ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - นิรตา ป้อมนาวิน
หน้า: 1 ... 20 21 [22] 23 24
841  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: กลัวตาย ควรทำอย่างไร..??? เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 05:21:51 pm
 :c017:  :c017: :c017: :25: :25: :25:
842  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ตะลึง! 'ปลาไหล 3 สี' โผล่เลื้อยรอบต้นโพธิ์ เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 05:07:11 pm
หวยงวดนี้ต้องมี 3 ขอบคุณค่ะ   :25: :25: :25: 
843  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ฮือฮาพบกระดูก-วัตถุโบราณกลางนาหนองบัวลำภู เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 05:05:54 pm
 :c017: :c017: :c017: :25: :25: :25: ขอบคุณค่ะ
844  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: เชิญเข้าปริวาสกรรม ๑-๑๐ กุมภา'๕๕ ณ วัดถ้ำพระบำเพ็ญบุญ ต.ธารทอง อ.พาน จ.เชียงราย เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 04:22:20 pm
อนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ สาธุ  :25: :25: :25:
845  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เหตุการณ์สำคัญที่พระเจ้าไชยะเชษฐาธิราชเกือบเสียเมืองให้กองทัพพม่า เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 04:10:18 pm
วันหลังจะหาบทความดีๆมาให้อ่านอีกนะค่ะ :25: :25:
846  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ธรรมะ เพื่อความรุ่งเรือง เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 03:04:54 pm
             

ตักบาตรพระล้านครั้ง ไม่เท่ายื่นอาหารให้พ่อแม่เพียงครั้งเดียว
ความดีของลูก คือความสุขของพ่อแม่ ความเลวของลูก คือความทุกข์ของพ่อแม่
หลงผัว หลงเมีย จนลืมพ่อแม่ นับว่าแย่มาก

อยากรวย ให้ทำงาน อยากสวยให้รักษาศีล อยากดี ให้หมั่นเจริญภาวนา
คนฉลาด กำลังทำงาน ส่วนคนโง่ กำลังดูฤกษ์ยาม
หนึ่งวินาที คบบัณฑิต ดีกว่าหนึ่งปี คบคนพาล

อย่าประมาทเมื่อพบงานง่าย อย่าท้อใจเมื่อพบงานยาก
ถ่อมตนคนรัก อวดนักคนชัง(อวดดี...ไม่ใช่การอวดที่ดี)
เสริมเสน่ห์ตนเองด้วยรอยยิ้ม ดีกว่าคอยพึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์

ไม่ควรไว้ใจในคนที่ชอบทำบาป (ถ้าทำบาปแลกบุญ จะขาดทุนร่ำไป)
คนจนยิ่งจน เพราะทำรวย คนรวยยิ่งรวย เพราะทำจน
เรายอมแพ้คน เพื่อเอาชนะกิเลส ดีกว่ายอมแพ้กิเลส เพื่อเอาชนะคน

ยามไปซื้อของ อย่าอวดเงินทองให้ใครเห็น
คำสรรเสริญควรให้ไป คำติชม ควรเก็บไว้เพื่อส่องตน
ระวัง อย่าให้สูญเสียคนดี เพราะคนชั่วแทนที่ไม่ได้

คนโง่ แสวงหาพระเครื่อง ผู้ฉลาด แสวงหาพระธรรม
ทำแบบเจ็ก จากเล็กไปใหญ่ ทำแบบไทย จากใหญ่ไปหาเล็ก
มารยาทงามนี่แหละ จะพลอยทำให้วาสนาดี

เพื่อนบ้านที่อยู่ใกล้ ดีกว่าพี่น้องในไส้ที่อยู่ไกล
ประดับกายด้วยความดี มีราศีกว่าประดับเพชร
กินเหล้าเพื่อเข้าสังคม คือค่านิยมที่ผิด

ความร่ำรวยหากขอกันได้ โลกนี้ก็คงจะไม่มีคนจน
ทรัพย์เกิดไม่ได้ ด้วยเพียงแต่ใจคิดฝัน
ตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน การปฏิบัติดี มีค่ามากกว่าการขอพร

คนขยันคือคนโชคดี ความขยันจึงเป็นพรอันประเสริฐ
ถึงแม้การเลือกเกิดเราจะไม่มีสิทธิ์ แต่การเลือกทางชีวิตเป็นสิทธิ์ของเรา
แสวงหาลาภจากการงาน ดีกว่าบนบานบวงสรวง

อย่าเชื่อคนโดยไร้คิด อย่าหลงมิตรเพียงคำยอ
ที่ทำดีไม่ได้ดี เพราะทำดียังไม่มากพอ (ทำดีวันละนิด ดีกว่าคิดว่าจะทำ)
เมื่อมีคำขอโทษ ความโกรธย่อมจางเร็ว

วาจาอ่อนหวานลูกหลานใกล้ชิด วาจาเป็นพิษญาติมิตรห่างไกล
กินเพื่ออิ่ม ก็จะมีปัญหาน้อย แต่ถ้ากินเพื่ออร่อย ก็จะมีปัญหามาก
[/color

www.teenee.com
847  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พญานาคราชผู้พิทักษ์พระธาตุพนม เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 02:43:53 pm


เรื่อง พญานาคราชเข้าประทับทรงนี้เกิดขึ้นในยุคที่พระเดชพระคุณท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร (แก้ว กนฺโตภาโส ป.ธ. ๖ , น.ธ.เอก ) เป็นเจ้าอาวาสวัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร (พ.ศ.๒๔๘๐-๒๔๕๓ ) พระเดชพระคุณองค์นี้ลูกศิษย์ลูกหาและประชาชนทั่วไปมักเรียกท่านว่า “ ท่านพ่อ” ซึ่งเป็นคำยกย่องของศิษยานุศิษย์และประชาชนบ้านได้ถวายนามนี้ให้กับท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ท่านเกิดเมื่อปี ๒๔๕๐ บรรพชาเป็นสามเณรและอุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๑ มีนามเดิมว่าแก้ว อุทุมมาลา มีชาติภูมิใกล้ๆ กับพระธาตุพนมนี้เองศึกษาทางธรรมได้เปรียญ ๖ ประโยค ได้เป็นเจ้าอาวาสเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๘๐ ท่านเป็นผู้มีความรู้ และชอบค้นคว้าวิชาโบราณคดี ประวัติศาสตร์จนได้รับขนานนามว่า นักปราชญ์แห่งลุ่มน้ำโขง ท่านได้ทำนุบำรุงวัดพระธาตุพนมารมหาวิหารและให้เจริญก้าวหน้าอย่างมากมาย ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ ท่านได้ก่อตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นที่วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหารและได้ส่งพระภิกษุ สามเณรและแม่ชีไปศึกษาวิปัสสนากรรมฐานจากหลายสำนัก ได้ฝึกพระภิกษุสามเณรในวัดอยู่เสมอ ๆ
 
ในเรื่องการนั่งประทับทรงเกี่ยวกับพญานาคนี้ ท่านพ่อเคยกล่าวว่า “ ฉันเป็นคนชอบค้นคว้า และพิสูจน์เรื่องลึกลับต่าง ๆ อยู่เสมอ ไม่ค่อยจะเชื่ออะไรง่าย ๆ แต่เรื่องพญานาคทั้งเจ็ดองค์เข้าทรงที่วัดนี้นะ เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากอยู่ทีเดียว ส่วนใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อนั้น เป็นเรื่องของส่วนบุคคล” สำหรับเรื่องพญานาคนี้ เกิดขึ้นภายหลังจากที่ท่านพ่อฯ ได้ตั้งสำนักวิปัสสนากรรมฐานขึ้นได้ ๑ ปี เหตุเกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณตี ๒ เดือน ๑๑ ขึ้น ๕ ค่ำ พ.ศ. ๒๕๐๐ คืนนั้นฝนตกหนักครึ่งชั่วโมง แล้วตกพรำ ๆ มาอีกกว่า ๒๐ นาที ขณะที่ฝนตกฟ้าร้องดังสนั่นแผ่นดินสะเทือน นายไกฮวด ชาวธาตุพนมได้ออกมารองน้ำฝนที่หน้าร้านของตน เห็นแสงประหลาดเป็นลำงามโตเท่าลำต้นตาลขนาดใหญ่มีสีต่าง ๆ กันถึงเจ็ดสี พุ่งแหวกอากาศแข่งกันเป็นลำยาวหลายเส้น จากทางด้านทิศเหนือ มองเห็นได้แต่ไกล จึงได้ร้องเอะอะเรียกภรรยามาดูแสงสีงามประหลาด หน้าสะพรึงกลัวขนหัวลุกนั่น พอมาถึงหน้าซุ้มประตูแสงนั้นก็หายเข้าไปในองค์พระธาตุพนม โดยที่ไม่ได้ตาฝาดไปเอง ต่อมาอีกสองวัน คือวันขึ้น ๗ ค่ำ เดือนเดียวกัน ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ได้ให้สามเณรทรัพย์ นั่งทางในตรวจดูเหตุการณ์ว่า แสงประหลาดเจ็ดสีเท่าลำต้นตาล ที่นายไกฮวดเห็นเข้ามาในวัดนี้มีความจริงเท็จแค่ไหน สามเณรทรัพย์เจ้าฌานสมาธิอยู่คู่หนึ่ง ก็เข้าไปพบพญานาคราชทั้งเจ็ดเรียงกันเป็นแถวอยู่บริเวณลานพระธาตุพนม ลำตัวโตใหญ่เท่าลำต้นตาล มีหงอนแดงน่าสะพรึงกลัวสยองพองหัวเหลือที่จะกล่าว สามเณรทรัพย์ยืนงงงันอยู่ด้วยความประหลาดใจ พลันประเดี๋ยวเดียวพญานาคทั้ง ๗ ได้กลับกลายเป็นมาณพ ๗ ชาย ทรงเครื่องขาวเรียงกันเป็นแถวอยู่ที่เดิม จะว่าก้มมิใช่ ยืนก็มิใช่ อากัปกิริยาอยู่ระหว่างยืนกับก้ม สามเณรทรัพย์สนเท่ห์ใจงงจนพูดอะไรไม่ออก ทันใดมาณพผู้เป็นหัวหน้าได้ร้องถามว่า พ่อเณรมีธุระอะไร อย่ากลัวจงบอกมา สามเณรยืนงงอยู่มิได้ตอบว่ากะไร ตั้งใจจะกลับกุฏิ พญานาคผู้เป็นหัวหน้าได้พูดขึ้นอีกว่า “ พ่อเณรจะกลับแล้วหรือยัง ขอไปด้วย จะไปสนทนากับท่านเจ้าคุณ” พอขาดคำก็เข้าประทับร่างสามเณรทรัพย์ ทันทีด้วยจิตอำนาจที่เหนือกว่า สามเณรทรัพย์พลันหมดความรู้สึกวูบไปทันที สักครู่ก็หันมายกมือไหว้ ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร พร้อมกับพูดว่า “ สวัสดีท่านเจ้าคุณ หม่อมฉันมาสองคืนแล้วมิรู้หรือ” ท่านพ่อฯ รู้สึกแปลกใจและสงสัยจึงถามว่า “ ท่านเป็นใคร ? มาจากไหน ? เสียงประทับทรงตอบว่า “ พวกหม่อมฉันเป็นพญานาคราช มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย มีนามตามลำดับเป็นมงคลตามอริยทรัพย์อันประเสริฐ คือ ๑. พญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นประธาน ๒. พญาศีลวุฒินาโค ๓. พญาหิริวุฒนาดโค ๔. พญาโอตตัปปะวุฒนาโค ๕. พญาสัจจะวุฒินาโค ๖. พญาจาคะวุฒนาโค ๗. พญาปัญญาเตชะวุฒนาโค

หม่อมฉันทั้งเจ็ดได้รับบัญชาจากพระอินทราธิราชเจ้าให้มารักษาพระอุรังคธาตุ พวกเทพยดาที่รักษาองค์พระธาตุอยู่ก่อนนิสัยไม่ดีอาศัยกินสินบนและเครื่องเซ่นสรวงของชาวบ้าน พวกหม่อมฉันไม่ต้องการอามิสสินจ้างรางวัลของเซ่นสรวงใดๆ ทั้งนั้นขอแต่น้ำบูชาถวายเดียวก็พอใจแล้วจะอยู่รักษาองค์พระธาตุไปจนกว่าจะหมดสิ้นศาสนาพระสมณโคดม”



ท่านพ่อฯ ได้ซักถามเรื่องราวต่าง ๆ อีกหลายประการ แต่ยังไม่ปลงใจเชื่อแต่อย่างใด ต่อมาพญานาคก็เข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เรื่อย ๆ เป็นต้นว่า แสดงธรรมสั่งสอนเมื่อทางวัดมีเรื่องเดือดร้อนก็บอกได้ล่วงหน้าอย่างแม่นยำ และแนะแนวทางแก้ไข ท่านพ่อฯ เริ่มเอาใจใส่อยากจะพิสูจน์หเห็นแจ้งจึงได้ให้พระวิปัสสนาธุระในวัดนั่งทางในตรวจสอบด้วย “ ตาญาณ” ในขณะที่พญานาคเข้าประทับทรงร่างของสามเณรทรัพย์ ครั้นแล้วก็ได้พบมาณพรูปงามแต่งองค์ทรงเครื่องคล้ายเจ้าฟ้ามหากษัตรย์จำนวน ๗ องค์ ปรากฏร่างทิพย์ มีรัศมีกายสีสันสวยงามต่าง ๆ กันเช่น สีน้ำเงิน สีเขียวนิล สีเขียวอ่อน สีเหลือง สีชมพู สีแสด และสีขาว องค์ที่กำลังเข้าประทับทรงสามเณรทรัพย์เป็นสง่าหาได้แทรกซ้อนอยู่ในร่างคนทรงแต่อย่างใดไม่



พระวิปัสสนาผู้มีตาฌาณ หรือทิพยจักษุรู้สึกประหลาดใจ ได้ไต่ถามทักทายทางในโดยไม่ผ่านทางร่างของสามเณรทรัพย์ “ ท่านทั้งเจ็ดองค์เป็นใคร ? มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?

ร่างทิพย์ที่มีกายสีน้ำเงินตอบไพเราะเปี่ยมเมตตาว่า “ หม่อมฉันมีนามว่าพญาสัทโทนาคราชเจ้า เป็นหัวหน้า หรือประธานหมู่คณะ องค์ถัดไปที่มีสีเขียวนิลคือพญาศีลวุฒินาโค องค์สีเขียวอ่อนคือพญาหิริวุฒินาโค องค์สีเหลืองคือพญาโอตตัปปะวุฒินาโค องค์สีชมพูคือพญาพาหุสัจจะวุฒินาโค องค์สีแสดคือพญาจาคะวุฒินาโค องค์สีขาวคือพญาปัญญาเตชะวุฒินาโค มาจากสระอโนดาตในเทือกเขาหิมาลัย พระอินทราธิราชเจ้าบนสวรรค์ทรงมีบัญชาให้มาเฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมด้วยว่าพวกเทพยดาที่เคยรักษาที่นี่อยู่ก่อนมีนิสัยไม่ดี อาศัยแต่อามิสของชาวบ้าน เครื่องเซ่นสรวง หมูเห็ดเป็ดไก่ เหล้ายาปลาปิ้ง เป็นที่อับอายขายหน้าแก่คนต่างศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาหมอง หม่อมฉันจึงได้ ขับไล่พวกเทพยดาชั่วช้าเหล่านั้นให้หนีไปแล้วเข้ารักษาองค์พระธาตุพนม”

พระวิปัสสนาธุระผู้มีทิพยจักษุพอใจในคำตอบมากจึงออกจากฌาณสมาธิ แล้วคลานเข้ามากระซิบที่หูท่านพ่อฯ แล้วบอกว่าลองสอบถามสามเณรทรัพย์ดัง ๆ เพื่อให้ได้ยินกันทั่ว ๆ ในหมู่ผู้เข้าสังเกตการณ์ในวันนั้นจำนวนมากว่า “ ท่านเป็นใคร? ” มาจากไหน ? มีนามว่าอะไร ?”



ปรากฏว่าสามเณรทรัพย์ที่ถูกประทับทรงตอบได้ถูกต้องตรงกันกับที่พระวิปัสสนาจารย์ได้ไต่ถามทางตาในหรือทิพยจักษุ ทุกประการ เป็นที่น่าพอใจของท่านพ่อฯ มาก และเริ่มจะเชื่อมาบ้างแล้ว จึงได้สอบถามต่อไปอีกว่า

“ พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้ามาปรากฏในที่นี้เหตุไฉนจึงแปลงร่างเป็นเทพบุตรมา จะให้เชื่อได้อย่างไรว่าเป็นพญานาคราชจริง”

ร่างสามเณรที่ประทับทรงหัวเราะน้อย ๆ ก่อนตอบอย่างไพเราะว่า

“ ที่ไม่ปรากฏกายเป็นพญานาคมาก็เปรียบเสมือนคนเราได้เห็นผ้าขาดย่อมจะไม่สวยงามตา อันว่าสภาพร่างกายของพญานาคนั้น ย่อมจะเป็นที่น่าสะพรึงกลัวไม่งามตาสำหรับมนุษย์มิใช่หรือท่านเจ้าคุณ” ท่านพ่อฯ พอใจในคำตอบอันคมคายนี้ แล้วได้ถามต่อไปว่า



“ พระองค์เฝ้ารักษาองค์พระธาตุพนมนี้ เฝ้าอย่างไร?”

พญานาคราชตอบว่า

“ หม่อมฉันพญาสัทโทนาคราชเจ้า รักษาองค์พระธาตุพนมด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ พญาศีลวุฒินาโคและพญาหิริวุฒินาโค รักษาด้านทิศตะวันออกเฉียงใต้ พญาโอตตัปปะวุฒินาโคและพญาพาหุสัจจะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ พญาจาคะวุฒินาโคและพญาปัญญาเตชะวุฒินาโครักษาด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”

“ พระองค์ทรงอยู่กินหลับนอนอย่างไร” ท่านพ่อถามต่ออีก

“ พวกหม่อมฉันมีทิพยวิมานอยู่ใต้องค์พระธาตุนี้เอง จะเรียกว่าอยู่ใต้บาดาลก็ได้เป็นทิพยวิมานที่สวยงามมาก มีสระน้ำ มีสวนดอกไม้ มีภูเขาเงิน ภูเขาทอง ว่าง ๆ นิมนต์ท่านเจ้าคุณลงไปชะมดูก็ได้ ผู้ใกสมาธิทางสมถวิปัสสนาได้สมาธิแก่กล้าดับพละได้แม้เพียงห้านาทีก็สามารถจะเห็นพวกหม่อมฉันได้ทางฌาณ ท่านเจ้าคุณก็ดับพละได้มิใช่หรือ ?” ร่างทรงสามเณรตอบ



ท่านพ่อ ถามต่อไปอีกว่า

“ พระองค์จะให้หม่อมฉันเข้าใจว่า ที่พระธาตุพนมนี้เป็นสวรรค์ชั้นฟ้าชั้นจาตุมหาราชิกากระนั้นหรือ”

“ ถูกต้องแล้ว เมื่อสร้างองค์พระธาตุพนมเสร็จพญาทั้ง ๕ นครผู้สร้างได้กลับบ้านกลับเมืองและพระมหากัสสปะเถระเจ้าพร้อมด้วยพระอรหันต์ทั้งห้าร้อยองค์ ได้เสด็จกลับชมพูทวีปด้วยอธิษฐานจิตวิญญาณแล้ว พระอินทราธิราชเจ้า ได้ทรงแต่งตั้งให้เทวดามีชื่อเป็นหัวหน้าพากันอยู่ปกปักรักษาองค์พระธาตุพนมพร้อมบริวารจำนวนสี่พันหกพระองค์ และมเหศักดิ์หลักเมืองอีกสามพระองค์ เมื่อที่ไหนมีเทพยดามาสิงสถิตอยู่ ที่นั่นจะต้องมีสวรรค์วิมานสำหรับให้เทพยดาอยู่เป็นธรรมดา เมื่อพวกหม่อมฉันมาถึงที่นี่เพื่อรับหน้าที่แทน ได้ขับเทพยาดาเหล่านั้นไปหมดแล้ว สภาวะทิพย์หรือประสาทวิมานสวรรค์ชั้นฟ้าของพวกเทพยดาก็สลายไปโดยอัตโนมัติ คือ ว่าสภาวะทิพย์ของเทพยดาทั้งหลายย่อมเกิดขึ้นด้วยบุพฤทธิ์ ไม่ใช่มีขึ้นอยู่ก่อนแล้ว อย่างพวกหม่อมฉันนี้ พอมาถึงที่นี่สภาวะทิพย์ด้วยบุพฤทธิ์ก็เนรมิตทิพย์วิมานใต้บาดาลอยู่ภายใต้องค์พระธาตุพนมให้เลยทีเดียว”



พญาสัทโทนาคราชเจ้า ทรงให้อรรถาธิบายผ่านร่างทรง ท่านพ่อฯ พอใจมากจึงถามต่อไปอีกว่า

“ พระองค์เป็นพญานาคราชเจ้าอยู่ในบาดาลหรือใต้ดินนี้หายใจได้อย่างไร?”

“ ทารกในครรภ์มารดาหายใจได้ ตัวด้วงในไม้หายใจได้ ไส้เดือนในดินหายใจได้อย่างไร หม่อมฉันก็หายใจได้อย่างนั้นดุจเดียวกัน” ร่างทรงตอบ ท่านพ่อถามต่อไปว่า “ สามเณรทรัพย์ผู้นี้มีศีลบริสุทธิ์ มีฌาณสมาธิแก่กล้า ขณะเข้าฌานตรวจสอบในวันแรก ได้พบพระองค์ที่ลานพระธาตุนั้น เหตุไฉนพระองค์จึงเข้าประทับทรงร่างสามเณรผู้กำลังอยู่ในฌาณได้ หม่อมฉันสงสัย”



“ ผู้มีฌานแก่กล้า มีศีลบริสุทธิ์อย่างสามเณรน้อยรูปนี้ วิญญาณผีปิศาจเข้าสิงเข้าทรงไม่ได้หรอก แต่สำหรับวิญญาณชั้นสูงคือ เทพพรหมแล้วละก็ สามารถจะเข้าประทับทรงได้ด้วยสาเหตุสองประการ คือ หนึ่งเข้าเพราะมีกรรมเก่าพัวพันมาก่อนในอดีตชาติ สองเข้าเพื่อเจตนาจะมาสร้างกุศลผลบุญ ทำความดีไว้ในโลกมนุษย์ หม่อมฉันเข้าประทับทรงสามเณรน้อยรูปนี้ก็ด้วยเหตุประการหลัง คือ ต้องการติดต่อกับท่านเจ้าคุณ เพื่อแจ้งประสงค์ให้ทราบว่า พวกหม่อมฉันทั้ง ๗ นี้ นอกจากจะมีหน้าที่รักษาองค์พระธาตุพนมแล้ว ยังมีจิตเมตตาใคร่ที่จะช่วยบำบัดทุกข์ทั้งกายและทางใจให้แก่มนุษย์ทุกเพศทุกวัยไม่เลือกชาติไม่เลือกศาสนา” ร่างทรงกล่าว



“ พระองค์จะให้หม่อมฉันช่วยอะไรบ้าง” ทนพ่อฯ ถาม

“ ท่านเจ้าคุณจะต้องเป็นประธานในการประทับทรงทุกครั้งไป ผู้ที่จะเป็นร่างทรงคือสามเณรหรือแม่ชีผู้มีศีลบริสุทธิ์เท่านั้น ฆราวาสไม่เอา ประชาชนที่จะมาบำบัดทุกข์ทั้งกายและใจนี้จะต้องทำบัญชีรายชื่อไว้เป็นหลักฐาน เหมือนทะเบียนประวัติคนไข้ตามโรงพยาบาล แล้วจากนั้นนำคนมีทุกข์ที่ได้ลงชื่อเสียงเรียงนามแล้วมาให้หม่อมฉันตรวจสอบอาการดูว่า เขาเจ็บไข้ได้ป่วยอะไรกันแน่ ถ้าเป็นโรคภัยไข้เจ็บทางกาย ก็จะได้สั่งยาให้กินเช่นยาไทย ยาจิต ยาฝรั่ง หรือสมุนไพรที่มีอยู่ตามเรือกสวนไร่นา แต่ถ้าเป็นประเภทโรคจิตฟั่นเฟือน มึนซึมกระทือ เป็นบ้าใบ้ เสียจริต มึนงงหลงใหล หวาดกลัวร้องไห้ หัวเราะ ใจคอหงุดหงิด จิตไม่เที่ยง ฝันร้ายนอนสะดุ้งคิดมาก ปวดหัวมัวตานาน ๆ ต้องคุณผี คุณคนทำ ผีเข้าเจ้าสิง เป็นโรคลมต่าง ๆ ไข้หนาว ๆ ร้อน ๆ เจ็บท้อง เจ็บหน้าอก ง่อยเปลี้ยเสียขา ตามืดบอด ปวดหลังปวดเอว สัตว์พิษกัดต่อย อะไรเหล่านี้ จะต้องรักษากันด้วยน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์และจิตอำนาจเทวฤทธิ์” พญานาคราช กล่าว


“ สาธุ เป็นพระมหากรุณาของพระองค์ยิ่งล้นพ้นที่ทรงมีจิตคิดเมตตาต่อมนุษย์ผู้มีทุกข์ทั้งหลายในโลกนี้ หม่อมฉันพร้อมแล้วที่จะปฏิบัติตามประสงค์ทุกประการ”

ท่านพ่อฯ กล่าวด้วยบังเกิดความเชื่อมั่นแน่แล้วว่าวิญญาณที่ประทับทรงร่างสามเณรทรัพย์นี้ คือ พญานาคราชเจ้าผู้มีอิทธิฤทธิ์บารมีในทางสัมมาทิฎฐิ เป็นเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์ รับบัญชาการจากพระอินทราธิราช




“ พระองค์ต้องการจะให้มีเครื่องเซ่นสรวงบูชาอะไรบ้างหรือเปล่า”

“ เครื่องเซ่นสรวงบูชาไม่เอา ขายหน้าชาวต่างชาติต่างศาสนาเขา ทำให้พระพุทธศาสนามัวหมอง หม่อมฉันขอน้ำเปล่าสักถ้วยหนึ่งก็พอแล้ว ด้วยว่าน้ำนี้เป็นสภาวะของพวกนาคราช คือ ต้องอาศัยน้ำเป็นสื่อปัจจัยถ้าใครผู้ใดมีจิตรำลึกถึงต้องการจะติดต่อด้วยกับหม่อมฉันก็ขอให้ตั้งถ้วยน้ำขึ้น แล้วลอยด้วยดอกมะลิหอม จุดธูปเจ็ดดอก กล่าวอัญเชิญก็จะสามารถส่งกระแสจิตติดต่อกันได้ทันที” พญาสัทโทนาคราชเจ้ากล่าว

นี้คือค้นเหตุความเป็นมาแรกเริ่มเดิมที่จะจัดให้มีการประทับร่างทรงพญานาคทั้ง ๗ องค์ขึ้นที่วัดพระธาตุพนม ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา ท่านพ่อพระธรรมราชานุวัตร ได้กล่าวอยู่เสมอว่า พระมหาเจดีย์พระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ์ เก่าแก่อายุกว่า ๒๕๐๐ ปี องค์นี้เป็นที่รวมชีวิตจิตใจของชาวภาคอีสานและพี่น้องฝั่งลาวทั่วประเทศ เวลามีงานเทศกาลประจำปีจะมีพุทธศาสนิกชนทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำโขงมานมัสการเป็นแสน ๆ มีจำนวนไม่น้อยที่มาขอน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ของพญานาคทั้ง ๗ ไปกิน ไปทารักษาโรคภัยไข้เจ็บจนหายเป็นปกติดีเป็นที่เรื่องลือในเรื่องความมหัศจรรย์ บ้างก็มาขอหยูกยา บ้างก็มาขออาบน้ำมนต์ บ้างก็มาขอบูชาพระเครื่องที่พญานาคทั้ง ๗ ปลุกเสก




“ ให้เอาน้ำใสสะอาดใส่ เอาผ้าขาวสะอาดหุ้มปากให้แน่นแล้วยกเข้าไปตั้งไว้ติดโคนฐานองค์พระธาตุพนมภายในกำแพงแก้ว เก็บไว้ในที่นั้นอย่างน้อยหนึ่งคืน เพื่อให้ท่านเสกคาถาเทวฤทธิ์ วันรุ่งขึ้นก็เอาออกมาใส่หม้อน้ำมนต์ที่อยู่ในกุฏิของท่าน เมื่อใครเป็นอะไรให้มาขอก็ให้ไป” สำหรับไหพระธาตุนี้ เมื่อคราวพระธาตุพนมพังทลายปี ๒๕๑๘ ไหน้ำมนต์พระธาตุตั้งอยู่ในบริเวณกำแพงแก้วชั้นที่ ๒ ห่างจากองค์พระธาตุพนมประมาณ ๓ เมตร อยู่ในท่ามกลางอิฐซึ่งพังลงมาทับถมอยู่รอบ ๆ ไม่ได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย ยังคงไว้ซึ่งความศักดิ์สิทธิ์เช่นเดิม

นอกจากการเสกน้ำมนต์รักษาคนไข้แล้ว พญานาคราชเจ้าที่ประทับทรงสามเณรยังรักษาคนที่ป่วยเป็นนิ่วให้ด้วยโดยการใช้พลังเทวอำนาจสูบนิ่วออกมาให้เห็นกับตา คนป่วยเป็นพันรายหายจากการทรมานจากโรคนิ่วโดยวิธีนี้

วิธีการรักษาก็คือ ขั้นแรกจะต้องทำพิธีอัญเชิญพญานาคราชเจ้าทั้ง ๗ องค์มาชุมชนเสียก่อน ต่อจากนั้นสามเณรก็จะเข้าสมาธิจิตติดต่อเข้าเฝ้าพญานาคราชเจ้าทั้งเจ็ด ตอนนี้เองพญานาคราชองค์ใดองค์หนึ่งจะเข้าประทับทรงร่างสามเณร ท่านพ่อฯ ซึ่งเป็นประธานในการประทับทรงนี้ จะให้คนไข้ที่เป็นนิ่วเข้ามานั่งหน้าแท่นพุทธบูชาห่างจากสามเณรประมาณ ๑ วา โดยมีพระผู้เชี่ยวชาญวิปัสสนาธุระอีกรูปหนึ่งนั่งอยู่ห่าง ๆ หลับตาทำสมาธิคอยตรวจสอบเหตุการณ์ เมื่อพญานาคเข้าประทับทรงสามเณรแล้ว พญานาคจะบอกให้คนไข้นั่งตามสบาย เพื่อให้ท่านตรวจหาก้อนนิ่วในท้อง และโรคภัยอื่น ๆ ที่อาจมีแอบแฝงอยู่ ใช้เวลาตรวจสอบประมาณ ๑ นาที ก็สามารถจะบอกได้ว่า ในท้องมีนิ่วกี่ก้อน จากนั้นก็ให้คนไข้อ้าปากขึ้น สักครู่เดียวพญานาคราชเจ้าจะดูดเอาก้อนนิ่วในท้องออกมา แล้วพ่นออกจากปาก (ปากของสามเณร โดยก้อนนิ่วนี้จะมาเข้าปากสามเณรที่ถูกประทับทรงก่อนแล้วจึงพ่นออกมาอีกที)




พระผู้เชียวชาญวิปัสสนาธุระ หลับตาทำสมาธิ จิตคอยตรวจสอบเหตุการณ์อยู่ตลอดเวลาบอกว่า “ ขณะที่คนไข้เป็นนิ่วอ้าปากอยู่นั้น มองเห็นกายทิพย์ของมนุษย์ร่างหนึ่งมีขนาดโตเท่านิ้วก้อยมีรัศมีสุกปลั่ง เหมือนประกายดาวบนฟ้าได้ลอยพุ่งออกจากร่างสามเณร เลื่อนไหลเข้าไปในปากคนไข้ แล้วก็กลับออกมาเข้าร่างสามเณรอย่างเดิม จากนั้นก็เห็นสามเณรพ่อนก้อนนิ่วออกจากปาก”

ต่อมาพญานาคราชเจ้าได้เข้าประทับทรงทำการักษาโรคใช้ชาวบ้านอย่างพิสดารมหัศจรรย์ นั่น คือ รักษาโรคมะเร็งขแงเม็ดเลือดขาว หรือลูคีเมีย ด้วยการสูบเลือดให้ออกจากร่างคนไข้ พ่นออกมาทางร่างประทับทรง ลงกระโถนแล้วเต็มเลือดบริสุทธิ์ให้ด้วยสภาวะทิพย์ ปรากฏว่ารักษาคนไข้ที่เป็นโรคมะเร็งของเม็ดเลือดขาวด้วยวิธีนี้ หายเป็นปกติมีอายุยืนยาวต่อไปหลายรายเป็นที่เลื่องลือ

พญานาคราชเจ้าที่เข้าประทับทรงสามเณรเพื่อรักษาโรคนั้น นอกจากรักษาโดยการสูบนิ่วออกจากคนไข้แล้ว ยังสามารถรักษาคนที่ถูกผีกระทำ คนมีวิชาอาคมกระทำอีกด้วย เช่น สูบตะปูขนาด ๓ นิ้ว ๓ ดอก ออกจากคนไข้รายหนึ่ง อีกรายหนึ่งได้สูบเอากระดูกผียาวประมาณคืบศอกออก บางรายก็สูบเอาเส้นผมผีตายท้องกลมบ้าง ก้อนกรวดบ้าง ด้วยมัตตาสังข์ คางคกตายซาก เศษกระดูก ของมีคมและอะไรต่อมิอะไร อีกหลายอย่างซึ่งสิ่งของ ท่านพ่อฯ ได้เก็บไว้ให้คนที่รักษาเป็นบางส่วน ที่เก็บไว้ก็มีไม่ได้มาก เช่น เนื้อควายสด ๆ เปลวหมูดิบ ๆ หนังควาย คุณไสยสด ๆ ประเภทนี้เมื่อสูบออกจากท้องจะมีขนาดเท่าหัวแม่มือเท่านั้น แต่สักประเดี๋ยวก็จะเกิดอาการสั่นกระดุกกระดิกคล้ายสิ่งมีชีวิตและขยายตัวโตขึ้น ๆ เอาไปชั่งดูปรากฏว่าน้ำหนัก ๓-๔ กิโลกรัมก็มี ต้องให้ศิษย์วัดเอาไปฝังในป่าช้า




ท่านพ่อฯ บอกว่าพวกคุณไสยนี้เป็นวิชาลึกลับร้ายกาจของพวกเขมรและอิสลาม พญานาคราชเจ้าท่านบอกว่าตรวจเห็นได้ง่ายกว่าอย่างอื่น เพราะเป็นวัตถุที่มีอยู่ในโลก แต่ถ้าเป็นวิญญาณผีร้ายประเภทต่าง ๆ เข้าสิงในร่างแล้ว จะมองเห็นเป็นจุดดำ ๆ หลบซ่อนอยู่ในร่างกายคนไข้ที่โน่นที่นี่ ต้องสำทับสั่งให้ปรากฏร่างมันถึงจะแสดงตัวเป็นรูปร่างให้เห็น พญานาคจะสั่งให้มันออกจากร่างคนไข้ ผีบางตัวก็ยอมโดยดีด้วยความกลัว แต่ผีบางตัวดุร้ายมีฤทธิ์ไม่ยอมออกง่าย ๆ ผีประเภทนี้พญานาคราชเจ้าท่านเพียงแต่คอยยืนกำกับสั่งการให้ร่างทรงปราบเองโดยบอกคาถาปราบให้บ้าง ซึ่งคนไข้เหล่านี้เมื่อวิญญาณผีออกจากร่างไป ก็จะหายเป็นปกติ

การรักษาคนไข้ของพญานาคราชเจ้า ด้วยการเข้าประทับทรงนี้ส่วนมากหายขาดจากโรงภัยได้อย่างมหัศจรรย์ แต่ก็มีหลายรายเหมือนกันที่ไม่รอด เพราะถึงคราวที่ต้องตายไปตามวิบากกรรมของตน รายไหนจะไม่รอด พญานาคราชเจ้าจะตรัสผ่านทางร่างประทับทรงว่า คนไข้รายนี้อาการหนักนะท่านเจ้าคุณ ถ้าท่านบอกอย่างนี้ก็แปลว่าแย่ ไม่มีทางรักษาได้นอกจากจะผ่อนหนักเป็นเบา เช่นกำหนดคงจะตายภายในสามวันหรือเจ็ดวัน แต่พ่อแม่หรือลูกหลานอยู่ไกลยังมาไม่ถึงอยากเห็นหน้าอยากจะสั่งเสียอะไรเหล่านี้ พญานาคราชเจ้าก็พอจะช่วยต่ออายุให้ได้บ้างตามสมควรแก่กรณี

http://www.thatphanom.com/2
848  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เหตุการณ์สำคัญที่พระเจ้าไชยะเชษฐาธิราชเกือบเสียเมืองให้กองทัพพม่า เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 10:42:04 am
อนุสาวรีย์พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เวียงจันทน์

...พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช พระองค์มีศรัทธาอย่างแรงกล้าปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า จึงได้ตั้งใจความเพียร และการเสียสละอย่างสูง ที่จะสร้างพระพุทธรูปทองหล่อให้ใหญ่ที่สุด(ในสมัยปี พ.ศ.2019) ได้มีการเตรียมพร้อมทุกอย่างจนเป็นที่เรียบร้อยทุกประการ เมื่อถึงเวลาอันเป็นมหาฤกษ์มหาชัยตามพิธีของโหราจารย์ แล้วพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ก็ทรงมอบพระราชกรณียกิจทุกอย่างไว้กับพระมเหสี แล้วพระองค์ทรงนุ่งขาวห่มขาวไปสมาทานศีล 8 อยู่ในวังพิธี ที่วัดอินแปง

     แต่ก่อนถึงเวลามหาฤกษ ์มหาชัยนั้นได้มีกษัตริย์ของพม่า ได้ยกกองทัพเดินทางบุกถึงประตูเวียงแล้ว และได้ทำหนังสือยื่นคำขาด ให้แม่ทัพทั้ง 4 ถือ เข้ามายื่นให้พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชอยู่ในวังพิธีหล่อนั้น ในคำขาดนั้นมีอยู่ 2 ข้อ

1.ให้พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชยอมเป็นเมืองขึ้นของพม่า
2.ถ้าไม่ยอมเป็นเมืองขึ้นให้ออกมารบกัน และให้ตอบคำถามนี้ไปกับผู้ที่ถือหนังสือมามิให้ชักช้า


..หลังจากยื่นหนังสือให้แล้วแม่ทัพของพม่าทั้ง 4 ก็เดินดูช่างที่กำลังสูบเตาหลอมทองที่กำลังร้อนแดง ๆ อยู่นั้นพวกเขาได้แสดงอิทธิฤทธิ์โดย เอามือไปจับเบ้าหลอมพระที่กำลังแดง ๆ โดยไม่มีอาการร้อนเลย พระเจ้าไชยเชษฐาเห็นดังนั้นก็ตกพระทัย จึงได้เข้าไปในพระราชวังด้วยความรีบเร่ง พอพระมเหสีเห็นความผิดปรกติของพระองค์ก็ทรงถามว่า “ยังไม่ถึงเวลาทำพิธีเททองหล่อพระ ทำไมพระองค์จึงรีบกลับมา”

พระองค์จึงเล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้พระมเหสีฟัง พระมเหสีจึงกล่าวให้สติว่า “พระองค์ไม่ต้องเสียพระทัย ที่พระองค์สร้างพระใหญ่คราวนี้ เพื่อปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้าในวันข้างหน้า ถ้าคำปรารถนานี้ไม่สำเร็จ และจะพ่ายแพ้แก่พม่า ก็ขอให้มือของพระองค์กุด(ขาด) ไปกับเบ้าหล่อพระนั้นเสีย แต่ถ้าความปรารถนาของพระองค์จะสำเร็จ และได้รับชัยชนะจากพม่านั้นขอให้เบ้าทองที่จะหล่อพระมีอาการเย็น และไม่หนัก ให้มีอาการเหมือนจับ หมวกใส่หัว”

เมื่อพระองค์ได้สติจากพระมเหสีแล้ว พระองค์เข้าสู้ห้องไหว้พระ กล่าวสักการะเทวดาตั้งสัตยาอธิษฐานอย่างหนักแน่นแล้วกลับสู่วังพิธีหล่อพระ พอดีได้เวลาพระองค์ จึงให้คำตอบแก่แม่ทัพพม่าทั้ง 4 คนว่า “คำขาดของกษัตริย์พม่าทั้งสองข้อนั้นเรายินดีรับหมดทุกอย่าง แต่ว่าเวลานี้เรากำลังทำบุญ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าขอเชิญพวกท่าน มาทำบุญร่วมกันกอ่นแล้วจึงค่อยปฏิบัติตามคำขาดนั้นภายหลัง”

 ว่าแล้วพระองค์ก็เสด็จสู่หอที่เททองใส่เบ้าหล่อ และ พระองค์จับพระขรรค์ ด้วยมือเบื้องซ้าย เบื้องขวารับเอาเบ้าต้มทองที่กำลังแดงและร้อนที่ช่างยื่นให้พระองค์ โดยที่พระองค์ไม่มีความรู้สึกร้อนเลยจนทองหมด ส่วนที่เหลือก็หล่อพระพุทธรูปได้อีก 3 องค์ คือ พระสุก พระใส และพระเสริม

เมื่อเสร็จพิธีแล้วแม่ทัพพม่าทั้ง 4 ก็เดินทางกลับไปพร้อมหนังสือ คำตอบของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อกลับไปถึงก็เล่าเหตุการณ์ทุกอย่างให้กษัตริย์ฟังตามความเป็นจริง แล้วก็พากันผ่อนพักหลับนอนตามเวลาอันสมควร และในคืนนั้นเองพระองค์ได้แอบดอดไปหากษัตริย์พม่า แต่ก่อนที่จะไปพระองค์ได้กล่าวสักการะเทวดาและตั้งสัจจะอธิฐานว่า

“ 1.ถ้าข้าพเจ้าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า
  2.ถ้าข้าพเจ้าจะได้รับชัยชนะกองทัพพม่าในครั้งนี้ ขอให้เทพเจ้าเทพาอารักษ์จงช่วยเป็นสักขีพยานบันดาลให้กองทัพพม่าพร้อมทั้งช้าง ม้า จงพากันหลับไหล ในเวลาที่ข้าพเจ้าไปยาม(ไปหา) นั้นอย่าได้รู้สึกตัวเลย”


    เมื่อพระองค์ตั้งพระทัยอย่างหนักแน่นดั่งกล่าวแล้วก็ออกเดินทางโดยมีทหารคนสนิทเพียงคนเดียว เมื่อไปถึงปรากฎว่ากองทัพพม่าทั้งหมด คนและสัตว์พาหนะพากันนอนหลับหมดไม่มีใครรู้สึกตัวเลย เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชเห็นสภาพดั่งนั้นก็มีความแน่ใจในคำอธิฐานของตน

    ครั้งแรกพระองค์ถอดพระขรรค์ออกมาจะตัดคอกษัตริย์พม่าที่กำลังนอนหลับ แต่แล้วพระองค์ก็นึกขึ้นได้ว่า ตนเองทำบุญปรารถนาพุทธภูมิ แล้วจะมาทำบาปฆ่าคนเช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด แล้วพระองค์ก็ได้ปรึกษากับทหารว่าจะทำอย่างไรดี ให้เขารู้ว่าเรามาหา พอดีทหารคนนั้นมองเห็นตลับปูนวางอยู่ข้าง ๆของกษัตริย์พม่า ก็แนะนำให้พระองค์ใช้ปูนผสมน้ำ แล้วเอาไปป้ายที่คอของกษัตริย์พม่าและแม่ทัพทั้ง 4 เป็นกากบาท หลังจากนั้นเดินทางกลับพระราชวัง

  ...พอกษัตริย์พม่าตื่นขึ้นมา ทั้งกษัตริย์และแม่ทัพทั้ง 4 ต่างก็เห็นปูนป้ายคอของตัวเอง ซึ่งคนต่างปฏิเสธไม่มีใครทำ จึงสัณนิฐานได้ว่าต้องเป็น พระเจ้าไชยเชษฐาแน่นอน จึงได้ปรึกษากับแม่ทัพทั้ง 4 ว่า ถ้าต้องทำศึกกับพระองค์ต้องปราชัยแน่นอน จึงเปลี่ยนแนวคิดจากศัตรูมาขอเป็นมิตร

    ในขณะที่กษัตริย์พม่ากับแม่ทัพทั้ง 4 กำลังปรึกษากันอยู่นั้นก็มีทหารคนใช้ของพระองค์เข้ามาบอกว่า “เมื่อคืนนี้พระองค์พระองค์มาหาพวกท่าน แต่เห็นพวกท่านกำลังหลับ ถ้าจะปลุกก็จะเป็นการรบกวนจึงกลับไป บัดนี้ตื่นขึ้นมาแล้ว ขอถือเป็นเกียรติทูลเชิญพระองค์ท่านไปสู่พระราชวังของเราเพื่อปรึกษาเวียกบ้านการเมือง”

    เมื่อกษัตริย์พม่าได้ยินดังนั้นก็รู้สึกดีใจ จึงได้เตรียมเครื่องราชบรรณาการจำนวนหนึ่งพร้อมแม่ทัพทั้ง 4 เข้าพบพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อมาถึงก็ได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติ ทั้งสองกษัตริย์ก็ได้ให้คำมั่นสัญญา จะมีความซื่อสัตย์ให้แก่กันและกัน ถ้าฝ่ายหนึ่งผ่ายใดขาดเขินสิ่งใดให้ร้องขอต่อกันและช่วยกันจนเต็มความสามารถ การเจรจาสิ้นสุดลงด้วยการดื่มน้ำสาบาน(น้ำสัตยาบรรณ) และกษัตริย์พม่าก็ได้ขอเรียนวิชา “ก่านปูน” วิชาป้ายปูนที่ลำคอ

    พระองค์จึงได้เล่าความจริงให้ฟังว่า “ก่านปูน” ไม่ใช่วิชาอาคมอะไร ตั้งแต่ได้รับคำถ้าจากกษัตริย์พม่าแล้ว ตนได้รับคำเตือนสติจากพระมเหสี จึงแค่เอาปูนไปป้ายที่คอของกษัตริย์พม่าและแม่ทัพทั้ง 4 เท่านั้น

    ด้วยสำนึกถึงบุญคุณของพระมเหสี กษัตริย็พม่าจึงขออนุญาตแกะสลัก(ควัด) รูปเหมือนพระอัครมเหสีเท่าองค์จริงด้วยหินไว้เป็นอนุสรณ์ จากนั้นพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช ทรงให้ช่างแกะสลักพระอัคระมเหสีของพม่าขึ้นอีกองค์หนึ่งไว้เป็นคู่กัน เพราะเป็นสัญญาสำคัญแห่งสัมพันธไมตรี ในครั้งประวัติศาสตร์ พวกช่างก็แกะสลักรูปพระนางทั้งสองด้วยแผ่นหินและประดิษฐานไว้ที่วัดอินแปงจนถึงทุกวันนี้ ตามประวัติศาสตร์ได้บันทึกการรุกของสงครามศักดินาดังนี้

  ..ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ. 2127 ในรัชกาลของพระสุรินทลือไชย(จัน) ศักดินาพม่าเขามาตีนครหลวงเวียงจันทน์ได้สำเร็จพร้อมทั้งเผาทำลายวัดวาอารามวัตถุมีค่า มูลเชื้อวัฒนธรรม รวมถึงวัดองค์ตื้อด้วย
  ..ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ.2322 ในรัชกาลพระเจ้าสิริบุยสาร ศักดินาสยามได้เข้ามารุกรานครั้งที่ 1
  ..ครั้งที่ 3 ปี พ.ศ.2370 ในรัชกาลเจ้าอนุวงศ์ ศักดินาสยามได้เข้ามารุกรานเป็นครั้งที่ 2 พร้อมกับทำลายเผาผลาญนครหลวงเวียงจันทน์ จนเป็นเถ้าถ่านไปทั้งเมืองและร้ายแรงที่สุดคือ วัดองค์ตื้อ พร้อมพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้
  ..ครั้งที่ 4 ปี พ.ศ. 2416 โจรฮ้อ ได้เข้ามาปล้นสะดมขุดค้นเอาวัตถุมีค่าไปจนหมดในนั้น รวมพระเจ้าใหญ่องค์ ตื้อด้วย


เขียนโดย พระอาจารย์ผ่อง เจ้าอาวาสวัดองค์ตื้อ


ขอขอบคุณที่มา http://ufokaokala.com/index.php?topic=334.0
ขอบคุณภาพจาก http://upload.wikimedia.org/
849  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / พระพุทธศาสนาในยุคของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 10:40:22 am
สมเด็จพระเจ้าอภัยพุทธบวร ไชยเชษฐาธิราช พระมหากษัตริย์แห่งราชอาณาจักรล้านช้าง

     สมเด็จพระเจ้าอภัยพุทธบวร ไชยเชษฐาธิราช หรือที่รู้จักกันดีในพระนาม พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช (พ.ศ. 2077 - 2115) ถือเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดพระองค์หนึ่งของชาติลาว ทรงเป็นผู้นำแห่งอาณาจักรล้านช้าง ผู้สถาปนากรุงศรีสัตนาคนหุตให้เป็นศูนย์กลางอารยธรรม และเป็นศูนย์รวมศิลปะวัฒนธรรมต่างๆ ของอาณาจักรล้านช้างเข้าไว้ด้วยกัน

อิทธิพลของพุทธศาสนาในประเทศลาว


พระพุทธศาสนาในยุคของพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช
นับว่ามีความเจริญถึงขั้นขีดสุด ทรงได้สร้างวัดสำคัญมากมาย
ที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างองค์พระธาตุหลวงขึ้นมาใหม่ให้ใหญ่โตมโหฬารสมกับที่เป็นปูชนียสถานคู่แผ่นดินพระราชอาณาจักร
และได้สร้างวัดในกำแพงเมืองอยู่ประมาณ 120 วัด
และยังได้สร้างวัดพระแก้ว ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของพระแก้วมรกต ที่นำมาจากเมืองเชียงใหม่
ในสมัยนี้ได้มีการแต่งวรรณกรรมหลายเรื่อง เช่น สังสินชัย การเกต พระลักพระราม เป็นต้น

สมัยนี้ราชอาณาจักรไทยได้มีความสัมพันธ์ลาวอย่างแน่นแฟ้น ได้ร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับพม่า ได้สร้างเจดีย์ "พระธาตุศรีสองรัก" ในอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย เพื่อเป็นอนุสรณ์ แห่งความเป็นพี่เป็นน้องกัน ของสองอาณาจักร

พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชได้ทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองเชียงคำมาอยู่ที่เวียงจันทน์ ได้ประดิษฐานพระแก้วมรกต และพระแซกคำ (พระพุทธสิหิงค์ หรือพระสิงค์) ไว้ที่เวียงจันทน์
เรียกว่าเวียงจันทน์ล้านช้างส่วนพระบางประดิษฐานไว้ที่เมืองเชียงทอง จึงได้ชื่อว่าหลวงพระบางมาจนถึงบัดนี้ บางครั้งก็เรียกชื่อว่าล้านช้างหลวงพระบาง
และได้สร้างวัดเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตขึ้นเป็นพิเศษ พระองค์ได้ทรงสร้างพระธาตุหลวง ซึ่งถือเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นยอดเยี่ยมของลาวเมื่อ พ.ศ. 2109 ซึ่งต่อมาได้ถูกพวกปล้นจากยูนนานทำลายเสียหายไปมาก

นอกจากพระองค์จะได้ทรงสร้างพระธาตุ อื่น ๆ และพระพุทธรูปสำคัญ ๆ อีกมากมาย
เช่น พระเจ้าองค์ตื้อ ที่เวียงจันทน์
พระเจ้าองค์ตื้อ ที่อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย
พระเสริม พระสุก พระใส พระอินทร์แปลง พระองค์แสน
ทรงสร้างวัดพระธาตุ ที่จังหวัดหนองคาย
และพระธาตุที่จมน้ำโขงอยู่
พระธาตุบังพวน อำเภอเมืองหนองคาย
สร้างวัดศรีเมือง จังหวัดหนองคาย
และพระประธานในโบสถ์ นามว่า พระไชยเชษฐา พระศรีโคตรบูร ที่แขวงคำม่วน พระธาตุอิงรัง ที่แขวงสุวรรณเขต (สุวรรณเขต)
พระธาตุศรีสองรัก อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย และทรงปฏิสังขรณ์พระธาตุพนม เป็นต้น


พระธาตุศรีสองรัก อำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย

ที่มา http://www.dhammathai.org/thailand/missionary/laos.php
ขอบคุณภาพจาก http://touronthai.com/ และhttp://upload.wikimedia.org/
850  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ขอเชิญร่วมบวชเนกขัมมะถือศีลอุโบสถเนื่องในวันมาฆบูชา เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 08:58:08 am
อนุโทนาบุญด้วยนะค่ะ สาธุ     
851  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: หลวงปู่ขาวพบพญานาคราช เมื่อ: มกราคม 18, 2012, 11:56:05 am
หามาให้อ่านพอหอมปากหอมคอนะคะ
852  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / หลวงปู่ขาวพบพญานาคราช เมื่อ: มกราคม 18, 2012, 11:30:27 am

หลวงปู่ขาว อนาลโย
ธุดงค์เผชิญสัตว์ต่างๆ

พญานาคที่ภูถ้ำค้อ

หลวงปู่ขาว อนาลโย เล่าถึงเหตุการณ์ที่ภูถ้ำค้อ ที่เกี่ยวกับลูกหลานพญานาค ดังต่อไปนี้

คืนหนึ่ง ในระหว่างที่หลวงปู่นั่งสมาธิภาวนา ได้เห็นในนิมิตว่าบรรดางูใหญ่งูเล็กหลายพันตัว พากันเลื้อยออกมาจากถ้ำเป็นขบวนยาวเหยียด

หลวงปู่ได้ถามในนิมิตว่า "จะไปไหนกันมากมายเช่นนี้ ?"

หัวหน้างูใหญ่ตอบว่า "พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นภูมินาค"

หลวงปู่ถามซ้ำอีกว่า "จะพากันไปไหน ทำไมไม่อยู่ที่เดิมนี้ ?"

งูตอบว่า "จะไปที่ห้วยอีตุ้ม เพราะตั้งแต่พระคุณเจ้ามาอยู่ในถ้ำนี้แล้ว พวกข้าพเจ้าอยู่ยากกินยาก"

หลวงปู่จึงถามว่า "เพราะอะไร ?"

บรรดางูใหญ่งูเล็กหลายพันตัว พากันเลื้อยออกมาจากถ้ำเป็นขบวนยาวเหยียด

หลวงปู่ได้ถามในนิมิตว่า "จะไปไหนกันมากมายเช่นนี้ ?"

หัวหน้างูใหญ่ตอบว่า "พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นภูมินาค"

หลวงปู่ถามซ้ำอีกว่า "จะพากันไปไหน ทำไมไม่อยู่ที่เดิมนี้ ?"

งูตอบว่า "จะไปที่ห้วยอีตุ้ม เพราะตั้งแต่พระคุณเจ้ามาอยู่ในถ้ำนี้แล้ว พวกข้าพเจ้าอยู่ยากกินยาก" หลวงปู่ขาว อนาลโย เล่าถึงเหตุการณ์ที่ภูถ้ำค้อ ที่เกี่ยวกับลูกหลานพญานาค ดังต่อไปนี้

คืนหนึ่ง ในระหว่างที่หลวงปู่นั่งสมาธิภาวนา ได้เห็นในนิมิตว่า

หลวงปู่จึงถามว่า "เพราะอะไร ?"

งูตอบว่า "เพราะพวกข้าพเจ้าอยู่สูงกว่าพระคุณเจ้าผู้มีศีลอันบริสุทธิ์ ทำให้ร้อนไปทั่วร่างกาย จึงขอลงไปอยู่ในที่ต่ำๆ จะได้ไม่เป็นบาป"

ในบรรดางูเหล่านั้นมีนาคหนุ่มตัวหนึ่งถูกมัดปาก โดยให้คาบก้อนหินอยู่ หลวงปู่เห็นว่าแปลกกว่านาคตัวอื่นๆ จึงถามหัวหน้าพวกเขาว่า "ทำไมจึงต้องมัดปากเขาไว้ด้วย ?"

หัวหน้าตอบว่า "มันดื้อมาก เกรงมันจะทำอันตรายพระคุณเจ้า"

หลังจากออกจากสมาธิแล้ว หลวงปู่ได้ยกเรื่องของนาคมาพิจารณาโดยละเอียด ท่านบอกว่าเรื่องของนาคนี้ไม่มีบรรยายไว้ในตำราเล่มใด ถ้าหากไม่ปฏิบัติสมาธิให้ถึงขั้นแล้ว จะไม่เห็นได้เลย เป็นสนฺทิฏฐิโก คือรู้เห็นเฉพาะตนเท่านั้น

 

บทเพลงลูกสาวพญานาค

การจำพรรษาของหลวงปู่ขาว อนาลโย ที่ภูถ้ำค้อนั้น ท่านว่าได้ข้อธรรมอย่างมากเลยทีเดียว การพิจารณาค้นคว้าธรรมไม่ติดข้อง มีความรู้แปลกๆ หลายอย่าง รู้ทั้งเรื่องของโลกและรู้ทั้งเรื่องของโลกทิพย์

หลวงปู่เล่าว่า คืนหนึ่งท่านเข้าที่บำเพ็ญภาวนา จิตสงบ ปรากฎว่าตัวของท่านได้ลงไปถึงชั้นบาดาล

หลวงปู่ถามว่า "เมืองอะไร ?"

มีเสียงพูดขึ้นว่า "นี่คือบาดาลพิภพ เมืองนาค"

หลวงปู่บอกว่า ขณะนั้นเห็นตัวท่านเองยืนอยู่บนก้อนหินอยู่กลางน้ำ น้ำในเมืองบาดาลไม่เหมือนกับน้ำในเมืองมนุษย์ กล่าวคือน้ำในเมืองบาดาลน้ำจะไหลผ่านกัน เช่นสายหนึ่งไหลไปทางทิศเหนือ อีกสายหนึ่งจะไหลไปทางทิศใต้สลับกัน สายหนึ่งไหลไปทางตะวันออก อีกสายก็ไหลไปทางตะวันตก บางแห่งจะไหลเวียนขวากับเวียนซ้าย น่าแปลกประหลาดมาก

หลวงปู่เห็นก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่ง มีลักษณะสวยงามมาก มีสาวงามซึ่งเป็นลูกของพญานาคยืนนิ่งอยู่ เธอสวยงามมาก หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ดูราวกับนางฟ้าเทพธิดา แต่งตัวด้วยเครื่องทรงที่งดงามเหมือนในภาพที่วาดกัน

สาวน้อยหันหน้ามาทางหลวงปู่ เธอประนมมือและแสดงความคารวะ แล้วทำการร่ายรำพร้อมกับขับร้องเป็นเพลงว่า "อะหัง นะเม นะเม นะวะชาตินะวะ" หลวงปู่จำเนื้อเพลงได้ดี

ลูกศิษย์เคยกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า เพลงของลูกสาวพญานาคมีความหมายว่าอย่างไร ท่านบอกว่าให้แปลเอาเอง

หลวงปู่เคยเล่าเรื่องนี้ถวายสมเด็จพระญาณสังวร (สมเด็จพระสังฆราชองค์ปัจจุบัน) สมเด็จฯ ท่านก็ไม่แปลให้ฟัง พระองค์ท่านอยากฟังหลวงปู่แปลมากกว่า จึงนิมนต์ให้หลวงปู่แปลให้ฟัง

หลวงปู่บอกว่า "ผมไม่ได้มหาเปรียญ ไม่ได้เรียนศึกษาจะแปลได้อย่างไร"

สมเด็จฯ ท่านว่า "หลวงปู่เรียนทางในไตรปิฎก ผมเรียนทางนอกทางตำรา"

หลวงปู่จึงยอมแปลให้ฟัง ท่านพูดว่า "พูดตามที่เป็นมา ไม่ใช่ตำราอะไรนะ อะหัง ก็แปลว่าเรา ชาติใหม่ของเราไม่มีอีกแล้ว มีชาติเดียวเท่านี้"

แล้วหลวงปู่ก็ยิ้มระรื่นตามนิสัยอารมณ์ดีของท่าน แล้วถามสมเด็จว่า "ผมแปลแบบบาลีโคก แบบนี้ถูกหรือไม่"

สมเด็จฯ ท่านตอบว่า "หลวงปู่แปลได้ถูกต้องแล้ว"



ที่มาhttp://variety.thaiza.com 
ขอบคุณภาพจาก http://www.dhammajak.net
853  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ทุกคนมีวิธีควบคุมความโกรธอย่างไร เมื่อถูกบุพการีทำร้าย ? เมื่อ: มกราคม 18, 2012, 10:50:24 am
ชีวิตของคุณ ธรรมธวัชเหมือนป้อมเลย ไม่ค่อยจะต่างกันเท่าไหร่ ขอบคุณสำหรับคำแนะนำดีๆค่ะ   :25: :25:
854  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ประวัติพระยืน พระพุทธมิ่งเมือง และพระพุทธมงคลเมือง เมื่อ: มกราคม 18, 2012, 10:06:31 am
 :25: :25:
855  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ถ้อยคำดีดี ภาพสวยสวย เมื่อ: มกราคม 17, 2012, 06:17:50 pm


















ที่มา  www.teenee.com
856  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: อาถรรพ์ป่าคำชะโนด : ป่าผืนสุดท้าย ต้นไม้ 2,000 ปี เมื่อ: มกราคม 17, 2012, 02:48:37 pm
 :25: :25: :25: :25:
857  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อาถรรพ์ป่าคำชะโนด : ป่าผืนสุดท้าย ต้นไม้ 2,000 ปี เมื่อ: มกราคม 17, 2012, 12:41:58 pm
 ชื่อของป่าคำชะโนดเริ่มเป็นที่รู้จักไปทั้งประเทศพร้อม ๆ กับข่าวอื้อฉาวเรื่อง  “เปรต” แม้อาจารย์กู้ หรือนายกิตติ  ปภัสโรบล  จอมลวงโลก  เจ้าตำหรับสร้างเปรตตุ๋นคน  สิ้นฤทธิ์สิ้นเดชถูกจับยัดเข้าห้องขังไปโรงเรียนเปรตเรียบร้อยแล้ว  แต่ชื่อของ  “ป่าคำชะโนด” ยังอยู่ในความสนใจของผู้คน  ว่ามี ลักษณะ ความเป็นมาอย่างไร  เพราะป่าแห่งนี้คือสถานที่ที่อาจารย์กู้เลือกเป็นโลเกชั่นในการสร้างสถานการณ์เปรตโดยหลอกลวงผู้คนให้เข้าไปดู           
เกาะคำชะโนดดินแดนที่หลายคนเชื่อว่าทุกตารางนิ้วมีความศักดิ์สิทธิ์  ชาวบ้านหลายชั่วอายุคนเชื่อกันว่าใต้คำชะโนดเป็นเมืองบาดาลมีพญานาค  ชื่อ พญาศรีสุทโธนาค ปกครองอยู่  มีทางขึ้นลงเชื่อมระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์ในดงคำชะโนด  ซึ่งเรียกกันว่าบ่อน้ำ




                คำชะโนดมีลักษณะเป็นเกาะลอยน้ำ  และมีตำนานเกี่ยวกับพญานาคโดยตรง  มีเรื่องราวแปลกประหลาดมากมาย  เป็นเรื่องโด่งดังมาแล้วทั้งประเทศไม่ว่าจะเป็นเปรตกู้และผีจ้างหนัง

มีบุคคลนิรนามไปติดต่อบริษัทหนังเร่แห่งหนึ่ง ซึ่งรับฉายหนังเร่ในตัวเมืองอุดร ให้เอาหนังกลางแปลงไปฉายที่บ้านวังทองในอัตราค่าจ้างสี่พันบาท  โดยมีสัญญาข้อหนึ่งว่าให้ฉายหนังถึงตี  4 เท่านั้น  พอถึงตี 4 ให้รีบเก็บข้าวของออกไปจากสถานที่ฉาย  อย่าอยู่จนถึงสว่าง เป็นเงื่อนไขที่ค่อนข้างจะแปลกอยู่สักหน่อย  แต่ผู้จัดการบริษัทหนังเร่ก็ไม่ติดใจอะไร  กลับจากฉายหนังพวกคนงาน เดินทางกลับมาเล่าเรื่องประหลาดให้เจ้าของฟังว่า ได้ไปฉายหนังให้ผีดู





  ผีจ้างหนัง :  มหรสพโลกวิญญาณ 



สถานที่แห่งนี้กลายเป็นสถานที่ที่รู้จักไปทั่วประเทศจากเรื่องเล่าผีจ้างหนังโดยมีบุคคลนิรนามไปว่าจ้างหน่วยฉายหนังเร่แจ่มจันทร์ภาพยนตร์ในตัวเมืองอุดรธานีไปฉายหนังในเกาะคำชะโนด   และพบว่าละแวกที่ฉายหนังนั้นไม่มีหมู่บ้านใด ๆ โดยคนในหมู่บ้านใกล้เคียงแถวนั้นก็ยืนยันว่า ไม่ได้เดินทางมาดูหนังคืนนั้น  แต่คนฉายหนังก็ยืนยันว่า ตอนดึก ๆ  มีคนมานั่งดูหนังที่ฉายเต็มไปหมด
คุณธงชัย  แสงชัย  เจ้าของหนังเร่บริษัทแจ่มจันทร์ภาพยนตร์กล่าวในบันทึกประวัติคำชะโนดของนายสวาท  บุรีเพีย  อดีตศึกษาธิการอำเภอบ้านดุง 
“เรื่องเกิดขึ้นในวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2532  มีคนมาว่าจ้างให้หนังของผมไปฉายที่บ้านวังทอง อำเภอบ้านดุง  ห่างจากตัวเมืองอุดรธานีประมาณ 100 กิโลเมตร ค่าจ้างตกลงกันไว้ 4,000 บาท  มีหนังฉาย 4 เรื่อง  แต่มีสัญญาพิเศษอยู่ 1ข้อ คือ ให้ฉายถึงแค่ตี 4 เท่านั้น  ห้ามฉายถึงสว่าง  พอตี 4 ก็ให้รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉาย   ซึ่งผมได้ฟังก็แปลกใจมากแต่ไม่ได้คิดอะไรในตอนนั้น  เพราะเห็นว่าเป็นความต้องการของผู้มาว่าจ้าง   จึงไม่ได้ซักถามถึงเหตุผล  แต่ปรกติแล้วเวลาไปฉายหนังที่อื่น ชาวบ้านมักจะให้ฉายถึงสว่างทุกเจ้าไป   
หลังจากนั้นผมก็ได้ส่งหน่วยฉายหนังไปตามที่ได้ตกลงกันไว้   ในตอนเช้าพนักงานของผมจำนวน 7 คน ซึ่งกลับมาจากฉายหนังเมื่อคืน  ก็เล่าให้ผมกับภรรยาฟังว่า เมื่อคืนไปฉายหนังให้ผีดู
เด็ก ๆ เล่าให้ฟังว่า หนังเริ่มฉายตั้งแต่ตอน 3 ทุ่ม  ในตอนหัวค่ำไม่เห็นผู้คน  ก็ยังสงสัยว่าหายไปไหนหมด  แต่พอ 3 ทุ่มก็มีคนมาเป็นจำนวนมาก  และที่แปลกคือ ผู้หญิงซึ่งนุ่งขาวห่มขาวจะนั่งอยู่ด้านหนึ่ง  ส่วนผู้ชายใส่เสื้อผ้าสีดำจะนั่งอีกข้างหนึ่ง  และคนทั้งหมดก็นั่งกันสงบเงียบเรียบร้อยเหมือนจะไม่เคลื่อนไหวตัว  และที่ยิ่งกว่านั้นคือ ไม่ว่าจะฉายหนังอะไร ก็ไม่มีการส่งเสียงเอะอะเหมือนกับฉายหนังกลางแปลงทั่ว ๆ ไป  ฉายหนังบู๊ก็เฉย  ฉายหนังตลกก็เฉย ไม่มีเสียงหัวเราะ
 อีกอย่างคือ งานนี้ไม่มีร้านขายข้าวของ จำพวกของกินเลย  โดยทั่วไปงานอื่น ๆ จะมีร้านขายขนม ขายบุหรี่   พอถึงตี 4 พวกคนดูก็ไม่รู้หายไปไหนกันหมด  หายไปเร็วเหลือเกิน    พวกเด็ก ๆ เขาก็รีบเก็บข้าวของออกจากสถานที่ฉายหนัง   พอขับรถมาถึงหมู่บ้านวังทองตอนเช้าก็แวะซื้อบุหรี่ก่อนเลย  เนื่องจากเมื่อคืนไม่มีขาย  ชาวบ้านถามว่าไปฉายหนังที่ไหนมา   เด็ก ๆ ก็บอกว่าฉายในหมู่บ้านวังทอง   แต่ชาวบ้านกลับยืนยันว่าไม่มีหนังมาฉายในหมู่บ้านเลย   
 เรื่องก็เลยยุ่งว่าเมื่อคืนไปฉายหนังที่ไหนมา  ในที่สุดเมื่อสอบถามกันจนเป็นที่เข้าใจ ชาวบ้านสรุปว่า “สงสัยพวกคุณจะไปฉายหนังที่ใน “ดงคำชะโนด”  ซึ่งเป็นสถานที่ลี้ลับที่เชื่อว่าเป็นเมืองพญานาค  มีภูตผีปีศาจสิงสถิตอยู่ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับหมู่บ้านวังทองนี่เอง
พวกเด็ก ๆ ก็เลยเชื่อว่าถูกผีจ้างไปฉายหนังจริงอย่างที่ชาวบ้านว่า   จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผมก็อยากจะพิสูจน์ความจริงจึงเดินทางไปที่บ้านวังทอง  ผมไปที่ดงคำชะโนดซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไปสัก 3  กิโลเมตร  แต่ที่ผมแปลกใจมากเพราะดงไม้ที่ผมมองเห็นอยู่กลางทุ่งนาห่างจากตัวถนนครึ่งกิโลเมตรนั้นเป็นดงไม้ทึบ   อย่าว่าแต่ให้ขับรถยนต์จะเข้าไปข้างในเลย  แม้แต่จะขึงตั้งจอหนังก็ยังไม่ได้ด้วย
 ผมจึงไปสอบถามชาวบ้านแถวนั้นว่า  เมื่อคืนที่ผ่านมาในหมู่บ้านวังทอง หรือหมู่บ้านใกล้เคียงมีการฉายหนังกันบ้างไหม   ทุกคนต่างก็ยืนยันว่า ไม่มีหนังเข้ามาฉายเลย   ทำให้ผมงุนงงเป็นอันมาก  ทำให้ผมต้องเดินทางกลับไปที่ดงคำชะโนดอีกครั้ง เพื่อหาข้อพิสูจน์ ว่าเด็ก ๆ ได้มาฉายหนังที่นี่จริง  ในที่สุดก็มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเชื่อว่า  เด็ก ๆ ของผมได้เข้าไปฉายหนังในดงคำชะโนดจริง  นั่นก็คือ ตรงขอบถนนมีรอยรถยนต์แล่นผ่านลงไปในหล่มดินข้างทาง  รอยรถนั้น  แล่นผ่าเข้าไปในท้องนาซึ่งเป็นที่ลุ่มน้ำขัง   ไม่น่าเชื่อเลยว่ารถฉายหนังจะแล่นเข้าไปในดงคำชะโนดนั้นได้   
 ด้วยความประหลาดใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคุณธงชัยได้ไปนมัสการ  หลวงปู่คำตา  สิริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดศิริสุทโธ  คำชะโนด  ซึ่งเป็นวัดที่อยู่ใกล้ ๆ ดงคำชะโนด  และได้ไต่ถามถึงเรื่องนี้กับเจ้าอาวาส  ซึ่งท่านก็ได้เมตตาเล่าให้ฟังว่า
“คงเป็นเพราะช่วงนั้นเป็นเทศกาลของบรรดาวิญญาณซึ่งอาศัยอยู่ในดงไม้นี้  จึงได้ว่าจ้างให้หนังมาฉายฉลองเหมือนพวกมนุษย์   วิญญาณเหล่านั้นชาวอีสานเรียกว่า “ ผีบังบด” ในวันนั้นที่วัดไม่ได้มีการจัดงานแต่อย่างใด  แต่ในป่าคำชะโนดจะมีเสียงซู่ ๆ  เหมือนกับมีพายุพัดเข้ามาทั้ง ๆ  ที่คืนนั้นไม่มีลมใหญ่พัดมาจากไหนเลย”
“ในขณะที่หลวงปู่คำตาเล่าเรื่องนี้อยู่  ก็ปรากฏว่ามีงูตัวหนึ่งสีดำสนิท ท่าทางน่ากลัวเลื้อยเข้ามานอนขดอยู่ตรงหน้าของท่าน   ผมและภรรยาตกใจมาก   แต่หลวงปู่คำตาก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอก  คงจะเป็นวิญญาณของผู้ที่อาศัยอยู่ในดงไม้ไม่ต้องการให้ท่านเล่าหรือเปิดเผยอะไรต่อไป  จึงได้ส่งให้งูตัวนี้มาปรากฏเพื่อเป็นการเตือน   หลังจากนั้นท่านจึงขอตัวไม่เปิดเผยรายละเอียดใด ๆ  แต่ผมก็เชื่อว่ายังมีอะไรที่แปลกน่าสนใจอีกมาก เกี่ยวกับดงคำชะโดนี้”










 
ตำนานวังนาคินทร์คำชะโนด









 คำชะโนดอยู่ห่างจากบ้านเกิดผมเพียง 10  กว่ากิโลเมตร  บ้านของผมอยู่ที่ตำบลบ้านจันทน์   ซึ่งเป็นตำบลที่ติดคืนหนึ่งในระหว่างกลางพรรษาได้ฝันว่าหลวงปู่พาเข้าไปในคำชะโนดไปดูทรัพย์สินทั้งหมดในเมืองคำชะโนด  เสร็จแล้วก็นำหลวงปู่คำตาขึ้นไปบนศาลาหลังใหญ่ซึ่งมีคนนั่งรอจำนวนมากประกาศให้ทุกคทราบ

“นี่คือลูกชายของเจ้าปู่  ต่อไปนี้ทรัพย์สินและการปกครองเมืองคำชะโนดนี้จะยกให้ลูกชาย  ขอให้ทุกคนเชื่อฟังคำสั่งและอยู่ในความปกครองของลูกชายตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป”

หลวงปู่คำตาได้อาพาธและได้มรณภาพ  วันที่ 15  สิงหาคม พ.ศ. 2533

คำชะโนด :ป่าผืนสุดท้ายต้นไม้2,000ปี




http://t1.gstatic.com/images?



บนพื้นที่ราว 20 ไร่ ณ ตำบลวังทอง อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี คือ ที่ตั้งของ ป่าคำชะโนด  ชาวอำเภอบ้านดุงต่างเคารพนับถือและยึดถือปู่ศรีสุทโธและคำชะโนดเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจ  คำชะโนดในภาษาถิ่น คำ คือ ที่ที่มีน้ำซับไม่เคยเหือดแห้ง  เมืองคำชะโนดอธิบายให้เห็นภาพมีลักษณะเป็นเกาะลอยอยู่บนน้ำ  ภายในมีสภาพเป็นป่าพรุดิบชื้น  มีต้นไม้แปลกประหลาดที่ชาวบ้านเรียกว่าต้นชะโนด  มีลักษณะคล้ายต้นตาลผสมต้นมะพร้าวและต้นหมากอย่างละเท่า ๆ กัน ซึ่งมีอยู่ที่เดียวในโลก แต่ละต้นเรียวยาวสูงเสียดฟ้า  ส่วนพื้นดินมีสีดำเปียกชื้นตลอดเวลา มีเฟิร์นขึ้นปกคลุมหนาทึบแดดแทบจะไม่ส่องถึงพื้น  และยังมีต้นไม้ใหญ่กับต้นไม้เล็กขึ้นแซมหลายชนิด



คำชะโนดนับว่าเป็นป่าดึกดำบรรพ์ผืนสุดท้ายของประเทศไทยที่ยังคงมีความอุดมสมบูรณ์  เมื่อถึงฤดูน้ำหลากเกาะคำชะโนดนี้จะลอยได้ เมื่อมีน้ำท่วมบนพื้นที่หน้าวัดศิริสุทโธ  แต่ไม่ท่วมเกาะคำชะโนด  แต่ที่น่าแปลกใจคือ หากพ้นจากดงชะโนดแห่งนี้ไป ห่างกันแค่ไม่ถึง 300 เมตร ก็ไม่มีต้นชะโนดปรากฏให้เห็นแม้แต่ต้นเดียว 


นายทองอินทร์ ปักเสติ ชาวบ้านโนนเมือง ซึ่งมีบ้านอยู่ใกล้ ๆ กับป่าคำชะโนด เล่าว่า
           “เคยมีคนคิดเอาต้นชะโนดไปปลูกที่อื่นนะ แต่ไม่นานก็ต้องเอากลับมาคืนที่เดิม เพราะชีวิตการงานไม่ก้าวหน้า ชีวิตครอบครัวมีแต่ความเดือดร้อน ขนาดว่าแค่เอาเมล็ดหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง  อาจจะเป็นใบแห้ง ๆ ออกจากป่า สุดท้ายต้องเอามาคืนกันหมด”


เคยมีนักวิชาการจากกรุงเทพฯ  ได้ไปทำการสำรวจต้นชะโนดมาแล้ว  โดยให้ข้อมูลว่าต้นชะโนดที่เห็นอยู่ในเกาะคำชะโนดนำไปพิสูจน์ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์แล้วพบว่า  ต้นไม้ชนิดนี้อายุไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี


มีพระภิกษุทำพิธีพลีขอเอามาจากเมืองคำชะโนด  เพื่อนำมาปลูกดูภายในวัด  ท่านกล่าวว่า  โดยนำเอาตั้งแต่ยังเป็นผล  เมื่อนำมาปลูกดูนั้นก็เห็นจริงว่าต้นชะโนดเป็นต้นไม้ที่โตช้ามาก  ปลูก 2 ปียังต้นเล็กเท่าต้นกล้า  ดังนั้นจึงเท่ากับเป็นการยืนยันว่าการที่นักวิทยาศาสตร์ได้กล่าวว่าต้นไม้ชนิดนี้มีอายุไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี จึงน่าจะเป็นเรื่องจริง


                 แรกเดิมทีทางเข้าดงคำชะโนดสะพานทำขึ้นด้วยไม้  เมื่อโดนแดดโดนฝนก็ผุพังจึงมีการร่วมกันทอดผ้าป่า สร้างสะพานขึ้นใหม่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทอดตัวยาวจากพื้นที่วัดศิริสุทโธลอดผ่านซุ้มโขงประตูเมืองเข้าไปในคำชะโนด  ปัจจุบันมีการสร้างสะพานขึ้นใหม่เป็นรูปปั้นพญานาคเจ็ดเศียรสองตัวทอดตัวบนราวสะพานเข้าไปยังคำชะโนด  ที่น่าแปลกก็คือสะพานทำไว้เป็นสองตอนไม่ได้ทอดยาวถึงเมืองคำชะโนด  จะมีช่วงที่สะพานเว้นช่วงขาดหนึ่งผ่ามือบริเวณทางเข้าเมืองคำชะโนด  ชาวบ้านเล่าว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ไม่ต้องการให้มนุษย์กับพญานาคเชื่อมต่อกันก็เลยทำให้สะพานแตกหัก


นายอุทัย ไพเราะ อายุ 59 ปี แต่งกายในชุดสีขาวซึ่งเป็นจ้ำปู่ศรีสุทโธ(ร่างทรงทางภาคอีสาน)  เล่าว่า


“ตอนช่างมาทำสะพานเชื่อมกันเข้าไปในคำชะโนดสร้างกี่ครั้งสะพานก็เกิดพังทลาย ซ่อมกี่ครั้งก็ยังพังเหมือนเดิม  กลางคืนเจ้าปู่ศรีสุทโธก็ได้มาเข้าฝันและบอกว่า  ให้เว้นช่องขาดระหว่างสะพานไว้  เพราะว่าเส้นทางระหว่างโลกมนุษย์จะเชื่อมต่อเส้นทางเมืองบาดาลไม่ได้ และให้ถอดรองเท้าก่อนถอดหมวกด้วย  เพราะใส่รองเท้าเข้ามานั้นบางคนเหยียบสิ่งสกปรกเข้าไปในเมืองหากไม่ทำตามแล้วจะทำให้ทุกคนที่เข้ามาได้เจ็บได้ไข้   เมื่อก่อนใครจะใส่เสื้อผ้าสีแดงเข้ามาคำชะโนดไม่ได้ต้องมีอันเป็นไปทุกราย ภายหลังปู่ศรีสุทโธจึงอนุโลมให้มีผ้าสีแดงเข้ามาได้  เปลี่ยนเป็นให้ถอดรองเท้ากับหมวกไม่ให้พูดจาหยาบคายและห้ามนำสิ่งใดออกไปจากป่าคำชะโนด  เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ  และแต่ก่อนใครมาหาปลาหาของป่าแถวนี้ต้องขอปู่ศรีสุทโธก่อน  บางคนทอดแหหาปลาบอกกับปู่ศรีสุทโธว่าขอปลาช่อนตัวใหญ่ ๆ สักตัวก็พอ ผลปรากฏว่าทอดแหก็ได้ปลาช่อนตัวใหญ่มา  ทุกคนก็จะได้ เพียง 1 ตัว เหมือนกันแถมขนาดตัวปลาช่อนยังมีขนาดเท่ากันด้วย”


ผมไปถึงทางเข้าคำชะโนดและเดินไปตามทางเข้าสะพานคอนกรีตที่สร้างใหม่  หลายปีแล้วที่ผมไม่ได้กลับมาที่นี่มันเหมือนกลับมาย้อนอดีตวันวานชีวิตที่ผ่านมา  บริเวณโดยรอบมีการปรับปรุงภูมิทัศน์เพื่อการท่องเที่ยว  สะพานที่สร้างเข้าไปยังคำชะโนด มีการยกราวขึ้นสูงสะพานจนมองไม่เห็นสิ่งแวดล้อมธรรมชาติทางเข้าสองข้างทางสะพาน  ผมเขย่งเท้ามองดูธรรมชาติรอบ ๆ ทางเข้าแต่ก็มองไม่ถนัดนัก  เมื่อก่อนราวสะพานเป็นเสาปูนราวเหล็กโล่งสามารถมองเห็นสภาพแวดล้อมและธรรมชาติรอบ ๆ อย่างสวยงามมาก  แต่สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็คือรอยขาดระหว่างโลกมนุษย์กับเมืองบาดาล 


เมื่อเดินเข้าไปในบริเวณคำชะโนดความเย็นไต่ขึ้นมาจากปลายเท้าจรดหัวทำให้ขนลุก  ป่าคำชะโนดเป็นป่าพรุที่อุดมสมบูรณ์   มีค้างคาวร้องส่งเสียงทั่วป่า  กระรอกวิ่งบนต้นชะโนดกระโดจากต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่ง  บริเวณบางจุดจะมีกลิ่นฉุนอับชื้นจากมูลสัตว์  ผมเดินเข้าไปศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธและจุดธูปเทียนดอกไม้บูชา  ท่องคาถาบูชาเจ้าปู่ศรีสุทโธ  “กายะจิตตัง  อะหังวันทา  นาคาธิบดีศรีสุทโธ  วิสุทธิเทวา  ปูเชมิ”   ที่เขียนในป้าย  จากนั้นผมเดินไปยังบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  ตักน้ำในบ่ออธิฐานขอพรเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ตนเองแล้วนำน้ำมาลูบหัว


ชาวบ้านเชื่อว่าบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์คือทางขึ้นลงเชื่อมระหว่างเมืองบาดาลกับโลกมนุษย์ในดงคำชะโนด  น้ำในบ่อจะมีปริมาณเท่าเดิมอยู่อย่างนั้นและจะขังตลอดปี  ไม่เคยแห้ง  เคยมีชาวบ้านนำไม้ไผ่ยาว ๆ มาต่อกันยี่สิบกว่าลำไม่สามารถหยั่งถึงก้นบ่อน้ำได้  ชาวบ้านเชื่อว่าน้ำในบ่อนี้จะไปทะลุที่สะดือแม่น้ำโขงหรือบริเวณวัดอาฮงศิลาวาส จังหวัดหนองคาย


จากที่พ่อเล่าให้ฟัง  แรกเดิมทีบ่อน้ำศักดิ์สิทธ์มีความกว้างประมาณหนึ่งเมตรเท่านั้น  ต่อมาเกาะคำชะโนดได้เป็นที่รู้จักมากขึ้นจึงมีการขยายขอบบ่อออกขนาด 5 x 5 เมตร  ขอบบ่อหล่อคอนกรีตสูงประมาณ  60  เซนติเมตร  สามารถนำกระบวยกะลามะพร้าวก้มลงตักน้ำจากบ่อได้  ปัจจุบันมีการสร้างพญานาค 7 เศียรโอบรอบบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  มีน้ำพ่นออกจากปากพญานาคหัวตรงกลางลงมายังบ่ออ่างน้ำวงกลมที่สร้างไว้เพื่อรับน้ำให้คนมาตักไปล้างหน้าและดื่มกิน


ที่บ่อน้ำแห่งนี้บางเวลาจะมีฟองอากาศผุดขึ้นมาคล้ายกับว่ามีสิ่งมีชีวิตบางอย่างกำลังหายใจอยู่ใต้น้ำ  ชึ่งชาวบ้านเชื่อว่าเป็นการหายใจของพญานาคจึงทำให้เกิดเป็นฟองอากาศผุดขึ้นมาให้เห็น  ต่อมามีสิ่งอัศจรรย์คือรูปปั้นพญานาคและพญาจระเข้ลอยขึ้นมาจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์  ทั้งที่รูปปั้นต้องใช้สองมือยกจึงจะยกขึ้น  นับว่าเป็นเรื่องแปลกเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก   


น้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เมื่ออธิฐานนำมารักษาโรคก็จะหาย   แต่ก่อนจะนำน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ไปใช้นั้น  ต้องท่องคาถาบูชาสักการะเจ้าปู่ศรีสุทโธก่อน  เพื่อเป็นการขอได้อย่างถูกวิธีแก่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ดูแลรักษาอยู่   ทั้งยังเป็นการทำให้น้ำ              เปี่ยมไปด้วยเทวฤทธิ์จากนาคทั้งหลายที่มีฤทธิ์อันเป็นทิพย์  และที่น่าแปลกอีกอย่างหนึ่งคือเทศกาลออกพรรษาบางครั้งจะ  มีลูกไฟประหลาดพุ่งขึ้นจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับบั้งไฟพญานาคที่จังหวัดหนองคาย


ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ใกล้ ๆ คำชะโนดเล่าว่า  มักจะพบเห็นสิ่งมหัศจรรย์ในมิติลี้ลับอยู่เสมอ เช่น เห็นชาวเมืองชะโนดไปเที่ยวงานบุญ มีผู้หญิงไปยืมเครื่องมือทอผ้าจากชาวบ้าน  และเห็นรอยพญานาคขึ้นภายในบริเวณวัดและใกล้ๆเกาะคำชะโนด


เมื่อคราวที่จัดงานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนพรรษา 5 รอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท้องสนามหลวง เมื่อวันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2530 น้ำจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ “คำชะโนด” ได้รับเลือกไปร่วมงานพระราชพิธี ดังกล่าว


ผมเดินจากบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์และมานั่งไหว้อธิฐานลูบคล้อง  ซึ่งเชื่อว่าใครลูบฆ้องและเกิดเสียงแสดงว่าเป็นคนมีบุญ   ผมลูบตรงกลางหลุมฆ้องเบาปรากฏว่าเริ่มมีเสียงดังออกมา  เมื่อยิ่งลูบเร็วและแรงเสียงฆ้องยิ่งดังสนั่นก้องทั่วป่าคำชะโนด   เกาะ   
เกาะคำชะโนดยังเป็นเรื่องที่พิสูจน์ยังไม่แน่ชัด แต่ก็มีวิทยาศาสตร์ที่พยามจะพิสูจน์ว่าเกาะนี้มันลอยน้ำได้อย่างไร

วิทยาศาสตร์กับความเชื่อ

วิทยาศาสตร์มีความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและมีการค้นหาเพื่อจะพิสูจน์สิ่งต่าง ๆ  ครั้งหนึ่งมีการพิสูจน์บั้งไฟพญานาคที่โพนพิสัย จังหวัดหนองคาย  ว่าเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น หรือปรากฏการณ์ธรรมชาติหรืออะไรกันแน่  แต่ก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้จนวันนี้   แต่ทุกครั้งที่วิทยาศาสตร์ได้เข้ามามีบทบาทในเรื่องสิ่งต่าง ๆ นั้นจะจะต้องต่อสู้กับความเชื่อของคนในพื้นที่ที่มีมาแต่ครั้งโบราณกาลที่สืบทอดกันมา บางครั้งก็มีเรื่องขัดแย้งรุนแรงถึงขั้นฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาลมาแล้ว  ส่วนคำชะโนดก็เช่นเดียวกัน    มีคณะนักวิชาการนักวิทยาศาสตร์และทีมงานจากรายการเรื่องจริงผ่านจอได้เดินทางไปสำรวจพื้นที่เพื่อหาคำตอบความมหัศจรรย์ของเกาะนี้ว่าลอยน้ำได้อย่างไร  เป็นเพราะความศักดิ์สิทธิ์หรือธรรมชาติสร้างขึ้นกันแน่

 ร.ศ.ฤดีมล  ปรีดีสนิท  นักวิชาการผู้ศึกษาวิจัยเกาะคำชะโนด  กล่าวว่า  “เกาะนี้เป็นเกาะที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ  โดยการสะสมของซากพืชซากไม้ที่ทับถมกันมาเป็นเวลาหลายร้อยปีในแอ่งแห่งนี้  จากเศษผง  ซากพืชซากไม้จนกลายเป็นดินในที่สุด  ปัจจุบันมีความหนาอยู่ที่1-3  เมตร  รากของต้นชะโนดที่แผ่ออกไปในแนวนอนทำหน้าที่เกาะเกี่ยวกันช่วยพยุงเกาะแห่งนี้ให้ลอยน้ำได้”

ดร.อดิชาติ  สุรินทร์คำ  นักธรณีวิทยาจากกรมทรัพยากรธรณีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอธิบายถึงเกาะคำชะโนดนี้ว่า 

 “จะว่าไปก็เหมือนแหลมของแผ่นดินที่ยื่นออกไปแต่มันไม่มีรากเท่านั้นเองไม่มีฐานมันเหมือนเราเอาสวะมากองรวม ๆ กันแล้วมีอะไรดึงไว้ไม่ให้มันลอยไปตามน้ำ  จนรากที่มันยึดเกาะติดกัน  แล้วมีบางส่วนที่มันเชื่อมจากดินที่ยื่นออกมาจากดินหมู่บ้าน แต่ตรงดินนี้เจาะออกนิดเดียวก็จะเป็นน้ำแล้ว” 

มีการสรุปเบื้องต้นว่าในช่วงเวลาน้ำหลากเกาะนี้ก็จะลอยตัวขึ้นตามระดับน้ำหลังน้ำลดเกาะนี้ก็จะยุบตัวลงตามผิวดิน  นั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้สะพานที่เชื่อมเกาะคำชะโนดและแผ่นดินหลักแตกหักทุกปี

ทางคณะทีมงานได้รับความร่วมมือจากมูลนิธิกู้ภัยสว่างเมธาอุดรธานีเอื้อเฟื้ออุปกรณ์และนักประดาน้ำ  เพื่อที่จะดำน้ำทำการสำรวจพื้นที่ใต้เกาะคำชะโนด เพื่อหาคำอธิบายการลอยของเกาะคำชะโนดให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

การดำลงไปครั้งแรกคือการดำลงไปสำรวจพื้นที่เกาะด้านล่าง  การดำลงไปใต้เกาะคำชะโนดยังไม่มีใครกล้าทำมาก่อน  เพราะชาวบ้านเชื่อกันว่าใต้น้ำมีจระเข้และปลาขนาดใหญ่ที่ดุร้ายคอยดูน่านน้ำใต้เกาะให้เจ้าปู่ศรีสุทโธอยู่   จากการสำรวจเบื้องต้นนักประดาน้ำกล่าวว่า

“ข้างล่างน้ำใสมาก เห็นแต่หางสาร่าย และสามารถเข้าไปต่อได้”

การลงไปครั้งที่สองคือการลงไปบันทึกภาพของเกาะคำชะโนด  นักประดาน้ำสองคนดำลงไปในทิศทางเดิมระยะกว่า 20 เมตร ผ่านไปประมาณ  10  นาที  ก็ได้รับสัญญาณให้ดึงเชือกกลับ  เพราะเข้าไปไม่ได้แล้วจึงดึงเชือกขอขึ้นฝั่ง

“ข้างในเป็นโพรงเข้าไปเหมือนถ้ำลอยได้  เคลียร์สะดวกทางโล่ง  พอครั้งที่ 2 ปรากฏว่ามันตันเป็นรากหญ้ายาวติดพื้นเข้าไปไม่ได้  ไม่เหมือนรอบแรกมีกิ่งไม้หญ้าบ้าง  ผมพยายามเคลียร์ออกแล้วแต่ก็เข้าไปไม่ได้   เวลาแหวกหญ้าเข้าไปเหมือนกับคนมาดึงไว้ไม่ให้เข้าไป”

นับว่านับว่าเป็นการท้าทายอย่างมากในการดำน้ำลงไปสำรวจพื้นที่ใต้เกาะคำชะโนด  จากทดลองทางวิทยาศาสตร์ทำให้รู้ภายใต้เกาะคำชะโนดว่ามีลักษณะอย่างไร  จึงทำให้เกาะนี้ลอยน้ำได้

“ครั้งแรกที่เข้าไปอาจเป็นการไปทำช่องว่างให้เกิดขึ้น  เมื่อเราทำช่องว่างเกิดขึ้นมันจะต้องปรับตัวใหม่  สวะที่อยู่ข้างบนหรือรากไม้  วัชพืชที่เกิดอยู่ในน้ำมันต้องปรับตัวใหม่  ตรงไหนมีช่องว่างมันก็ขยับเหมือนเราขยับเข้าที่  พอไปอีกทีมันก็มาปิดบังแล้ว  จะมีต้นไม้บางชนิดที่สามารถเกิดอยู่ในน้ำและบนดินที่เรียกว่าเกาะลอย  บางส่วนผมเชื่อว่ามันหยั่งลงไปชั้นดินหรือชั้นหินที่อยู่ข้างล่างใต้หนองน้ำ”  ดร.อดิชาติ  สุรินทร์คำ   กล่าวสรุป

อย่างไรก็ตามชาวบ้านเชื่อว่าดินแดนแห่งนี้เป็นดินแดนต้องห้าม  ที่บางทีเราเองไม่ควรก้าวล้ำเข้าไป  แต่การสำรวจครั้งนี้วิทยาศาสตร์มีส่วนช่วยทำให้รู้ว่าเกาะนี้ลอยได้โดยรากของต้นชะโนดหยั่งลึกลงพื้นดินใต้น้ำเกาะคำชะโนด 

ภารกิจฟื้นฟูดำรงรักษาผืนป่าคำชะโนด : แม้ว่าต้องแลกด้วยฉายาป่าอาถรรพ์





                ปี พ.ศ. 2549  ความเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศของป่าคำชะโนดก็เกิดขึ้น  มีการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวจนเกินขอบเขต  มีการสร้างสะพานเข้าเมืองคำชะโนด  และสร้างศาลเจ้าปู่ศรีสุทโธหลังใหม่  ส่วนบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์มีการสร้างพญานาคล้อมรอบขอบบ่อ  ส่วนภายนอกนั้นมีการสร้างถนนรอบเกาะคำชะโนด  ภายในบริเวณวัดมีการสร้างพระพุทธรูปยืนปางประทานพรองค์ใหญ่สูงเสียดฟ้า  และสร้างอาคารต่างเพิ่มขึ้น  สิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อระบบนิเวศเป็นสาเหตุทำให้ต้นชะโนดเหี่ยวเฉาและตายลง


การนำสิ่งก่อสร้างที่เป็นวัตถุสมัยใหม่เข้าไปไว้ในป่าคำชะโนด  ล้วนแล้วแต่เป็นการทำลายและเปลี่ยนระบบนิเวศ  ขัดต่อการท่องเที่ยวเชิงนิเวศอย่างรุนแรง  จึงมีการระดมความคิดจากหลายฝ่าย  ทั้งทางจังหวัด  ทางอำเภอบ้านดุง  ได้เร่งหาสาเหตุและแก้ไขฟื้นฟู   บ้างก็เสนอว่าให้รื้อถอนสิ่งก่อสร้างนั้นออก  แต่นั้นยังไม่ใช่ทางออกที่ดี  การแก้ปัญหาทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับคนในพื้นที่นั้นด้วย 


 เมื่อถามถึงการพัฒนาการท่องเที่ยวนั้นมีผลดีหรือผลเสีย  นายเข็มพร  เพ็งสุวรรณ  ชาวบ้านมีชัย  อำเภอบ้านดุงกล่าวว่า
              “ด้านการท่องเที่ยวมีผลดีขึ้นคนรู้จัก  มีคนมาทัศนศึกษามากขึ้น    ส่วนด้านธรรมชาติต้นชะโนดมีการตายบ้างบางส่วน  เพราะน้ำท่วม  มีการแก้ไขโดยสูบน้ำจืดเข้ามารอบ ๆ เกาะคำชะโนด  และไม่ให้ทำนาเกลือใกล้ ๆ บริเวณนี้  มันเป็นผลกระทบถึง  แม้มันไม่เป็นผลกระทบโดยตรง  ตอนนี้ได้มีการนำน้ำในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์มาขายข้างนอกบริเวณในวัดโดยการให้ผู้สนใจบูชาดพื่อเป็นสิริมงคลกับชีวิตและครอบครัว”


การพัฒนาเป็นเรื่องที่ดีแต่ต้องดูผลที่ตามมาด้วยว่าจะมีผลดีหรือผลเสียมากน้อยอย่างไร  ผมมองดูรอบ ๆ ทางเข้าสิ่งก่อสร้างเดิมๆที่เติบโตมาพร้อมกับผมได้ถูกทำลายไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นต้นดอกจานสีเหลืองที่ออกดอกบานสวยงามช่วงหน้าหนาวข้างสะพาน  ซุ้มประตูโขงทางเข้าที่ทุบทิ้ง สะพานที่ต้องพายเรือเข้าไปในคำชะโนดตอนน้ำท่วม  จะมีเหล่าบรรดาสัตว์น้ำ ปู  ปลา หอย  ปลิงควาย  ว่ายน้ำมาตอนรับคนที่เข้าไปในเมือคำชะโนดเพื่อสักการะเจ้าปู่ศรีสุทโธ  สิ่งเหล่านี้ที่เติบโตมาพร้อมกับผมมันได้หายไปหมดแล้ว  เหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำให้ผมได้คิดถึง


 นายอุทัย ไพเราะ จ้ำปู่ศรีสุทโธ (ร่างทรงทางภาคอีสาน)   ซึ่งเป็นผู้ดูแลป่าคำชะโนด  กล่าวว่า


“ไม่เห็นด้วยกับการสร้างสิ่งใหม่ ๆ เหล่านี้  มีแต่ปูนซีเมนต์มันอาจทำให้ดินเค็มต้นชะโนดในนี้อาจตายได้ หากต้นไหนตายก็จะหักล้มลง  จึงเป็นการเปิดช่องทางลมให้พัดเข้ามาแรงเกินไป  หากไม่มีต้นไม้ใหญ่บังลมข้างนอกอาจจะทำให้ต้นไม้ข้างในโดนลมพัดหักหมด  แล้วมันจะเหลืออะไร  เคยเสนอให้ใช้หินใช้ศิลาแลงมาใช้ในการก่อสร้างมันจะไม่ขัดกับสิ่งแวดล้อมนัก  เขาก็หาว่าผมดึกดำบรรพ์เต่าล้านปี” 


พอพูดเสร็จนายอุทัยถอนลมหายใจมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก 
              ทั้งนี้จากการสังเกตจากภายนอกเห็นชัดเจนว่าใบของต้นชะโนดที่เคยมีสีเขียวเข้มสดใส  ลักษณะเหมือนใบตาล กลับมีสีซีดลงมากจนเกือบเหลือง ส่วนปลายใบก็เหี่ยวพับลง รวมทั้งที่โคนก้านติดใบก็มีลักษณะพับลงอีก และจะเป็นเฉพาะต้นที่มีขนาดสูง ที่รายล้อมอยู่รอบๆป่า  ส่วนต้นที่อยู่ด้านใน หรือต้นขนาดเล็ก ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด และเมื่อเดินเข้าไปใกล้ เห็นชัดเจนอีกว่าน้ำที่เคยท่วมรอบ ๆ ป่า มีระดับลดลงจนเห็นผิวดิน และตลอดสองข้างสะพานเดินเข้าป่า ก็ไม่มีลักษณะชุ่มน้ำเหมือนแต่ก่อน  หากเดินลงไปพื้นจะอ่อนนุ่ม เหมือนเดินบนเลน  ขณะนี้เดินลงไปได้เหมือนเดินบนพื้นดิน ต้นชะโนดอาจจะลดจำนวนลงเรื่อย ๆ หรือไม่อาจตายหมดใน 3-4  ปี  การทำลายธรรมชาติมนุษย์ยังคงเป็นตัวต้นเหตุอันดับต้น ๆ ที่ทำให้บริเวณรอบ ๆ เกาะคำชะโนดเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนดังเช่นก่อน  เมื่อก่อนหากมองไปยังน้ำรอบ ๆ เกาะจะเห็นกอหญ้ารกรอบ ๆ เกาะ  มีพืชน้ำขึ้นแซมและจอกแหนบนผืนน้ำหนาทึบ 


 ด้านนายอดุลย์ จันทนปุ่ม นายอำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี กล่าวว่า
               “ต้นชะโนดเหี่ยวในส่วนรอบนอก ทางอำเภอได้ตั้งคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว สาเหตุที่ทำให้ต้นชะโนดเหี่ยวเฉา น่าจะมาจากระดับน้ำลดลง อาจเกิดจากการพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยปล่อยน้ำออกเพื่อสร้างถนน สะพาน เบื้องต้นอำเภอบ้านดุงได้อุดท่อระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำระบายออกไป พร้อมกับทดน้ำจากแหล่งน้ำใกล้เคียง เข้าไปทดแทนเพื่อรักษาระดับน้ำ และในทางวิชาการทางได้ประสานไปยังป่าไม้จังหวัด และทางเกษตรจังหวัด ให้มาตรวจสอบหาสาเหตุที่แท้จริง โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมามีการตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ต่อจากนั้นจะขอนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และกรมป่าไม้ ได้เข้ามาตรวจสอบรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง”
            จากการที่ต้นชะโนดเหี่ยวเฉาและทยอยตาย  จึงมีการร่วมมือกันของหน่วยงานจังหวัด  เพื่อหาหนทางปรับปรุงแก้ไข ฟื้นฟูป่าแห่งนี้ให้กลับมาดำรงความอุดมสมบูรณ์โดยเร็วที่สุด  โดยมีเจ้าหน้าที่ป่าไม้เข้ามาดู  และทำการพลีขอนำต้นเมล็ดออกไปเพื่อเพาะพันธุ์  คาดว่าจะได้ต้นชะโนดเป็น 1,000  ต้น


นางสมร  สุริยะจันทร์  อาจารย์ประจำวิชาเกษตรกรรมโรงเรียนบ้านดุงวิทยา  ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมประชุมหาหนทางฟื้นฟูเกาะคำชะโนดกับทางจังหวัดอุดรธานี  กล่าวว่า


“ในส่วนทางโรงเรียน  ได้ส่งเสริมให้ให้นักเรียนเพาะพันธุ์ต้นกล้าจากเมล็ดชะโนด  ที่ขอเก็บมาจากโคนต้นชะโนด  ก่อนนำไปปลูกทดแทนกับต้นที่ล้มตายไปจากการพัฒนาที่ผิด ๆ  ปัจจุบันเรามีต้นกล้าอยู่ประมาณ  17,000  ต้น  ที่พร้อมจะเดินทางเข้าสู่ป่าคำชะโนดแล้ว”


ด้านตัวแทนประชาชนในพื้นที่  ให้ความคิดเห็นเกี่ยวกับการฟื้นฟูป่าคำชะโนดว่า  ครั้งแรกที่มีการก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ ภายในป่า  ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่อง  แต่ก็เห็นว่ารัฐบาลได้ให้ความสนใจและให้ความสำคัญที่จะพัฒนาป่าคำชะโนดเป็นแหล่งท่องเที่ยว  ทุกคนต่างก็ดีใจ  เพราะเศรษฐกิจจะได้ดีขึ้น  จะมีงานทำและมีรายได้จากการขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยว 
858  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ฝันเห็นพญานาค 9 เศียร สีทอง ตัวใหญ่มาก เมื่อ: มกราคม 17, 2012, 09:57:06 am
 :c017: :c017: :c017: :25:
859  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สะพานมิตรภาพ ไทย-ลาว แห่งที่ 4 เชียงของ-บ้านห้วยทราย เมื่อ: มกราคม 16, 2012, 05:53:18 pm
อยากไปเที่ยวจัง  :25: :25:
860  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ขอเชิญร่วมโมทนาบุญทอดผ้าป่าสามัคคี สำนักปฏิบัติธรรม อัญญาวิโมกข์โพธิรังษี เมื่อ: มกราคม 16, 2012, 03:30:04 pm
อนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ สาธุๆๆๆ :25: :25: :25:
861  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ฝันเห็นพญานาค 9 เศียร สีทอง ตัวใหญ่มาก เมื่อ: มกราคม 16, 2012, 02:40:09 pm
ขอบคุณ คุณธวัชชัยมากค่ะ แต่ไม่ค่อยจะเข้าใจ :25: :25: :25: :25:
862  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ขอเชิญร่วมเททองหล่อพระพุทธมัชฌิมามุนี หน้าตัก 30 นิ้ว 2 องค์ ในวันที่ 29 ม.ค.55 เมื่อ: มกราคม 16, 2012, 01:41:05 pm
ขอร่วมทำบุญด้วยนะค่ะ มีหมดกำหนดรับบริจาควันไหนค่ะ จะโอนเงินร่วมบริจาค
863  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: ขอเชิญร่วมเททองหล่อพระพุทธมัชฌิมามุนี หน้าตัก 30 นิ้ว 2 องค์ ในวันที่ 29 ม.ค.55 เมื่อ: มกราคม 16, 2012, 01:07:50 pm
อนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ สาธุ   :25: :25: :25: :25:
864  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ฝันเห็นพญานาค 9 เศียร สีทอง ตัวใหญ่มาก เมื่อ: มกราคม 16, 2012, 11:28:08 am
เมื่อคืนป้อมฝันเห็นพญานาค 9 เศียร ตัวสีทองใหญ่มาก รบกวนทำนายให้หน่อยค่ะ
865  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ประวัติพระยืน พระพุทธมิ่งเมือง และพระพุทธมงคลเมือง เมื่อ: มกราคม 16, 2012, 11:20:06 am
ตามตำนาน เมืองกันทรวิชัยนั้นเป็นเมืองต้องคำสาป  และไม่มีใครพบเห็นพระพุทธรูปทองคำมาจนถึงปัจจุบัน
 :25: :25: :25:
866  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ถ้ำอชันตา มรดกโลก ศรัทธายิ่งใหญ่ของชาวพุทธ เมื่อ: มกราคม 16, 2012, 11:11:57 am
ขอบคุณลุงปุ้มมากค่ะ  :c017: :c017: :c017:
867  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: VDO นำชม "ถ้ำแอลโลร่า" (Ellora Caves) เมื่อ: มกราคม 16, 2012, 10:09:36 am
 :25: :25: :25:
868  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: "สพฺเพ ธมฺมา นาลํ อภินิเวสาย" "ธรรมทั้งปวงอันใคร ๆ ไม่ควรยึดมั่น ถือมั่น. เมื่อ: มกราคม 15, 2012, 04:45:42 pm
 :25: :25: :25:
869  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ประวัติพระยืน พระพุทธมิ่งเมือง และพระพุทธมงคลเมือง เมื่อ: มกราคม 15, 2012, 04:13:02 pm
ลองไปนมัสการดูนะค่ะ เป็นพระพุทธรูปที่ศักดิ์สิทธ์มาก
870  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ประวัติพระยืน พระพุทธมิ่งเมือง และพระพุทธมงคลเมือง เมื่อ: มกราคม 15, 2012, 03:40:11 pm


ประวัติพระยืน พระพุทธมิ่งเมือง และพระพุทธมงคลเมือง

พระพุทธมิ่งเมือง (วัดสุวรรณาวาส) และพระพุทธมงคลเมือง (วัดพุทธมงคล) ทั้งสององค์ทรงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์เป็นปูชนียวัตถุที่ควรแก่การสักการบูชายิ่งทั้งสององค์นี้
ชาวบ้านมักนิยมเรียกกันว่า “หลวงพ่อพระยืน”

พระพุทธรูปทั้งสององค์นี้เป็นปางสรงน้ำมีความสูงตลอดองค์ประมาณ 8 ศอก กว้าง 2 ศอก พระเนตรและเนื้อองค์พระสร้างด้วยศิลาแลงอย่างดีเป็นพระพุทธรูปที่นิยมสร้างในสมัยขอม ก่อนยุคสุโขทัย หลวงพ่อพระยืนทั้งสององค์ผินพระพักตร์ไปทางทิศใต้ และอยู่ห่างกันประมาณ 1.250 เมตร

หลวงพ่อพระยืนทั้งสององค์เป็นปูชนียวัตถุเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง ตามตำนานหรือประวัติที่หลักฐานยืนยันจากใบเสมาที่ฝังอยู่ใกล้องค์พระได้เขียนเป็นอักษรขอมว่า สร้างปี ฮวยสง่า พุทธศักราช 1399 ปัจจุบันอักษรที่ปรากฏอยู่ใบเสมาเลอะเลือนไปมากแล้ว

ตามคำบอกเล่าสืบต่อกันมา เดิมทีดินแดนแถบนี้ขอมได้ครอบครองมาก่อน ต่อมาทางนครเวียงจันทร์ มีอำนาจเข้าครอบครองจากขอม มีเจ้าผู้ปกครองโดยอิสระเรียกว่า “เมืองกันทาง” หรือ “เมืองคันธาธิราช” ก่อนปีมะเส็ง จุลศักราช 147 (ปี พ.ศ. 1328) ผู้ครองเมืองคนสุดท้ายมีนามว่า “ท้าวลินจง”

ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น“หลวงบริเวณ” มีภรรยาชื่อ “บัวคำ” ปกครองราษฎรหัวเมืองใหญ่น้อยทั้งหลายด้วยความร่มเย็นเป็นสุขตลอดมา หัวเมืองต่างๆ ส่งส่วยขึ้นต่อเมืองคันธาธิราช ที่หลวงบริเวณปกครองอยู่เป็นประจำ ท้าวลินจงมีบุตรชายคนเดียวชื่อว่า “ท้าวสิงห์โต” หรือ “ท้าวลินทอง” บุตรชายของท้าวลินจง เป็นผู้มีจิตใจโหดเหี้ยม หากท้าวลินจงจะให้บุตรเป็นผู้ปกครองเมืองแทนตน ก็เป็นการไม่เหมาะสมจะเป็นเหตุให้ราษฎรผู้อยู่ใต้ปกครองได้รับเดือดร้อน


เนื่องจากขาดความเมตตา ความนี้ได้ทราบถึงท้าวลินทองผู้บุตรจึงมีความโกรธแค้นบิดาเป็นอย่างยิ่งจึงได้ตัดพ้อต่อว่าบิดาต่างๆ นาๆ แล้วบังคับให้บิดาตั้งตนเป็นผู้ครองเมืองแทน ผู้เป็นบิดาไม่ยินยอมท้าวลินจงจึงถูกท้าวลินทองผู้เป็นบุตรจับขังทรมานด้วยการเฆี่ยนทุบตี ใช้มีดกรีดตามเนื้อตัว เพื่อบังคับให้บิดายกเมืองให้แก่ตน บิดาก็หาได้ยอมไม่ บิดาได้รับการทรมานต่อไปด้วยการขังในห้องมืด ห้ามข้าว ห้ามน้ำ มิให้ผู้ใดเข้าเยี่ยมเด็ดขาด นอกจากมารดาเพียงผู้เดียว

แต่ห้ามมิให้นำเอาอาหารและน้ำเข้าไปให้บิดา มารดาได้ทัดทานอ้อนวอนอย่างใดท้าวลินทองก็
หาได้ฟังไม่ ด้วยความรัก และความห่วงใยสามีนางจึงทำอุบายนำข้าวน้ำ โดยเอาผ้าสะใบเฉียง ชุบข้าวบดผสมน้ำนำไปเยี่ยมสามีได้ดูดกินประทังชีวิตไปวันๆ แต่หาได้พ้นสายตามของบุตรไม่ ท้าวลินทองจึงห้ามมารดาเข้าเยี่ยมอีกต่อไป

ท้าวลินจงอดข้าว อดน้ำได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัสจนถึงแก่ความตายในที่สุดก่อนที่จะสิ้นลมปราณท้าวลินจงได้ตั้งจิตอธิษฐานกล่าวฝากเทพยดาผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมผู้สถิตอยู่ ณ พื้นธรณีนั้นว่า“ด้วยจิตอันบริสุทธิ์ของข้าพเจ้าเพื่อหวังความสงบสุขของบ้านเมืองอันเป็นที่ตั้งอาศัยของข้าพเจ้าแต่



เหตุการณ์ในชีวิตกลับมีการเป็นไปได้รับความเดือดร้อนแสนสาหัส ขอให้เทพยดาฟ้าดินผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรมขอให้ข้าพเจ้าได้เกิดในที่สุขเถิด และขอให้มนุษย์มีจิตใจโหดเหี้ยมดุร้าย ทารุณ ขาดคุณธรรม พูดจาโกหกหลอกหลวง ไม่สัตย์ซื่อนับแต่นี้ไปข้างหน้าจะเป็นผู้ใดก็ตาม หากเป็นเจ้าเมืองนี้แล้วขออย่าให้มีความสุขความเจริญเลย ขอให้ประสบแต่ความวิบัติ ความพินาศ ฉิบหาย ขอให้เกิดความเดือดร้อนหายนะต่างๆนานาเถิด”

เมื่ออธิษฐานเสร็จแล้วก็สิ้นลมหายใจเมื่อท้าวลินจงถึงแก่ความตายแล้วนางบัวคำผู้เป็นมารดาจึงได้ต่อว่าท้าวลินทองผู้บุตรว่าทรมานบิดาของตนถึงแก่ความตาย ท้าวลินทองไม่พอใจเกิดโทษะจริตกอปรด้วยโมหะจริตจึงฆ่ามารดาของตนอีกคนหนึ่ง เมื่อท้าวลินจงกับนางบัวคำตายแล้วท้าวลินทองจึงได้ปกครองเมืองคันธาธิราชสืบมา

นับแต่ท้าวลินทองปกครองเมืองคันธาธิราช เป็นต้นมา บ้านเมืองมีแต่ความระส่ำระสายไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ได้รับแต่ความเดือดร้อน ท้าวลินทองเองก็รู้สึกไม่สบายกายใจไม่เป็นอันกินอันนอน ทั้งที่มีทรัพย์มากมายก่ายกอง จึงหาโหรมาทำนายทายทัก โหรทำนายว่าท้าวลินทองได้ทำบาปกรรมมหันตโทษผลกรรมจึงทำให้เดือดร้อนเป็นผลมาจากการอธิษฐานจิตอันแน่วแน่ของบิดาที่ได้สาปแช่งเอาไว้ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจกอปรกับมาตุฆาตฆ่ามารดาตนเอง

ทั้งนี้การจะล้างบาปกรรมได้ก็โดยการสร้างพระพุทรูป เพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญเพื่อทดแทนพระคุณบิดาและมารดาพระพุทธรูปองค์หนึ่งสร้างอุทิศเพื่อทดแทนพระคุณมารดาสร้างที่นอกเขตกำแพงเมืองทางทิศอุดร ผินพระพักตร์ไปเบื้องทักษิณทิศ คือพระพุทธมิ่งเมือง ที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดสุวรรณาวาส (ปัจจุบัน) อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม

เมื่อสร้างเสร็จแล้วก็ได้สร้างพระพุทธรูปยืนขึ้นอีกองค์หนึ่งเพื่อทดแทนพระคุณบิดาโดยสร้างขึ้นในกำแพงเมืองผินพระพักตร์ไปเบื้องทักษิณทิศ คือ พระพุทธมงคลเมืองที่ประดิษฐานอยู่ที่วัดพุทธมงคล(ปัจจุบัน) อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม เมื่อท้าวลินทองได้สร้างพระพุทธรูปทั้งสององค์เสร็จแล้ว ความเดือดร้อนกระวนกระวายใจก็มิได้เบาบางลง ท้าวลินทองก็ได้ล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน

พอดีมีโหรมาจากเมืองพิมายเดินทางผ่านมาและขอเข้าพบและทำนายดวงชะตาชีวิตของท้าวลินทอง โหรได้ทำนายว่าท้าวลินทองจะตายภายใน เร็ววัน ท้าวลินทองได้ยินถึงกับบันดาลโทสะสั่งประหารชีวิตโหรทันที แต่พวกข้าราชการที่ปรึกษาได้ขอชีวิตโหรไว้

โหรจึงทำนายไปว่าหากท้าวลินทองสร้างพระพุทธรูปปางพุทธไสยาสน์ด้วยทองคำหนักเท่าตัวขึ้นอีกองค์หนึ่ง ความทุกข์ร้อนที่มีอยู่จะบรรเทาเบาบางลง ท้าวลินทองก็ได้สร้างพระพุทธรูปปางไสยาสน์ด้วยทองคำตามคำทำนายของโหรขึ้น แล้วจึงสร้างพระอุโบสถขึ้นครอบองค์พระไว้

แต่ด้วยบาปกรรมของท้าวลินทองเป็นมหันตโทษคือมาตุฆาต ปิตุฆาต จึงไม่สามารถสร้างให้สำเร็จได้ ท้าวลินทองก็ได้ถึงแก่ความตาย แต่ก่อนที่จะสิ้นลมหายใจท้าวลินทองก็ได้อธิษฐานว่า “พระพุทธรูปทองคำอย่าให้คนพบเห็นเป็นขาด หากผู้ใดมีเคราะห์กรรมได้พบเห็นขอให้ผู้นั้นล้มป่วยพินาศฉิบหายและให้ถึงแก่ความตาย” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็ไม่มีผู้ใดกล้ำกลายเขตพระอุโบสถ (พระพุทธรูปทองคำ) นั้นเลย

กาลล่วงเลยมานานจนเกิดเป็นป่าร้างต้นไม้ปกคลุมหนาทึบ พระพุทธรูปทองคำจึงไม่มีใครพบเห็น ถ้าผู้ใดชะตากรรมถึงฆาตพบเห็นก็จะเกิดอาเพศป่วยไข้ถึงแก่ความตายความศักดิ์สิทธิ์เป็นที่เล่าลือ ตราบเท่าทุกวันนี้ปัจจุบันสถานที่ดังกล่าว คณะสงฆ์อำเภอกันทรวิชัย ได้ดำเนินการบูรณปฏิสังขรณ์เป็นสำนักปฏิบัติธรรมและตั้งชื่อว่าวัดพระพุทธไสยาสน์ (หรือวัดดอนพระนอน อำเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม)

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระพุทธรูปทองคำหรือพระพุทธไสยาสน์ หลักฐานที่ปรากฏชัดเจน คือ การศึกษาจากใบเสมาที่ปรากฏในสถานที่ดังกล่าว


ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.gotoknow.org/blogs/posts/372590
871  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ตามรอยความเก่าแก่ของพุทธศาสนา ณ ถ้ำอชันตา เมื่อ: มกราคม 15, 2012, 01:39:10 pm


   ถ้ำอชันตา (Ajanta Caves)ได้ชื่อว่าเป็นวัดถ้ำในพุทธศาสนาที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก เรื่องราวการสร้างวัดถ้ำของพระสงฆ์ก็ได้เริ่มต้นขึ้นที่นี่ตั้งแต่พุทธศักราช 350 ท่ามกลางเทือกเขาสลับซับซ้อนบนที่ราบสูงเดกกัน พระภิกษุในสมัยนั้นได้ค้นพบสถานที่ที่เหมาะสำหรับทำเป็นกุฏิเพื่ออยู่อย่างสันโดษ ห่างไกลผู้คนและทำให้ประวัติศาสตร์หน้าต่อมาของ ศาสนาพุทธ ในอินเดียได้ปรากฏขึ้นในหมู่ถ้ำบริเวณฝั่งตะวันตกของที่ราบสูงเดกกันนั่นเอง

   ปีพุทธศักราช 2362 จอห์น สมิธ นายทหารชาวอังกฤษได้ตามล่าเสือเข้ามาถึงยอดเขาแห่งหนึ่งบริเวณหมู่บ้านอชันตา ใกล้เมืองออรังคบาด ขณะที่เขามองไปที่หน้าผาหินฝั่งตรงข้ามซึ่งปกคลุมไปด้วยต้นไม้หนาทึบ ก็ได้สังเกตเห็นสิ่งหนึ่งที่มีรูปร่างแปลกไปจากลักษณะหน้าผาหินธรรมชาติในบริเวณนั้น สิ่งนั้นดูคล้ายกับส่วนโค้งของสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์ทำขึ้น



     ด้วยความแปลกใจ จอห์น สมิธ จึงปีนหน้าผาลงไปสำรวจ และเขาก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่าบริเวณนั้นมีวัดถ้ำเป็นจำนวนมากซ่อนตัวอยู่ในหน้าผาท่ามกลางป่ารกแห่งนั้น

     ถ้ำเหล่านี้ถูกเจาะลึกเข้าไปในภูเขาเพื่อสร้างเป็นวัด มีวิหารขนาดใหญ่ภายในเต็มไปด้วยงานแกะสลักหิน เป็นเจดีย์ เป็นพระพุทธรูป เป็นเรื่องราวต่างๆ ในพุทธประวัติและชาดกเต็มไปหมด ส่วนสิ่งที่เขามองเห็นแต่ไกลนั้นก็คือส่วนโค้งของประตูถ้ำขนาดมหึมาแห่งหนึ่งที่โผล่พ้นยอดไม้ออกมานั่นเอง และที่น่าตื่นเต้นที่สุดก็คือ ถ้ำเหล่านี้ซุกซ่อนตัวอยู่ที่นี่มานานถึงกว่า 1,500 ปีแล้วโดยไม่ถูกรุกล้ำนับจากวันที่ถูกทิ้งร้าง



การค้นพบหมู่ถ้ำอชันตาในครั้งนั้นทำให้โลกต้องตื่นตะลึงกับความมหัศจรรย์ของศิลปะวัดถ้ำที่ไม่มีใครเคยเห็นหรือรู้เรื่องมาก่อน ขณะเดียวกันก็ทำให้นักประวัติศาสตร์ นักโบราณคดี สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวของ ศาสนาพุทธ ในอินเดียได้อย่างชัดเจนเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ด้วยการศึกษาจากภาพแกะสลักหินภายในถ้ำที่ยังคงอยู่อย่างยืนยง ไม่ผุกร่อนพังทลายไปเหมือนพุทธสถานอื่นๆ เพราะทุกอย่างที่นี่สลักขึ้นจากภูเขาทั้งลูก


     ถ้ำเหล่านี้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่ของสงฆ์ เป็นวัด เป็นวิหาร โดยใช้วิธีเจาะภูเขาทั้งลูกเข้าไป บางถ้ำมีถึงสามชั้น มีทางเดินเชื่อมถึงกันตลอด ถ้ำที่ก่อสร้างในยุคแรกๆ เป็นวัดถ้ำของพุทธฝ่ายเถรวาท พระสงฆ์ในยุคนั้นได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยอย่างเรียบง่าย โดยเจาะหินเข้าไปเป็นห้องโถงเปิดโล่ง ใช้เป็นที่นั่งสนทนาธรรม ส่วนผนังทั้งสามด้านก็สกัดหิน เจาะเข้าไปเป็นห้องนอน ภายในมีเตียงหินห้องละสองหลัง

   

อารามแต่ละแห่งอาจมีพระสงฆ์อาศัยอยู่รวมกันตั้งแต่ 2 รูปจนถึง 20 รูป วัดถ้ำบางแห่งยังมีร่องรอยให้เห็นว่ายังสร้างไม่เสร็จ ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า พระสงฆ์จะใช้วิธีสร้างไปอยู่อาศัยไป พอมีกำลังทรัพย์ที่ชาวบ้านบริจาคมา
   วัดของพุทธฝ่ายเถรวาทหลายถ้ำสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นห้องบูชาด้วย ฝีมือการแกะสลักของช่างในยุคนั้น พวกเขาได้สกัดหินจากด้านนอกเข้าไปและสกัดจากเพดานถ้ำลงมา จนได้ห้องโถงขนาดใหญ่ มีระเบียงทางเดินอยู่ด้านข้าง มีเจดีย์อยู่ปลายสุดของห้อง

     การสร้างเจดีย์ไว้เพื่อสักการบูชาแทนองค์พระพุทธเจ้าเป็นธรรมเนียมเดียวกับการสร้างพระสถูปเจดีย์ที่สืบทอดมาจากชาวพุทธทางอินเดียตอนเหนือนั่นเอง ถ้ำอชันตาในยุคแรกจึงยังไม่มีการแกะสลักพระพุทธรูปให้เห็น



     ถ้ำหมายเลข 10 ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่ถ้ำอชันตา สร้างเป็นหอสวดมนต์บูชาพระเจดีย์ เมื่อครั้งที่จอห์น สมิธ ได้เข้าพบเห็นเป็นครั้งแรก ตอนที่เขาเข้ามาในถ้ำนั้น ดินโคลนได้ทับถมสูงขึ้นไปจากพื้นถ้ำกว่าครึ่ง เขาได้จารึกชื่อไว้บนเสาหิน พร้อมลงวันที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2362 วันที่ถ้ำอชันตาปรากฏสู่สายตาชาวโลก

     แต่รอยจารึกสำคัญที่พบในถ้ำเดียวกันนี้ได้ระบุชื่อกษัตริย์พระองค์หนึ่งในราชวงศ์สาตวาหนะ ทำให้นักประวัติศาสตร์ได้รู้ว่า วัดถ้ำที่อชันตาได้รับการอุปถัมภ์อย่างต่อเนื่องจากพระมหากษัตริย์ตั้งแต่การสร้างวัดถ้ำในยุคแรกๆ

  ลักษณะของหมู่วัดถ้ำอชันตานั้น พบว่ามีถ้ำมากกว่า 30 ถ้ำ เรียงตัวต่อเนื่องกันยาวหลายร้อยเมตรบนเชิงเขาสูงวงโค้งรูปพระจันทร์เสี้ยว บริเวณหน้าถ้ำแต่ละแห่งสร้างเป็นบันไดทอดยาวลงไปยังแม่น้ำสายเล็กๆ ที่ไหลลดเลี้ยวไปตามหุบเขาเบื้องล่าง แม่น้ำสายนี้คือแม่น้ำวโฆระ ซึ่งจะมีระดับน้ำขึ้นสูงในช่วงฤดูฝน



     ถ้ำพุทธฝ่ายเถรวาทที่อชันตาเจริญรุ่งเรืองอยู่ต่อมาอีกราว 200 ปีจนถึง พุทธศักราช 550 ก็หยุดชะงัก ไม่ปรากฏร่องรอยการสร้างวัดถ้ำของพุทธฝ่ายเถรวาทที่นี่อีกต่อไปนานถึง 400 ปี จึงกลับมาสร้างต่ออีกครั้งในราวพุทธศตวรรษที่ 10

     แม้ยังไม่มีคำตอบว่า เกิดอะไรขึ้นกับพุทธสถานที่ถ้ำอชันตาในช่วง 400 ปีที่เว้นว่างไป แต่ในช่วงเวลานั้นเองก็ได้เกิดความเคลื่อนไหวสำคัญที่พลิกโฉมศาสนาพุทธในอินเดียไปอย่างสิ้นเชิง

      สิ่งแรกก็คือ การเกิดขึ้นของพระพุทธรูป สิ่งที่สองคือ ศาสนาพุทธ สายมหายานได้เกิดขึ้นแล้วอย่างเต็มตัว การสร้างวัดถ้ำที่อชันตาระยะที่ 2 เริ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจาก ศาสนาพุทธ ในอินเดียได้เข้าสู่ยุคของมหายานไปแล้

  ในบรรดาวัดถ้ำทั้งหมด พบว่ามีวัดถ้ำในแบบพุทธมหายานถึง 24 ถ้ำ ทั้งหมดถูกสร้างขึ้นในสมัยคุปตะ ซึ่งเป็นยุคทองของศิลปะอินเดีย พระภิกษุฝ่ายมหายานได้เข้ามาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก และปรับเปลี่ยนถ้ำให้เหมาะสมกับพิธีกรรมที่ทำขึ้น



 
 


จากวิหารแบบเรียบง่ายที่สร้างขึ้นในสมัยพุทธฝ่ายเถรวาท ถูกเปลี่ยนไปเป็นห้องโถงใหญ่โตโอ่อ่า สลักหินเป็นเสาสูงมากมาย ที่หัวเสาแกะสลักเป็นลวดลายงดงามทั่วทั้งคูหาถ้ำ ผนังด้านในทั้งสองด้านแกะสลักเป็นพระพุทธรูปและพระโพธิสัตว์ขนาดใหญ่ ที่แสดงให้เห็นถึงฝีมือช่างประติมากรรมชั้นสูงในการแกะสลักหินออกมาได้อย่างอ่อนช้อยสวยงาม
 
      ส่วนถ้ำหมายเลข 1 เป็นถ้ำพุทธมหายานที่ได้รับการกล่าวขวัญไปทั่วโลกว่ามีภาพเขียนสีที่งดงามมากที่สุด แม้เวลาจะผ่านมานานถึงกว่า 1,500 ปี ภาพก็ยังคงสีสันและลายเส้นที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์มากอย่างไม่น่าเชื่อ

      ภายในถ้ำค่อนข้างมืดสลัว มีเพียงแสงไฟเย็นสีเขียวส่องไว้ที่ภาพ เพราะทางการอินเดียห้ามใช้แสงแฟลชหรือแสงใดๆ ในการถ่ายภาพเด็ดขาด แม้กระทั่งขาตั้งกล้อง ด้วยเกรงว่าจะไปทำลายสภาพดั้งเดิมภายในถ้ำ

      เทคนิคในการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ถ้ำอชันตานั้นมีชื่อเสียงโด่งดังอย่างมากในระดับนานาชาติ ภาพพุทธประวัติและชาดกในถ้ำหมายเลข 1 และ 2 เขียนขึ้นมาก่อนยุคเรอเนสซองซ์ของกรีก แต่ศิลปินในยุคนั้นก็รู้เทคนิคที่จะทำให้ภาพมีมิติ ดูสมจริงสมจัง งดงามทั้งสัดส่วนและการใช้สีมาก่อนแล้ว

      ขณะที่หมู่ถ้ำพุทธที่อชันตามีชื่อเสียงโดดเด่นในเรื่องของการสร้างสรรค์งานศิลปะ ก็ยังมีหมู่ถ้ำเก่าแก่ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับถ้ำอชันตาอีกนับร้อยถ้ำที่แสดงความโดดเด่นด้านวิถีความเป็นอยู่ของพระสงฆ์มาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่สมัยพุทธเถรวาท จนเข้าสู่ยุคของพุทธมหายาน หมู่ถ้ำแห่งนี้อยู่ห่างจากมุมไบ (บอมเบย์) เพียง 42 กิโลเมตรเท่านั้น



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.oknation.net/blog/print.php?id=322412
872  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ถ้ำอชันตา มรดกโลก ศรัทธายิ่งใหญ่ของชาวพุทธ เมื่อ: มกราคม 15, 2012, 12:48:38 pm

     หากจะมีใครสักคนพยายามเจาะภูเขาเพื่อสร้างเป็นถ้ำที่อยู่อาศัย ก็คงไม่น่าแปลกใจถ้าภูเขานั้นเป็นภูเขาดิน แต่ถ้ามีคนคิดจะเจาะภูเขาหินให้กลายเป็นวิหารเป็นวัดที่มีขนาดความยาวสิบเมตร กว้างห้าเมตร สูงอีกสิบเมตร หากอยู่ในสมัยปัจจุบันคงไม่ใช่เรื่องที่ยากนักเพราะมีเครื่องมือที่ทันสมัย แต่หากจะบอกว่าการเจาะภูเขานี้เกิดขึ้นมานานกว่าสองพันปีแล้ว ไม่ได้มีเพียงแค่ถ้ำเดียวแต่มีถึงสามสิบถ้ำก็ต้องบอกว่านี่คือสิ่งมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์โดยแท้   

     นานมาแล้วเคยฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับชายชราคนหนึ่งกำลังขมักเขม้นขุดภูเขาที่หน้าบ้าน เขาสร้างบ้านหันหน้าเข้าหาภูเขาและลงมือขุดเจาะภูเขาเพราะภูเขานั้นขวางทางเดิน  ตั้งแต่เช้าเขาและลูกชายจะถือจอบและเครื่องมือไปที่ภูเขาหน้าบ้านจากนั้นก็ลงมือขุดภูเขาไปเรื่อยๆ ลูกชายก็ขนหินไปทิ้งอีกทาง เหนื่อยก็พัก หายเหนื่อยก็ลงมือขุดต่อไป ในที่สุดภูเขาหินค่อยๆกลายเป็นถ้ำ นั่นเป็นเพียงเรื่องเล่าต่อๆกันมา แต่หากจะมีใครสักคนลงมือเจาะภูเขาหินทั้งลูกให้กลายเป็นวิหาร เป็นกุฎิที่พักสงฆ์และกลายเป็นวัดขึ้นมา ถ้ำนั้นก็ต้องมีคุณค่าคู่ควรกับการกลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างไม่ต้องสงสัย


            วันนั้นอากาศร้อนมากจึงค่อยๆเดินไปตามทางสายเล็กๆที่มีขั้นบันไดสลับเป็นช่วงๆ บางแห่งทอดยาว บางแห่งสูงชันเหงื่อไหลโทรมกายแต่ทว่าหากเพ่งมองไปเบื้องหน้าไม่ไกลนักก็จะมองเห็นทิวถ้ำเป็นช่องๆอยู่ท่ามกลางเชิงเขา ทำให้ต้องข่มความเหนื่อยเพื่อมุ่งหน้าต่อไปให้ถึงจุดหมายนั่นคือถ้ำอชันตา รัฐมหาราษฎร์ อินเดีย สิ่งมหัศจรรย์ของโลกแห่งหนึ่ง อันเป็นถ้ำแห่งพระพุทธศาสนา

            ตามหนังสือ Ajanta ระบุว่า “ประมาณพุทธศตวรรษที่สามพระพุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองอย่างมากในอินเดียและได้แพร่กระจายไปยังนานาประเทศ มีพระภิกษุกลุ่มหนึ่งพักอยู่ตามภูเขาและป่าไม้เพื่อหาความสงบ ได้สร้างที่พักขึ้นข้างๆภูเขาในที่สุดก็ได้ลงมือเจาะภูเขาเพื่อสร้างเป็นที่พัก เจาะภูเขาหินจนกลายเป็นถ้ำ ในยุคแรกเป็นพระภิกษุในนิกายหินยายหรือเถรวาท เจาะภูเขาสร้างเป็นวิหารได้ห้าถ้ำคือถ้ำหมายเลข9-10-12-13-30" 

            ถ้ำหมายเลข 9 ซึ่งเป็นถ้ำในยุคแรกของภูเขาแห่งนี้ ภายในเป็นเจดีย์ทรงกลม ถ้ำนี้สร้างขึ้นโดยพระสงฆ์ในนิกายหินยานหรือเถรวาทประมาณพุทธศตวรรษที่สาม มีรูปพระพุทธเจ้าสองพระองค์สถิตอยู่ตรงประตูทางเข้าถ้ำ ภายในมีเจดีย์รูปทรงสาญจิที่สวยงาม หลังคาประดับด้วยเสาเป็นโดมมุมโค้ง ข้างๆมีเสาที่แกะจากหินตามแนวยาวของถ้ำ ตามผนังมีภาพวาดซึ่งส่วนหนึ่งได้ลบเลือนไปเกือบหมดแล้ว มองด้วยตาเปล่าในวันนั้นดูไม่ออกว่าเป็นภาพอะไรบ้าง

            แต่สันนิษฐานว่าเป็นภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติ ส่วนถ้ำที่เก่าแก่ที่สุดคือถ้ำหมายเลขสิบ ภายในใช้เป็นพระอุโบสถที่มีขนาดใหญ่โตมากออกแบบคล้ายถ้ำที่ 9แต่ทั้งภาพวาด และหินแกะสลัก ได้เสื่อมโทรมลงไปมากแล้ว แสดงว่าการเริ่มต้นเจาะภูเขาครั้งแรกเพื่อต้องการสร้างเป็นพระอุโบสถเพื่อใช้เป็นที่ประกอบพิธีกรรม จากนั้นจึงสร้างเป็นวิหารและสร้างเป็นกิฏิที่พักสงฆ์ในถ้ำในช่วงต่อมา



            การถ่ายภาพที่ถ้ำอชันตายากมาก เพราะมีข้อห้ามใช้ไฟแฟ็ช เมื่อเดินเข้าไปในถ้ำที่ค่อนข้างมืดมีเพียงแสงที่สาดส่องจากปากทางเข้าถ้ำเท่านั้น ภาพบางภาพจึงไม่สามารถถ่ายได้ นัยว่าไฟจากกล้องถ่ายภาพจะทำให้ภาพจิตรกรรมฝาผนังเสียหาย

            แต่หากต้องการถ่ายภาพจริงๆก็ต้องรอจนกระทั่งนักท่องเที่ยวหนีหมดแล้ว อาบังที่เฝ้าถ้ำก็จะเดินมาใกล้ๆกระซิบบอกด้วยคำสั้นๆที่เดาเอาว่าให้ถ่ายได้ พลางยื่นมาขอเงินจากผู้ต้องการหนึ่งภาพสิบรูปี ทุกคนต่างก็ไม่ต้องการทำลายความงามทางศิลปะอันล้ำค่าเหล่านี้ แต่ก็อยากจะได้ภาพ เพราะไม่แน่ใจว่าอีกเมื่อใดจะได้กลับมาเยี่ยมชมถ้ำเหล่านี้อีก

            ความจริงถ้ำเหล่านั้นเรียงรายเป็นแนวยาวตามแนวแห่งภูเขาเริ่มต้นจากถ้ำที่หนึ่งไปสิ้นสุดที่ถ้ำหมายเลขยี่สิบเก้า บางถ้ำกำลังซ่อมแซมจึงเข้าชมไม่ได้ วันนั้นมีเวลาเพียงสี่ชั่วโมงจึงได้ชมเพียงไม่กี่ถ้ำ ไม่มีเวลาฟังคำอธิบายของวิทยากร เพราะห่วงแต่เรื่องถ่ายภาพอย่างเดียว พยายามถ่ายทุกอย่างที่ขวางหน้า เท่าที่กล้องจะทำหน้าที่ได้  เดินเข้าเดินออกถ้ำแต่ละแห่งจนจำไม่ได้ว่าถ้ำไหนว่าด้วยเรื่องอะไรบ้าง

            แต่สิ่งหนึ่งที่ได้สัมผัสคือความเพียรพยายามในการขุดเจาะถ้ำของพระภิกษุสงฆ์ในอดีตที่เปี่ยมล้นไปด้วยศรัทธาในคำสอนของพระพุทธศาสนา ถ้ำบางแห่งใช้เวลาเจาะนานถึงหกสิบปี จึงได้ห้องโถงใหญ่ที่ใช้เป็นวิหารเจดีย์ อารามได้อย่างสมบูรณ์

            มีบันทึกไว้ในหนังสือ Ajanta & Ellora: Cave of Ancient India ระบุว่า “อชันตามีถ้ำที่เป็นเจดีย์เป็นวิหารหรือวัดห้าแห่งได้แก่ถ้ำหมายเลข 8-9-10-12-13 ซึ่งเป็นถ้ำในยุคแรกๆของพระพุทธศาสนาในฝ่ายหินยาน หากดูตามแผนผังถ้ำเหล่านี้จะอยู่ช่วงกลางภูเขา ต่อมาในยุคหลังเมื่อพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานจึงได้สร้างขยายออกทั้งสองข้าง จนกลายเป็นถ้ำที่สำคัญของพระพุทธศาสนาจำนวนสามสิบถ้ำ 

            แต่บางตำราบอกว่ามีเพียงยี่สิบเก้าถ้ำ วันนั้นถ้ำสุดท้ายคือถ้ำหมายเลขยี่สิบหกเท่านั้น เพียงเท่านี้ก็ละลานตากลับความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นจากฝีมือมนุษย์แล้ว ถ้ำเหล่านี้ใช้เวลาสร้างเป็นเวลาเกือบพันปี (จากประมาณพุทธศักราช 343 -1193)  แสดงว่าค่อยๆเจาะไปเรื่อยๆคนหนึ่งสิ้นชีวิตแต่คนอีกรุ่นก็สืบทอดกันต่อไป คนรุ่นเก่าจากไปคนรุ่นใหม่ก็เสริมต่อ



            ในระยะแรกๆ จากพุทธศตวรรษที่ 3-7  อชันตามีถ้ำเพียง 5 ถ้ำ เป็นถ้ำเจดีย์ 2 ถ้ำคือถ้ำที่ 9 และ11 ส่วนถ้ำที่ 8-12-และ 13 เป็นถ้ำที่ใช้เป็นวิหาร ถ้ำเหล่านี้จึงเป็นถ้ำที่เก่าแก่กว่าถ้ำอื่นๆ และเป็นถ้ำที่เกิดขึ้นจากฝีมือของพระภิกษุในนิกายเถรวาท

            ประมาณพุทธศตวรรษที่ 7  ถ้ำอชันตาได้เสื่อมโทรมลงและถูกทอดทิ้งปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า อยู่เป็นเวลานานถึงสี่ศตวรรษ จนกระทั่งประมาณพุทธศตวรรษที่ 10 ในราว พ.ศ. 993-1193  เมื่อพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน มีอำนาจมากขึ้น

          จึงมีการเจาะถ้ำที่อชันตาเพิ่มขึ้นอีก 24 ถ้ำ โดยทำเป็นถ้ำเจดีย์ 2 ถ้ำคือถ้ำที่ 19 และ 26 ส่วนถ้ำที่เหลือเป็นถ้ำวิหารและใช้เป็นที่พักของพระสงฆ์ พระพุทธศาสนานิกายมหายาน ได้มาฟื้นฟู ถ้ำอชันตาขึ้นใหม่ ทำให้ ถ้ำอชันตาแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาอันยิ่งใหญ่อีกแห่งหนึ่งในดินแดนอินเดียตะวันตก


            หากดูตามประวัติศาสตร์ก็ต้องบอกว่าในยุคแรกพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเจริญรุ่งเรืองและเริ่มเจาะภูเขาแต่ทำได้ไม่มากนัก เมื่อพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมีอำนาจจึงได้ทำการขุดภูเขาต่อจนกลายเป็นถ้ำที่สำคัญของพระพุทธศาสนา แสดงว่าพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทเจริญรุ่งเรืองได้ประมาณเจ็ดร้อยปี จากนั้นก็ค่อยๆเลือนหายไปจากอินเดีย พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานก็เฉกเช่นเดียวกันเจริญในอินเดียได้ไม่นานเหมือนกัน ในที่สุดก็หายสาบสูญไป คงเหลือไว้แต่ถ้ำที่หลบซ่อนอยู่ภายใต้ภูเขากลายเป็นหลบซ่อนของสัตว์ป่านานาชนิดหลายร้อยปี



            ขากลับแม้จะยังอยากจะอยู่ต่อ แต่ก็ได้แต่เพียงหันหลังกลับไปมองด้วยความอาลัย นอกจากนั้นยังต้องเผชิญกับนักขายชั้นเยี่ยมชาวภารตะ ส่วนมากจะเป็นของที่ระลึกเช่นหินจากในถ้ำไม่รู้ว่าหินจริงหรือปลอม แต่สิ่งหนึ่งที่จะต้องซื้อคือหนังสือประวัติและภาพเกี่ยวกับถ้ำ วันนั้นนักขายชั้นยอดกับนักซื้อชั้นเยี่ยมมาพบกัน คนขายบอกราคาสามเล่มสองพันรูปี

           แต่คนซื้อตั้งราคาต่อรองไว้ที่สองร้อยรูปี หากดูตามสถานการณ์คงไม่มีทางตกลงกันได้อย่างแน่นอน แต่ที่อินเดียสิ่งที่คิดว่าแน่นอนอาจจะไม่แน่นอนก็ได้ พอแขกคนขายจะเดินหนีเราก็เพิ่มราคา คนขายก็ค่อยๆลดราคาลงมาเรื่อยๆจนเหลือแปดร้อยรูปี ในที่สุดก่อนจะขึ้นรถกลับจึงทิ้งไพ่ใบสุดท้ายเป็นห้าร้อยรูปี แขกคนขายลดลงมาเหลือเจ็ดร้อย ในขณะที่ขาข้างหนึ่งก้าวขึ้นรถได้ยินเสียงคนขายบอกว่าหกร้อย หนังสือสามเล่มจึงอยู่ในมือ
           
          ชายชรากับลูกชายที่พยายามเจาะภูเขาคนนั้น เมื่อมีคนถามว่าทำไมไม่สร้างถนนอ้อมภูเขาไป ซึ่งน่าจะสะดวกและง่ายกว่า เขาตอบคำถามนั้นว่า “ภูเขามีอยู่เท่าเดิมไม่มีโอกาสงอกขึ้นมาได้อีก แต่ข้าพเจ้ามีลูกหลานสืบต่อกันไปอีกหลายชั่วอายุคน ลูกหลานเหล่านั้นหากไม่ทอดทิ้งงานของบรรพชนในที่สุดก็จะสามารถเจาะภูเขาทะลุจนได้” เขาเปลี่ยนอุปสรรคเป็นพลังได้อย่างยอดเยี่ยม



           งานใดก็ตามหากกระทำด้วยความศรัทธาเลื่อมใส ไม่ทอดทิ้ง ไม่กลัวอุปสรรคย่อมจะนำไปสู่ความสำเร็จได้ อุปสรรคและปัญหามีอยู่ทุกแห่ง บางคนอาจท้อแท้สิ้นหวังเมื่อประสบกับอุปสรรค แต่ถ้าหากเราไม่ยอมแพ้อุปสรรคและปัญหาก็จะกลายเป็นพลังที่จะนำไปสู่ความสำเร็จได้  ไม่รู้ใครพูดไว้ว่า “อุปสรรคและปัญหาคือที่มาแห่งความสำเร็จ” ทั้งชายชราขุดภูเขาและพระสงฆ์ที่สร้างสรรคถ้ำอชันตาเป็นสิ่งที่ยืนยันถึงคำกล่าวนี้ได้เป็นอย่างดี ภูเขาทั้งลูกยังสามารถเจาะและสร้างเป็นวัดและวิหารได

เรื่องโดย พระมหาบุญไทย  ปุญญมโน 08/02/54

ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
http://www.cybervanaram.net/index.php?option=com_content&view=article&id=398:2011-02-07-16-04-44&catid=5:2009-12-17-14-44-06&Itemid=14
873  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: 7 นางฟ้า ใครอยากเป็น...ต้องอ่านนะคะ เมื่อ: มกราคม 13, 2012, 05:02:25 pm
 :25: :25: :25:
874  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: อ่างทองผวาทั้งหมู่บ้าน ลือ"กระสือ"อาละวาด เมื่อ: มกราคม 12, 2012, 07:05:05 pm
 :smiley_confused1: :smiley_confused1: :smiley_confused1:
875  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / Re: ถามเรื่องดาว เมื่อ: มกราคม 11, 2012, 07:57:54 pm
ขอบคุณค่ะ
876  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทำไมผู้ปฎิบัติธรรมถึงรับวิบากกรรมเร็วกว่าคนไม่ปฎิบัติธรรมละค่ะ อยากทราบเหตุผล เมื่อ: มกราคม 11, 2012, 07:13:21 pm
ได้อ่านกระทู้ที่คุณ ธวัชชัยเขียน ก็เลยข้องใจว่าทำไมผู้ปฎิบัติธรรมถึงได้รับวิบากกรรมมากกว่าคนธรรมดาที่ไม่ปฎิบัติ แล้วอย่างนี้จะมีคนอยากปฎิบัติธรรมเหรอค่ะ ขอบคุณค่ะ :25: :25: :25:
877  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การที่เรายอมเหนื่อยคนเดียวจะทำให้ดูเป็นคนอ่อนแอในสายตาคนอื่นหรือเปล่าค่ะ เมื่อ: มกราคม 11, 2012, 04:50:33 pm
การที่เราได้รับหมอบหมายให้ทำงานที่หนักขึ้น เยอะขึ้น จนบางครั้งรู้สึกว่าเหนื่อย โดยที่ไม่ได้สนใจว่าคนอื่นสบายแต่เราลำบาก แต่ตัวของป้อมเองก็ไม่ได้สนใจที่คนอื่นจะสบาย แต่ป้อมลำบาก ป้อมดูที่ตัวของป้อมเองดูที่ใจของป้อมเอง ถึงจะเหนื่อย จะหนักแค่ไหนป้อมต้องอดทนให้ได้ สู้กับใจตัวเองให้ได้ ให้ดูกิเลสที่อยู่ในใจตัวเอง ว่ามีความยึดมั่น ถือมั่น ถือตัวว่าฉันดีกว่าใคร  ฉันสำคัญกว่าใคร ปกติป้อมเป็นคนไม่ค่อยยอมใคร แต่ป้อมต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ สิ่งที่ป้อมกำลังทำอยู่ จะทำให้ป้อมดูอ่อนแอในสายตาคนอื่นหรือเปล่าค่ะ ขอบคุณค่ะ :25: :25:
878  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ฝันเห็นดอกบัว เมื่อ: มกราคม 11, 2012, 03:04:17 pm
ขอบคุณ ทุกท่านที่ตอบกระทู้นะค่ะ :c017: :c017: :c017:
879  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / ถามเรื่องดาว เมื่อ: มกราคม 10, 2012, 07:56:34 pm
คือมีข้อสงสัย เรื่องดาวนะค่ะ ดาวแต่ละสีหมายถึงอะไร และทำยังไงถึงจะได้ดาวเพิ่ม ต้องโพสกระทู้เยอะไหมค่ะ
ขอบคุณค่ะ
880  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ฝันเห็นดอกบัว เมื่อ: มกราคม 09, 2012, 07:12:36 pm
เมื่อคืนก่อน (ซึ่งเป็นวันพระ) ป้อมฝันแปลกๆ(ไม่เคยฝันแบบนี้มาก่อน)ป้อมฝันเห็นสระบัว มีดอกบัวแดงเต็มสระ แต่ละดอกใหญ่มากๆใหญ่เท่าต้นไม้สูง และมีดอกบัวอยู่ดอกหนึ่งที่อยู่กลางสระ และดอกใหญ่ที่สุดในสระ ดอกสูง สุดลูกหูลูกตา และป้อมก็ปีนดอกบัวดอกนั้น และก็ตื่น ใครทราบรบกวนช่วยทำนายฝันให้หน่อยค่ะ ขอบคุณค่ะ
หน้า: 1 ... 20 21 [22] 23 24