ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปาฏิหาริย์ พระบรมสารีริกธาตุเสด็จ กับ บุคคลสำคัญ  (อ่าน 6557 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
ปาฏิหาริย์ พระบรมสารีริกธาตุเสด็จ กับ บุคคลสำคัญ


พระนเรศวรมหาราช

ส่วนพระนเรศร์จึงแต่งองค์แล้วก็เสด็จขึ้นยืนอยู่บนเกยชัย อันช้างพระที่นั่งอยู่ที่ริมเกยกับนายควาญช้าง เมื่อจักมีบรมโพธิสมภาร จึงบันดาลให้ประจักษ์ในทัพขันธ์ ในเวลากลางวันก็บันดาลให้มีอัศจรรย์มา พระอาทิตย์นั้นก็ทรงกลด อันแดดนั้นก็มิได้ต้ององค์ ร่มอยู่สักศอกปลาย ส่วนที่นอกนั้นก็เป็นแสงแดดอยู่ ก็แลเห็นเป็นอัศจรรย์ทั่วกันไปสิ้นทั้งทัพ แล้วแลเห็นพระบรมธาตุเสด็จมาบนกลางอากาศ มีพระรัศมีเป็นอันมาก ปาฏิหาริย์มาที่หน้าพลับพลาไป คำให้การของขุนหลวงหาวัด ฉบับหลวง



สมเด็จพระเอกาทศรถ

สมเด็จพระเอกาทศรถ เมื่อเสด็จไปปราบพระยาศรีไสยณรงค์ที่เป็นกบฏเมืองตะนาวศรี พอเพลา 3 ยาม 7 บาท พระบรมสารีริกธาตุใหญ่เท่าผลส้มเกลี้ยง เสด็จผ่านตะนาวศรีมาแต่ทิศอุดรไปเฉียงอาคเนย์ พระรัศมีสว่างวาบไปทั่วอากาศและปฐพี....ทรงปีติโสมนัส ถวายทศนัขสโมธานเหนือพระศิโรดมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ แล้วปุโรหิตาจารย์ทั้งหลายให้ประโคมแตรสังข์ดุริยางคดนตรีพี่พาทย์และฆ้องชัยในทันที



พระศรีสุนทรโวหาร (สุนทรภู่)

พระศรีสุนทรโวหาร (สุนทรภู่)ได้กล่าวถึงพระธาตุเสด็จไว้ในงานประพันธ์ นิราศภูเขาทอง ดังนี้
... พอกราบพระปะดอกปทุมชาติ  พบพระธาตุสถิตในเกสร
    สมถวิลยินดีชุลีกร  ประคองช้อนเชิญองค์ลงนาวา
    กับหนูพัดนมัสการสำเร็จแล้ว  ใส่ขวดแก้ววางไว้ใกล้เกศา
    มานอนกรุงรุ่งขึ้นจะบูชา  ไม่ปะตาตันอกยิ่งตกใจ
    แสนเสียดายหมายจะชมบรมธาตุ  ใจจะขาดคิดมาน้ำตาไหล
    โอ้บุญน้อยลอยลับครรไลไกล  เสียน้ำใจเจียนจะดิ้นสิ้นชีวัน...



หลวงปู่พุธ ฐานิโย

พระธาตุเสด็จมานี่ ถ้าใครไม่เจอไม่ยักกะเชื่อ หลวงพ่อไปเทศน์ที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ พอเทศน์จบแล้ว เขาเอากัณฑ์เทศน์มาถวาย ผู้อำนวยการบอกว่า อุ๊ย พระธาตุเสด็จ มองไปผ้าขาวที่เขาปูไว้ขาวโพลงเป็นแห่งๆ หลวงพ่อทักเขาว่า คุณเอามาโปรยไว้หรือเปล่า มันเป็นไปได้อย่างไร ตอนไปนั่งทีแรกมองดูแล้วก็ไม่มีอะไร พอเทศน์จบแล้ว พระธาตุมากันเต็มเลย คนแย่งกันเก็บ จึงได้แน่ใจว่า อ้อ ที่เขาว่าพระธาตุเสด็จมาหาเขานี่มันจริง สิ่งที่มาเองนี่เป็นอะไรก็ได้ เราจะรู้ว่าเป็นอะไรหรือไม่เป็นอะไรก็เก็บไว้ มันเป็นของแปลก



หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ

ถามตอบระหว่างคุณธนกร สุริยนต์ กับหลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
เกี่ยวกับพระธาตุเป็นที่แปลกอยู่ว่า เส้นผมของหลวงปู่หลวงพ่อในสายกรรมฐานที่สิ้นไปแล้ว ลูกศิษย์ได้เก็บเอาไว้บูชา ต่อมาค่อยๆรวมตัวจับกันเป็นก้อนเท่าเม็ดพุทรา จากนั้นจะกลายเป็นพระธาตุได้ไหมครับ

หลวงปู่ - เป็นไปได้ของหลวงปู่หลุยก็ได้มีลูกศิษย์บางคนเก็บไว้ ต่อมาได้รวมตัวเป็นก้อนกลม แล้วอีกระยะหนึ่งถึงค่อยแปรเป็นพระธาตุ อย่างของพระอาจารย์จวน ส่วนใดที่เป็นพระธาตุแล้ว คุณสุรีพันธ์ก็เอาใส่ผอบไว้ แล้วตั้งเรียงเอาไว้บูชา ส่วนที่ยังไม่เป็นก็เอาใส่ขวดโหลไว้ บัดนี้กระดูกที่เป็นผงนั้นก็ได้ค่อยรวมตัวกันเป็นก้อนเท่าเม็ดพุทราเท่ากันหมดทั้งขวดโหลเลย

เราเห็นดังนั้นก็เลยเชื่อว่าเป็นได้จริงอย่างนั้น แต่ที่มาเห็นเป็นแก้วอยู่ในผอบในที่ต่างๆ เราก็ไม่แน่ใจว่าเขาจะเอาแก้วอะไรที่ไหนมาใส่ไว้ ทีแรกก็ไม่ค่อยเชื่อ แต่พอมาเห็นที่ขวดโหลใหญ่จึงเชื่อมั่นว่าเป็นไปไม่ได้ เถ้ากระดูกเหล่านั้นจะค่อยเกาะยึดแน่นกันเป็นก้อนกลมเช่นเดียวกับเส้นผม

ที่เป็นชาวบ้านธรรมดาก็มีแปลกอยู่เหมือนกัน บางคนเมื่อมีชีวิตอยู่ เขาก็ถือศีลภาวนาทำบุญตามปกติ แต่พอตายไปเมื่อเผาไปแล้ว ปรากฏว่ากระดูกบางส่วนได้กลายเป็นแก้ว บางคนก็คล้ายกับว่ามีทองมาหุ้ม มีสีทองแวว คงเป็นเพราะมีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์ แต่ในตำราไม่ได้บอกไว้ว่า บุคคลระดับใด ซึ่งอาจเป็นอริยะบุคคลแล้ว เวลาตายไปกระดูกจะกลายเป็นพระธาตุ อาตมาก็ไม่กล้ายืนยัน กล้ายืนยันเฉพาะของพระพุทธเจ้า

ในสมัยนี้ก็พอมีหลักฐานยืนยันได้ว่ากระดูกของพระสาวกแปรเป็นพระธาตุได้ อย่างของหลวงปู่มั่นก็ใสเป็นแก้ว ของหลวงปู่พรหมก็จะมีสีกลมดำเป็นนิล ของหลวงปู่ขาวจะเหมือนพลอยใส ของหลวงปู่แหวนดูเหมือนจะกลายเป็นแก้วใสเร็วกว่ารูปอื่น ของหลวงปู่สามก็แปรเป็นพระธาตุเหมือนกัน แต่แปลกว่าไม่ได้แปรทั้งหมด คงแปรเฉพาะส่วนที่ลูกศิษย์ใกล้ชิดเก็บไว้เท่านั้น ส่วนใหญ่ยังไม่ได้แปรเป็นพระธาตุ

ของหลวงปู่ตื้อก็เป็นพระธาตุของท่านนี้มีลูกศิษย์คนหนึ่งได้ไปงานเผาศพท่าน แล้วได้เก็บเอาผงเถ้าถ่านจากเมรุที่เผาเป็นชิ้นเล็กๆมาใส่ในตลับยาหม่องเอาสำลีรองไว้ ต่อมาอีกประมาณหนึ่งปี ผงถ่านเหล่านั้นจับตัวเป็นก้อนเล็กๆ หลายก้อน อีกระยะหนึ่งจึงได้กลายเป็นพระธาตุแต่ไม่ใส เป็นสีน้ำตาล อาจเพราะรวมจากผงเถ้าหลายอย่าง กระดูกบ้าง ไม้บ้าง พระธาตุเหล่านี้บางรูปก็ปาฏิหาริย์แยกออกได้เองก็มีมาก เป็นเรื่องของการอธิษฐาน และความเชื่อมั่น.............



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
ศูนย์เผยแผ่ธรรมะออนไลน์กัณฑกะ
www.facebook.com/ศูนย์เผยแผ่ธรรมะออนไลน์กัณฑกะ
board.palungjit.com/f2/ปาฏิหาริย์-พระบรมสารีริกธาตุเสด็จ-กับ-บุคคลสำคัญ-339948.html
http://t1.gstatic.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

painting

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 72
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เหมือนคนที่กล่าวว่าเขารักผู้หญิงงามในชนบทคนหนึ่ง
แต่ไม่รู้ว่าเป็นใครเมื่อถูกถาม ?
ชืออะไร สูง ต่ำ ดำ ขาว อยู่แถวไหน ก็ไม่รู้
คำพูดเขาย่อมเป็นสิ่งที่เลื่อนลอย ?

โดยเปรียบเทียบอาศัยที่เขาเห็นว่า อัญมณีที่เกิดขึ้นอย่างบริสุทธิ์แปดเหลี่ยม เจียรไนอย่างดีคือหญิงงามนั้น
แต่อัญมนีนั้นเมื่ออยู่คู่กับหิ่งห้อยในตอนกลางคืน หิ่งห้อยนั้นกลับส่องสว่างกว่า
ตะเกียงในยามราตรี ก็สว่างกว่าหิ่งห้อย
กองไฟใหญ่ก็สว่างกว่าตะเกียง
ดาวศุกร์ก็สว่างกว่ากองไฟใหญ่
ดวงจันทร์เต็มดวงก็สว่างกว่าดาวศุกร์
ดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงก็สว่างกว่าดวงจันทร์
(เกี่ยวกับ เวขณสสูตร)

ความเห็นของชายผู้นี้จึงเป็นความเห็นที่ผิดเสียแล้ว  เป็นทิฏฐิที่ผิด
การได้ยินได้ฟังมาอย่างผิด ทิฏฐิที่เกิดขึ้นกับเรื่องที่ได้รับมานั้นย่อมผิด
แม้แต่คิดจินตนาการสร้างเอาเองโดยไม่ได้ยินได้ฟังมา  ก็ยังสามารถผิดได้

กระดูกจะเป็นแก้วใส ๆ หรือ เป็นเถ้าถ่านดำปิ้ดปี๋ ก็ยังมีธรรมและวินัยที่เป็นศาสดา ?
ผู้ไม่ประมาทเมื่อยังไม่รู้ชัดตามจริง ก็ไม่จำเป็นต้องสร้างทิฏฐิว่า นี่เป็นอย่างนั้น นี่เป็นอย่างนี้ ให้เป็นสังโยชน์
จะเป็นการดีกว่าถ้าพิจารณาให้รู้ชัด ปรากฏด้วยปัญญาตนเสียก่อน ?

ถ้าไม่รู้ว่าตะเกียงสว่างกว่าหิ่งห้อย ก็อาศัยหิ่งห้อยส่องแสงให้
ถ้าไม่รู้ว่ากองไฟใหญ่สว่างกว่าตะเกียง ก็อาศัยตะเกียงส่องแสงให้
ถ้าไม่รู้ว่าดาวศุกร์สว่างกว่ากองไฟใหญ่ ก็ใช้กองไฟใหญ่ส่องแสงให้
ถ้าไม่รู้ว่าดวงจันทร์เต็มดวงสว่างกว่าดาวศุกร์ ก็ใช้ดาวศุกร์ส่องแสงให้
ถ้าไม่รู้ว่าดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงสว่ากว่าดวงจันทร์  ก็ใช้ดวงจันทร์ส่องแสงให้
ถ้าได้รู้แสงจากแหล่งต่าง ๆ แล้ว ก็ไม่ลำบากเลยถ้าจะพิจารณาตามความเหมาะสม?

หมายเหตุ. พระธาตุเป็นที่ระลึกเพื่อละอกุศลนำไปสู่กุศลธรรม.ดี

จากคุณ    : นายอิ่ม
บันทึกการเข้า

หมิว

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 398
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
สำหรับคนที่ไม่เชื่อเรื่องพระธาตุนะครับ

จากอดีตถึงปัจจุบัน คงมีคนตายและถูกเผาไปรวมๆกันอย่างน้อยน่าจะมีซักพันล้านครั้งได้มั้ง
รวมทุกประเทศนะครับ ใครที่คิดว่าพระธาตุเกิดจาก "บางทีในกระบวนการเผา เกิดเหตุปัจจัยพอเหมาะ" ลองช่วยค้นข้อมูลได้มั้ยครับ ว่ามีกรณีใดบ้างที่มีการเผาแล้วเกิดกระดูกในลักษณะพระธาตุขึ้นมาบ้าง

ถ้าพระธาตุเกิดจากการเผาที่มีปัจจัยที่พอเหมาะ ปริมาณพันล้านครั้งน่าจะเพียงพอที่จะเกิดได้มั้งครับ เท่าที่ผมลอง search ดู ถ้าไม่นับพระธาตุจากพระอรหันต์ที่เราเห็นๆกันอยู่เนี่ย ไม่เคยเห็นมีบันทึกใดๆเลย ว่าปรากฏหลังจากการเผาศพคนธรรมดา หมา แมว อย่างที่คุณๆว่ากันเลย ช่วยยกตัวอย่างมาให้ดูหน่อยได้ไหมครับ

คำถามนะ

ทำไมจำเพาะเจาะจงที่การเกิดพระธาตุต้องบังเอิญเกิดในพระปฏิปทาในศาสนาพุทธครับ?
ทำไมจำเพาะเจาะจงเกิดกับพระที่เราเชื่อมั่นว่าเป็นพระอรหันต์ครับ?
พระสงฆ์ที่มรณะภาพมี่เยอะแยะไป ที่โรงพยาบาลสงฆ์มีทุกอาทิตย์ ทำไมเราไม่เคยเจอพระธาตุจากพระทั่วไปครับ?

ผมเองก็ไม่ค่อยแน่ใจในเรื่องอิทธิปาฏิหารย์ ชาติ ภพ เท่าไหร่นักว่ามีจริง แต่จะเล่าประสบการณ์เรื่องพระธาตุให้ฟัง

เมื่อตอนน้ำท่วมที่ผ่านมา ผมหนีน้ำไปพักที่บ้านพ่อแม่ ที่ราชบุรี ระหว่างนั้นก็คุยกันเรื่องศาสนาแล้วก็พูดเรื่องพระธาตุ พ่อผมก็บอกว่า ท่านเองเคยได้พระธาตุมาจากน้องสาว(อาผมซึ่งเสีย) เมื่อเกือบยี่สิบปีมาแล้ว โดยอาผมบอกพ่อว่าได้มาจากตอนไปแถวอีสาน

อาผมให้พระธาตุแก่พ่อมาราวๆ 5-6 องค์ (เม็ด) ซึ่งพ่อผมก็เก็บไว้ในผอบวางไว้หน้าโต๊ะหมู่บูชา แล้วก็ไม่ได้แทบเปิดอีกเลย ผมได้ยินก็ดีใจ บอกพ่อว่าผมขอซักสามองค์(เม็ด)ได้มั้ย เพราะจะได้ห้อยคอเป็นที่บูชาถึงพระรัตนตรัย พ่อผมก็บอกว่าได้ให้ผมขึ้นไปเอาในผอบเอง

เชื่อมั้ยครับว่า ตอนผมเปิดผอบ มีเม็ดพระธาตุในนั้นร่วมๆ 30 องค์ได้ เลยหยิบผอบลงมาหาพ่อ แล้วแยกพระธาตุไว้ 3 องค์ ใส่รวมกับหลวงพ่อทวดที่ผมห้อยคอ

พ่อผมท่านเองยังแปลกใจว่าทำไมถึงมีเพิ่มขึ้นมาได้ และท่านยืนยันว่าได้รับมาจำนวนประมาณนั้น (5-6องค์) ตอนที่ท่านรับพระธาตุมาแม่ผมก็อยู่ด้วย ท่านยังยืนยันในสิ่งที่พ่อผมพูด ซึ่งพ่อผมไม่โกหกผมแน่ๆ

ถ้าเอาตามชาวพุทธที่เชื่อเรื่องนี้ เค้าบอกว่าพระธาตุท่านยินดีที่อยู่กับคนดีมีศีลธรรม และท่านจะสามารถแบ่งภาคเพิ่มขึ้นมาได้ ซึ่งบังเอิญพ่อแม่ผมถึงท่านจะไม่ได้ศึกษาศาสนามากมาย ตั้งใจรักษาศีลเคร่งครัดจริงจัง แต่ท่านก็ใช้ชีวิตสมถะ ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย ไม่กินเหล้าเล่นการพนัน ไม่ค่อยได้ฆ่าสัตว์ยกเว้นพวกมดแมลง และตักบาตรเป็นประจำ


วิทยาศาสตร์อธิบายเรื่องนี้ว่าไงดีครับ กระดูกที่ถูกเผาแล้วแบ่งตัวสร้างเซลกระดูกขึ้นใหม่แล้วโคลนตัวเองจนเหมือนกระดูกชุดแรกเหรอครับ?

ที่บอกนี่ไม่ได้บอกว่าจะต้องยกพระธาตุเป็นเรื่องปาฏิหารย์อะไรมากมาย แต่ขอเหอะ อย่าดูถูกอย่าลบหลู่แบบไม่สมควร เหมือนอีตารถกระป๋องที่บอกเป็นลัทธิกระดูกแก้ว เหยียดคนอื่นว่าบูชาขี้เยี่ยวพระ

หลายสิ่งหลายอย่างวิทยาศาสตร์เองก็ไม่ก้าวหน้าพอที่จะพิสูจน์ เอาง่ายๆแค่ สิ่งมีชีวิตเกิดขึ้นมาได้อย่างไรและพิสูจน์ให้ได้ตามนั้น ก็ยังทำไม่ได้เลย

จากคุณ    : cantona_z
บันทึกการเข้า
ใจดี น่ารัก และ ไม่ชอบคนที่กวน...ใจ
แสงพระธรรม นำทาง นำสู่ใจ ได้รับแสงสว่าง
แสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี

หมิว

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 398
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
แปลงกระดูกคนรัก ให้เป็นเพชร
« ตอบกลับ #3 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2012, 02:11:18 pm »
0
แปลงโฉม ‘ธุลี ’เป็น ‘อัญมณีวาว’
เชื่อไหมครับ!! เถ้ากระดูกของคนที่คุณรัก เปลี่ยนเป็นเพชรเม็ดงามประดับแหวน หรือจี้ห้อยคอได้

อาจไม่ใช่เรื่องใหม่แกะกล่องของโลกยุคนี้ แต่เป็นเรื่องล่าสุดกำลังจะเกิดขึ้นในบ้านเรา เริ่มจากใจที่คำนึงถึงใครบางคนที่จากไป และต้องการเก็บเขาไว้ระลึกถึงใกล้ๆ ตัว

แม้ว่าความแพร่หลายของการนำกระดูกบรรพบุรุษมาแปรสภาพเป็นเพชรไว้เพื่อระลึกถึง จะเกิดขึ้นแบบเงียบๆ มา 5 ปีแล้ว ทั้งในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ผู้เริ่มเทคโนโลยีนี้ หรือบางประเทศในทวีปยุโรป อเมริกา และประเทศในเอเชียอย่างจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ก็ยิ่งทำให้เกิดกระแสอย่างต่อเนื่อง จนเกิดเป็นตัวแทนออร์เดอร์ในแต่ละภูมิภาค

ณ ประเทศไทย โดย ดร.ยงยศ มนต์เสรีนุสรณ์ เจ้าของร้านเครื่องประดับเพชร เลอ โบ สยามพารากอน และลูกสาว ฐปนี มนต์เสรีนุสรณ์ ว่าที่ผู้สืบทอดกิจการ มาถ่ายทอดประเด็นดังกล่าว ที่ไม่ใช่เป็นเพียงเทรนด์แฟชั่นฉาบฉวย หากแต่เป็นคุณค่าทางใจที่อยู่ในชิ้นอัญมณี

"ตั้งแต่สมัยโบราณ เพชรหมายถึง ‘ความทรงจำชั่วนิรันดร์' และ ‘สัญลักษณ์ที่แสดงถึงความรัก' ‘ความตาย' เป็นสิ่งที่จะมาเยี่ยมเยือนสิ่งมีชีวิตทั้งหมดเมื่อไรก็ได้ แต่การจะให้ยอมรับการแยกจากกันไปแบบตลอดกาล ซึ่งหมายถึงการสูญเสียชีวิตของคนผู้เป็นที่รักก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย จวบจนถึงปัจจุบันหลายต่อหลายท่านทำให้ตนเองรู้สึกสบายใจ โดยพยายามคิดว่าไม่เป็นไรหรอก "เพราะว่าเขาจะอยู่ในใจ และความทรงจำของพวกเราตลอดไป..." เพราะว่าเขาได้ไปอยู่ในที่ที่สบายแล้ว ‘เพราะว่าเขาคอยดูแลพวกเราอยู่ที่เมืองสวรรค์... '" เป็นต้น

ในเวลาเดียวกันก็มีหลายต่อหลายท่านที่รู้สึกว่า อยากให้บุคคลอันเป็นที่รักมาอยู่ใกล้ตัวเขาบ้างก็ดี แต่สภาวะความเป็นอยู่ที่เร่งรีบอยู่เสมอในปัจจุบัน ก็ทำให้การเข้าวัดบ่อยๆ ไม่สามารถปฏิบัติได้ดั่งที่ใจคิด ยิ่งกว่านั้น ถ้าวัดที่เก็บอัฐิของคนในครอบครัวอยู่ไกล ถึงอยากจะไปก็ไม่สามารถเดินทางไปได้ง่าย"

อัลกอร์แดนซา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นกลุ่มตัวแทนเทคโนโลยีการดึงคาร์บอนในกระดูกมาแปรสภาพเป็นเพชร โดยจำลองสภาพกระบวนการเดียวกันกับการเกิดเพชรในธรรมชาติ มีความคิดว่าอยากจะช่วยเยียวยารักษาบาดแผลในใจที่เกิดจากการสูญเสียคนที่คุณรัก และเก็บความทรงจำเกี่ยวกับพวกเขาไว้ในเพชรนั้น

เพชรแต่ละเม็ดที่ถูกผลิตขึ้นมาจากอัฐิ จะมีเพียงเม็ดเดียวเท่านั้นในโลก เพชรของอัลกอร์แดนซาผลิตขึ้นมาโดยใช้คาร์บอนที่ถูกสกัดออกจากอัฐิ 100% ส่วนประกอบทางเคมีที่มีอยู่ในอัฐิจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของผู้ที่ล่วงลับไปในขณะที่มีชีวิตอยู่ เป็นผลให้สีของเพชรแต่ละเม็ดจะแตกต่างกันเล็กน้อย ผู้ที่ล่วงลับไปในขณะที่เขามีชีวิตอยู่ สำหรับท่านแล้วเขาก็เป็นบุคคลที่พิเศษที่ไม่มีใครมาทดแทนได้ เพชรที่เกิดขึ้นมาใหม่ก็เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นในโลก ไม่สามารถทดแทนด้วยสิ่งอื่นใดได้เช่นเดียวกัน

แปลงโฉมเดี๋ยวเดียวก็ได้เพชร
กระบวนการผลิตขั้นต้น-เมื่ออัฐิส่งถึงประเทศสวิตเซอร์แลนด์แล้ว จะนำมาบรรจุลงในกล่องและติดหมายเลขควบคุมที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อป้องกันการสับเปลี่ยนและปะปนกัน พร้อมลงบันทึกในรายการแสดงการตรวจสอบ

ตรวจสอบทางเคมี
ใช้กรรมวิธีในการตรวจดูคาร์บอนโดยอาศัยการหักเหของแสง (Diffraction Spectroscopy) เพื่อตรวจดูปริมาณคาร์บอน จากนั้นสกัดคาร์บอน โดยใช้วิธีทางเคมีและความร้อนเพื่อขจัดสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ออกไป ทำให้อัตราส่วนคาร์บอนที่ผสมอยู่เพิ่มขึ้นมากกว่า 90%

ต่อมาเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนรูปเป็นแกรไฟต์ โดยผ่านกระบวนการที่มีความร้อนและความดันสูงจะทำให้โครงสร้างโมเลกุลของคาร์บอนเปลี่ยนรูปร่างไปเป็นแกรไฟต์ และยิ่งกว่านั้นในขณะที่สกัด แกรไฟต์จะกำจัดก๊าซที่ปะปนอยู่ออกมา ได้เป็นแกรไฟต์ที่มีอัตราส่วนของคาร์บอนผสมอยู่มากกว่า 95% จากนั้นผู้เชี่ยวชาญจะผลิตเพชรสังเคราะห์ด้วยกระบวนการที่มีความร้อนและความดันสูง (HPHT) ก่อนเข้าสู่กระบวนการตัดและเจียระไนในท้ายสุด

การตรวจสอบคุณภาพและออกใบรับประกัน
เพชรถูกตรวจสอบคุณภาพ และออกหนังสือรับรองโดยสถาบันอัญมณีศาสตร์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อรับรองว่าเพชรที่ถูกส่งมาจากอัลกอร์แดนซา สวิตเซอร์แลนด์ เป็นเพชรที่ผลิตขึ้นมาจากคาร์บอนที่ถูกสกัดออกมาจากอัฐิที่รับมาเท่านั้น หลังจากนั้นคุณก็นำเพชรมาจัดทำเครื่องประดับได้ตามความต้องการ

หนึ่งเดียวในโลก
อัลกอร์แดนซาให้คำสัญญาในคุณภาพ จัดทำเพชรจากอัฐิของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วเท่านั้น 100% ธาตุคาร์บอน (C) ในเพชรที่ผลิตเสร็จแล้วนั้นเป็นสิ่งที่ถูกสกัดออกมาจากอัฐิทั้งหมดของผู้ที่ล่วงลับไปที่ได้รับมาเท่านั้น ซึ่งไม่ได้ใช้ธาตุคาร์บอนจากแหล่งอื่น เช่น ตะกั่วดำธรรมชาติเลย โดยทางต้นสังกัดจะแนบใบรับประกันเรื่องดังกล่าวข้างต้นมาพร้อมกันในเวลาจัดส่งเพชร

ความใส (Clarity) เพชรแห่งความทรงจำนี้ จะรับประกันค่าความใสต่ำที่สุดที่คลาส ไอ (Class I) ตามวิธีการประเมินของเพชรธรรมชาติ แต่ในความเป็นจริงสิ่งที่น่าภูมิใจที่สุดก็คือ มากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนเพชรที่ผลิตได้โดยกระบวนการนี้ มีค่าความใสที่คลาส วีเอส (Class VS) ซึ่งมองขยาย 10 เท่า จะค้นพบสิ่งเจือปนได้ค่อนข้างยาก นั่นคืออยู่สูงกว่าระดับ คสาส ไอ ถึง 2 ขั้น

แบบฉบับสี เพชรสังเคราะห์โดยทั่วไปมีสีเหลือง แต่ที่อัลกอร์แดนซาด้วยวิธีการผลิตที่พิเศษ ทำให้เกิดเป็นเพชรสังเคราะห์ที่เป็นเพชรสีฟ้าที่หายากได้ สีฟ้านี้ไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดจากการย้อมสี แต่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ จากอัตราส่วนทางเคมีที่มีอยู่เพียงน้อยนิดในเถ้าอัฐิ ทำให้เกิดสีที่สวยงามตั้งแต่สีใสจนถึงสีฟ้า

ให้ความเคารพต่อผู้ล่วงลับ
ถ้ากล่าวถึงการผลิตเพชรจากอัฐิของผู้ที่ล่วงลับไปแล้วนั้น ไม่เพียงแต่ปัญหาทางด้านเทคนิคอย่างเดียวเท่านั้น อัลกอร์แดนซาเข้าใจดีว่าจะต้องมีความรับผิดชอบทางด้านจริยธรรมและศีลธรรมอีกด้วย การดูแลอัฐิ และเพชรนั้นจะระมัดระวังอย่างเป็นพิเศษและให้ความเคารพนับถืออย่างสูงสุด บริษัท อัลกอร์แดนซา จะขึ้นตรงกับสมาคมผู้ประกอบพิธีศพแห่งประเทศสวิตเซอร์แลนด์ (Schweizerischen Verband der Bestattungsdienste SVB) ซึ่งถูกกำหนดไว้ว่าจะต้องปฏิบัติตามมาตรฐานในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ก็ได้นำหลักจริยธรรมและศีลธรรมชั้นสูงไปใช้ปฏิบัติในอัลกอร์แดนซาแห่งประเทศญี่ปุ่น และสำนักงานสาขาอีกด้วย

ใบสั่งซื้อทั้งหมดจะมีเลขที่สั่งซื้อโดยเฉพาะไม่ซ้ำกัน ซึ่งการสั่งผลิต การรับการสั่งซื้อ การผลิตจะถูกควบคุมด้วยหมายเลขนี้ทั้งหมด ฉะนั้นถ้ามีความต้องการทราบข้อมูล เราก็สามารถแจ้งให้ทราบได้ว่า ในขณะนี้อัฐิอยู่ในขั้นตอนใดของกระบวนการผลิต ก่อนที่จะเริ่มกระบวนการบีบอัดเพื่อผลิตเป็นเพชร จะทำการวิเคราะห์ส่วนประกอบทางเคมีของอัฐิ ลงบันทึก และมีวิศวกรควบคุมดูแลในระหว่างกระบวนการบีบอัดตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ข้อมูลเหล่านี้ทั้งหมดก็จะถูกบันทึกลงในใบรับประกันของเพชรที่ออกให้โดยอัลกอร์แดนซา เพื่อเป็นการรับประกันว่าเพชรแห่งความทรงจำของทุกท่านได้ถูกผลิตขึ้นมาจากอัฐิของคนที่คุณรักที่ล่วงลับไปแล้วเท่านั้น

เพชรแห่งความทรงจำมีทั้งหมด 9 ขนาด คือ 0.25, 0.30, 0.40, 0.50, 0.60, 0.70, 0.80, 0.90 และ 1.00 กะรัต สามารถเลือกเจียระไนเหลี่ยมเพชรได้ 8 แบบ คือ กลม รูปไข่ หยดน้ำ หัวใจ เรเดียน อัสเชอร์ ทรงมรกต และปรินเซส

ส่วนสีของเพชรจริงๆ จะแตกต่างกันไปตั้งแต่ใส ไม่มีสี จนถึงสีฟ้า โดยเฉลี่ย 90% ผลลัพธ์จะออกมาเป็นสีฟ้าอ่อน

จากการประเมินราคาเหนาะๆ ของกระบวนการดังกล่าวตั้งแต่สั่งซื้อ เซ็นสัญญา กระทั่งออกมาเป็นเพชร คิดราคากะรัตละ 7 แสนบาท ...ไม่น่าตกใจ เพราะราคาไม่หนีจากตลาดเพชรที่เกิดจากใต้พิภพ และในวงการเพชรก็ถือว่า เพชรแห่งความทรงจำ (Memory Diamond) ก็คือเพชร เฉกเช่นเพชรในตลาด เกิดจากวัตถุดิบคาร์บอนเช่นกัน...หากแต่ต่างที่มา

ที่สำคัญมีความหมายมากกว่าอัญมณีชิ้นหนึ่ง เพราะเต็มเปี่ยมด้วยการระลึกและความทรงจำ


ความรู้เกี่ยวกับเพชร
ในทางวิทยาศาสตร์ เพชรเกิดจากธาตุคาร์บอน (C) เกือบบริสุทธิ์ คือประมาณ 99.95% ที่ถูกทับถมอยู่เป็นเวลานานใต้พื้นโลกด้วยแรงกดกว่า 3,000 ตัน อยู่ลึกประมาณ 80 กิโลเมตร ต่อมาหินคิมเบอร์ไลต์ (Kimberlite) ได้ดันเพชรขึ้นมาระดับพื้นผิวโลก แต่พบว่าจะพบเพียง 500-600 แหล่ง จากกว่า 5,000 แหล่งหินคิมเบอร์ไลต์ทั่วโลก นอกจากนี้ยังพบเพชรอยู่ในบริเวณลานแร่ (Alluvian) อยู่ประมาณ 90% ของเพชรที่พบทั้งหมด

เพชรเป็นแร่มีรูปร่างผลึก 8 เหลี่ยม หรือ 12 เหลี่ยม มีความโปร่งใส และกึ่งโปรงใส มีประกายแวววาว รอยตำหนิมีเหลี่ยมมุมถาวร ไม่เปลี่ยนแปลง

เพชรมีหลายสี ตั้งแต่ไม่มีสี จนกระทั่งถึงสีดำ ที่เรียกว่า คาร์โบนาโด (Carbonado) สีต่างๆ ที่เกิดขึ้นเกิดจากมลทินในผลึก ส่วนใหญ่จะพบไนโตรเจน ซึ่งจะพบอยู่ถึงร้อยละ 0.2% นอกจากนี้ยังพบซิลิกอน แมกนีเซียม อะลูมิเนียม เหล็ก แคลเซียม และทองแดง ซึ่งมีอยู่ในปริมาณที่น้อยมาก เพชรที่พบอยู่โดยทั่วไปจะมีสี เหลือง หรือน้ำตาลอ่อน เพชรที่ใสไม่มีสี จะมีราคาสูงที่สุดและเป็นที่นิยม แต่เพชรมีสีนั้นค่อนข้างหายาก เช่น สีชมพู หรือสีน้ำเงิน เช่น โฮป ไดมอนด์ เป็นเพชรที่มีสีฟ้า มีชื่อเสียงมาก และชนิดที่หายากที่สุดคือ เรด ไดมอนด์

เพชรแบ่งออกได้ 4 ชนิด คือ
ชนิด la มีไนโตรเจน ประมาณ 0.1% ได้แก่ เพชร ที่ขุดตามธรรมชาติ
ชนิด lb มีไนโตรเจน ประมาณ 0.2% ได้แก่ เพชรสังเคราะห์
ชนิด lla ไม่มีไนโตรเจน ชนิดนี้หายากมาก
ชนิด llb เป็นเพชรที่มีโบรอน (Boron) อยู่ในผลึกจะมีสีฟ้า หายากมาก



ที่มา
variety.thaiza.com/แปลงโฉม-‘ธุลี-’เป็น-‘อัญมณีวาว’/151334/

บันทึกการเข้า
ใจดี น่ารัก และ ไม่ชอบคนที่กวน...ใจ
แสงพระธรรม นำทาง นำสู่ใจ ได้รับแสงสว่าง
แสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี

หมิว

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 398
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
พระบรมสารีริกธาตุ หมายถึงอัฐิของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้วก็ถวายพระเพลิงกัน วันที่พระองค์จะปรินิพพานพระองค์ทรงอธิษฐานว่า ให้อัฐิของพระองค์ส่วนที่เป็นกระดูก จะเป็นฟัน หรือจะเป็นส่วนไหนก็ตาม ให้แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย 84000 ชิ้น ตามจำนวนข้อพระธรรมที่มีตรัสไว้ ซึ่งปรากฏต่อมาในพระไตรปิฎก 84000 ข้อ
 
        ลักษณะของพระบรมสารีริกธาตุที่จะพอสังเกตเห็นได้ชัดๆ คือมีลักษณะคล้ายมุก

ส่วนที่ถามว่าทำไมจึงใสเหมือนมุก ก็บอกว่าเพราะธาตุของพระองค์ถูกกลั่นบริสุทธิ์แล้วจริงๆ เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์ คือ ยังมีชีวิตอยู่ ธาตุที่ประกอบเป็นร่างกายก็บริสุทธิ์จนมีรัศมีแผ่ออกมารอบพระวรกายข้างละวา มีบันทึกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบางพระองค์ ในอดีต มีรัศมีแผ่ออกถึงข้างละ 1 โยชน์ คือประมาณ 16 กิโลเมตร บางพระองค์ข้างละ 10 วา บางที 20 วา ซึ่งก็แล้วแต่บารมีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นๆ เพราะว่าแต่ละพระองค์ทรงสร้างบารมีมาไม่เท่ากัน
 
        อย่างไรก็ตาม ถ้าธาตุภายในบริสุทธิ์ก็หมายความว่า แม้แต่กระดูกก็บริสุทธิ์ตาม ส่วนพวกเรานี่กิเลสยังหนาอยู่ มีโลภ โกรธ หลง อยู่อีกเยอะ กระดูกของเราเมื่อเผาแล้วเขาเอามากองรวมกับกระดูกแพะ บางทียังแยกความแตกต่างไม่ออก เพราะมันมีลักษณะใกล้เคียงกันมาก

ส่วนพระธาตุ หมายถึงอัฐิของพระอริยสงฆ์ นับตั้งแต่อัฐิของพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ อัฐิของท่านเหล่านี้ก็ยังต่างจากอัฐิของพวกเราอีกนั่นแหละ คือหลังจากที่เขาประชุมเพลิงแล้ว อัฐิของท่านจะมีลักษณะกึ่งหินกึ่งกระดูก แต่ไม่ใช่ Fossil และอัฐิแต่ละชิ้นก็มีลักษณะเฉพาะๆ ของท่าน พระอรหันต์แต่ละท่าน ก็มีลักษณะพระธาตุต่างกัน เพราะสร้างบุญสร้างบารมีมาไม่เหมือนกัน

 ส่วนของพวกเราเนื่องจากทำบาปไว้เยอะ พอตายแล้วเขาเอากระดูกไปกองรวมกับกระดูกสัตว์เมื่อไร ก็แยกแทบไม่ออก แต่ว่าถ้าตั้งแต่วันนี้เป็นตันไป นั่งสมาธิให้ดี รักษาศีลไม่ให้ขาด กระดูกจะเริ่มเปลี่ยนสภาพตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตอยู่ พอตายแล้ว แม้อัฐิไม่ถึงกับเป็นพระธาตุอย่างพระอรหันต์ท่าน แต่ก็มีแวววับๆ เรื่องนี้เคยเจอมาแล้ว
 
พระภิกษุบางรูป แม่ชีบางท่านที่ตั้งใจรักษาศีลอย่างดีเยี่ยม นั่งสมาธิมาอย่างดีเยี่ยม เมื่อท่านตายแล้ว พอนำเอาร่างไปเผา อัฐิของท่านมีลักษณะคล้ายเป็นพระธาตุ แต่ยังไม่เต็มที่ อย่างนี้เคยเจอ ดังนั้นขอให้ตั้งใจนะ รักษาศีล 8 ให้ดี นั่งสมาธิมากๆ เมื่อตายแล้วอัฐิจะค่อยๆ เปลี่ยนสภาพไป ที่เปลี่ยนก็เพราะขันธ์ 5 ได้บริสุทธิ์ขึ้นมาตามลำดับไงล่ะ

จากคุณ    : หมูน้อยแฮม
บันทึกการเข้า
ใจดี น่ารัก และ ไม่ชอบคนที่กวน...ใจ
แสงพระธรรม นำทาง นำสู่ใจ ได้รับแสงสว่าง
แสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี

หมิว

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 398
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ตำนานการเกิดพระบรมสารีริกธาตุ
« ตอบกลับ #5 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2012, 02:29:10 pm »
0
พระบรมสารีริกธาตุ

          ตำนานการเกิดพระบรมสารีริกธาตุ

            เหตุที่เกิดพระบรมสารีริกธาตุจำนวนมากขึ้นนั้น พระโบราณาจารย์อธิบายว่า เกิดจากพุทธประสงค์ ก่อนที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะเสด็จปรินิพพาน ดังต่อไปนี้
            โดยปกติที่พระพุทธเจ้าที่ทรงมีพระชนมายุยืนยาว สามารถประดิษฐานพระพุทธศาสนาให้มั่นคง จะมีพระบรมสารีริกธาตุที่มีลักษณะรวมกันเป็นแท่งเดียว ดุจทองแท่งธรรมชาติ ซึ่งมหาชนในสมัยนั้นไม่สามารถแบ่งปัน นำไปประดิษฐานตามที่ต่างๆได้ จึงจำต้องสร้างพระธาตุเจดีย์ขึ้นประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุไว้ในที่แห่งเดียว ซึ่งพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน (พระสมณโคดม) ทรงเล็งเห็นว่า พระองค์มีเวลาปฏิบัติพุทธกิจเพียง ๔๕ ปี นับว่าน้อยมาก เมื่อเทียบกับพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ศาสนาของพระองค์ยังไม่แพร่หลาย และหมู่สัตว์ทั้งหลายเกิดมาไม่ทันสมัยพระองค์มีมากนัก หากได้อัฐิธาตุของพระองค์ไปอุปัฎฐากบูชา จะได้บุญกุศลเป็นอันมาก จึงทรงอธิษฐานให้พระบรมสารีริกธาตุของพระองค์ แตกย่อยลงเป็น ๓ สัณฐาน เว้นแต่ธาตุทั้ง ๗ ประการ คือ พระนลาฏ (กระดูกหน้าผาก)1 พระเขี้ยวแก้ว ๔ และพระรากขวัญ (กระดูกไหปลาร้า)๒ นอกจากนั้นให้กระจายไปทั่วทิศานุทิศ เพื่อยังประโยชน์แก่หมู่สัตว์ทั่วไป
           ซึ่งความทั้งหมดพ้องกันจากตำราหลายๆ ตำรา ที่พระอาจารย์สมัยต่างๆได้รจนาไว้ ดังเช่น "คัมภีร์สุมังคลวิลาสินี" "ปฐมสมโพธิกถา" ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส "ตำนานมูลศาสนา" "ชินกาลมาลีปกรณ์" และ "พุทธตำนานพระเจ้าเลียบโลก" เป็นต้น

http://wbi.dru.ac.th/buddha/RelicofLegeud.aspx
บันทึกการเข้า
ใจดี น่ารัก และ ไม่ชอบคนที่กวน...ใจ
แสงพระธรรม นำทาง นำสู่ใจ ได้รับแสงสว่าง
แสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี