สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน

เรื่องทั่วไป => ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) => ข้อความที่เริ่มโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ เมษายน 28, 2021, 08:57:03 am



หัวข้อ: เทคโนโลยี Blockchain คืออะไร และมันจะมาเปลี่ยนโลกได้อย่างไร
เริ่มหัวข้อโดย: นิรตา ป้อมนาวิน ที่ เมษายน 28, 2021, 08:57:03 am
(https://siamblockchain.com/wp-content/uploads/2017/06/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%84%E0%B9%82%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%A2%E0%B8%B5-blockchain-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-740x492.jpg)

ในโลกยุคปัจจุบันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยี Blockchain เป็นนวัตกรรมที่เกิดขึ้นมาและสร้างความเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมโลกเป็นอย่างมาก เป็นที่รู้กันว่าผู้ที่สร้าง Blockchain นี้ขึ้นมาคือบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ใช้นามแฝงว่า Satoshi Nakamoto หรือผู้ที่เป็นบิดาแห่งเหรียญคริปโตเคอร์เรนซีนามว่า Bitcoin ที่หลาย ๆ คนรู้จักกันดี

แต่สิ่งที่ผู้คนอยากรู้มากกว่าว่าใครเป็นคนสร้าง Blockchain ขึ้นมาก็คงจะเป็นคำถามที่ว่า Blockchian นั้นคืออะไร?

ซึ่งทาง Siam Blockchain จะมาอธิบายให้เข้าใจกันอย่างเห็นภาพง่าย ๆ

เทคโนโลยี Blockchain หากอธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ ลองนึกภาพว่ามันเป็นเสมือนโซ่ที่สร้างขึ้นเพื่อกระจายข้อมูลเก็บไว้ในชิ้นส่วนโซ่ที่ต่อกัน แต่ข้อมูลเหล่านั้นจะไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้ เรียกได้ว่า Blockchain เป็นอินเตอร์เน็ตในรูปแบบใหม่โดยเริ่มแรกถูกสร้างขึ้นมาเพื่อสร้างสกุลเงินดิจิทัล (Digital Currency) เช่นBitcoin อย่างไรก็ตามในตอนนี้เทคโนโลยี Blockchain ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับสกุลเงินดิจิทัลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ณ ปัจจุบันวงการอุตสาหกรรมอื่น ๆ ได้นำศักยภาพของเทคโนโลยี Blockchain ไปใช้ประโยชน์เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจของตนอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น

(https://siamblockchain.com/wp-content/uploads/2017/06/blockchain-%E0%B8%84%E0%B8%B7%E0%B8%AD-%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-2-01.png)

Bitcoin ถูกเรียกว่าว่าเป็น “ทองคำดิจิทัล” ที่มีมูลค่าปัจจุบันคือ 1.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ และ Blockchain ก็ถูกนำมาสร้างเงินดิจิทัลประเภทอื่นได้ การมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้จะทำให้เรารู้ว่าเทคโนโลยี Blockchain นั้นเข้ามาปฏิวัติโลกในยุคปัจจุบันอย่างไรบ้าง

นาย Don & Alex Tapscott ผู้เขียนหนังสือ Blockchain Revolution (2016) กล่าวว่า

“เทคโนโลยี Blockchain เป็นเทคโนโลยี บัญชีเก็บข้อมูลแบบดิจิทัลที่กระจายข้อมูลแบบเหมือน ๆ กันที่สามารถตั้งโปรแกรมให้บันทึกข้อมูลใด ๆ ก็ได้ โดยไม่จำกัดอยู่แค่เพียงข้อมูลการทำธุรกรรมทางการเงิน”

ฐานข้อมูลที่ถูกกระจายให้แต่ละคนถือร่วมกัน
ลอกนึกภาพของเอกสารฉบับหนึ่งที่ถูกคัดลอกเป็นพัน ๆ ครั้งบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต จากนั้นลองจินตนาการว่าเครือข่ายดังกล่าวถูกออกแบบมาให้อัพเดทข้อมูลในเอกสารดังกล่าวอยู่ตลอด เช่นเดียวกับการทำงานของ Blockchain โดยพื้นฐานก็เป็นเช่นนี้

ข้อมูลที่อยู่บน Blockchain จะสามารถเข้าถึงได้ทุกคน ฐานข้อมูลของ Blockchain จะไม่ได้ถูกเก็บไว้ในที่ใดที่หนึ่งเพียงแห่งเดียว หมายความว่าข้อมูลที่ถูกบันทึกบน Blockchain จะถูกเปิดเผยเป็นสาธารณะและสามารถถูกเข้ามาตรวจสอบได้ ข้อมูลเหล่านี้จะไม่มีส่วนกลางเข้ามาทำหน้าที่ควบคุมและปกป้อง ดังนั้นนักแฮ็คจะไม่สามารถเข้ามาแฮ็คข้อมูลนี้ได้ เนื่องจากว่าไม่มีจุดศูนย์กลางให้โจมตี นั่นหมายความว่าหากพวกเขาต้องการจะแฮ็คเพื่อเปลี่ยนแปลงข้อมูลนั้น พวกเขาจะต้องโจมตีฐานข้อมูลที่ถูกกระจายออกไปทั้งหมดในเวลาพร้อมกัน อีกทั้งคอมพิวเตอร์หลายพันเครื่องหลายล้านเครื่องจะเข้ามาดูแลข้อมูลดังกล่าวทำให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลนี้ได้หมด

หากเปรียบเทียบ Blockchain เป็น Google Docs
หลักการทำงานพื้นฐานของ Google Docs หากอธิบายแบบง่าย ๆ คือการที่เราทำงานที่ต้องใช้ Microsoft Word บน Google Document และสามารถกดแชร์งานที่เราทำอยู่นี้ให้ผู้อื่นเข้ามาทำการตรวจสอบได้ ปัญหาคือคุณต้องรอจนกว่าอีกฝ่ายจะส่งเอกสารมาก่อนที่คุณจะเข้ามาทำการแก้ไข เปลี่ยนแปลงหรือตรวจสอบเอกสารนี้ได้เพราะอีกฝ่ายหนึ่งยังไม่ได้กดปุ่มแชร์เอกสารจนกว่าเขาจะทำงานนั้นเสร็จ ดังนั้นทั้งสองฝ่ายนี้จะไม่สามารถเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเอกสารได้พร้อม ๆ กันตราบใดที่มีฝ่ายหนึ่งยังไม่ได้กดปุ่มแชร์ ซึ่งกลไกการทำงานนี้ก็เหมือนกับการทำงานของธนาคารในการเก็บและถ่ายโอนเงินกล่าวคือทางธนาคารจะล็อคการเข้าถึงไว้และเมื่อต้องถ่ายโอนเงินก็จะเปิดให้เข้าถึงข้อมูลได้

หากเปรียบเทียบ Google Document กับบัญชีกระจายข้อมูล (Shared Ledger) ผู้ใช้งาน Google Docs จะสามารถเข้ามาทำงานในเอกสารพร้อม ๆ กันได้ถ้ามีการกดแชร์เอกสารทำให้ทั้งสองฝ่ายสามารถเห็นความเคลื่อนไหวของเอกสารนี้ทุกอย่างทั้งก่อนแก้ไขและหลังการแก้ไขเอกสารนี้ซึ่งก็เหมือนกับการกระจายข้อมูลและเมื่อเราได้เผยแพร่ข้อมูลเป็นการทั่วไปให้กลุ่มคนจำนวนมากเข้าถึงได้มันก็จะกลายเป็น Distributed Ledger (การกระจายข้อมูลเป็นการทั่วไป)

คุณ William Mougayar ที่ปรึกษาด้านการลงทุนและผู้เชี่ยวชาญด้าน Blockchain กล่าวว่า

“ลองนึกภาพเอกสารที่เกี่ยวกับกฎหมายที่สามารถเอาเทคโนโลยีนี้มาปรับใช้ได้ คือแทนที่จะส่งมันให้คนอื่น ๆ ไปมา แล้วไม่รู็เลยว่าใครแก้อะไรตรงไหนไปบ้าง และไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเวอร์ชันที่คนแก้มาตรงกับเวอร์ชันก่อนหน้านี้มั้ย เอาจริง ๆ นะ ผมอยากรู้จริง ๆ ว่าทำไมเอกสารเกี่ยวกับธุรกิจทุก ๆ ตัวถึงไม่สามารถถูกแชร์ให้เห็นได้ แต่กลับถูกส่งกลับไปมา”

เทคโนโลยี Blockchain มีข้อดีอย่างไร ?
เทคโนโลยี Blockchain เหมือนกับอินเตอร์เน็ตตรงที่ว่ามันเป็นระบบที่มีความทนทานสูงมาก (Robustness) ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในกล่องที่อยู่บน Blockchain จะ

ไม่ถูกควบคุมโดยใครคนใดคนหนึ่ง
เมื่อจุดใดจุดหนึ่งเล็ก ๆ ในระบบเสีย จะไม่ส่งผลทำให้ระบบทั้งระบบล่ม (Has no single point of failure)
Bitcoin ซึ่งถูกสร้างปี 2008 ในตอนนั้น Blockchain ของ Bitcoin ไม่เคยมีรายงานว่าระบบการทำงานของมันมีความผิดพลาดหรือล้มเหลวเลย แต่ในปัจจุบันที่มีการแฮ็คหรือการจัดการที่ผิดพลาดเกิดขึ้นเพราะ human error หรือความผิดพลาดโดยมนุษย์ เช่นการแฮ็คเว็บผู้ให้บริการซื้อขายเหรียญคริปโตเคอเรนซี่ ไม่ใช่การเจาะระบบ Blockchain แต่อย่างใด

คุณ Ian Khan นักเขียนด้านเทคโนโลยีกล่าวใน Tedx ว่า

“ฟังดูเป็นเรื่องที่น่าทึ่งมาก คือ Blockchain เป็นกลไกที่จะทำให้ทุกคนได้แสดงออกถึงความรับผิดชอบของตนเอง ขจัดความผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในการทำธุรกรรมหรือข้อผิดพลาดที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์หรือเครื่องจักร, หรือแม้กระทั่งการแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้เกิดจากความยินยอมของคู่กรณีที่เกี่ยวข้อง นอกจากนั้นแล้วความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใดของเทคโนโลยี Blockchain คือการช่วยรับรองความถูกต้องของการทำธุรกรรมโดยการบันทึกข้อมูลโดยไม่เพียงแต่ผู้บันทึกข้อมูลตัวหลักเท่านั้น แต่มันเป็นเรื่องของผู้บันทึกข้อมูลทุก ๆ ฝ่ายที่ถูกเชื่อมต่อกัน ผ่านกลไกการตรวจสอบที่มีความปลอดภัย”
เครือข่าย Blockchain ของ Bitcoin ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเห็นพ้องต้องกันของทุกฝ่าย (consensus) จะมีการตรวจสอบข้อมูลในทุก ๆ 10 นาที ระบบจะตรวจสอบธุรกรรมที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลา 10 นาทีนี้ การทำธุรกรรมในแต่ละครั้งดังกล่าวจะถูกเก็บไว้ในกล่องที่เราเรียกว่า Block คุณสมบัติที่สำคัญคือ

ความโปร่งใสของข้อมูลที่สามารถเข้าถึงได้สาธารณะ
ข้อมูลจะไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้เพราะมันจำเป็นต้องใช้พลังการประมวลผลอย่างมหาศาลที่ต้องไปลบล้างข้อมูลบนเครือข่ายทั้งหมด (อ่านเพิ่มเติมเรื่องการโจมตี 51%)
ในทางทฤษฎีก็อาจเป็นไปได้ที่จะมีคนทำแบบนั้นแต่ในทางปฏิบัติแล้วมันเป็นไปได้ยากมาก ๆ ซึ่งความพยายามที่จะเข้าไปแทรกแซง Blockchain เพื่อขโมยเหรียญ Bitcoin นั้นว่ากันว่าจะต้องใช้พลังงานไฟฟ้าเพื่อส่งกำลังประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่มากกว่าประเทศหนึ่งประเทศเสียอีก

คุณVitalik Buterin ผู้สร้างเหรียญEthereum กล่าวว่า

“เทคโนโลยี Blockchain เข้ามาแก้ไขปัญหาเรื่องการจัดการ เมื่อผมพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ในแถบตะวันตกผู้คนบอกว่าพวกเขาเชื่อถือ Google, Facebook หรือธนาคารมากกว่า แต่ผู้คนที่อาศัยอยู่ในแถบทวีปอื่นไม่ไว้วางใจองค์กรและบริษัทต่าง ๆ มากนักซึ่งผมหมายถึงแอฟริกา อินเดีย ยุโรปตะวันออกหรือรัสเซีย มันไม่เกี่ยวกับว่าจะต้องเป็นที่ที่ร่ำรวยเท่านั้นถึงจะเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ อันที่จริงแล้วเทคโนโลยี Blockchain มีโอกาสที่จะเข้าถึงประเทศที่ไม่ได้ร่ำรวยมากที่สุดได้มากกว่าเสียอีก”

เครือข่ายโหนด (node)
เครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ถูกเรียกว่า “โหนด” จะสร้างบล็อคขึ้น โหนดคือคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับเครือข่าย Blockchain โดยใช้ตัว client ทำการตรวจสอบความถูกต้องและส่งต่อการทำธุรกรรม โหนดจะได้รับสำเนาของ Blockchain ที่ดาวน์โหลดโดยอัตโนมัติเมื่อมันเข้าไปอยู่บนเครือข่าย Blockchain

(https://siamblockchain.com/wp-content/uploads/2017/06/shutterstock_725917057.jpg)

โหนดทุกตัวเป็นผู้ดูแล Blockchain และเข้ามาอยู่ในระบบด้วยความสมัครใจ ไม่ขึ้นกับส่วนกลาง (decentralized) แต่โหนดทุกตัวที่เข้ามาอยู่ใน Blockchain ก็มีจุดประสงค์คือการได้มาซึ่ง Bitcoin ที่ถูกขุดขึ้นมาใหม่

ในบางครั้งโหนดถูกเรียกว่าเป็นการขุด Bitcoin ซึ่งเป็นการเรียกที่ไม่เหมาะสมนัก การที่จะได้ Bitcoin มานั้นโหนดแต่ละอันต้องแก้ปริศนาคอมพิวเตอร์ โดยเริ่มแรก Bitcoin เป็นเหตุผลที่ Blockchain ถูกสร้างขึ้นแต่ตอนนี้ Blockchain กลายเป็นเทคโนโลยีที่มีศักยภาพในแง่การใช้งานมากที่สุด

ในตอนนี้มีเหรียญคริปโตเคอเรนซีที่เหมือนกับ Bitcoin อยู่ในตลาดประมาณ 1,600 เหรียญ ในขณะเดียวกันก็มีการนำเทคโนโลยี Blockchain ไปปรับใช้กับวงการอื่น ๆ มากขึ้น

คุณ Larry Summers อดีตเลขานุการกระทรวงการคลังของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า

“Bitcoin มีบุคลิกลักษระเหมือนเป็นเครื่องแฟ็กซ์ คือเครื่องแฟ็กซ์หนึ่งเครื่องก็เป็นได้แค่ที่กั้นประตูที่ไร้ประโยชน์ แต่ในโลกที่ใคร ๆ ทุกคนมีเครื่องแฟ็กซ์นั้นมันจะถือเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาล”

แนวความคิดของการกระจายศูนย์ (decentralization)
เทคโนโลยี Blockchain ถูกออกแบบมาเป็นเทคโนโลยีแบบกระจายอำนาจที่ไม่ขึ้นกับส่วนกลาง (decentralized technology) อะไรที่เกิดขึ้นบน Blockchain คือการทำงานของเครือข่ายโดยรวม ประเด็นคือ Blockchain เป็นการตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการค้าในรูปแบบใหม่ซึ่งการตรวจสอบแบบดั้งเดิมอาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น การซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ทำพร้อมกันได้เกือบทั้งหมดบน Blockchain หรืออาจทำให้การเก็บบันทึกข้อมูลบางประเภท เช่น การจดทะเบียนที่ดินกลายเป็นสาธารณะอย่างเต็มที่และทำให้เกิดการกระจายอำนาจอย่างแท้จริง

เครือข่ายคอมพิวเตอร์ของโลกใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Blockchain ในการจัดการกับฐานข้อมูลที่เกี่ยวกับการทำธุรกรรมของ Bitcoin ซึ่งก็หมายความว่า Bitcoin ถูกจัดการโดยเครือข่ายของมันเองโดยไม่มีอำนาจจากส่วนกลางเข้ามายุ่งเกี่ยว โดย decentralization นั้นก็คือเครือข่ายที่มีการดำเนินการแบบบุคคลต่อบุคคล (peer-to-peer) ที่ไม่ต้องขึ้นกับส่วนกลางนั่นเอง

คุณ Melanie Swan นักเขียนเกี่ยวกับ Blockchain ชื่อเรื่อง Blueprint for a New Economy (2015) กล่าวว่า

“เครือข่ายแบบ decentralized จะเป็นคลื่นลูกใหม่ของเทคโนโลยี”

ใครที่จะใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Blockchain ?
ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมทางการเงินดูเหมือนจะเป็นผู้ที่นำเทคโนโลยี Blockchain ไปใช้มากที่สุด โดยเฉพาะกับเรื่องการโอนเงินข้ามประเทศ ทำให้ตอนนี้นักพัฒนา Blockchain เป็นที่ต้องการในตลาดโลกเป็นอย่างมาก

การนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ทำให้สามารถตัดคนกลางสำหรับการทำธุรกรรมต่าง ๆ ออกไปได้ ลองนึกถึงเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่ถูกทำให้ใช้งานได้ง่ายมากขึ้นในปัจจุบันด้วยนวัตกรรม Graphical User Interface (GUI) ซึ่งหากนำ GUI มาเปรียบกับโลกของ Bitcoin นั้น มันก็คือกระเป๋า ( wallet) ที่เอาไว้เก็บเหรียญ Bitcoin และ cryptocurrency อื่น ๆ เพื่อโอน หรือนำไปใช้ซื้อของ

การทำธุรกรรมออนไลน์จะต้องมีการยืนยันตัวตนซึ่งในอนาคต wallet apps อาจมีการจัดการเกี่ยวกับการยืนยันตัวตนในรูปแบบอื่น ๆ อีกมากมาย

คุณ Wiilliam Mougayar ผู้เขียนThe Business Blockchain: Promise, Practice, and Application of the Next Internet Technology กล่าวว่า

“ตัวตนในโลกออนไลน์จะมีลักษณะเป็น decentralized และเราจะเป็นเจ้าของข้อมูลที่เป็นของเราได้อย่างแท้จริง”

เทคโนโลยี Blockchain กับความปลอดภัยที่เพิ่มมากขึ้น
การกระจายข้อมูลบนเครือข่ายทำให้มันช่วยขจัดความเสี่ยงที่ข้อมูลจะถูกรวบรวมไว้ที่ส่วนกลาง

ทำให้นักแฮ็คไม่มีฐานข้อมูลกลางที่ไว้ใช้เจาะข้อมูล ในปัจจุบันนี้อินเตอร์เน็ตมีปัญหาด้านความปลอดภัย เราเชื่อว่าการใช้ username และ password จะช่วยป้องกันไม่ให้ข้อมูลหรือทรัพย์สินของเรานั้นรั่วไหล เทคโนโลยี Blockchain จะช่วยทำให้ความปลอดภัยของข้อมูลและทรัพย์สินของเรามีมากขึ้นได้ด้วยวิธีการทางด้านความปลอดภัยของ Blockchain นั้นเป็นเทคโนโลยีที่ต้องเข้ารหัส (encryption technology)

หรือที่เราเรียกว่า ‘key’ ตัว Public Key จะระบุ address ของผู้ใช้ที่อยู่บน Blockchain และ Bitcoin ที่ถูกโอนไปมาบนเครือข่ายจะถูกบันทึกข้อมูลการทำธุรกรรมไว้บน adress ของผู้ถือ ส่วน Private Key จะเปรียบเสมือน password ที่ทำให้เจ้าของสามารถเข้าถึง Bitcoin หรือเหรียญดิจิทัลอื่น ๆ ได้ ข้อมูลที่ถูกเก็บไว้บน Blockchain จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

เครือข่ายบนเลเวลที่สอง
ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ที่ว่านี้จะทำให้เว็บไซต์นั้นมีเลเยอร์ของฟังก์ชันการทำงานตัวใหม่โผล่ขึ้นมา

ปัจจุบันผู้ใช้งาน Bitcoin สามารถที่จะส่งเงินหากันเองได้โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง อีกทั้งอัตราการใช้งานเหรียญดังกล่าวก็เพิ่มขึ้นอีกด้วย ซึ่งเมื่อปี 2017 ที่ผ่านมานั้น มูลค่าการทำธุรกรรมของ Bitcoin ต่อวันโดยรวมคิดเป็นตัวเลขที่สูงถึง 2 พันล้านดอลลาร์ต่อวัน ความได้เปรียบในด้านของความปลอดภัยของ Blockchain นั้นทำให้ธุรกิจด้าน internet กำลังพึ่งพาสถาบันการเงินแบบเก่าในปัจจุบันน้อยลง

คุณ George Howard อาจารย์รับเชิญของ Brown University, Berklee College of Music และผู้ก่อตั้ง George Howard Strategic กล่าวว่า

“ปี 2017 จะเป็นปีที่สำคัญของเทคโนโลยี Blockchain ซึ่งบริษัท Startup หลายแห่งอาจจะเริ่มมีรายได้มากขึ้นหรือบางแห่งอาจจะไปไม่รอดเนื่องจากมีเงินทุนไม่มากพอ ในปี 2017 นี้จะเป็นปีที่มีการนำเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในการผลิตสินค้าเพิ่มมากยิ่งขึ้นแต่ผู้บริโภคอาจไม่สังเกตเห็นว่าเทคโนโลยีนี้เข้ามาทำให้ชีวิตของผู้คนหรือธุรกิจดีขึ้นอย่างไร ปี 2017 เป็นปีที่แสดงให้เห็นถึงการนำ Blockchain มาใช้ประโยชน์มากยิ่งขึ้นซึ่งมันทำให้ผู้ที่สงสัยเกี่ยวกับเทคโนโลยีนี้ได้เห็นการทำงานของมันด้วยตัวเองไม่ใช่แค่ได้ยินมา

ที่มา https://siamblockchain.com/2017/06/04/blockchain-%e0%b8%84%e0%b8%b7%e0%b8%ad%e0%b8%ad%e0%b8%b0%e0%b9%84%e0%b8%a3/