตอนปล่อยใจให้เหม่อลอยตามสบายเป็นพักๆนั้น เมื่อรวมกันแล้วมันได้เป็นจำนวนชั่วโมงสักเท่าไหร่

คุณอาจคิดว่าไม่เห็นจะเสียดาย ได้ใช้ชีวิตสบายๆเรื่อยเปื่อยก็พอแล้ว ซึ่งตอนยังมีโอกาสคิดสบายๆ เรื่อยเปื่อยก็น่าจะอย่างนั้น แต่พอถึงเวลาโดน "เช็คบิลตอนจบ" เรื่องไม่น่าเสียดายก็อาจกลับตาลปัตรกันได้มากทีเดียว

นโยบายที่เหมาะสำหรับการ "เริ่มต้นใช้ชีวิตให้คุ้ม" ควรนับจากการตัดสินใจบางอย่าง เช่น  ไม่มัวสมมุติว่าย้อนเวลาได้จะแก้อะไรดี  แต่สมมุติว่าถ้าสำนึกได้เดี๋ยวนี้ มีความคิดไหนให้เปลี่ยนบ้าง!

อีกอย่าง คือการตัดสินใจจะไม่กังวลเกี่ยวกับพรุ่งนี้  แต่ขยันทำทุกอย่างในวันนี้เพื่อให้สบายใจ ว่าได้ทำรากของวันพรุ่งนี้ไว้ดีที่สุดแล้ว

เมื่อตัดสินใจได้ว่าจะเอาแต่วันนี้ เมื่อวานไม่เอา พรุ่งนี้ไม่เอา ก็จะพบว่าการหลงใช้ชีวิตแบบ "สมมุติว่า" จะหายไป เหลือแต่การมีสติใช้ชีวิตแบบ "กำลังมีอะไรต้องทำ" ทันที
บางคนก็ติดอยู่ในอดีตและอนาคตเพียงเพราะโดนบั่นทอนกำลังใจ ประมาณตอกย้ำให้คิดว่าเป็นไปไม่ได้หรอก ทำไม่ได้หรอก ไม่ต้องพยายามหรอก ก็ขอให้เข้าใจว่าเสียงใครบั่นทอนกำลังใจเราก็ไม่เท่าเสียงในหัวบั่นทอนกำลังใจตัวเอง

การทวนกระแสหรือการขึ้นที่สูงต้องมีแรงต้านเป็นธรรมดา ถ้าไม่ภายนอกก็ภายใน จงมองว่าแรงเสียดทาน ต่อต้านไม่ให้เราทวนกระแสนั้น ชนะได้ก็เข้มแข็งมาก ตรงข้าม หากขาดแรงต้านเสียบ้างเลย เราก็คงไม่รู้จักรสชาติของความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้เป็นแน่

ถ้าจะใช้ชีวิตให้คุ้ม ต้องทุ่มเทกับการมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ "ใช้ชีวิตซ้ำอยู่ในหัว" และไม่ใช่ "ใช้ชีวิตล่วงหน้าอยู่ในฝัน" แล้วไปพบที่จุดจบว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรให้จับต้องได้จริงสักกี่เดือนกี่ปี
 
 
 


ขอขอบคุณ www.teenee.com
784  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สำหรับคนที่หากินบนผ้าเหลืองจะได้รับผลกรรมอย่างไรค่ะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 06:35:42 pm
 :c017: :c017: :c017:  :25: :25: :25:
785  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สำหรับคนที่หากินบนผ้าเหลืองจะได้รับผลกรรมอย่างไรค่ะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 04:28:59 pm
ขออภัยด้วยนะค่ะ ถ้าคำถามดูไม่สมควร ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ใคร เพียงแค่สงสัยเท่านั้นเอง เลยถามไปโดยไม่ได้ไตร่ตรองล่วงหน้า เลยเกิดปัญหาที่ทำให้ใครหลายคนไม่พอใจ ขอโทษจริงๆค่ะ
......... อาเมน  เหมือนกัน.......  :25: :25: :25:
786  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: สำหรับคนที่หากินบนผ้าเหลืองจะได้รับผลกรรมอย่างไรค่ะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 11:59:57 am
ขอบคุณค่ะ สำหรับทุกความคิดเห็น :25:
787  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / สำหรับคนที่หากินบนผ้าเหลืองจะได้รับผลกรรมอย่างไรค่ะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 10:42:22 am
เท่าที่เห็นข่าวในปัจจุบันที่เกี่ยวกับพระ เห็นแล้วเศร้าใจเหลือเกิน ทำไมคนเราถึงจิตใจตกต่ำได้ขนาดนั้น ก็เลยอยากจะถามว่า คนที่ใช้ผ้าเหลืองหากินเมื่อตายไปจะได้รับผลกรรมอย่างไรบ้างค่ะ
788  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ทำไมเราถึงไม่ควรกินเนื้อสัตว์ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 10:32:24 am
ขอบคุณค่ะ สำหรับความรู้  :25: :25: :25:
789  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ความโกรธ และ สาเหตุ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 01, 2012, 11:31:39 am
 :25: :25: :25:   :c017:
790  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คำอธิษฐานที่ได้รับรางวัลที่ ๑ เมื่อ: มกราคม 31, 2012, 05:56:48 pm
คณะกรรมการของสมาคมพระพุทธศาสนาแห่งหนึ่ง ได้ตรวจข้อเขียนของผู้ส่งคำอธิษฐานเข้าประกวดอย่างเคร่งเครียด และมีมติเป็นเอกฉันท์ตัดสินให้คำอธิษฐานของ คุณชีพ ปุญญานุภาพ ได้รับรางวัลที่ ๑ เนื่องจากเป็นคำอธิษฐานเพื่อคุณธรรม มากกว่าการขอโชคลาภทรัพย์สมบัติใดๆ และในตอนท้ายคำอธิษฐาน ได้กล่าวสรุปไว้เพื่อให้เห็นว่า ตัวผู้เขียนยังไม่ดีพอ จึงต้องมีหลักฐานไว้เตือนตัวเอง ข้อเขียนที่แสดงถึงความปรารถนาหรือคำอธิษฐาน ๑๐ ประการ มีดังนี้

๑. ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนคิดจะได้ดีอะไรอย่างลอย ๆ นั่งนอนคอยแต่โชควาสนา โดยไม่ลงมือทำความดี หรือไม่เพียรพยายาม สร้างความเจริญก้าวหน้าให้แก่ตน ถ้าข้าพเจ้าจะได้ดีอะไร ก็ขอให้ได้เพราะได้ทำความดีอย่างสมเหตุผลเถิด

๒. ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนลืมตนดูหมิ่นเหยียดหยามใคร ๆ ซึ่งอาจด้อยกว่าในทางตำแหน่ง ฐานะการเงิน หรือในทางวิชาความรู้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความเห็นอกเห็นใจคนอื่น ให้เกียรติแก่เขาตามความเหมาะสมในการติดต่อเกี่ยวข้องกันเถิด อย่าแสดงอาการข่มขู่เยาะเย้ยใครๆ ด้วยประการใดๆเลย ก็ขอให้มีความอ่อนโยน นุ่มนวล สุภาพเรียบร้อยเถิด

๓. ถ้าใครพลาดพลั้งลงในการครองชีวิตหรือต้องประสบความทุกข์ ความเดือดร้อนเพราะเหตุใดๆก็ตาม ขออย่าให้ข้าพเจ้าเหยียบย่ำซ้ำเติมคนเหล่านั้น แต่จงมีความกรุณาหาทางช่วยเขาลุกขึ้น ช่วยผ่อนคลายความทุกข์ร้อนแก่เขาเท่าที่จะสามารถทำได้

๔. ใครก็ตามที่มีความรู้ความสามารถขึ้นมาเท่าเทียมหรือเกือบเท่าเทียมข้าพเจ้า ก็ดี มีความรู้ความสามารถหรือมีผลงานอันปรากฏดีเด่น สูงส่งอย่างน่านิยมยกย่องยิ่งกว่าข้าพเจ้า ขออย่าให้ข้าพเจ้ารู้สึกริษยาหรือกังวลใจในความเจริญของผู้นั้นเลยแม้แต่ น้อย ขอให้ข้าพเจ้าพลอยยินดีในความดี ความรู้ความสามารถของบุคคลเหล่านั้นด้วยใจจริง ช่วยส่งเสริมสนับสนุนและให้กำลังใจแก่คนเหล่านั้น อันเข้าลักษณะการมีมุทิตาจิตในพระพุทธศาสนา ซึ่งตรงกันข้ามกับความริษยา ขออย่าให้เป็นอย่างบางคน ที่เกรงนักหนาว่าคนอื่นจะดีเท่าเทียมหรือดียิ่งกว่าตน คอยหาทางพูดจาติเตียน ใส่ไคล้ให้คนทั้งหลายเห็นว่าผู้นั้นยังบกพร่องอย่างนั้นอย่างนี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีน้ำใจสะอาด พูดส่งเสริมยกย่องผู้อื่นที่ควรยกย่องเถิด

๕. ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้มีน้ำใจเข็มแข็งอดทน อย่าเป็นคนขี้บ่น ในเมื่อมีความยากลำบากอะไรเกิดขึ้น ขอให้มีกำลังใจต่อสู้กับความยากลำบากนั้น ๆ โดยไม่ต้องอ้อนวอนให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์มาช่วย ขออย่าเป็นคนอ่อนแอเหลียวหาที่พึ่ง เพราะไม่รู้จักทำตนให้เป็นที่พึ่งของตนเลย ขออย่าให้ข้าพเจ้าเป็นคนชอบได้อภิสิทธิ์ คือ สิทธิเหนือคนอื่น เช่น ไปตรวจที่โรงพยาบาล ก็ขอให้พอใจนั่งคอยตามลำดับ อย่าวุ่นวายจะเข้าตรวจก่อน ทั้งที่ตนไปถึงทีหลัง ในการสอบแข่งขันเพื่อคัดเลือกใด ๆ ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดหาวิธีลัดหรือวิธีทุจริตใดๆ รวมทั้งขออย่าได้วิ่งเต้นเข้าหาคนนั้นคนนี้ เพื่อให้เขาช่วยให้ได้ผลดีกว่าคนอื่น ทั้งๆที่ข้าพเจ้าอาจมีคะแนนสู้คนอื่นไม่ได้เถิด

๖. ข้าพเจ้าทำงานที่ใด ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือคิดเอาแต่ได้ในทางส่วนตัว เช่น เถลไถลไม่ทำงาน รีบเลิกงานก่อนกำหนดเวลา ขอจงมีความขยันหมั่นเพียร พอใจในการทำงานให้ได้ผลดี ด้วยความตั้งใจและเต็มใจ เพื่อประโยชน์ของตนเอง ฉะนั้นเถิด อันเนื่องมาแต่ความไม่คิดเอาเปรียบในข้อนี้ ถ้าข้าพเจ้าบังเอิญก้ำเกินข้าวของ ของที่ทำงานไปในทางส่วนตัวได้บ้าง เช่น กระดาษ ซอง หรือ เครื่องใช้ใด ๆ ขอให้ข้าพเจ้าระลึกอยู่เสมอว่าเป็นหนี้อยู่ และพยายามใช้หนี้คืนด้วยการซื้อใช้ หรือทำงานให้มากกว่าที่กำหนด เพื่อเป็นการชดเชยความก้ำเกินนั้น ข้อนี้รวมทั้ง ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเอาเปรียบชาติบ้านเมือง เช่น ในเรื่องการเสียภาษีอากร ถ้ารู้ว่ายังเสียน้อยไปกว่าที่ควร หรือตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความตั้งใจที่จะชดใช้แก่ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ เมื่อมีโอกาสตอบแทนเมื่อไร ขอให้รีบตอบแทนโดยทันที เช่น ในรูปแห่งการบริจาคบำรุงโรงพยาบาล บำรุงการศึกษาหรือบริจาคเพื่อสาธารณะประโยชน์อื่นๆ แบบบริจาคให้มากกว่าที่รู้สึกว่ายังเป็นหนี้ชาติบ้านเมืองอยู่เสมอ และในข้อนี้ขอให้ข้าพเจ้าปฏิบัติแม้ต่อเอกชนใด ๆ ขออย่าให้ข้าพเจ้าคิดเอาเปรียบหรือโกงใครเลยแม้แต่น้อย แม้แต่จะซื้อของ ถ้าเขาถอนเงินเกินมา ก็ขอให้ข้าพเจ้ายินดีคืนให้เขากลับไปเถิด อย่ายินดีว่ามีลาภ เพราะเขาทอนเงินเกินมาให้เลย

๗. ขออย่าให้ข้าพเจ้ามักใหญ่ใฝ่สูง อยากมีหน้ามีตา อยากมีอำนาจ อยากเป็นใหญ่เป็นโต ขอให้ข้าพเจ้าใฝ่สงบ มีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ไม่ต้องเดือดร้อนในเรื่องการแข่งดีกับใคร ๆ ทั้งนี้เพราะข้าพเจ้าพอจะเดาได้ว่า ความมักใหญ่ใฝ่สูง ความหยากมีหน้ามีตา ความอยากมีอำนาจ และอยากเป็นใหญ่เป็นโตนั้น มันเผาให้เร่าร้อน ยิ่งต้องแข่งดีกับใคร ๆ ด้วยก็ยิ่งทำให้เกิดความคิดริษยา คิดให้ร้ายคู่แข่งขัน ถ้าอยู่อย่างใฝ่สงบมีความเป็นอยู่อย่างง่าย ๆ ก็จะเย็นอกเย็นใจ ไม่ต้องนอนก่ายหน้าผากถอนใจเพราะเกรงคู่แข่งจะชนะ ไม่ต้องทอดถอนใจเพราะไม่สมหวัง ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจซาบซึ้งในพระพุทธภาษิตว่า “ผู้ชนะย่อมก่อเวร ผู้แพ้ย่อมอยู่เป็นทุกข์ ละความชนะความแพ้เสียได้ ย่อมอยู่เป็นสุข” ดังนี้เถิด แต่ทั้งนี้มิได้หมายความว่า เมื่อใฝ่สงบแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องอยู่อย่างเกียจคร้าน ไม่สร้างความเจริญทั้งทางโลกและทางธรรม ข้าพเจ้าทราบดีว่าพระพุทธศาสนามิได้สอนให้คนเกียจคร้านงอมืองอเท้า แต่สอนให้มีความบากบั่นก้าวหน้าในทางที่ดีไม่ว่าทางโลกหรือทางธรรม และความบากบั่นก้าวหน้าดังกล่าวนั้น ไม่จำเป็นต้องผูกพันอยู่กับความทะยานอยาก หรือความมักใหญ่ใฝ่สูงใด ๆ คงทำงานไปตามหน้าที่ให้ดีที่สุด ผลดีก็จะเกิดตามมาเอง

๘. ขอให้ข้าพเจ้าหมั่นปลูกฝั่งความรู้สึกมีเมตตาปรารถนาดีต่อผู้อื่น และมีกรุณาคิดจะช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ ซึ่งพระพุทธเจ้าแนะนำให้ปูพื้นจิตใจด้วยเมตตากรุณาดังกล่าวนี้อยู่เสมอ จนกระทั่งไม่รู้สึกว่ามีใครเป็นศัตรูที่จะต้องคิดกำจัดตัดรอนเข้าให้ถึงความ พินาศ ใครไม่ดี ใครทำชั่วทำผิดขอให้เขาคิดได้กลับตัวได้เสียเถิด อย่าทำผิดทำชั่วอีกเลย ถ้ายังขืนทำต่อไปก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เขาจะต้องรับผลแห่งกรรมชั่วของเขาเอง เราไม่ต้องคิดแช่งชักให้เขาพินาศ เขาก็จะต้องถึงความพินาศของเขาอยู่แล้ว จะต้องแช่งให้ใจเราเดือดร้อนทำไม ขอให้ความเมตตาคิดจะให้เป็นสุข และกรุณาคิดจะช่วยให้พ้นทุกข์ซึ่งข้าพเจ้าปลูกฝังขึ้นในจิตใจนั้น จงอย่าเป็นไปในวงแคบและวงจำกัด ขอจงเป็นไปทั้งในมนุษย์และสัตว์ทุกประเภท รวมทั้งสัตว์ดิรัจฉานด้วย เพราะไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์เหล่านั้น ต่างก็รักสุขเกลียดทุกข์ รู้จักรักตนเองปรารถนาดีต่อตนเองด้วยกันทั้งสิ้น

๙. ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนโกรธง่าย ต่างว่าจะโกรธบ้าง ก็ขอให้มีสติรู้ตัวโดยเร็วว่ากำลังโกรธ จะได้สอนใจตนเองให้บรรเทาความโกรธลง หรือถ้าห้ามใจให้โกรธไม่ได้ ก็ขออย่าให้ถึงกับคิดประทุษร้ายผู้อื่น หรือคิดอยากให้เขาถึงความพินาศ ซึ่งนับเป็นมโนทุจริตเลย ขอจงสามารถควบคุมจิตใจให้เป็นปรกติได้โดยรวดเร็ว เมื่อมีความไม่พอใจหรือความโกรธเกิดขึ้นเถิด และเนื่องมาจากความปรารถนาข้อนี้ ขอให้ข้าพเจ้าอย่าเป็นคนผูกโกรธ ให้รู้จักให้อภัย ทำใจให้ปลอดโปร่งจากการผูกอาฆาตจองเวร ขอให้มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น โดยรู้จักเปรียบเทียบกับตัวข้าพเจ้าเองว่าข้าพเจ้าเองก็อาจทำผิด พูดผิด คิดผิด หรือ อาจล่วงเกินผู้อื่นได้ ทั้งโดยมีเจตนาและไม่เจตนา ก็ข้าพเจ้าเองยังทำผิดได้ เมื่อผู้อื่นทำอะไรผิดพลาดล่วงเกินไปบ้าง ก็จงให้อภัยแก่เขาเสียเถิด อย่าผูกใจเจ็บหรือเก็บความรู้สึกไม่พอใจนั้นมาขังอยู่ในจิตใจ ให้เป็นพิษเป็นภัยแก่ตัวเองเลย

๑๐. ขอให้ข้าพเจ้ามีความรู้ความเข้าใจและสอนใจตัวเองได้เกี่ยวกับคำสอนของ พระพุทธศาสนา ทั้งทางโลกและทางธรรม กล่าวคือ พระพุทธศาสนาสอนให้รู้จักสร้างความเจริญแก่ตนในทางโลก และสอนให้ประพฤติปฏิบัติยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น ให้มีปัญญาเข้าใจปัญหาแห่งชีวิต เพื่อจะได้ไม่ติดไม่ยึดถือ มีจิตใจเบาสบายอันเป็นความเจริญในทางธรรม ซึ่งรวมความแล้วสอนให้เข้ากับโลกได้ดี ไม่เป็นภัยอันตรายแก่ใคร ๆ แต่กลับเป็นประโยชน์แก่สังคมและประเทศชาติ แต่ก็ได้สอนไปในทางธรรมให้เข้ากับธรรมได้ดี คือให้รู้จักโลก รู้เท่าโลกและขัดเกลานิสัยใจคอให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อบรรลุความดับทุกข์ ความพ้นทุกข์ ขอให้ข้าพเจ้ามีความเข้าใจทั้งทางโลกทางธรรม และ ปฏิบัติตนให้ถูกต้องได้ทั้งสองทาง รวมทั้งสามารถหาความสงบใจได้เอง และสามารถแนะนำชักชวนเพื่อนร่วมชาติร่วมโลก ให้ได้ประสบความสุขสงบได้ตามสมควรเถิด
ความปรารถนาหรือคำอธิษฐานรวม ๑๐ ประการของข้าพเจ้านี้ ข้าพเจ้าตั้งไว้เพื่อเป็นแนวทางเตือนใจหรือสั่งสอนตัวเอง เพราะปรากฏว่าตัวข้าพเจ้าเองยังมีข้อบกพร่อง ซึ่งจะต้องว่ากล่าวตักเตือนคอยตำหนิตัวเองเสมอ ข้าพเจ้าจึงคิดว่าถ้าได้วางแนวสอนตัวเองขึ้นไว้เช่นนี้ เมื่อประพฤติผิดพลาดก็อาจระลึกได้ หรือ มีหลักเตือนตนได้ง่ายกว่าการที่จะนึกว่าข้าพเจ้าดีพร้อมแล้ว หรือเป็นบุคคลที่สมบูรณ์แล้ว ซึ่งนับเป็นความประมาทหรือลืมตัวอย่างยิ่ง



ที่มา  http://board.agalico.com/showthread.php?t=26437
791  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / หลวงปู่ดู่สอนศิษย์ เมื่อ: มกราคม 31, 2012, 05:48:11 pm
หลวงปู่ดู่สอนศิษย์


หลวงปู่ท่านมักกล่าวถึงมงคลที่สำคัญที่ท่านอยากให้ลูกศิษย์ได้
นำไปปฏิบัติ คือ มงคล 38 ประการ มงคลที่ท่านพูดถึงบ่อย ๆ
นั่นคือ สัมมาวาจาชอบ คือ พูดแต่สิ่งที่เป็นมงคล
ท่านว่าคนส่วนมากมักสร้างกรรมทางวาจา เพราะกรรมนี้สร้างได้ง่าย
แต่เขาไม่รู้หรอกว่าผลของกรรม เมื่อส่งผลจะร้ายแรงเพียงไร
คำพูดนั้นสำคัญมาก บางคนพูดไม่ดีกับผู้อื่น
จนเป็นเหตุถึงโกรธเกลียดกันชั่วชีวิตก็มี
บางรายคำพูดเพียงไม่กี่คำ ก็ทำให้ไม่พูดกันไปหลายปี
คนส่วนมากที่ขึ้นโรงขึ้นศาล หรือทะเลาะกันจนไปถึงฆ่ากันตาย
ก็เพราะคำพูดที่ไม่ดีนี่แหละ

หลวงปู่ท่านสอนอยู่เสมอว่า อย่าไปพูดไม่ดีกับใครเขา
ถ้ามีคนมาว่าหรือด่าเราแต่เราไม่ว่าหรือด่าเขาตอบมันก็จะไม่มีเรื่องกัน
แต่ถ้าแกไปด่าเขาเมื่อไรนั่นแหละเรื่องใหญ่ ท่านสอนศิษย์เสมอว่า
อย่าไปพูดทำลายความหวังของใครเขา
เพราะนั้นอาจจะเป็นความหวังเดียวที่เขามีอยู่
ถ้าแกไปพูดเข้าเมื่อไหร่กรรมใหญ่จะตกแก่ตนเอง

ท่านบอกไว้อีกว่า คนที่ชอบด่าหรือใส่ร้ายผู้อื่นรวมไป
ถึงการพูดไม่ดีต่าง ๆ กับคนอื่นนั้น กรรมจะมาเร็วมาก
เขาผู้นั้นจะเป็นคนที่มีศัตรูทั้งภายนอกและภายใน
ไม่เป็นที่รักของคนทั่วไป ตรงกันข้ามกับเป็นคนที่น่ารังเกียจ
แก่คนทั้งหลาย กรรมนี้จะทำให้เขามีเรื่องและเดือดร้อนอยู่เสมอ ๆ
ทั้งทางกายและทางใจ บางคนทำกรรมนี้ไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้ตัว
พอกรรมดีที่ตนเคยสร้างมาแต่ปางก่อนหมดหรือเหลือน้อยลง
กรรมชั่วที่สร้างนี้ก็จะสนองเขาอย่างหนักทั้งในภพนี้และภพหน้า
ในภพนี้เวลาที่กรรมดีแต่ปางก่อนจะส่งผลให้มีความสุขหรือมีโชคลาภ
กรรมชั่วก็จะเข้ามาตัดรอนกรรมดี เหมือนอย่างเขาผู้นั้น
ซื้อหวยเลข 56 หวยก็จะออกเลข 55 หรือ 57 บางที
ก็ติดต่อการค้าหรืองานต่าง ๆ มองเห็นอยู่ว่างานนี้ได้แน่นอน
แต่พอถึงเวลาก็ไปไม่ทันบ้าง ไปแล้วไม่เจอหรือมีเหตุต่าง ๆ
มาทำให้มีอุปสรรคอยู่เสมอ ๆ ซึ่งที่จริงแล้วผู้นั้นจะมีโชคที่ควร
ได้ประมาณเป็นล้าน ๆ เขาก็จะได้แค่หมื่นสองหมื่นหรือโชคครั้งนี้
จะได้หลายหมื่น แต่เขากับได้เพียงไม่กี่พันบาทหรือเพียงได้
ไม่กี่ร้อยเท่านั้นเอง นี้เป็นเพราะกรรมชั่วเข้ามาตัดรอนกรรมดี
และรวมถึงญาติพี่น้องลูกหลาน เขาเหล่านั้นก็จะทำความ
เดือดร้อนเสียหายมาให้ มีพี่น้องหรือญาติไปจนถึงเพื่อนฝูง
ก็จะโกงทรัพย์สินเงินทองของเราบ้าง บางครั้งก็พูดใส่ร้ายให้โทษ
ด่าว่าทะเลาะวิวาท ทำให้เราไม่สบายกายและสบายใจเป็นอย่างมาก
มีเรื่องเดือดร้อนต่าง ๆ อยู่ตลอดเวลาอย่างไม่จบสิ้น
มีลูกหลานก็จะดื้อด้าน ว่านอนสอนยาก ทำความเดือดร้อน
ให้เสียเงินทองอยู่มิได้ขาด ว่ากล่าวลูกหลานไม่เชื่อฟัง
ไม่เครารพนับถือ ลูกหลานบางคนก็จะอกตัญญูตนเองมัก
จะเดือดร้อนด้วยการเป็นโรคร้ายที่รักษายากหรือรักษาไม่หาย
เช่น อัมพฤต อัมพาต มะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ และโรคร้ายต่าง ๆ
อีกมากมายหลายชนิด

หลวงปู่ท่านบอกไว้ว่า กรรมทางวาจามีร้ายแรงมาก
การที่เราพูดใส่ร้ายหรือพูดไม่ดีจนทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนและเสียใจ
หรือไปพูดทำลายความหวังต่าง ๆ ของเขาถ้ารู้ตัวให้หยุดเสีย
ถ้าไม่หยุดหรือเลิกทำเสียกรรมไม่สนองแต่ในชาตินี้
พอตายลงไปยังต้องไปใข้กรรมยังนรกตามขุมต่าง ๆ อีก
ท่านจะพูดและสอนศิษย์อยู่เสมอว่า "คนดีเขาไม่ตีใคร"
ความหมายว่าคนดีไม่ตีใคร ไม่ใช่เอาไม้หรือของแข็ง ๆ ไปตีเขา
แต่ท่านไม่ให้พูดจากไม่ดีด่าว่าใส่ร้ายทำให้ผู้อื่นเดืดดร้อนเสียหาย
และทุกข์ใจ หลวงปู่บอกว่าคนดีเขาไม่ว่าใคร
ถ้าแกไปว่าเขาแกก็จะเป็นคนไม่ดี



ขอบคุณที่มา http://www.dhammakid.com/board/
792  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / วิธีลดกรรม 45 อย่าง เมื่อ: มกราคม 31, 2012, 05:02:08 pm
1. กรรมที่ไม่มีลูก
กรรมจาก การทำร้ายลูกของสัตว์อื่น พรากสัตว์อื่นจากพ่อแม่หรือเคยข่มเหงลูกคนอื่น
ลดกรรม ด้วยการงดกินเนื้อสัตว์ทุกๆ 7 วัน ในทุกๆเดือนทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญบริจาคทานที่มูลนิธิสัตว์หรือมูลนิธิเด็กอ่อน

2. เจ็บป่วยบ่อย หรือเป็นโรคร้าย
กรรมจาก เคยทำทารุณกรรมต่อสัตว์
ลดกรรม ด้วยการทำบุญทำทานกับสัตว์อนาถา ให้อาหารให้ความเมตตา ซื้อยาหรือบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ ทำบุญปล่อยเต่า งดกินเนื้อสัตว์ตลอดชีวิต

3. ตาบอดหรือเป็นโรคตา
กรรมจาก เคยทำร้ายสัตว์ที่ดวงตา หรือไม่เคยทำบุญเติมน้ำมันตะเกียงในชาติก่อน หรือเคยทำลายไฟฟ้าของวัด ของที่สารธารณะ
ลดกรรม ซื้อโคมไฟ หลอดไฟถวายวัด ถวายเทียนห่อใหญ่ ถวายไฟฉาย เติมน้ำมันตะเกียงทุกวันพระ บริจาคเงินในกล่อง ซื้อน้ำมันเติมตะเกียงที่วัด

4. ถูกรถเฉี่ยวชน ถูกลูกหลง ถูกสัตว์กัดต่อย
กรรมจาก จากเคยเป็นคนพาลเกะกะเกเร หาเรื่องเดือดร้อนให้ผู้อื่น มักรังแกและสาปแช่งผู้อื่นอยู่เสมอ
ลดกรรม หมั่นพูดดี มีวาจาไพเราะ

5. สูญเสียคนใกล้ชิด
กรรมจาก เคยยิงนกตกปลา
ลดกรรม ทำบุญไถ่ชีวิตโค กระบือ งดกินเนื้อสัตว์อย่างน้อยสัก 1 อย่างชั่วชีวิต หรือกินเจทุกๆ 3 เดือน ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

6.ถูกนินทา ถูกให้ร้าย
กรรมจาก เคยพูดจาให้เป็นเหตุให้คนอื่นเป็นทุกข์หรือเดือดร้อน
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี พูดดี พูดให้คนอื่นเกิดประโยชน์ พูดให้ผู้อื่นมีความสุข

7. มักเดือดร้อนเพราะไฟ ไฟไหม้บ้าน ไฟดูด
กรรมจาก เคยลบหลู่พระสงฆ์ และศาสนา
ลดกรรม ตักบาตรทุกวันพระ ทำบุญถวายสังฆทานทุกเดือน ฟังเทศน์ฟังธรรมทุกวันพระ หรือทุกๆเดือนในวันพระ ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกจ่ายฟรี

8. ขาดบารมี ไร้ญาติขาดมิตร
กรรมจาก ไม่เคยไปร่วมงานบุญงานศพ
ลดกรรม ร่วมทำบุญงานศพ บริจาคเงิน หรือร่วมด้วยแรงกายช่วยงานอื่นๆในงานศพ เช่นทำอาหาร จัดดอกไม้

9. ตั้งหลักปักฐานไม่ได้ โยกย้ายบ่อย
กรรมจาก ไม่เคยร่วมทำบุญสร้างโบสถ์สร้างวิหาร แก่วัดวาอารามต่างๆ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างหลังคาวิหาร ร่วมทำบุญฝังลูกนิมิต หมั่นไปไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ณ เมืองที่ตนอยู่อาศัย

10. มักถูกรังแก ถูกเบียดเบียน
กรรมจาก ไม่เคยบวช หรือทำบุญงานบวช
ลดกรรม บวช ด้วยจิตศรัทธาปวารถาอย่างบริสุทธิ์ไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงจะบวช 7 วัน หรือ 15 วัน 1 เดือน 1 พรรษา แล้วแต่
จิตศรัทธา ถ้าเป็นสตรีจะบวชชีพราหมณ์ หรือถือศีล 8 ตามเวลาที่สะดวกและตั้งจิตศรัทธา หรือร่วมทำบุญงานบวชอย่างสม่ำเสมอเท่าที่จะทำได้

11. ไม่มีคนชื่นชมเอ็นดู ชาดเสน่ห์
กรรมจาก ไม่เคยถวายของหอม
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระทุกวันพระ ถวายธูปหอม เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย ทองคำเปลว ประน้ำอบน้ำปรุง ประพฤติดี
ปฏิบัติชอบต่อผู้อื่น คิดดี ทำดี พูดดี ให้ผู้อื่นได้ดี มิให้ร้ายผู้ใด

12. เป็นที่รังเกียจ มีกลิ่นปาก กลิ่นตัว
กรรมจาก ทำติเตียนดูแคลน ผู้ที่ชอบทำบุญทำทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทานอย่างสม่ำเสมอ ฟังเทศน์มหาชาติทุกๆปี ชักชวนผู้อื่นให้ร่วมทำบุญหรือบริจาคทานเป็นการบอกบุญผู้อื่น
พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจกฟรี

13. ไปไหนมาไหนลำบาก มีแต่อุปสรรค
กรรมจาก เคยทำลายหนทางสัญจรของวัด หรือของชาวบ้าน หรือทำให้ทางสัญจรสาธารณะได้รับความไม่สะดวก
ลดกรรม บริจาคทรัพย์หรือแรงกายช่วงสร้างสะพาน สร้างทางอันเป็นประโยชน์แก่วัด หรือชุมชนเล็กๆ ช่วยผู้คนยากไร้ให้ได้มียวดยานพาหนะหรือทางสัญจรที่สะดวก

14. เป็นคนรับใช้เขาร่ำไป
กรรมจาก เคยเนรคุณผู้ที่เคยมีพระคุณแก่ตน
ลดกรรม ตอบแทนผู้มีคุณด้วยความกตัญญู ร่วมทำบุญสร้างพระพุทธรูป พระประธาน ทำทานทั้งกับคนและสัตว์

15. ขัดสน อดมื้อกินมื้อ
กรรมจาก เคยละเว้นการใส่บาตร ละเว้นการให้ทาน เมื่อมีคนยากไร้มาขอทานอาหารและน้ำ
ลดกรรม แบ่งปันอาหาร น้ำ เสื้อผ้า แก่คนยากไร้อนา! ถา แม้ไม่มีเงินก็แบ่งปันสิ่งของตามที่มี ตักบาตรทุกเช้าหรือทุกวันพระ

16. อาภัพคู่ ร้างคู่
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขา
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ร่วมทำบุญเป็นเจ้าภาพงานแต่งงานคู่บ่าวสาวที่ยากจน ถวายของเป็นคู่ เช่น แจกันคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ เป็นต้น

17. ได้คู่ที่เลวร้าย ทำร้ายตนหรือทำให้เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยข่มขืนเขาในชาติก่อน เคยทุบตีทำร้ายคู่
ลดกรรม บวชพระ หรือบวชชีพราหมณ์ ทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา

18. อยู่โดดเดี่ยวยามบั้นปลาย
กรรมจาก เคยจับสัตว์ขัง
ลดกรรม ทำบุญปล่อยปลาลงน้ำ ปล่อยนกปล่อยกา ทำบุญทำทานแก่เด็กอนาถาและสัตว์อนาถา

19. รูปร่างหน้าไม่งดงาม
กรรมจาก ไม่เคยถวายดอกไม้ของหอม
ลดกรรม ถวายพวงมาลัยดอกไม้สด ดอกไม้หอม ทำบุญบริจาคดวงตา บริจาคร่างกายให้โรงพยาบาล

20. มักถูกโกง ถูกเบี้ยวเงิน
กรรมจาก เคยคดโกงผู้อื่น!
ลดกรรม สละทรัพย์บริจาคร่วมการกุศลต่างๆ ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน อุทิศส่วนกุศลแก่เจ้ากรรมนายเวรทุกๆ เดือน

21. พิการ ร่างกายไม่สมประกอบ
กรรมจาก เคยทุบตีพ่อแม่ ด่าพ่อแม่ หรือทำร้ายพ่อแม่
ลดกรรม หมั่นทำบุญไหว้พระ ปล่อยนกปล่อยปลา ถือศีล 5 ศีล 8 เจริญภาวนา นั่งวิปัสสนากรรมฐาน

22. มีคดีความ
กรรมจาก เคยพบคนทุกข์ร้อนแล้วไม่ช่วยหรือพยายามหาทางช่วยเหลือ
ลดกรรม หมั่นทำบุญปล่อยนกปล่อยปลา นั่งสมาธิ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือนๆ ละ 7 วัน

23. ไร้ที่อยู่เป็นหลักแหล่ง
กรรมจาก ไม่สงเคราะห์คนอนาถา ที่มาขออาหาร ขอชายคาหลบฝน ไม่มีน้ำใจช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยาก
ลดกรรม ร่วมทำบุญซื้อกระเบี้องหลังคาโบสถ์ หมั่นไปกราบไหว้บู! ชาศาลหลักเมือง ทำบุญทำทานแก่สัตว์พิการหรือสัตว์จรจัด

24. จิตใจขุ่นมัว ดุดัน ขี้โมโห
กรรมจาก มักตะหนี่ในการทำบุญ
ลดกรรม สวดมนต ์ไหว้พระ ทุกวันพระ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน ถือศีล 5 หรือศีล 8 ทุกๆ 3 เดือน บริจาคทาน แบ่งปันเงินทองหรือ สิ่งของแก่ผู้ตกทุกข์ได้ยาก หรือร่วมทำบุญบริจาคทานกับมูลนิธิสถานสงเคราะห์ และวัดวาอารามต่างๆ

25. ไม่มีชื่อเสียง
กรรมจาก เคยติฉินนินทาทำให้ผู้อื่นเสียหาย
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างหอระฆัง ร่วมทำบุญหล่อเทียนพรรษา ทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา

26. ไม่มีวาสนาบารมี
กรรมจาก ไม่เคยนับถือชื่นชมผู้นับถือธรรมมะ
ลดกรรม ทำบุญสร้างพระพุทธรูป ทำทานกับคน

27. มีลูกหลานไม่ดี เกเร ไม่เชื่อฟัง
กรรมจาก ทำแท้ง เคยทำร้ายคนใกล้ชิดมาก่อน และทำร้ายจิตใจครอบครัวในชาติก่อน
ลดกรรม บวชเณร โดยให้ลูกบวชหรือไปร่วมบวช จะทำให้กรรมน้อยลง ปฏิบัติธรรมอุทิศให้ลูกตนเอง

28. เจอแต่คนเอาเปรียบ
กรรมจาก เคยเบียดเบียนเงินพ่อแม่ไว้ในอดีตชาติ เคยโกงคนไว้ในอดีตชาติ ขโมยเงินครอบครัวมาใช้
ลดกรรม หมั่นยึดถือศีล 5 ให้มั่น ไม่ดื่มเหล้า ทำให้ขาดสติ โดนโกงง่าย หมั่นสวดมนต์ อธิษฐานบารมีด้านขอพรให้พบเจอคนดีๆ เข้ามาในชีวิต

29. เกิดในสกุลต้อยต่ำ
กรรมจาก โอหัง อวดดี จิตใจคับแคบ
ลดกรรม ร่วมทำบุญสร้างวัด สร้างพระประธาน ทำบุญทำทานกับคนยากไร้ และสัตว์อนาถา พิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

30. ไร้สง่าราศี ขาดวาสนา
กรรมจาก เคยเมาสุระอาละวาด ระรานผู้อื่น!
ลดกรรม นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ทำทานกับคนอนาถา และสัตว์อนาถา ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี

31. ไม่เจริญก้าวหน้า จิตใจเป็นทุกข์
กรรมจาก เคยชักจูงคนทำชั่ว
ลดกรรม ถือศีล 8 เป็นเวลา 7 วัน ทุกๆ 3 เดือน หมั่นทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน

32. จิตใจฟุ้งซ่าน เป็นทุกข์
กรรมจาก เคยริษยาผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญตักบาตร ถวายสังฆทาน ปล่อยปลาลงน้ำ นั่งสมาธิ สวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

33. ชีวิตตกต่ำ ทำสิ่งใดไม่เจริญ
กรรมจาก เคยทำแท้ง
ลดกรรม ปล่อยปลาลงน้ำทุกๆ เดือน จนครบ 9 เดือน หรือ 1 ปีเต็ม ถวายสังฆทาน ทำบุญใส่บาตรเสมอ

34. เป็นเมียน้อย เมียเก็บ
กรรมจาก เคยผิดลูกผิดเมียเขามาก่อน ขืนใจเขาโดยไม่ยินยอม เคยอธิษฐานจิตร่วมกันมาว่ากี่ภพก็ขอให้ได้ใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน
ลดกรรม ถวายธงคู่ ธูปคู่ เชิงเทียนคู่ หมอนคู่ อย่างใดก็ได้ อธิษฐานจิตขอให้ชีวิตคู่ที่ดีขึ้น บวชชีพราหมณ์ ปีละ 1 ครั้ง 3 วัน อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยล่วงเกินให้ได้รับกุศลและเปิดทางให้ชีวิตคู่ดีขึ้น ร่วมเป็นเจ้าภาพงานแต่ง เพื่อชีวิตตนจะดีขึ้นและสมหวัง สวดมนต์ขอพรทุกวันเกิดด้านความรักให้สมหวังต่อไป ทำบุญสังฆทานสด ในวันเกิดตนเอง เดือนละครั้ง เพื่ออุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติและวิญญาณที่ตามมาให้ได้รับกุศลและอโหสิกรรม

35. เป็นทุกข์เพราะคนในครอบครัว
กรรมจาก เคยลำเอียง ไร้คุณธรรมในด้านครอบครัวไว้ก่อน เคยเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดไว้ในชาติอดีตและชาติปัจจุบัน เคยทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกในอดีตชาติ
ลดกรรม ต้องบวชชีพราหมณ์ เพราะเมื่อเกิดอีกภพชีวิตจะได้ดีมีชีวิตที่ดีขึ้น เพราะกุศลของการบวช ปฏิบัติธรรมทำให้เจ้ากรรมนายเวร อโหสิกรรม และตนเองได้พบสิ่งที่มีกุศลมากขึ้น ยึดพรหมวิหาร 4 มี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา จะทำให้ชีวิตมีความเมตตา และไม่ลำเอียงเอารัดเอาเปรียบคนใกล้ชิด ทำให้วิถีชีวิตมีคนนับถือและพ้นจากความทุกข์ในเรื่องญาติพี่น้องยุ่งเกี่ยวได้ นำพระคู่บ้านคู่เมืองเข้าสักการะที่บ้าน และสวดมนต์ขอพรให้ครอบครัวอยู่เย็นเป็นสุข

36. เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต
กรรมจาก ฆ่าสัตว์ ทรมานสัตว์ ทำร้ายคนไว้ในอดีตชาติและปัจจุบันชาติ
ลดกรรม ตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติปัจจุบันชาติ รวมถึงสรรพสัตว์ทั้งหลายให้ได้กุศลและอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน ปล่อยสัตว์ลงน้ำในวันเกิดตนเอง กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรได้รับและอโหสิกรรม ถวายยาเข้าวัด หรือช่วยเหลือคนป่วย

37. เป็นมะเร็ง
กรรมจาก รู้เห็นเป็นใจกับการทำแท้ง การทารุณสัตว์ หรือการทำร้ายเบียดเบียนผู้อื่น
ลดกรรม ทำบุญใหญ่อุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร และบวชชีพราหมณ์ 1 เดือน เพื่อส่งกุศลให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรม
ทำบุญสร้างพระพุทธรูป สร้างโบสถ์หรือสร้างศาลาวัด ร่วมพิมพ์หนังสือธรรมะแจกฟรี หมั่นนั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน

38. ค้าขายขาดทุน ทำงานไม่ก้าวหน้า
กรรมจาก เคยลบหลู่เจ้าที่เจ้าทาง
ลดกรรม หมั่นทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ถวายเครื่องเซ่นสังเวย เจ้าที่-เจ้าทาง หมั่นสวดมนต์บทคาถาพระชินบัญชร

39. ด้อยปัญญา
กรรมจาก ฝักใฝ่อบายมุขในชาติก่อน หรือชักชวนคนไปทำชั่ว ดูแคลนหลักธรรมมะ
ลดกรรม พิมพ์หนังสือธรรมะจ่ายแจก ทำบุญทำทานกับโรงเรียนของเด็กพิการหรือตามมูลนิธิต่างๆ

40. ตกงาน
กรรมจาก เคยกลั่นแกล้งผู้อื่นในเรื่องงาน หรือแย่งงานผู้อื่น
ลดกรรม หมั่นทำบุญทำทาน ร่วมงานบุญต่างๆ ปล่อยนกปล่อยปลา

41. ไม่มีโชคลาภ
กรรมจาก ไม่เคยสวดมนต์ไหว้พระ
ลดกรรม หมั่นทำบุญสวดมนต์ไหว้พระ ถวายธูป เทียน ดอกไม้สด พวงมาลัย และทองคำเปลว

42. เรียนไม่จบ การเรียนมีอุปสรรค
กรรมจาก ชาติก่อนปฏิเสธการฟังเทศน์ฟังธรรม
ลดกรรม หมั่นเข้าวัด ร่วมงานบุญต่างๆ ฟังเทศน์ อ่านหนังสือธรรมะ

43. มีอาชีพต้อยต่ำที่ผู้คนดูแคลน
กรรมจาก ชาติก่อนเคยบวชด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์ ไร้ความศรัทธา อาศัยผ้าเหลืองหากิน
ลดกรรม ถือศีล 5 ศีล 8 นั่งสมาธิ ฝึกกรรมฐาน ถวายสังฆทานทุกเดือน หรือทุก 3 เดือน

44. ครอบครัวยากจน
กรรมจาก ชาติก่อนไม่เคยบริจาคทาน
ลดกรรม หมั่นทำบุญด้วยการบริจาคทาน ถ้ามีเงินไม่มากก็บริจาคเป็นสิ่งของ แรงกาย หรือน้ำใจ ต่อผู้ตกทุกข์ได้ยาก เช่น ไปช่วยอ่านหนังสือให้มูลนิธิคนตาบอด

45. เป็นทุกข์เพราะความรัก
กรรมจาก ชาติก่อนเจ้าชู้ หลอกผู้อื่นให้อกหัก
ลดกรรม ประพฤติดีปฏิบัติดีทั้งความคิด กาย วาจา ใจ ร่วมทำบุญงานแต่งงาน ทำสิ่งดีๆ ให้คนอื่นได้สมรักสม

อ่านให้จบเพราะ จุดเด่นอยู่ที่ข้อ 19 ค่ะ
กฏแห่งกรรม
1. เหตุใดคุณมีเสื้อผ้าแพรพรรณอันงดงามสวมใส่มากมาย
เพราะชาติก่อนคุณเคยถวายจีวรแด่พระสงฆ์

2. เหตุใดชาตินี้คุณมีอาหารดีดีรับประทานอยู่เสมอ
เพราะชาติก่อนคุณเคยทำทานอาหารแก่คนยากจนในชาติก่อน

3. เหตุใดชาตินี้คุณอดอยากยากจน ไม่มีเสื้อผ้าดีดีสวมใส่
เพราะคุณตระหนี่ขี้เหนียวไม่ยอมทำทานคนจน ในชาติก่อน

4. เหตุใดชาตินี้คุณมีบ้านเรือนให­ญ่โต
เพราะคุณเคยถวายข้าวสารเข้าวัดในชาติก่อน

5. เหตุใดชาตินี้คุณมีความเจริ­ญรุ่งเรืองและมีความสุขมาก
เพราะคุณเคยถวายเงินสร้างวัดในชาติก่อน

6. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนสวย และรูปงาม
เพราะคุณเคยถวายดอกไม้สดบูชาพระด้วยความเคารพในชาติก่อน

7. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนฉลาดปราดเปรื่องมีปัญญาดี
เพราะคุณเคยเป็นพุทธมามกะและทานมังสวิรัติในชาติก่อน

8. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นที่รักของทุกๆ คนและมีเพื่อนมากมาย
เพราะคุณเคยสร้างมนุษย์สัมพันธ์ที่ดีต่อทุกคนในชาติก่อน

9. เหตุใดชาตินี้คุณมีพ่อ แม่อยู่พร้อมหน้า
เพราะคุณเคารพและให้ความช่วยเหลือ ไม่ดูแคลนคนไร้­ญาติในชาติก่อน

10. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นเด็กกำพร้า
เพราะคุณเคยยิงนก ตกปลา และพรากสัตว์ในชาติก่อน

11. เหตุใดชาตินี้คุณมีอายุยืนแข็งแรง
เพราะคุณเคยปล่อยนก ปล่อยปลา สิ่งมีชีวิตในชาติก่อน

12. เหตุใดชาตินี้คุณอายุสั้น
เพราะชาติก่อนคุณเคยฆ่าสัตว์มากมาย

13. เหตุใดชาตินี้คุณเป็นคนรับใช้
เพราะชาติก่อนคุณเคยดูถูกเหยียดหยามคนจน

14. เหตุใดชาตินี้คุณมีด??งตาสดใส
เพราะชาติก่อนคุณเคยเติมน้ำมันตะเกียงและจุดไฟบูชาพระ

15. เหตุใดชาตินี้คุณโง่ปั­­ญญาอ่อนและหูหนวก
เพราะชาติก่อนคุณเคยด่าว่าและหยาบคายต่อหน้าพ่อแม่

16. เหตุใดชาตินี้คุณต้องตายเพราะยาพิษ
เพราะชาติก่อนคุณเจตนาวางยาในต้นน้ำลำธารให้เป็นพิษ

17. เหตุใดชาตินี้คุณจึงแขวนคอตาย
เพราะชาติก่อนคุณใช้ตะข่ายล่าและดักสัตว์

18. ถ้าชาตินี้คุณฆ่าเขา
ชาติหน้าเขาก็จะฆ่าคุณ และจะฆ่ากันไป-มาไม่มีสิ้นสุด

19. ถ้าชาตินี้คุณบอกเล่ากฏแห่งกรรม
คุณจะเป็นที่เคารพนับถือมากมายในชาติหน้า

**อ่านเสร็จแล้ว ถ้าส่งต่อ ก็เหมือนได้ปฏิบัติตามกฏแห่งกรรม ข้อที่ 19 แล้ว ด้วยความปราถนาดี**


ขอขอบคุณ http://www.dhammakid.com/board/
793  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / กฎแห่งกรรม เรื่อง เวรกรรมตามลมปาก เมื่อ: มกราคม 31, 2012, 04:50:48 pm
เรื่องที่ฉันจะเล่าให้คุณได้ฟังนี้ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับแพง ลูกสาวคนเดียวของฉัน  ฉันเองก็ไม่รู้ว่า ชาติที่แล้ว ตัวเองทำบาปทำกรรมอะไรไว้ ในชาตินี้ ฉันจึงได้มีลูกสาวที่ดื้อ ปากเก่ง และเป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างไม่น่าเชื่อ

         แพง : แม่!! แม่เอาเสื้อหนูไปไว้ไหนน่ะ!! เสื้อสีฟ้าที่หนูพึ่งซื้อมา
                   แม่เอาไปไว้ไหน บอกมานะ!!!!
                   โอ๊ย ยาย ยายไปห่างๆ ได้ไหม หนูบอกแล้ว ว่าตัวยายน่ะ
                   เหม็นมาก เหม็นจนอยากจะอ้วกเลยล่ะ ออกไปห่างๆ ไป ...
         นี่คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในครอบครัวของฉัน บ้านของเราอาศัยอยู่ด้วยกันทั้งหมด 4 คน มี ฉัน สามี ลูก และแม่ของฉัน ...
         สามีของฉันทำงานเป็นข้าราชการ อยู่ที่กระทรวงแห่งหนึ่ง เงินเดือนที่ได้ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก แต่ก็นับว่ายังดี ที่พวกเราก็ไม่ได้ถึงกับขาดแคลน .... และด้วยความที่ฉันกับสามี มีลูกสาวเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นตั้งแต่เด็กๆ มา ไม่ว่าแกจะอยากได้อะไร ฉันกับสามีก็จะซื้อให้ หามาให้ ด้วยหวังว่าลูกจะได้รู้สึกถึงความรักและความห่วงใยที่เรามีต่อแก ... แต่ดูเหมือนว่า สิ่งที่ฉันเคยหวัง มันกลับไม่เคยเป็นอย่างที่หวัง
        แพง : แม่...พรุ่งนี้หนูจะไปทัศนศึกษากับเพื่อน แต่หนูไม่มีเงินติดตัวเลย
                     แม่เอาเงินให้หนู 500 ได้ไหม
      แม่    :  เอาไปทำไมตั้ง 500 ล่ะลูก หนูจะใช้อะไรเยอะขนาดนั้น
        แพง : โอ๊ย!!!!  500 เนี่ยเหรอเยอะ ซื้อของชิ้นเดียวก็หมดแล้ว  ...
                     แม่เอามาเหอะ อย่าพูดมากน่ะ หนูไม่อยากจะทะเลาะด้วย ...
                     อ้อ แล้วพรุ่งนี้เย็นๆ เพื่อนหนูจะมากินข้าวด้วย อย่าลืมทำกับข้าว
                     เผื่อนะคะ  แล้วก็บอกยายด้วยว่า ไม่ต้องมากินข้าวกับหนู
                     เพราะยายกินข้าวหกเลอะเทอะ หนูอายคนอื่นเขา ..
         นี่คือคำพูดที่ลูกใช้พูดกับฉัน  ... และเป็นคำพูดที่ลูกพูดถึงยายแท้ๆ ของแกเอง ... ฉันเองเคยห้ามปรามลูกด้วยการขู่ว่า ถ้าแกยังไม่เลิกพูดอย่างนี้ ชาติหน้า แกอาจจะมีปากเท่ารูเข็ม ...  แต่ผลที่ได้ตอบกลับมาก็คือ
        แพง : ชาติหน้ามีจริงรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วถ้าหนูจะมีปากเท่ารูเข็มจริงๆ
                     หนูไปฆ่าตัวตายดีกว่า ... หนูไม่อยู่ให้โง่หรอก
                  วันเวลาผ่านไป เหตุการณ์ต่างๆ ก็ดูเหมือนจะหนักข้อขึ้นทุกวัน ลูกสาวของฉันใช้คำพูดแสบ ๆ ทิ่มแทงคนในครอบครัวกันเองอยู่เสมอ ... ทำให้ฉันและสามีรู้สึกหนักใจเป็นอย่างมาก ฉันกับสามีได้มานั่งปรึกษากัน ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพยายามหาทางออก แต่ยิ่งคิดอย่างไร ก็ดูเหมือนว่ามันจะไม่มีทางออกทางไหนเลย แม่ของฉันเองก็ได้แต่เตือนว่า
         ยาย : เอ็งต้องระวังนังแพงไว้ให้ดีนะนังหนู  ปากมันน่ะ ชอบพูดจาดูถูก
                    คนอื่นเขา ไอ้ลำพังมันดูถูกข้า ข้าก็ไม่โกรธ เพราะยังไงมันก็หลาน
                    แต่ไอ้การที่มันไปไล่ปากเก่งกับคนอื่นเขาน่ะ ระวังมันจะเป็นเรื่องเข้าสักวัน 

         ฉันเองก็รู้สึกหนักใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน แต่ก็ไม่คิดว่า เหตุการณ์ที่แม่บอกไว้ มันจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด
         วันนั้น แพงและเพื่อนได้นัดกันออกไปเที่ยวข้างนอก แต่ก่อนที่แกจะออกไป แกก็โวยวายขึ้นมา ซึ่งนั่นเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันเหลืออดจริงๆ
        แพง : ยาย ยายทำบ้าอะไรเนี่ย .. ยายรีดเสื้อประสาอะไร ทำไมมัน
                     ไหม้อย่างนี้ล่ะ ...เสื้อตัวนี้ แพงซื้อมาตั้งเท่าไร รู้มั๊ย ...  โง่จริงๆ เลย
                     แก่แล้วยังไม่เจียมอีก รีดไม่เป็นวันหลังก็ไม่ต้องมาทำสิ ...
         แม่ : แพง โวยวายอะไรกับคุณยายน่ะลูก
         แพง : ก็คุณยายน่ะสิคะ ทำเสื้อแพงไหม้เป็นรู อย่างงี้จะไม่ให้ด่าได้ยังไงล่ะ
                     แพงจะใส่วันนี้ด้วย
        แม่ : แพง คุณยายเขาอุตส่าห์รีดให้นะลูก ขอโทษคุณยายเดี๋ยวนี้
        แพง : แม่พูดอย่างงี้ได้ยังไง คุณยายเป็นคนผิดนะ จะให้แพงขอโทษน่ะเหรอ
                    ไม่มีวันซะหรอก
         แม่ : แม่บอกให้แพงขอโทษคุณยายเดี๋ยวนี้
         แพง : แม่ฝันไปเถอะว่าแพงจะขอโทษคุณยาย...งี่เง่า!!
(SFX: ฉาด)
         แพง : แม่!!!!!!!!
        แม่ :  แม่ไม่เคยสอนให้หนูเป็นคนอย่างนี้เลย แต่ทำไมหนูถึงกลายเป็นคนก้าวร้าว
                   เห็นแก่ตัวอย่างนี้ แม่ทนมานานแล้วนะแพง ทำไมหนูทำแบบนี้
         แพง : แม่ แม่จำไว้เลยนะ แม่ตบแพง ... แม่ตบตีลูกตัวเอง แม่จะต้องได้รับกรรม
(SFX: เสียงวิ่งออกไป)
         และนั่น ก็เป็นเสียงสุดท้ายที่ฉันได้ยินจากลูก แพงหายออกจากบ้านไปเป็นเวลาหลายอาทิตย์หลังจากนั้น ฉันเองรู้สึกเสียใจ ที่ได้ทำกับลูกอย่างนั้น ... แต่ก็ยังดี ที่สามีของฉันไม่ถือโทษโกรธ และยังให้กำลังใจว่า สักวันลูกก็ต้องกลับมา ...
         และในที่สุด ในคืนหนึ่ง ฉันกับสามี ก็ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจ ที่โทรมาบอกว่า ลูกของฉันกำลังถูกนำตัวส่งห้องไอซียู ... ฉันกับสามีรีบรุดไปดูลูกที่โรงพยาบาล และได้รับการบอกเล่ากับเพื่อนของลูกที่อยู่ในเหตุการณ์ว่า แพงกับเพื่อนได้ไปเที่ยวที่สถานบันเทิงแห่งหนึ่ง แต่โชคไม่ดี
         ที่กลุ่มของแพงได้ไปเจอเด็กวัยรุ่นเมายาเข้า จึงเกิดมีปากเสียงและได้ลงไม้ลงมือกัน ขณะที่แพงกับเพื่อนผู้หญิงอีกหลายคนกำลังพยายามวิ่งหลบแก้วและขวดที่ถูกขว้างปากันอยู่นั้น ก็บังเอิญมีผู้ชายคนหนึ่งมาขัดขาแพงเข้า ทำให้แพงเซถลาไปข้างหน้าและปะทะกับเหล็กด้ามใหญ่ที่คู่อริกำลังเงื้อตีเข้ามา ... เหล็กท่อนนั้น ฟาดลงที่ช่วงคอของแพงพอดี และหลังจากนั้น แพงก็หมดสติล้มลงไป
         ฉันได้ฟังเพื่อนของลูกเล่าเหตุการณ์อย่างนั้นก็รู้สึกใจหายอย่างบอกไม่ถูก ... เพราะลำพังเวลาที่คอโดนกดหรือโดนใครเอามือบีบ ก็รู้สึกแย่พอแล้ว แต่นี่ลูกของฉันถูกเหล็กท่อนใหญ่ฟาดเข้าไปที่ลำคอ ... ฉันไม่อยากจะนึกภาพเลย ... ฉันกับสามีและแม่นั่งรอดูอาการของลูกอยู่อย่างนั้น จนในที่สุด คุณหมอก็ออกมาจากห้องไอซียู
         แม่ : คุณหมอคะ ลูกสาวดิฉันเป็นอย่างไรบ้างคะ
         หมอ : คุณต้องทำใจดีๆ นะครับ เพราะผมมีทั้งข่าวร้ายและข่าวดีมาบอก ...
                     ข่าวดีของลูกคุณก็คือว่า แกปลอดภัยแล้ว แต่ข่าวร้ายก็คือ แกอาจจะ
                     พูดไม่ได้อีกเลยตลอดชีวิต เพราะกล่องเสียงของแกแตก ด้วยถูกเหล็ก
                     กระแทกอย่างรุนแรง

         กล่องเสียงแตก พูดไม่ได้ ... เป็นคำพูดที่สะท้อนอยู่ในหัวของฉันตลอดเวลา ฉันพยายามคิดหาเหตุผลมากมายว่าทำไมเหตุการณ์นี้ ต้องเกิดขึ้นกับครอบครัวของฉัน ... หรือว่าสาเหตุมันจะมาจากตัวฉัน ... ฉันวนเวียนคิดไปมาทั้งคืน จนในที่สุด คำตอบที่ได้ก็มาจากปากของแม่ฉันเอง ...
         ยาย : มันเป็นกรรมยังไงล่ะนังหนู ... ลูกสาวเอ็งมันทำกรรมด้วยการด่าทอ
                    ให้ร้ายบุพการีและผู้มีพระคุณ กรรมจึงตามลงโทษมัน ทำให้มันต้อง
                     เป็นแบบนี้  ...
                     บาปกรรมน่ะ ไม่ต้องรอให้ถึงชาติหน้า เพราะแค่ชาตินี้  มันก็ตามเราทันแล้ว
                     ... ทำใจซะเถอะลูก
         เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ คงจะทำให้ลูกสาวของฉันคิดได้ ... เพราะแม้แกเองจะพูดอะไรไม่ได้ แต่น้ำตาที่ไหลออกมา ก็ทำให้ฉันรู้ว่า แกคงเสียใจกับการกระทำในอดีตไม่น้อย  ... ฉันเองก็ได้ปลอบใจลูก และได้แต่หวังว่า วันใดวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า บาปกรรมที่แกเคยได้ก่อไว้ อาจจะเบาบางและจางหายไป และวันนั้น อาการของลูกสาวฉันอาจจะดีขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้     


  อาหุเนยยา จะ ปุตตานัง   บิดามารดา เป็นที่นับถือของบุตร
794  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: ชมภาพ "งานหล่อพระพุทธมัชฌิมามุนี" ๒๙ มกราคม ๒๕๕๕ (๒) เมื่อ: มกราคม 31, 2012, 10:44:44 am
อนุโมทนาค่ะ สาธุ  :25: :25: :25:
795  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / Re: ชมภาพ "งานหล่อพระพุทธมัชฌิมามุนี" ๒๙ มกราคม ๒๕๕๕ (๑) เมื่อ: มกราคม 31, 2012, 10:36:37 am
อนุโมทนา ด้วยนะค่ะ  :25: :25: :25:
796  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / หญิงเปรต.. เมื่อ: มกราคม 29, 2012, 04:06:57 pm

หญิงเปรต..

สมัยหนึ่ง ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ วัดป่าช้าบ้านหัวดง(ปัจจุบันวัดป่าศรีสมพร :ผู้โพสต์) อ.เมือง จ.นครพนม กับ พระอาจารย์อ่ำ (ธัมมกาโม)

ที่นั้นเป็นป่าช้าเก่าแก่ ตั้งแต่สมัยเริ่มตั้ง จ.นครพนม เมื่อไปอยู่แล้ว ก็ตั้งใจทำความเพียร เพราะเราจากครูบาอาจารย์มาแล้ว จะประมาทไม่ได้ ในพรรษานั้น ก็ตั้งใจไม่นอนตลอดไตรมาส ๓ เดือน ทำความเพียรอยู่ใน ๓ อิริยาบถเท่านั้น คือ เดิน ยืน นั่ง ทำอยู่อย่างนั้น ไม่ลดละ ไม่หวั่นไหวต่อชีวิตสังขาร เพราะหวั่นไหวแล้วก็ไม่ได้ตามใจหมายทั้งนั้น ทำคุณงามความดี ให้เกิดมีขึ้นในตนเสียดีกว่า

วันหนึ่ง เดินจงกรมถึง ๓ ทุ่ม แล้วก็ยืน ยืนกำหนดลมหายใจเข้าว่า พุท ออกว่า โธ อยู่กับ อานาปานสติกรรมฐาน ไม่ลดละ ไม่นาน จิตก็วางพุทโธ จิตก็รวมพึบ เกิดแสงสว่างกระจ่างแจ้งในท่ายืนนั้น ไม่นานก็มีกลิ่นเหม็นลอยมา กลิ่นอะไรหนอ เขาฝังศพไม่ลึก แล้วหมาไปคุ้ยกินหรือเปล่า หรือว่ากลิ่นอะไร

ไม่นาน ก็ปรากฏเป็นหญิงเปรต ๓ ตน ร่างกายใหญ่โต ตัดผมสั้นทรงดอกกระทุ่มเหมือนคนโบราณในภาคอีสาน ไม่มีผ้าปกปิดร่างกาน มายืนอยู่ตรงหน้า ห่างประมาณ ๒ วาเท่านั้น มีหนอนตัวดำ ๆ ใหญ่ ๆ ขนาดเท่านิ้วมือเจาะไชของลับเต็มไปหมด แทงงัด ๆ บิดซ้ายบิดขวาเจ็บปวด มีน้ำเน่าไหลโทรมกายโทรมขา โทรมก้น ส่งกลิ่นเหม็น ไม่นานก็เอาของลับไปถูไถกับเครือไม้ กิ่งไม้ ต้นไม้ หนอนหลุดออก แล้วก็ไต่เข้าไปอีก

กำหนดถามไปว่า “ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ?”

เขาก็ตอบว่า “ท่านอาจารย์ ตั้งแต่เริ่ม จ.นครพนม พวกข้าพเจ้าทั้ง ๓ คนนี้เล่นชู้นอกใจผัว ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ทำให้ผัวคับแค้นอัดอั้นตันใจ ได้ไม่พอกิน ไม่อิ่ม เป็นคนมักมาก ขี้โลภในกิเลสกาม นั่นแหละ พระเทศน์ให้ฟังว่า กาเมสุมิจฉาจาร นั้น ไม่ให้ทำ เป็นบาปชั่วช้าลามกก็เฉย ไม่เชื่อฟัง เอาแต่สนุกสนานในการคบชู้สู่ชาย ไม่เลือกทั้งฆราวาส ทั้งพระ เอาหมดทั้งนั้น เมื่อตายแล้ว จึงมาเกิดเป็นเปรต มีหนอนเจาะของลับอยู่ในป่าช้านี่แหละท่าน”

ถามว่า จะพ้นจากกรรมได้เมื่อไร ก็ไม่รู้ ทำอย่าไรจึงจะพ้นกรรม ก็ไม่รู้อีก จึงได้กำหนดถามพระธรรมตัวเองว่า

“หญิงเปรต ๓ ตนนี้ เป็นญาติของเราบ้างไหมหนอ ?”

พระธรรมพูดขึ้นมาที่ใจว่า “เป็น...เป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว ครั้นเมื่อเราตกทุกข์ได้ยาก เขาก็ช่วยเหลือสงเคราะห์ ต่างคนก็ต่างสงเคราะห์กันมาอย่างนี้ มาชาตินี้ภพนี้ ต่างคนต่างทำกรรมไม่เหมือนกัน ต่างคนก็ต่างไปคนละภพ แต่กรรมเก่าที่เคยสงเคราะห์กันมา ก็ดลบันดาลให้มาจำพรรษาอยู่ที่นี่ ฉะนั้น จงช่วยเหลือสงเคราะห์เขาเสีย”

จากนั้นก็พูดกับหญิงเปรตนั้นว่า

“โยมทั้ง ๓ กับอาตมา เคยเป็นญาติกันมาแต่ปางก่อนโน้น หลายภพหลายชาติแล้ว ต่างคนต่างทำกรรมไม่ดี มาชาตินี้ก็เปลี่ยนแปลงภพชาติเป็นอย่างนี้ แต่กรรมเก่าก็ส่งผลให้มาสงเคราะห์ อาตมาจะสงเคราะห์ให้เอาไหม ?”

“เอา...เมตตาสงเคราะห์บ้างเถิดท่าน เป็นเปรตตกทุกข์ยาก ทรมานมานานแสนนาน ตั้งแต่เริ่มตั้ง จ. นครพนม แล้วละท่าน”

“เอ้า...นั่งลง เจ็บปวดก็ทนเอานะ เพราะตนเองทำไว้ ทำอย่างไรก็ให้ผลอย่างนั้น นั่นแหละ อัตตะนา วะกะตัง ปาปัง อัตตะนา สังกิสิสสะติ อัตตะนา อะกะตัง ปาปัง อัตตะนา วะ วิสุชฌะติ ทำบาปเอง ย่อมเศร้าหมองเอง ไม่ทำบาปเอง ย่อมหมดจดเอง ความหมดจดและความเศร้าหมองเป็นของเฉพาะตน คนอื่นยังคนอื่นให้หมดจดและเศร้าหมองหาได้ไม่ ฉะนั้น บุญก็ดี บาปก็ดี ตนของตนเองหรอก เป็นผู้กระทำสะสมไว้ และให้ผลเป็นทุกข์แน่นอน”

เขาก็นั่งลง กราบไหว้ เสร็จแล้วก็ให้เขารับ พระไตรสรณคมน์ และ ศีล ๕ ธรรมทั้งสองรวมกันเข้าแล้วก็ได้ชื่อว่า มนุสสธัมโม จะได้ภพชาติกับมาเป็นมนุษย์อีก

ต่อจากนั้น ก็ให้เขาเดินจงกรมบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ ยืนภาวนาบูชา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญ พระไตรสรณคมน์และศีล ๕ กับการเดินจงกรม นั่งภาวนา เป็นการบำเพ็ญบุญเพื่อล้างบาป พวกท่านทำบาปใหญ่โตมโหฬารแล้ว ใคร ๆ ก็ไม่ต้องการทั้งนั้น ฝนตกก็หนาว ลมพัดก็หนาว แดดออกก็ร้อน เป็นทุกข์ยากลำบากแสนกันดารนานแล้วนั่นแหละ จะบอกให้ชาวบ้านหัวดง เขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ เขาก็เป็นญาติของเราของท่านเหมือนกัน ..พอรุ่งเช้า เสร็จจากการบิณฑบาตแล้ว ก็เล่าให้โยมฟังว่า

“เมื่อคืนได้พบหญิงเปรต ๓ ตน มาหา ไม่มีเสื้อผ้าใส่ มีแต่หนอนเจาะไชของลับ เจ็บปวดแสนทุกข์ยากทรมาน ดูแล้วน่าสังเวชสลดใจ พวกเขาเหล่านั้นก็เคยเป็นญาติพี่น้องกับพวกท่านมา ฉะนั้น จงทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้เขาเสีย”

ชาวบ้านเขาทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วเปรตเหล่านั้นก็มารับส่วนบุญ พอถึงวันพระ ๘ ค่ำ ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ ก็ให้เขามารับพระไตรสรณคมน์ และศีล ๘ ตามอย่างมนุษย์

นั่นแหละ เทศน์แนะนำพร่ำสอนเขาอยู่อย่างนั้น กรรมชั่วช้าลามกใครเล่าทำให้ เราเองหรอกเป็นผู้มักมาก มักใหญ่ใฝ่สูง ไม่ยอมทำความดี ทำแต่ความชั่วใส่ตัวอยู่เป็นนิจ นี่แหละทำลงไปแล้วก็ให้ผลเป็นทุกข์อย่างนี้

ต่อจากนั้น บางคืนสงบสงัด ก็ได้ยินเสียงร้องไห้อยู่กลางป่าช้า (บางทีกลางวันสงบสงัดก็ได้ยิน)

“โอ๊ย ! ... เจ็บเหลือเกิน เจ็บเด๊...ปวดเด๊...พ่อเอ๊ย...แม่เอ๊ย...เมื่อไหร่หนอจะพ้นจากกรรมเวร”

ได้ยินแล้วน่าสงสาร น่าสังเวชสลดใจ

เวลาล่วงเลยไปถึงเดือนตุลาคม ขึ้น ๑๐ ค่ำ ไปยืนภาวนาอยู่กลางป่าช้า ไม่นาน จิตใจก็สงบ เห็นหญิงเปรต ๓ ตนนั้นมาหา ใส่เสื้อผ้าและมีผ้าเฉลียงบ่าเรียบร้อยดี เข้ามากราบแล้วพูดว่า

“ท่านอาจารย์ พวกดิฉันพ้นบาปกรรมจากกำเนิดเป็นเปรตแล้ว เพราะว่าท่านมาโปรด หนอนเจาะของลับนั้นตายหมดแล้ว เพราะอำนาจของพระไตรสรณคมน์ และศีล ๕ สังหารล้างบาปเคราะห์เข็ญเวรร้ายได้หมด และอำนาจที่ไปอนุโมทนากุศลกับญาติทั้งหลายที่อุทิศให้ และท่านอาจารย์อุทิศให้ นั่นแหละ ก็พ้นทุกข์จากกำเนิดเป็นเปรตได้ รวมทั้งที่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายได้น้อมเอาพระไตรสรณาคมน์และศีล ๕ ไหว้พระสวดมนต์ ภาวนา เดินจงกรมอย่างที่ท่านสอนนั่นแหละ

บาปทั้งหลายก็หมดสิ้นไป ไม่เหลือเศษอยู่ได้ เมื่อก่อนนี้ก็มีพระมาจำพรรษาอยู่ที่นี่เป็นร้อย ๆ ก็ไม่มีใครโปรดได้ ไปหาแล้วก็เฉย ผลสุดท้ายเขย่าต้นไม้ถาม ก็วิ่งหนีขึ้นกุฏิไปเลย บางทีก็หันหน้ามาด่าว่าและขว้างปาใส่อีก แต่สำหรับท่านอาจารย์ มาหาแล้วก็คุยกันรู้เรื่องและโปรดสงเคราะห์ช่วยเหลือได้ ต่อแต่นี้ไป พวกดิฉันทั้ง ๓ จะขอลาไปเกิดยังเมืองมนุษย์”

อาตมาจึงว่า

“พวกพระเหล่านั้นเขาไม่ใช่ญาติของโยม และก็ไม่เคยมีอุปการคุณต่อกันมา อีกทั้งจิตของเขาก็ไม่สงบลงสู่ภพเดียวกัน มันก็ไม่เห็นกันหรอก แต่อาตมากับพวกท่าน เป็นญาติกันมาหลายภพหลายชาติแล้ว กรรมเก่าจึงบันดาลให้มาโปรดนะ และถ้าจะไปเกิดยังเมืองมนุษย์ก็ขอให้ไปเกิดที่ จ.สกลนครโน่น เพราะมีพระกรรมฐานมาก มี หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่กงมา จิรปุญโญ และอีกหลายองค์ หรือไม่ก็ไปที่ จ. อุดรธานี ก็มีพระกรรมฐานมากเช่นกัน ขอให้ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆ ไปนะ อย่าได้ประมาท อำนาจของพุทโธ ธัมโม สังโฆ จะพาไปเกิดในตระกูลของนักปราชญ์ จะได้แนะนำพร่ำสอนแต่ในทางที่ดี ไปเกิดเป็นมนุษย์แล้วขอให้เข็ดหลายและจดจำผลของความชั่วช้าลามก ที่ทำให้มาเกิดเป็นเปรตนี้ไว้ให้ดี อย่าดื้ออย่าด้าน อย่าล่วงประเวณี เล่นชู้ในใจผัวอีกนะ”

เขาก็ว่า “เข็ดแล้วกลัวแล้ว จะไม่ทำอีกต่อไป” จากนั้นก็กราบลา แล้วออกเดินทางไป

นั่นแหละในพระไตรปิฎก ใน มหาวิบากสูตร และ พระมาลัยสูตร ก็ว่าไว้อย่างนั้นว่า

หญิงก็ดี ชายก็ดี นอกใจสามีภรรยา ตายแล้วไปตกมหาตาปนะนรก ถูกนายยมบาลต้มด้วยน้ำร้อน สังหารด้วยหอกด้ามกล้าพร้าด้ามคมแสนปี พ้นจากนั้น เวรกรรมยังไม่สิ้น มาตก คูถนรก จมในหลุมมูตรหลุมคูถท่วมศีรษะ มีหนอนเจาะไชอยู่อย่านั้นเป็นแสน ๆ ปี พ้นจากนั้น มาตก สิมพลีนรก ถูกนายยมบาลบังคับให้ปีนต้นงิ้วสูงใหญ่มีหนามยาว สัตว์นรกขึ้นไปแล้วก็ถูกหนามงิ้วทิ่มแทง เป็นบาดแผลตามหน้า ตามเนื้อตัว และแขนขาเป็นทุกขเวทนาสาหัส พอขึ้นไปถึงยอดก็ถูกแร้งกาปากเหล็กจิกหน้าตา ตกลงมา ถูกหมาขย้ำฉีกเนื้อกินเป็นอาหาร เหลือจากนั้นหนอนก็เจาะไชกินเป็นอาหาร

พ้นจากนั้น เวรกรรมยังไม่สิ้น ไปเกิดเป็นเปรต ผู้หญิงไปเกิดเป็นเปรตของลับใหญ่เต็มหว่างขามีไฟไหม้ เดินไปไหนมาไหนก็ลำบาก ผู้ชายก็ไปเกิดเป็นเปรต มีของลับใหญ่ มีไฟนรกเผาไหม้อยู่ปลายของลับนั้น เดินไปไหนมาไหนก็ลำบาก ทุกข์ยากแสนเข็ญ นั่นแหละบาปกรรมเวรเป็นอย่างนั้น ตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายเป็นอยู่อย่างนั้นถึง ๕๐๐ ชาติ

พ้นจากนั้น ไปเกิดเป็นสุนัขทั้งตัวผู้ตัวเมียเป็นกามโรค เป็นทุกข์จนตาย ตายแล้วเกิดอีก เป็นอยู่อย่างนั้นอีก ๕๐๐ ชาติ

พ้นจากนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็หน้าด้านเสพกามไม่เลือก เป็นกามโรคตายแล้วตายเล่าอีก ๕๐๐ ชาติ

พ้นจากนั้นมาเกิดเป็นมนุษย์ธรรมดา ก็ทุกข์ยากลำบาก นอกใจผัวนอกใจเมียเป็นทุกข์อยู่อย่างนั้นอีก ๕๐๐ ชาติ

นี่แหละ โทษกรรมของกามคุณทั้งหลาย…


ขอขอบคุณ http://board.palungjit.com/f8/
797  เรื่องทั่วไป / เรื่องเล่ากฎแห่งกรรม / บทเรียนลูกเกเร! พ่อหาเงินจนตาย สุดท้ายสำนึกผิดหน้าศพ (จากรายการตีสิบ) เมื่อ: มกราคม 29, 2012, 02:01:37 pm


บทเรียนลูกเกเร! พ่อหาเงินจนตาย สุดท้ายสำนึกผิดหน้าศพ
Mthainews: รายการตีสิบออกกาศวันที่ 24 มกราคมนำเสนอเรื่องราวของลูกที่เกเรต่อบุพการี ด้วยการทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะได้เงินมาจับจ่าย ซื้อของฟุ่มเฟือย ถึงขั้นโกหกพ่อแม่ จนสุดท้ายพ่อที่หวังว่าลูกจะได้เรียนจบในระดับปริญญาตรี ต้องทำงานหนักหาเงินมาให้ แต่เกิดอุบัติเหตุเสียชีวิตระหว่างการทำงาน จนเสียชีวิต โดยที่เธอไม่สามารถกลับไปสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไป เพราะเป็นสิ่งที่สายเกินไป

ชีวิตจริงของของคุณวัน เล่าว่า ตนเองเกเรมากตั้งแต่ ม.ต้นจนถึงมหาวิทยาลัย ครอบครัว พ่อแม่ต้องหาเช้ากินค่ำ โดยตนเองเป็นคนสุดท้อง อยากได้อะไรก็ได้ทุกอย่าง เพราะพ่อแม่จะตามใจ รักมาก เป็นคนเดียวที่ได้รับเค้กวันเกิด ซึ่งพ่อที่ขับรถสิบล้อ ปีหนึ่งจะได้เจอกันครั้งหนึ่งในวันเกิด ทุกคนคาดหวังว่าตนเองจะต้องเรียนจบให้ได้ และพ่อก็หวังว่าสักวันจะได้เห็นลูกสาวสวมชุดครุยในวันรับปริญญา

แต่ด้วยนิสัยเห็นแก่ตัว และการได้รับการตามใจทำให้คุณวัน ใช้เงินเกินตัวเมื่อบอกว่าจะไม่เรียนหนังสือแล้ว พ่อจะกลัวมาก และทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้เงินมาให้ลูก เสื้อผ้าไปโรงเรียนวันเปิดเทอมต้องใหม่หมด มิเช่นนั้นจะไม่ยอมไปเรียน

จนเข้าสู่ระดับมหาวิทยาลัย ถึงขั้นโกงค่าเทอม ด้วยการสแกนเปลี่ยนแปลงข้อมูลในสลิปใบเสร็จในคอมพิวเตอร์ เพื่อเปลี่ยนหน่วยกิตให้มากกว่า 2 เท่าตัว แล้วส่งใบเสร็จดังกล่าวไปเก็บกับพ่อแม่ เพื่อจะได้ใช้ของแบรนด์เนม กินข้าวร้านอาหารหรู กินเคเอฟซี พิซซ่า เดินห้าง เพราะบ่งบอกถึงว่ามีรสนิยม



สาเหตุของการตายของพ่อคือ ทำงานบนรถสิบล้อ มีคนมาบอกให้ไปช่วยจับเครน เนื่องจากไม่มีเจ้าหน้าที่ ไปพักกินข้าวกันหมด พ่อไม่ชำนาญด้านนั้นอยู่แล้วจึงเกิดการจับพลาด เหล็กเป็นตันๆทิ่มไปที่ลำคอ ทะลุ ก่อนหน้านั้นพ่อกำลังรอเงินกู้ ที่จะมาให้เรา 2 พัน โดยที่เขาไม่รู้ กู้เงินจากคนอื่นเพื่อเอามาให้ลูก เพราะลูกก็เร่งรัดคิดว่าจะนำเงินไปจ่ายค่าเทอม กลับมาคิดว่าตอนที่ตัดสายพ่อทิ้ง รู้สึกผิด หากเราไม่ตัดสายก็คงไม่เกิดเหตุการณ์แบบนี้

หลังจากที่พ่อเสียได้มารู้หลายอย่างที่ตนไม่รู้ ตอนงานศพเราจะหาเสื้อผ้าเปลี่ยนให้พ่อทั้งหมด พ่อไม่มีเสื้อผ้าเลยแม้แต่กางเกงใน มีแต่เสื้อพนักงานที่เขาแจกให้ อยู่บ้านก็จะใส่โสร่ง แต่มีเสื้อตัวหนึ่งที่พ่อเก็บพับไว้ไม่ใส่ เพราะพ่อตั้งใจว่า จะรอใส่เสื้อตัวนี้ในวันรับปริญญาลูก เพราะเป็นชุดใหม่ที่สุด และมีรองเท้าที่เขาเก็บไว้ด้วย


เป็นความรู้สึกที่ตนอยากจะขอโทษ แม่มาบอกทีหลังว่าพ่อต้องทำทุกอย่าง เช่น แบ่งขายน้ำมันรถสิบล้อรถของบริษัทที่ขับอยู่ เรียกว่า ขายหมู เพื่อแลกเงิน มีขโมยเหล็กเส้นส่วนที่ตัดเกินไปขาย ซึ่งหลังๆพ่อไม่มีเงินพ่อต้องไปหากู้เงินทั้งนอกระบบและในระบบ รวมทั้งการใช้ยาบ้าเพื่อทำงานหาเงินส่งลูกเรียน จะเลิกได้ก็ต่อเมื่อเห็นลูกเรียนจบปริญญาตรี เขายอมทำร้ายตัวเองเพื่อที่จะได้เงินมาทั้งที่ตนเองเกเรเป้นส่วนใหญ่

มีวันหนึ่ง วันก่อนวันพ่อ ซึ่งจะเป็นวันทำบุญครบรอบร้อยวัน ไม่รู้จะบอกรักพ่อยังไง เกิดความเหงา แล้วตอนกลางคืนฝันว่า ตนขอโทษพ่อ จะไม่ตัดสายทิ้งในวันนั้นถ้ารู้ว่าพ่อจะเสียวันนั้น พ่อมาบอกในฝันพร้อมกับลูบหัวเบาๆว่า พ่อไม่เคยโกรธ แล้วอโหสิกรรมให้ และเอาเงินที่ยัดในปากศพมาใส่มือเรา บอกว่ามันเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่พ่อจะให้ลูก แม่อาจมีสามีใหม่ก็อย่าโกรธแม่

หลังจากนั้นไม่กี่วัน มีประกันชีวิตเข้ามาคุย ว่าพ่อได้ทำประกันชีวิตไว้ให้ลูกคนเดียว ลูกคนอื่นไม่ได้

ความรักของพ่อเป็นความรักจนวินาทีสุดท้าย มาเข้าใจวันรู้สึกว่ารักพ่อจริงๆว่า ก็ตอนลำบาก ไม่นานแม่ก็มีสามีใหม่จริงๆ อยู่กับพี่สาว แต่ต่างคนต่างอยู่ และพื้นฐานเราก็ไม่ใช่คนดี จึงไปเรียนมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ตั้งใจว่าจะต้องจบ รวมทั้งหาเงินเอง ครั้งแรกที่ทำงานเองรู้ว่ามันเหนื่อยมาก เพราะทำงานเป็นงานวิจัย เหนื่อยมาก ทุกอย่างได้มาพร้อมความเสี่ยง เปรียบเทียบกับพ่อก็เหมือนกันจนรู้ว่า การได้เงินสิบบาทยังยากมาก

แต่สุดท้าย จนเกิดพลังเรียนจนจบคณะวิทยุโทรทัศน์ ได้รับปริญญา เป็นวันสำคัญสำหรับพ่อ จึงได้กลับไปถ่ายรูปกับพ่อที่บ้าน เป็นวันที่พ่อรอคอย แต่ก็ได้แต่ถ่ายกับรูปถ่ายไร้ร่างวิญญาณ




สำหรับพ่อที่วันหนึ่งหวังว่าจะได้ใส่ชุดใหม่ไปงานรับปริญญาลูก แต่ก็สายเกินไปเสียแล้ว



อย่างไรก็ตาม ยังไม่สายสำหรับตนเองที่ยังคงต้องสู้ต่อไป ทำงานหาเงิน โดยที่คิดถึงพ่อตลอดเวลา เขาอยากให้ลูกสบายตั้งแต่เกิดมาเป็นลูก แต่เราจะรู้ซึ้งถึงความรักของเขาก็ต่อเมื่อเราโตแล้ว เขารอเรานานกับความรักของเรา การมีแฟนก็ไม่ใช่คนที่ดีที่สุด ไม่มีคนไหน อดหรือทำร้ายตนเองเพื่อให้ลูก เท่าพ่อ แต่สำหรับตนเองสายไปแล้วสำหรับสิ่งที่พ่อได้ทำกับเรา เขาไม่เคยเลี้ยง ไม่เคยพาไปเที่ยว แต่เขาให้ได้เหมือนพ่อคนอื่น แม้กระทั่งให้ชีวิต


ขอขอบคุณ  http://board.palungjit.com/f8/


798  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ปริศนาธรรม..จากพิธีกรรมในงานศพ เมื่อ: มกราคม 29, 2012, 11:49:45 am


ศาสนพิธี ประเพณี พิธีกรรมต่าง ๆ การกระทำแต่ละขั้นตอนนั้น โบราณ ท่านได้สอนธรรมะไว้ใน พิธีกรรม เหล่านั้นไว้ด้วยอุบายอันแยบคาย เช่น ประเพณี พิธีกรรมใน งานศพ

 
การ รดน้ำที่มือของผู้ตาย   ซึ่งบางท่านเข้าใจว่าเป็นการขอ อโหสิกรรม ความจริงแล้วมุ่งเตือนสติผู้ที่มาร่วมงานว่าผู้ที่ตายทุกคนไปแต่มือเปล่าไม่ได้อะไรติดตัวไปเลย แม้แต่น้ำที่เทลงฝ่ามือก็ไหลร่วง

เอาเงินเหรียญ ใส่ปาก ก็เพื่อจะเตือนให้รู้ว่า แม้แต่บาทเดียวก็เอาไปไม่ได้ เพราะ สัปเหร่อ บางคนเขายังควักออกมา

มัดตราสังข์ สามเปราะ มัดที่คอ หมายถึง บ่วงรักลูก มัดที่มือ หมายถึง บ่วงรักสามี-ภรรยา มัดตรงข้อเท้า หมายถึง บ่วงรักทรัพย์สมบัติ ติดอยู่สามบ่วงนี้ ไป นิพพาน ไม่ได้ ต้องเวียนว่ายอยู่ใน สังสารวัฏฏ์ ไม่มีจบสิ้น

เคาะโลง รับศีล ไม่ใช่ให้ คนตาย มารับศีล แต่เพื่อเป็นการบอกคนที่มาร่วมงานว่าเอาแต่มัวเมาประมาทขาดสติ ไม่สนใจใน หลักธรรมคำสอน เมื่อตายไปหมดโอกาสทำความดี จะเคาะจนโลงแตกก็ลุกขึ้นมาไม่ได้

จุดตะเกียง หรือ จุดเทียน ไว้ หน้าศพ เตือนให้รู้ว่าการเกิดของคนเราต้องการแสงสว่าง ต้องมี พระธรรม เป็น ดวงประทีป ช่วยส่องทาง เพื่อความเจริญรุ่งเรืองของชีวิต

สวดอภิธรรม มักสวดเป็น ภาษาบาลี คนเป็นฟังไม่รู้เรื่อง จึงนึกว่าสวดให้ คนตาย แต่จริง ๆ แล้วเป็นการ สวด เพื่อสอนคนที่ยังมีชีวิตอยู่เพื่อที่จะได้นำหลักธรรมไปปฏิบัติให้เกิดผลดีในชีวิตประจำวัน ดังนั้นแม้จะฟังไม่เข้าใจแต่เพื่อให้การฟังสวดอภิธรรมเกิดผล ควรสำรวมส่งจิตไปอยู่กับ เสียงพระสวด ให้จิตสงบนิ่งอยู่กับเสียงพระสวดก็เกิดสมาธิจิตได้

บวชหน้าไฟ มักเข้าใจว่า  เป็นการบวชจูงผู้ตาย ขึ้นสวรรค์ ความจริงนั้น ไม่ใช่ เพราะการบวชหน้าไฟเป็นการ ปลงธรรมสังเวช เบื่อหน่ายต่อชีวิตใน โลกียวิสัย ไม่ประสงค์จะอยู่ในเพศฆราวาส มุ่งปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้น เข้าสู่ มรรคผลนิพพาน

การนิมนต์พระจูงออกหน้าศพ เพื่อจะสอนคนที่ยังอยู่ให้ได้สำนึกว่า ตอนที่ยังอยู่ต้องเดินตามหลังพระ หมายความว่าได้เดินตาม พระธรรมคำสอน ของพระนั่นเอง จึงอยู่ดีมีสุข มีความเจริญก้าวหน้า

การ เวียนซ้าย 3 รอบ หมายถึง การ เวียนว่ายตายเกิด อยู่ใน ภพทั้งสาม อันมี กามภพ รูปภพ อรูปภพ ด้วยอำนาจ กิเลสตัณหาอุปทาน ก็จะเป็นทุกข์ไม่จบสิ้น ฉะนั้นต้องทวนกระแสกิเลส เป็นการสอนธรรมชั้นสูง จึงได้พาศพเวียนซ้าย

การใช้ น้ำมะพร้าว ล้างหน้าศพ เพื่อชี้ให้เห็นว่า น้ำมะพร้าวเป็นน้ำสะอาด บริสุทธิ์ ผู้เข้าสู่ มรรคผลนิพพาน ต้องชำระจิตให้สะอาดด้วยน้ำพระธรรม

การแปรรูป หลังจากเผาแล้ว มีการเก็บ อัฐิ และมีการเขี่ย ขี้เถ้า ผู้ตายให้เป็นรูปร่าง กลับไปกลับมาเพื่อจะบอกว่า ได้กลับชาติใหม่แล้ว ตามวิบากของกรรมต่อไป


ขอขอบคุณ www.teenee.com


799  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: มีคนมาจีบ หลายคนคะ แต่ที่เราชอบมีเพียงคนเดียว ทำอย่างไรดีคะ เมื่อ: มกราคม 29, 2012, 11:24:23 am
สาธุ กับคุณ ธรรมธวัชค่ะ :25: :25: :25:
800  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ข้อดีของการไม่กินเนื้อสัตว์ เมื่อ: มกราคม 27, 2012, 04:36:14 pm
 

เพราะเป็นการปฏิบัติเพื่อยึดเอาประโยชน์ทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายธรรม...การไม่กินเนื้อสัตว์เป็นทางก้าวหน้าของสัมมาปฏิบัติอย่างหนึ่ง ซึ่งได้ผลมาก โดยลงทุนทางวัตถุน้อยที่สุดแต่ให้ผลมากทางใจ

ข้อที่ ๑ เป็นการเลี้ยงง่ายยิ่งขึ้น



เพราะพวกพืชผัก เป็นของหาง่ายในหมู่คนยากจนเข็ญใจ... ซึ่งมีการปรุงอาหารด้วยผักเป็นพื้น... นักกินผักย่อมไม่มีเวลาไปกระวนกระวายเพราะอาหารไม่ค่อยจะถูกปากถูกลิ้นนักเลย... ในขณะที่นักกินเนื้อมักต้องเลียบๆ เคียงๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งภัตตาหารเนื้อบ่อยๆ... ญาติโยมเสียไม่ได้ในท่าทีก็พยายามหามาถวายศรัทธา....

    ญาติโยมที่มีใจเป็นกลาง เคยปรารภกับข้าพเจ้าหลายต่อหลายครั้งว่า ...เขาสามารถจะเลี้ยงพระได้ถึง ๕๐ รูป โดยไม่รู้สึกลำบากอะไรเลย... หากเป็นอาหารที่ไม่เกี่ยวกับเนื้อกับปลา....   แต่ที่ผ่านมาต้องฝืนใจทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อย่างมากๆ ไม่ใช่ว่าจะคิดว่า เนื้อมีราคาแพงกว่าผัก...แต่เป็นเพราะรู้ว่า...สัตว์ถูกฆ่าตาย... เพื่อการทำบุญเลี้ยงพระของเรามีอีกหลายคน  ทีแรกค้านว่าการทำอาหารมังสวิรัติวุ่นวายลำบาก แต่เมื่อได้ทดลองทำไป ๒-๓ ครั้ง... กลับสารภาพว่าเป็นการง่ายเสียยิ่งกว่าง่าย เพราะบางคราวไม่ต้องไปติดไฟเลยก็มี ...

  ตัณหาของนักกินผักกับกินเนื้อมีความแตกต่างกันอย่างไร.... จะกล่าวในข้อหลังเฉพาะข้อนี้ขอจงทราบไว้ว่า ...

"คนกินเนื้อสัตว์ เพราะแพ้รสตัณหา
กินเพราะตัณหา ไม่ใช่เพราะเลี้ยงง่าย"


ข้อที่ ๒. เป็นการฝึกในส่วน "สัจธรรม"


คนเราห่างไกลจากความพ้นทุกข์ก็เพราะมีนิสัยเหลวไหลต่อตัวเอง... สัจจะในการกินผักนั้นเป็นแบบฝึกหัดที่น่าเพลินบริสุทธิ์... ได้ผลสูงเกินกว่าที่คนไม่เคยทดลองจะคาดถึง ...พืชผักเป็นอาหารที่จะหล่อเลี้ยง "ดวงธรรมแห่งสัจจะ" ในใจของเราให้สมบูรณ์แข็งแรง

       ดังนั้น การฝึกกินผัก อาหารพืชผักจึงเป็นแบบฝึกหัดสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม... ที่ยอดเยี่ยมกว่าแบบฝึกหัดอย่างอื่นๆ เพราะแบบฝึกหัดบางอย่างค่อนข้างง่าย แต่บางอย่างก็ยากเกินจะฝึกทำให้ไม่สามารถนำมาเป็นเกมฝึกหัดประจำทุกๆ วัน แต่เราผู้ปฏิบัติธรรมต้องฝึกทุกวันจึงจะได้ผลเร็ว เหตุฉะนี้ การฝึกใจด้วยเรื่องอาหารอันเป็นสิ่งที่เราต้องบริโภคอยู่ทุกวันจึง เหมาะมาก อย่าลืมพระพุทธภาษิตที่มีใจความว่า ...
          "สัจจะเป็นคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์"


ข้อที่ ๓.เป็นการฝึกในส่วน"ทมะ"ธรรม


"ทมะ" คือ การข่มใจให้อยู่ในอำนาจ คนเราเป็นทุกข์เพราะตัณหา อันได้แก่ ความอยากที่ข่มใจไว้ไม่อยู่ มีข้อพิสูจน์เฉพาะเรื่องผักกับเนื้อง่ายๆ เช่นข้าพเจ้าเคยเห็นชาวบ้านที่มาจากป่าดอนสูงๆ อุตสาห์หาบเอาพวกพืชผักลงมาแลกปลาแห้งๆ จากชาวบ้านแถบริมทะเลขึ้นไปกินทั้งๆ ที่ต้องเสียเวลาเป็นวันๆ ในขณะที่กลางบ้านของเขาก็มีอาหารพวกพืชผัก เผือก มัน ฟัก มะพร้าวฯลฯ อย่างอุดมสมบูรณ์ อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังเป็นของสด สามารถบำรุงร่างกายได้มากกว่าปลาแห้งๆ และขึ้นราที่พวกเขาสู้อุตส่าห์ลงมาหามหิ้วขึ้นไปเก็บไว้กินเป็น ไหนๆดังนั้น… ผู้ที่ไม่มีการข่มรสตัณหาจักต้องเป็นทาสของความทุกข์ และถอยหลังต่อการปฏิบัติธรรม...
             เหตุนี้การข่มจิตด้วยเรื่องอาหารการกินจึงเหมาะมาก เพราะจะมีการข่มได้ทุกวัน การข่มจิตอยู่เสมอเป็นของคู่กับผ้ากาสาวพัสตร์ เช่นกัน....

      โปรดทราบ! ว่า...มันเป็นการยากยิ่งที่คนแพ้ลิ้นจะข่มตัณหา โดยพยายามเลือกกินแต่ผักจากจานอาหารที่เขาปรุงด้วยเนื้อ... และผักปนกันมาจงยึดเอาเกมกีฬาฝึกข่มจิต... ที่เป็นเครื่องชนะตนอันนี้เถิด...
         การเลี้ยงพระในงานต่างๆ... ข้าพเจ้าเคยเห็นเคยได้ยินเสียงเอ็ดตะโรเรียกเอาแต่อาหารเนื้อสัตว์...ส่วนอาหารผักล้วนดูเหมือนว่าเป็นการยากที่จะถูกเลือกกับเขา... มิหนำซ้ำยังเหลือกลับไปอีก.... แม้กระทั่งอาหารที่ปรุงระคนกันมาก็หายไปแต่ชิ้นเนื้อ...คงเหลือแต่ผักติดจานกลับไป...

      และยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ...ควรรู้ไว้ด้วยว่าบรรดาพ่อครัวแม่ครัวและเจ้าภาพเขารู้ตัวก่อนด้วยซ้ำไป จึงปรุงอาหารเนื้อสัตว์ เอาไว้ให้มากกว่าอาหารผักหลายเท่านัก ทั้งนี้ก็เพราะตัณหาทั้งของฝ่ายแขกเหรื่อชาวบ้าน และฝ่ายบรรพชิตทั้งหลายร่วมมือกัน "แบ่งอิทธิพล"


ข้อที่ ๔. เป็นการฝึกในส่วน "สันโดษ"

 สันโดษ คือ ความพอใจเฉพาะสิ่งที่มีอยู่ตามฐานะของตน โดยทั่วไปชีวิตของผู้ออกบวชย่อมดำรงอยู่ด้วยอาหารชั้นเลว ทว่า ข้าพเจ้าเคยเห็นบรรพชิตบางรูป เว้นไม่ยอมรับอาหารจากคนจนเพราะเห็นว่าเลวเกินไป คือเป็นเพียงผักหรือผลไม้ชั้นต่ำ และถึงแม้จะรับมาก็เพื่อทิ้ง นี่เป็นตัวอย่างของผู้ที่ไม่เคยมีความสันโดษหรือถ่อมตนดังนั้น… การฝึกเป็นนักกินผัก กินอาหารอย่างง่ายๆ จะแก้ได้หมด... "สันโดษเป็นทรัพย์อย่างเอกของบรรพชิต"

ข้อที่ ๕. เป็นการฝึกในส่วน "จาคะ"


จาคะ คือ การสละสิ่งที่เป็นข้าศึกต่อความสงบ หรือ ความพ้นทุกข์ ...นักกินผัก ที่แท้จริงมีดวงจิตบริสุทธิ์ผ่องใส เกินกว่าที่จะมีใจนึกอยากในเรื่องจะบริโภคอาหารที่มีรสหลากหลาย... เพราะผักไม่ยั่วในการบริโภคมากไปกว่ากินเพื่ออย่าให้ตาย ซึ่งต่างไปจากเนื้อสัตว์ที่ยั่วให้ติดรสและมัวเมาอยู่เสมอ...
       ความอยากในรสที่เกินจำเป็นของชีวิต...ความหลงใหลในรส ความหงุดหงิด เมื่อไม่มีเนื้อที่อร่อยมาเป็นอาหาร ฯลฯ... เรื่องเหล่านี้ข้าพเจ้ารับรองได้ว่า ...ไม่มีดวงจิตของนักกินผักเลย.... ส่วนนักกินเนื้อนั้น ท่านจะทราบของท่านได้เองเป็นปัจจัตตัง เช่นเดียวกับธรรมะอย่างอื่นๆ


ข้อที่ ๖. เป็นการฝึกในส่วน "ปัญญา"


ปัญญา คือ ความรู้เท่าทันดวงจิตที่กลับกลอก การใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นโทษของการยึดมั่น... และให้ใจละวางความยึดมั่นในการกินอาหาร แบบฝึกหัดที่ยากและเป็นก้าวที่ใหญ่ของการปฏิบัติธรรมเช่นนี้ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการฝึกบริโภคอาหารผัก ที่จะเป็นอารมณ์อันบังคับให้ท่าน ต้องใช้พิจารณาตัวเองอยู่เสมอทุกมื้อเพราะเนื้อทำ ให้หลงในรส ส่วนผักทำให้ยกใจขึ้นไป ซึ่งเหมาะแก่สันดานของสัตว์ผู้มีกิเลสย้อมใจจนจับแน่นเป็นน้ำฝาดมาแต่เดิม ปัญญาของท่านต้องรู้อยู่เสมอว่า ไม่ใช่จะไปนิพพานได้เพราะกินผัก เป็นแต่การกินผักจะช่วยขัดเกลากิเลสทุกๆ วัน...

    แท้จริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้มีความเห็นว่าฝ่ายที่จะช่วยขัดเกลาจิตใจต้องเป็นผัก... ความจริงอาจจะถือว่า ผักเป็นอาหารชั้นเลวหรือไม่ประณีตก็พอแล้ว... แต่เมื่อมาพิจารณาใคร่ครวญให้ดีแล้วมันมาตรงกับอาหารผัก เพราะจะทำอย่างไร เนื้อก็เป็นของชวนกินเพียงแต่ต้มเฉย ๆ พอได้กลิ่นมันก็ยั่วตัณหาอยู่ดี !...
           เพราะฉะนั้น ฝ่ายที่จะปราบตัณหา จึงกลายเป็นเกียรติยศของผักไป อาหารผักเป็นอาหารที่ข่มตัณหาได้ และมีแต่ความบริสุทธิ์จึงเหมาะสม สำหรับผู้ที่ระแวงภัย และตั้งอยู่ในความไม่ประมาทอยู่เสมอ...

       ผลดีในฝ่ายโลก... อาหารผักมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายยิ่งกว่าเนื้อสัตว์ หรือไม่ ?... เรื่องนี้วิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน ก็บอกแก่เราชัดแจ้งอยู่แล้วว่า...อาหารผัก จะทำให้ผู้บริโภคมีกำลังแข็งแรงโรคน้อย ดวงจิตสงบ ช่วยให้ความกระหาย ในความอยาก ความโกรธ ความมัวเมา บรรเทาลงเป็นอันมาก


ขอขอบคุณเนื้อหาดีๆและภาพสวยๆจาก  96 แรงใจ
หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 24