« เมื่อ: สิงหาคม 19, 2011, 01:58:07 pm »
0
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐
พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒
อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาต เสขสูตรที่ ๒ตรัสแสดงว่า พระโสดาบัน เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล ทำพอประมาณในสมาธิ ทำพอประมาณในปัญญา แต่ก็อาจต้องอาบัติเล็กน้อยได้ มี ๓ ประเภท คือ เพราะสิ้นสัญโญชน์ ๓ จึงจะท่องเที่ยวไปในเทพและมนุษย์อย่างมากเพียง ๗ ครั้งก็ทำที่สุดทุกข์ได้, ท่องเที่ยวไปสู่ ๒ - ๓ สกุล ( ๒ - ๓ ชาติ ) ก็ทำที่สุดทุกข์ได้, เกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งเดียวก็ทำที่สุดทุกข์ได้.
ทรงแสดง พระสกทคามี พิเศษออกไปว่า เพราะสิ้นสัญโญชน์ ๓ และเพราะมีราคะ โทสะ โมหะน้อยลง(กว่าพระโสดาบัน) จึงจะมาสู่โลกนี้ เพียงครั้งเดียวแล้วทำที่สุดทุกข์ได้.
ทรงแสดง พระอนาคามี ว่าทำให้บริบูรณ์ในศีล ,ทำให้บริบูรณ์ในสมาธิ, ทำพอประมาณในปัญญา เพราะสิ้นสัญโญชน์ ๕ ( เพิ่มการละกามราคะ ความกำหนัดในกาม และปฏิฆะ ความขัดใจ รวมเป็นข้อที่ ๔ และที่ ๕) จึงเป็นพระอนาคามีประเภทใดประเภทหนึ่งใน ๕ ประเภท คือ
๑. อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี (ผู้มีกระแสในเบื้องบน ไปสู่อกนิฏฐภพ)
๒. สสังขารปรินิพพานยี (ดับกิเลสในภพที่เกิด ต้องใช้ความพยายาม
๓. อสังขารปรินิพพานยี (ดับกิเลสในภพที่เกิดโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม)
๔. อุปหัจจปรินิพพานยี (มีอายุเกินกึ่ง จึงดับกิเลส คำว่า ดับกิเลส หมายถึงบรรลุอรหัตตผล เพ่งถึงกิเลสปรินิพพาน อนึ่ง คำอธิบายของอรรถกถาอังคุตตรนิกาย ตรงนี้คำบาลีเคลื่อนคลาด อาจทำให้ตีความหมายผิด )
๕. อัตราปรินิพพายี (มีอายุไม่ถึงกึ่งดับกิเลสได้).
แล้วตรัสแสดงถึง ท่านผู้ทำให้แจ้งเจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะ(พระอรหันต์) ว่าเป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล , สมาธิ, และปัญญา.
ตรัสอธิบาย การมีศีล สำรวมในพระปาฏิโมกข์ ว่าเป็นอธิศีลสิกขา,
การเจริญฌาน ๔ ว่าเป็นอธิจิตตสิกขา ,
การรู้อริยสัจจ์ ๔ ตามเป็นจริงว่าเป็นอธิปัญญาสิกขา.
อีกนัยหนึ่งทรงแสดง การทำให้แจ้งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันไม่มีอาสวะ ว่าเป็นอธิปัญญาสิกขา.
อ้างอิง พระไตรปิฎก ฉบับประชาชน โดย อ.สุชีพ ปุญญานุภาพ
http://www.larnbuddhism.com/tripitaka/prasuttanta/12.4.html
ขอบคุณภาพจากwww.bloggang.com,http://buddha.dmc.tv