แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
Messages - หมิว
|
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 10
|
41
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / การอดทน และ เคารพ ต่อคำสอนของครูอาจารย์ มีความสำคัญมาก ๆ คะ
|
เมื่อ: ตุลาคม 18, 2012, 08:34:36 am
|
พระโปฐิละปฏิบัติตามคำสั่งสอนของสามเณร ลำดับนั้น สามเณรจึงแสดงสระ ๆ หนึ่งในที่ไม่ไกล แล้วกล่าวกะท่านว่า " ท่านขอรับ ท่านนุ่งห่มตามเดิมนั่นแหละ จงลงไปสู่สระนี้." จริงอยู่ สามเณรนั้น แม้รู้ความที่จีวรสองชั้นซึ่งมีราคามาก อันพระเถระนั้นนุ่งห่มแล้ว เมื่อจะทดลองว่า " พระเถระจักเป็นผู้อดทนต่อโอวาทได้หรือไม่" จึงกล่าวอย่างนั้น. แม้พระเถระก็ลงไปด้วยคำ ๆ เดียวเท่านั้น. ลำดับนั้น ในเวลาที่ชายจีวรเปียก สามเณรจึงกล่าวกะท่านว่า " มาเถิดท่านขอรับ" แล้วกล่าวกะท่านผู้มายืนอยู่ด้วยคำๆ เดียวเท่านั้นว่า " ท่านผู้เจริญ ในจอมปลวกแห่งหนึ่ง มีช่องอยู่ ๖ ช่อง, ในช่องเหล่านั้น เฮี้ยเข้าไปภายในโดยช่อง ๆ หนึ่ง บุคคลประสงค์จะจับมัน จึงอุดช่องทั้ง ๕ นอกนี้ ทำลายช่องที่ ๖ แล้ว จึงจับเอาโดยช่องที่มันเข้าไปนั่นเอง; บรรดาทวารทั้งหก แม้ท่านจงปิดทวารทั้ง ๕ อย่างนั้นแล้ว จงเริ่มตั้งกรรม นี้ไว้ในมโนทวาร." ด้วยนัยมีประมาณเท่านี้ ความแจ่มแจ้งได้มีแก่ภิกษุผู้เป็นพหูสูต ดุจการลุกโพลงขึ้นแห่งดวงประทีปฉะนั้น. พระโปฐิละนั้นกล่าวว่า " ท่านสัตบุรุษ คำมีประมาณเท่านี้แหละพอละ" แล้วจึงหยั่งลงในกรชกาย ปรารภสมณะธรรม. ประวัติ พระโปฐิละ ชือว่า ภิกษุใบลานเปล่า ท่านเป็นพระภิกษุที่ทรงจำคำสอน และมีลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์หลายรูป แต่ต่อมาท่านมาละอายเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสเรียกท่านว่า ใบลานเปล่า ท่านจึงหาผู้สอนให้ท่านเป็นพระอรหันต์ให้ได้ จึงไปขอให้ลูกศิษย์ที่เป็นพระอรหันต์ช่วยสอนท่าน แต่ไม่มีใครสอนท่าน คงเหลือสามเณรอยู่รูปหนึ่งซึ่งเป็นพระอรหันต์ เป็นผู้สอนท่าน
|
|
|
42
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / “ธรรมที่หยั่งรู้ยาก” (หลวงพ่อชา สุภทฺโท)
|
เมื่อ: ตุลาคม 16, 2012, 08:11:23 am
|
ผู้ที่เข้าถึงพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ นั้นที่จริงมันง่ายที่สุดโยม มันง่ายมาก การกระทำอะไรต่อมิอะไรมันง่าย มันไม่ยาก ไม่ต้องเลือกวันนั้น เดือนนี้ ยามนี้ ไม่ต้องแล้ว
พระพุทธองค์ของเราก็ทรงสอนว่า เมื่อไรมันสะดวกวันนั้นมันดี มันไม่ขัดข้องวันนั้นมันดี
แต่นี่เราไม่อย่างนั้น เช่น จะปลูกบ้านปลูกช่องสารพัดอย่าง ก็จะต้องหาฤกษ์วันพันยามกันเสียแล้ว พระพุทธองค์ท่านไม่ว่าอย่างนั้น ท่านว่าเมื่อโอกาสมันเหมาะสมก็ให้ทำไปเถอะ แต่เราก็กลัว ซึ่งถ้าพูดถึงพระรัตนตรัยเต็มที่ถึงที่สุดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว คือว่ามันไม่ผิดหรอก เมื่อมันมีโอกาสที่จะทำเมื่อไรมันสะดวก มันถูกกับเวลาของเรา มันสะดวกก็เอาละ นี่ท่านว่าอย่างนี้
แต่เราไม่เอาอย่างนั้นซิ จะต้องเอาวันนั้นวันนี้ จนอาตมารำคาญ ยิ่งวันแต่งงานนั้นเขาถือว่าเป็นวันที่สำคัญของเขามาก ต้องเอาวันนั้น ต้องเอาฤกษ์อย่างนั้นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ฤกษ์ไม่เอา ต้องให้ได้ฤกษ์
อาตมาก็คอยสังเกตใครที่มีฤกษ์ดีๆ บ้าง ว่ามันจะเป็นอย่างไรไหม มันจะดีไหม บางคนอยู่กันได้ไม่ถึงเดือนทะเลาะกันไปเลย อ้าว...ดูซิมันเป็นเสียอย่างนี้ แล้วทำไมไม่สังเกตเหตุผลดูล่ะ จะต้องเอาวันนั้นวันนี้ วันนี้มันจม วันนั้นมันฟู ต้องทำข้างขึ้น ข้างแรมอย่าเอา ไปถือเอาอันนั้นมาเป็นฤกษ์ของเรา
ฤกษ์มันก็เป็นเรื่องของฤกษ์ เวลาก็เป็นเรื่องของเวลา มันไม่ใช่มาเกี่ยวข้องกับเรา ถ้าเราไปคิดอะไรต่อมิอะไรมันมากทุกอย่างในเรื่องพุทธศาสนา มันก็ยุ่งเหยิงหลายอย่าง จนกระทั่งที่ว่าพูดกันไม่ค่อยจะได้ ทีนี้เรามามองดูซิว่า ถ้าเป็นอย่างนั้น พระรัตนตรัยของเราจะเสื่อมไหม เศร้าหมองไหม มันก็เสื่อม มันก็เศร้าหมองเท่านั้นแหละ
ที่ว่าฤกษ์ดียามดี ก็คืออะไรที่มันดี อะไรที่มันเหมาะสมไม่ขัดข้องนั่นแหละอาตมาว่าดีแล้ว อาตมาพูดอย่างนี้ ทั้งยังถืออย่างนี้มาตลอดจนทุกวันนี้ ไม่เคยเห็นมันเป็นอะไร เมื่อเรามามองคนบางคน ตระกูลบางตระกูล โยมบางโยมก็ลำบาก เช่น แต่งงานกัน ไม่ถึงฤกษ์หมายจริงๆ ไม่ต้องละ พระฉันเสร็จแล้วก็ต้องนั่งคอยอยู่นั่นแหละ คือ พอถึงฤกษ์ก็ต้องสวด ชะยันโต โพธิยา มูเล... แต่แล้วมันก็ดีบ้างได้บ้างเสียบ้างเหมือนกัน บางคนก็อยู่ด้วยกันเดือนสองเดือนพูดกันไม่รู้เรื่อง หนีจากกันเสียแล้ว ทำไมฤกษ์มันไม่คุ้มล่ะ ฤกษ์มันไปอยู่ตรงไหน อันนี้ขอให้โยมคิดกัน
อาตมาเคยพูดอยู่เรื่อยๆ ให้โยมคิด ถ้าเราพูดถึงการตกลงกันวันนั้นวันนี้ ตกลงกันพร้อมเพรียงสามัคคีกัน ไม่ใช่ว่าได้วันจันทร์ไม่เอานะ ไม่ได้วันอังคารไม่เอานะ ไม่ใช่อย่างนั้น อันนี้เป็นเรื่องยุ่ง ไม่ต้องมากหรอก เท่านี้มันก็ยุ่งอยู่แล้ว
เมื่อเราตัดสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่เป็นมงคลตื่นข่าวออกไปแล้ว มันก็ก้าวเข้าไปห้าสิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เรานับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สูงสุดสูงส่งดีแล้ว จะสบายจะสะดวกกันทุกอย่าง
---------
โอวาทธรรมของพระโพธิญาณเถร(หลวงพ่อชา สุภทฺโท) วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี
คัดลอกบางส่วนจาก...ธรรมบรรยายเรื่อง “ธรรมที่หยั่งรู้ยาก”
|
|
|
43
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / "ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์โดยแท้" Z พระญาณสังวร Z
|
เมื่อ: ตุลาคม 16, 2012, 08:09:01 am
|
ในสมัยเมื่อพระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่พระเชตวัน ใกล้กรุงสาวัตถีในโกศลรัฐ ได้มีบุคคลผู้หนึ่งในชนบทสู่ขอธิดาของตระกูลหนึ่งในกรุงสาวัตถีให้แก่บุตรของตน ตกลงกันกำหนดวันประกอบพิธีมงคลเรียบร้อยแล้ว ต่อมาเขาได้ถามอาชีวก (นักบวชจำพวกหนึ่ง) ผู้เป็นที่นับถือของตนว่า วันนั้นฤกษ์ดีหรือไม่
อาชีวกโกรธว่าไม่ถามตนเสียก่อน กำหนดวันกันแล้วมาถามภายหลัง จึงหล่าวว่า วันนั้นฤกษ์ไม่ดี อย่าทำมงคล ถ้าทำจะเกิดมหาวินาศ พวกเขาก็พากันเชื่อ เมื่อถึงวันนัดก็ไม่ไปเพราะกลัวจะเกิดมหาวินาศ
ส่วนทางฝ่ายหญิงซึ่งได้เตรียมการมงคลทั้งปวงไว้แล้ว รออยู่ไม่เห็นฝ่ายชายมาก็พากันโกรธเพราะได้ตกลงวันกันไว้ ได้ตระเตรียมสิ่งทั้งปวงสิ้นเปลืองไปเป็นอันมาก ทั้งเป็นการเสียหน้าแก่ฝ่ายหญิง จึงได้ยกธิดาให้แก่ชายในตระกูลอื่นซึ่งเป็นผู้ขอรับแทน ได้ประกอบพิธีมงคลตามที่เตรียมไว้เสร็จเรียบร้อยไปในวันนั้นเอง
ครั้นวันรุ่งขึ้น พวกฝ่ายชายที่สู่ขอไว้ก่อนจึงพากันไป ก็ถูกพวกฝ่ายหญิงด่าว่าขับไล่ให้กลับ พวกฝ่ายชายก็โต้ตอบ เกิดวิวาทกันขึ้นแต่ก็ไมไ่ด้หญิงเพราะเขายกให้คนอื่นไปแล้ว ต้องพากันกลับ
ข่าวเรื่องอาชีวกนั้นทำการทำนายทายทักเป็นอันตรายแก่การมงคล ปรากฏไปทั่วนครจนทราบถึงหมู่ภิกษุ
พระพุทธเจ้าได้ทรงทราบจากหมู่ภิกษุ ก็ได้ตรัสเล่าเรื่องทำนองเดียวกันที่เกิด เพราะถือฤกษ์ยามผิดๆ ในอดีตกาลแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วตรัสประทานโอวาทแปลความว่า "ประโยชน์ล่วงเลยคนเขลาผู้มัวถือฤกษ์อยู่ ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์ ดาวทั้งหลายจะทำอะไรได้"
ตามพระพุทธโอวาทนี้แสดงว่า อันฤกษ์งามยามดีนั้น ก็คือ ประโยชน์ที่จะพึงได้ ถ้าเสียประโยชน์ก็ชื่อว่า เสียฤกษ์ ฉะนั้นโดยที่แท้ ประโยชน์จึงเป็นฤกษ์ของประโยชน์ มิใช่ดวงดาวที่ไหน ส่วนการที่เชื่อดวงดาวไปอย่างหลงๆ จนถึงพากันเสียประโยชน์ต่างๆ บางทีผู้ทำนายทายทักเองก็ถูกจับตัวไปลงโทษ นี่แหล่ะเรียกว่า ฤกษ์ไม่ดีหรือว่าฤกษ์มหาวินาศ
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในที่อื่นอีก โดยความว่า "ทำดีเวลาเช้า เป็นฤกษ์ดีเวลาเช้า ทำดีเวลากลางวัน เวลาเย็น เป็นฤกษ์ดีเวลากลางวัน เวลาเย็น" เป็นต้น
รวมความว่า ทางพระพุทธศาสนาถือว่า "ประโยชน์เป็นฤกษ์ของประโยชน์โดยแท้"
-------- คัดลอกจากหนังสือ... เรื่อง วิธีการของพระพุทธเจ้า (หัวข้อ วิธีล้างบาปของพระพุทธเจ้า) นิพนธ์ในเจ้าพระคุณสมเด็จพระญาณสังวร (สุวฑฺฒนมหาเถระ) พิมพ์น้อมถวายเป็นวิทยาทานโดยมหามงกุฏราชวิทยาลัย ปีพุทธศักราช ๒๕๓๒ หน้า ๘๐ - ๘๑
|
|
|
49
|
เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: อะไร ที่ทำให้นิสัย คนต่างกันคะ
|
เมื่อ: กันยายน 26, 2012, 08:39:59 am
|
เรื่อง กรรมและวิบาก จากพระไตรปิฏก http://geocities.com/toursong1/kam/kam.htm
(๑) พุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติที่ ๑๐ (๓๙๐) ว่าด้วยบุพจริยาของพระองค์เอง เล่มที่ ๓๒
[๓๙๒] พระผู้มีพระภาคผู้เป็นนายกของโลก แวดล้อมด้วยภิกษุสงฆ์เป็นอันมากประทับนั่งอยู่ที่พื้นหิน อันเป็นรัมณียสถานโชติช่วงด้วยแก้วต่าง ๆ ในละแวกป่าอันมีกลิ่นหอมต่าง ๆ ใกล้สระอโนดาต ตรัสชี้แจงบุรพกรรมทั้งหลายของพระองค์ ณ ที่นั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังกรรมที่เราทำแล้วของเรา
เราเห็นภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตรรูปหนึ่งแล้วได้ถวายผ้าเก่า เราปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก เพื่อความเป็นพระพุทธเจ้า ในกาลนั้น ผลแห่งกรรม คือ การถวายผ้าเก่าย่อมอำนวยผลให้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลก่อน
เราเป็นนายโคบาล ต้อนโคไปเลี้ยง เห็นแม่โคกำลังดื่มน้ำขุ่นมัว จึงห้ามมัน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ (แม้) เราจะกระหายน้ำ ก็ไม่ได้ดื่มน้ำตามความปรารถนา
ในชาติอื่นในกาลก่อน เราเป็นนักเลงชื่อปุนาลิ ได้กล่าวตู่พระปัจเจกพุทธเจ้าชื่อว่าสุรภี ผู้ไม่ประทุษร้าย (ตอบ) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานาน ได้เสวยทุกขเวทนาแสนสาหัส หลายพันปีเป็นอันมาก ด้วยผลกรรมอันเหลือนั้น ในภพหลังสุดนี้ เราจึงได้คำกล่าวตู่เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา เพราะการกล่าวตู่พระเถระ นามว่านันทะ สาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ครอบงำอันตรายทั้งปวง เราจึงท่องเที่ยวอยู่ในนรกสิ้นกาลนาน เราท่องเที่ยวอยู่ในนรกเป็นเวลานานถึงหมื่นปี ได้ความเป็นมนุษย์แล้ว ได้การกล่าวตู่เป็นอันมากด้วยผลกรรมที่เหลือนั้น นางจิญจมานวิกามากับหมู่ชน ได้กล่าวตู่เราด้วยคำอันไม่เป็นจริง
เมื่อก่อน เราเป็นพราหมณ์ชื่อสุตวา อันชนทั้งหลายสักการะบูชา สอนมนต์ให้กับมาณพประมาณ ๕๐๐ คนในป่าใหญ่ ก็เราได้เห็นฤาษีผู้น่ากลัว ได้อภิญญา ๕ มีฤทธิ์มากมาในสำนักของเรา เราจึงกล่าวตู่ฤาษีผู้ไม่ประทุษร้าย โดยได้บอกกะพวกศิษย์ของเราว่า ฤาษีพวกนี้มักบริโภคกาม แม้เมื่อเราบอก (เท่านั้น) พวกมาณพก็เชื่อฟัง ครั้งนั้น มาณพทั้งปวง เที่ยวไปภิกษาในสกุล ๆ พากันบอกแก่มหาชนว่า ฤาษีพวกนี้ มักบริโภคกาม ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ภิกษุ ๕๐๐ เหล่านี้ ได้คำกล่าวตู่ทั้งหมด เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา
ในกาลก่อน เราได้ฆ่าพี่น้องชายต่างมารดา เพราะเหตุแห่งทรัพย์ จับใส่ลงในซอกเขา และบด (ทับ) ด้วยหิน ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น พระเทวทัตจึงผลักก้อนหิน ก้อนหินกลิ้งลงมากระทบนิ้วแม่เท้าของเราจนห้อเลือด
ในกาลก่อน เราเป็นเด็กเล่นอยู่ที่หนทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้ว ใส่ไฟเผา (ดัก) ไว้ทั่วหนทาง ด้วยวิบากกรรมนั้น ในภพหลังสุดนี้ พระเทวทัตจึงชักชวนนายขมังธนู ผู้ฆ่าคนตายมาก เพื่อให้ฆ่าเรา
ในกาลก่อน เราเป็นนายควาญช้าง ได้ไสช้างให้จับมัดพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้อุดมมุนีแม้กำลังเที่ยวบิณฑบาต ด้วยวิบากกรรมนั้น ช้างนาฬาคิรีอันดุร้าย วิ่งแล่นเข้าไปในคอก (ท้อง) เขา (วงกต) เบื้องหน้าผู้ประเสริฐ
ในกาลก่อน เราเป็นนายทหารราบ (เป็นแม่ทัพ) ฆ่าบุรุษเป็นอันมากด้วยหอก ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราถูกไฟไหม้อย่างเผ็ดร้อนอยู่ในนรก ด้วยผลอันเหลือแห่งกรรมนั้น บัดนี้ไฟนั้นยังมาไหม้ผิวหนังที่เท้าของเราทั้งสิ้น (อีก) เพราะว่ากรรมยังไม่พินาศไป
ในกาลก่อน เราเป็นเด็ก (ลูก) ของชาวประมงอยู่ในบ้านเกวัฏฏคาม เห็นคนทั้งหลายฆ่าปลาแล้ว เกิดความโสมนัส ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะ (ปวดศีรษะ) ได้มีแล้วแก่เราในเมื่อเจ้าศากยะทั้งหลายถูกเบียดเบียน พระเจ้าวิฏฏุภะฆ่าแล้ว
เราได้บริภาษพระสาวกทั้งหลายในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระนามว่าผุสสะ ว่าท่านทั้งหลายจงเคี้ยว จงกินแต่ข้าวแดง แต่อย่ากินข้าวสาลีเลย ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราอันพราหมณ์นิมนต์แล้ว อยู่ในเมืองเวรัญชา บริโภคข้าวแดงตลอด ๓ เดือน
ในกาลนั้น เมื่อนักมวยกำลังชกกัน เราได้ห้ามบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น ความทุกข์ที่หลัง (ปวดหลัง) ได้มีแล้วแก่เรา
เมื่อก่อนเราเป็นหมอรักษาโรค ได้ถ่ายยาให้เศรษฐีบุตร (ตาย) ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น โรคปักขันทิกาพาธจึงมีแก่เรา
เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้าพระนามว่า กัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑลแต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยากอย่างยิ่ง ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรมที่ทำได้ยากมาก (ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลาเสนานิคมตลอด ๖ ปี แต่นั้นจึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุโพธิญาณอันสูงสุดด้วยหนทางนี้ เราอันบุรพกรรมตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณโดยทางที่ผิด
(บัดนี้) เราเป็นผู้สิ้นบาปและบุญ เว้นจากความเร่าร้อนทั้งปวง ไม่มีความเศร้าโศก ไม่คับแค้น เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพาน พระชินเจ้าทรงบรรลุกำลังแห่งอภิญญาทั้งปวงแล้ว ทรงพยากรณ์โดยทรงหวังประโยชน์แก่ภิกษุสงฆ์ที่สระใหญ่อโนดาต ด้วยประการฉะนี้แล. ทราบว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงภาษิตธรรมบรรยายพุทธาปทานชื่อ ปุพพกรรมปิโลติ อันเป็นบุพจารีตของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้แล.
จบพุทธาปทานชื่อปุพพกรรมปิโลติ
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ บรรทัดที่ ๗๘๔๙ - ๗๙๒๔. หน้าที่ ๓๖๑ - ๓๖๔. http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v ... agebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=32&i=392
|
|
|
52
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / 037 โลกหน้ามีจริงหรือไม่
|
เมื่อ: กันยายน 26, 2012, 08:34:01 am
|
037 โลกหน้ามีจริงหรือไม่
ปัญหา ปัญหาใหญ่ที่คนถกเถียงกันอยู่เสมอ ก็คือปัญหาที่ว่าโลกหน้าที่มนุษย์จะไปเกิดหลักจากตายแล้วมีจริงหรือไม่ ?
ในเรื่องนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างไรบ้าง ? พุทธดำรัสตอบ “..... ดูก่อนพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย บรรดาสมณพราหมณ์สองพวกนั้น สมณพราหมณ์ที่มีวาทะอย่างนี้ มีความเห็นอย่างนี้ว่าทานที่ให้แล้วไม่มีผล การบวงสรวงไม่มีผล การบูชาไม่มีผล ผลวิบากแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วแล้วไม่มี โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี มารดาไม่มี บิดาไม่มี อุปปาติกสัตว์ไม่มี สมณพราหมณ์ที่ไปโดยชอบ ปฏิบัติโดยชอบ ทำโลกนี้และโลกหน้าให้แจ้งชัดด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้รู้ทั่ว ไม่มีในโลกดังนี้ เป็นอันหวังข้อนี้ได้คือ จักเว้นกุศลธรรม ๓ ประการ นี้ คือ กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต จักสมาทานอกุศลธรรม ๓ ประการ นี้ คือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต แล้วประพฤติข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะท่านสมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่เห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะ อันเป็นคุณฝ่ายขาวแห่งกุศลธรรม ก็โลกหน้าที่อยู่จริง ความเห็นของผู้นั้นว่าไม่มีความเห็นของเขานั้นเป็นมิจฉาทิฐิ ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขาดำริว่าโลกหน้าไม่มี ความดำริของเขานั้นเป็นมิจฉาสังกัปปะ ก็โลกหน้ามีอยู่จริง แต่เขากล่าวว่าโลกหน้าไม่มี วาจาของเขานั้นเป็นมิจฉาวาจา ผู้นี้ย่อมทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ ผู้รู้แจ้งโลกหน้า ก็โลกหน้ามีอยู่จริง เขายังให้ผู้อื่นเข้าใจว่า โลกหน้าไม่มี การให้ผู้อื่นเข้าใจของเขานั้นเป็นการให้เข้าใจผิดโดยไม่ชอบธรรม และเขายังจะยกตนข่มผู้อื่น ด้วยการให้ผู้อื่นเข้าใจผิด ไม่ขอบธรรมนั้นด้วย เขาละคุณคือ ความเป็นคนมีศีลแล้ว ตั้งไว้เฉพาะแต่ส่วนโทษ คือความเป็นคนทุศีลไว้ก่อนเทียว ด้วยประการฉะนี้ อกุศลธรรมอันลามกเป็นอเนกเหล่านี้ คือ มิจฉาทิฐิ มิฉาสังกัปปะมิจาวาจา ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยะ การให้ผู้อื่นเข้าใจผิดโดยไม่ชอบธรรม การยกตน การข่มผู้อื่น ย่อมมีเพราะมิจฉาทิฐิเป็นปัจจัยด้วยประการฉะนี้ ฯ”
อปัณณกสูตร ม. ม. (๑๐๖) ตบ. ๑๓ : ๑๐๒-๑๐๓ ตท.๑๓ : ๙๒ ตอ. MLS. II : ๗๑ขอบคุณที่มาคะ http://www.84000.org/true/037.htmlขอบคุณภาพประกอบจาก http://3.bp.blogspot.com
|
|
|
53
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หลวงปู่ขาว ( วัดถ้ำกลองเพล ) ตอบเรื่อง ศีลข้อที่ 5
|
เมื่อ: กันยายน 26, 2012, 08:29:18 am
|
อ่านแล้วชอบใจคำสอนของหลวงปู่ขาว เรื่องการผิดศีลข้อ 5 หลวงปู่อุปมาได้ยอดเยี่ยมเหลือเกิน จึงนำมาเผยแผ่เป็นธรรมทานครับ ...................................................................................
ปู่ถาม: หลาน ๆ เคยเห็นพ่อแม่ของเด็กทั้งแผ่นดิน นำสุราบาร์เบียร์ เครื่องดื่มของมึนเมา มากรอกปากลูก ๆ ป้อนลูกที่เริ่มเกิดใหม่ไหม
หลาน: ไม่เคยเห็นเลยปู่
หลวงปู่: เมื่อไม่เคยเห็น ลูก ๆ ก็ควรยอมรับว่าท่านเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดีและฉลาดของคน ของเด็ก ๑๐๐% โดยแท้ ไม่กล้านำสิ่งไม่ดี สิ่งจะทำให้เสียเด็กเสียคน เข้ามากล้ำกรายลูก ๆ เลย ส่วนพวกเราที่เจริญเติบโตมา แล้วไปเที่ยวเสาะแสวงหากินหาดื่ม เครื่องดองของมึนเมา ซึ่งทำลายจิตใจธาตุขันธ์และคุณค่าของมนุษย์ ตลอดหน้าที่การงานให้ด้อยลงและเสียไป จนกลายเป็นคนไร้ค่า ไม่น่านับถือและปรารถนาของสุภาพชนทั่วไปนั้น เป็นคนที่น่าตำหนิทีเดียว วัยปู่เปลี่ยนมานานและมาก จนแก่ขนาดนี้แล้ว แต่ใจยังไม่เคยเปลี่ยนจากการตำหนิคนขี้เหล้าเมาสุรา คนสูบฝิ่นกินกัญชายาเสพติดเลย ยังคงตำหนิอยู่อย่างเดิม
หลานจึงควรระลึกคำพูดของปู่ไว้ภายในใจ และพากันนำไปปฏิบัติตามบ้าง หลานจะเป็นคนเต็มตัวโดยหลักธรรมชาติ ไม่ต้องมีอะไรมาเสกสรรให้ดีเพราะสิ่งนั้นให้ดี เพราะสิ่งนี้ ดังเขาเสกสรรกันเกลื่อนแผ่นดิน เช่น เสกสรรปั้นยอว่า คนกินเหล้ามันกล้าหาญดีไม่กลัวใคร ทั้ง ๆ ที่เคยขี้ขลาดหวาดกลัวเป็นนิสัยมาแต่กำเนิด นั่นถ้าเป็นหมาก็เป็นหมาที่ไม่รู้จักเสือ มันจะต้องตายเพราะ:-)ินหัวมัน ถ้าเป็นคนก็เป็นคนที่ไม่รู้จัก ตะบอง ปืน มีด คนนั้นจะต้องตายเพราะตะบองเพราะอาวุธโดยแท้ไม่สงสัย คนเมาเหล้ากล้าหาญก็เป็นคนประเภทหมาไม่รู้จักเสือนั้นแล จึงควรฟังคำสอนของปู่บ้าง การฟังความอยาก ความทะเยอทะยานไม่มีขอบเขตของตน ก็เคยฟังและทำตามมันมามากต่อมากแล้ว ผลดีไม่เห็นมี นอกจากผลชั่วติดตัวและน่าตำหนิอยู่ตลอดไป แม้ตายไปแล้วยังไม่มีใครขุดคุ้ยขึ้นมาชมเลย
ถาม : กินเหล้ามันเป็นบาปหรือปู่ ปู่จึงไม่อยากให้หลานกินกัน กลัวหลานจะเป็นหมาไม่รู้จักเสืออย่างนั้นหรือ
ปู่ตอบ : การกินเหล้าหรือของมึนเมา ตลอดสิ่งเสพติดและเสียคนนั้น มันจะเป็นบุญพาคนให้ดี และพาไปสวรรค์นิพพานอย่างไรกัน นอกจากเป็นบาปหาบหามไฟนรกมาเผาตนและครอบครัว ตลอดผู้เกี่ยวข้องโดยลำดับเท่านั้น ยังจะพากันนึกและรอคอยให้สุรายาเมา พาเป็นคนดีและพาไปสวรรค์นิพพานอยู่หรือ
จอมปราชญ์ทั้งหลายท่าน ตำหนิเป็นเสียงเดียวกันมาแต่กาลไหน ๆ ว่า การกินเหล้าเป็นบาป การกินเหล้าเป็นบาปไม่มีชิ้นดีที่น่าชมเชยบ้างเลยเท่านั้น ฉะนั้น หลานจงพากันเข้าใจตามที่ปู่อธิบายให้ฟัง ด้วยความเมตตาสงสารนี่ หลาน ๆ ฟังเสียงใคร ๆ ก็ฟังมามากต่อมากและทำตามเขาจนเสียคน บางรายจนเป็นเศษมนุษย์หมดคุณค่าสาระโดยประการทั้งปวงไปเลยก็มี
แต่บัดนี้ต่อไป จงพากันใช้ความพินิจพิจารณา ฟังเสียงปู่ และนำไปเทียบเคียงกับคำพูดทั้งหลายที่เคยได้ยินได้ฟังมา จะมีแง่คิดถูกหนักเบาต่างกันอย่างไรบ้าง แล้วเลือกเฟ้นนำไปปฏิบัติ เพราะลมปากของปู่เป็นเสียงของกระแสธรรม ที่ออกมาจากพระทัยที่บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า ผิดกับลมปากที่กิเลสราคะตัณหา ผลิตหรือปรุงให้กินให้พูดออกมาอยู่มาก ทั้งมีเหตุมีผลผิดกันราวฟ้ากับดิน
ถาม : ถามทำไมปู่ สมัยนี้คนจึงชอบเอาเหล้าประดับเกียรติในสังคมน้อยใหญ่ แม้สังคมเด็กก็มีเหล้าออกเป็นเจ้าหน้าเจ้าตาไม่มีเว้นไปเสียแล้ว เด็กกินแล้วเมาทะเลาะและตีกันอึกทึก เห็นตำตามาแล้ว น่าทุเรศจริง ๆ แล้วก็อดคิดถึงผู้ใหญ่ทั้งหลายและผู้ปกครองบ้านเมืองไม่ได้ ว่ากินเหล้ากันเพื่อประโยชน์อะไรและปกครองแบบไหนกัน บ้านเมืองจึงเต็มไปด้วยสิ่งเลวร้าย คนเลวร้ายเกลื่อนกลาดระบาดไปทุกแห่งทุกหน ไม่ว่าบ้านนอกในเมือง ผู้ใหญ่ผู้น้อย ปัญญาชนและคนโง่เขลามันพอ ๆ กันเวลานี้
ตอบ : การกินเหล้ามันทำให้คนลืมความทุกข์ ความจน ความโง่ ความมีหนี้สินพะรุงพะรังและภาระต่าง ๆ ได้บ้างในขณะที่เมาสุรา ซึ่งกำลังหน้าหนาหน้าชาหมดความอาย จึงแสดงกิริยาและคำพูดขวางโลกออกมาในท่ามกลางฝูงชนทุกชั้นได้อย่างเต็มกิริยาและเต็มปาก ไม่กระดากอาย กลับเรื่องปกติที่เคยมีในตัว เช่น เคยเห็นคนทุกข์ เป็นต้น มาเป็นคนมีสุข เป็นคนมั่งมี เป็นคนฉลาดผู้ทุกสิงทุกอย่าง มีทุกสิ่งทุกอย่างที่โลกรู้และมีกัน วาดลวดลายออกมาอย่างเต็มตัวไม่กลัวใครจะตำหนิติเตียนและทำลายเพราะไม่มีสติ ความจริงแล้วก็คือการระบายทุกข์ของคนเมานั่นและ
ด้วยเหตุเหล่านี้เป็นส่วนมากทำให้คนชอบดื่มสุรา ส่วนผลดีที่เกิดจากการดื่มสุราอย่างแท้จริงนั้นยังมองไม่เห็นสำหรับคนตาฝ้าฟางดังปู่นี้ ถ้าจะหาทางออกว่าดื่มสุราแล้ว ทานอาหารได้ดี ทานได้มาก ร่างกายมีกำลังอย่างนี้ คำตอบก็จะตามมาว่า ใครจะเป็นนักกินและกินไม่เลือก กินไม่อัดไม่อั้น กินไม่หยุดไม่ถอย กินได้ทุกสิ่งทุกอย่าง กินได้ทุกเวลานาที กินจุ๊บ ๆ จิ๊บ ๆ กินทั้งกลางวันกลางคืน ปากทำงานเคี้ยวกลืนไม่มีว่างยิ่งกว่ามนุษย์ จนเงินเกลี้ยงกระเป๋าเพราะกินไม่มีประมาณ ความพอดีเข้าไปแอบซ่อนได้ ไม่จำต้องเที่ยวหายาบำรุงธาตุ มีสุราเป็นต้นมาบำรุงบำเรอมัน เพราะความกินของมนุษย์เป็นน้ำล้นฝั่งอยู่แล้ว นี่หากถามมาปู่ก็ตอบไปตามประสาพระแก่ ร่างกายแม้จะเอาอะไรในแดนโลกธาตุมาบำรุงมันก็ไม่เหลียวแล มีแต่แย่ท่าเดียว
......................................................................................
คำถามคำตอบปัญหาธรรมของหลวงปู่ ๑ หลวงปู่ขาว อนาลโย
วัดถ้ำกลองเพล อุดรธานี
จากหนังสือ
อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพหลวงปู่ขาว อนาลโย http://www.dharma-gateway.com/monk/preach/lp_kao/lp-kao-29-01.htm
จากคุณ : แมวเปอร์เซีย
|
|
|
56
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พฤติกรรม ที่ควรปรับปรุง เมื่ออยู่ในสังคม นะจ๊ะ
|
เมื่อ: กันยายน 25, 2012, 09:33:51 am
|
"มนุษย์" คือ "สัตว์สังคม " ซึ่งหมายถึงการที่อยู่และใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น คงหายากที่จะมีใครอยู่โดดเดี่ยวเดียวดายเพียงคนเดียว แต่การที่จะอยู่ในสังคมร่วมกับผู้อื่นนั้นย่อมมีกฎเกณฑ์ที่ควรปฏิบัติและข้อ ห้ามที่ไม่ควรทำเช่นกัน เช่นนั้นแล้วจึงขอบอกกล่าวถึงพฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยงเป็นอย่างยิ่งในสังคม เพื่อช่วยให้คุณอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างดีและไม่ขัดเขิน
หักนิ้วตัวเอง ถ้าเกิดว่าคุณกำลังเข้าประชุมอยู่แล้วมานั่งหักนิ้วตัวเองเล่น ถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ร่วมประชุมเลยนะ จริงอยู่การที่คุณหักนิ้ว อาจทำเพื่อคลายอาการเมื่อยล้าหรือความเครียดที่อยู่ในใจ แต่หยุดทำเสียเถอะ เพราะนอกจากจะทำให้คุณดูไม่ดีเวลาอยู่กับคนหมู่มากแล้ว ยังมีข้อเท็จจริงที่น่าสนใจอยู่คือ ถ้าคุณหักนิ้วบ่อยเกินไปอาจทำให้เอ็นรอบข้อไม่แข็งแรง ทำให้มือไม่มีแรงในการบีบ รวมไปถึงนิ้วบวมได้ง่ายอีกด้วย
มือขยุกขยิกอยู่ไม่สุข เวลาใดก็ตามที่คุณรู้สึกประหม่า กระวนกระวาย หรือประสาทกินอย่างสุด ๆ คุณจะเริ่มเอามือมาเกาจมูก เกาหน้า เอามือมาเล่นผม หรือเอามือลูบหน้าตัวเองบ่อย ๆ เป็นต้น การที่คุณจับโน่นจับนี่ในร่างกายของตัวเองบ่อย ๆ เป็นพฤติกรรมที่บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าคุณกำลังมีความเครียดอย่างสุด ๆ ซึ่งไม่ว่าใครเห็นก็รู้ว่าตอนนี้คุณเป็นอย่างไร ทางที่ดีคุณน่าจะรู้จักควบคุมตัวเองให้ดีขึ้น เพื่อให้คนอื่นเห็นว่าคุณสงบนิ่ง และดูผ่อนคลายจะดีกว่า
ใช้คำขอโทษฟุ่มเฟือย ก็เป็นเรื่องดีนะถ้าคุณรู้จักพูดคำ "ขอโทษ" เพราะทำให้คุณดูเป็นคนสุภาพ แต่ถ้าใช้บ่อยเกินไปอาจทำให้คุณดูเป็นคนประหลาดในสายตาคนอื่นได้ ผู้ชายคนไหนที่ไม่ว่าจะเปิดปากออกมาทีไรมีแต่คำว่าขอโทษแม้ว่าจะเป็นแค่ เรื่องเล็กน้อยก็ตาม แนะนำให้หลีกเลี่ยงการขอโทษในเรื่องที่ไม่จำเป็นบ้างดีกว่า
มือปลาหมึก ถ้าคุณชอบเหลือเกินที่ไปออกท่าทางแดนซ์กับสาวบ่อย ๆ ตามผับ บาร์หรือที่ไหนก็ตามที่มีเสียงเพลง ซึ่งสาว ๆ คงไม่ว่าคุณหรอกถ้าคุณจะจับมือเธอบ้างเวลาที่เต้นด้วยกัน (ถ้ารู้จักกันในระดับหนึ่งแล้ว) แต่ทางที่ดีคุณไม่ควรทำตัวเป็นหนุ่มมือปลาหมึกหลอกแต๊ะอั๋งสาวบ่อย ๆ เพราะการทำเช่นนี้อาจทำให้โดนรังเกียจเอาได้ง่าย ๆ จะดีกว่าถ้าคุณให้เกียรติกับคู่เต้นของคุณ ไว้เธอจับมือคุณเมื่อไหร่คุณค่อยจับมือตอบนั่นแหละเคล็ดลับที่ดีที่สุด
ขัดจังหวะคนอื่น ทุกคนชอบที่จะเป็นจุดสนใจของผู้อื่น แต่ต้องรับรู้ด้วยว่าจุดสนใจนั้นมีทั้งแบบที่ดีและแบบที่แย่ เวลาที่เพื่อนพูดคุยกันอยู่ แล้วคุณเข้าไปคุยได้ถูกจังหวะจะทำให้คุณดูเป็นคนมีกาลเทศะ แต่ถ้าคุณไปพูดแทรกขัดจังหวะคนอื่นตลอดเวลา ในขณะที่เพื่อนของคุณยังพูดไม่จบก็ตาม นั่นจะทำให้คุณดูเป็นคนหยาบและดูไม่ดีในสายตาคนอื่นในทันที เช่นนั้นแล้ว ก่อนพูดแทรกใครควรรอให้คนอื่นพูดจบก่อนจะดีกว่า
จ้องโทรศัพท์มือถือตลอด คงเป็นเพราะความก้าว หน้าทางเทคโนโลยีโซเชียลเน็ตเวิร์กก็เป็นได้ ที่ทำให้เกิดพฤติกรรมเช่นนี้ การจ้องมือถือตลอดเวลาเป็นพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ลองหยุดจ้องมือถือของคุณพักหนึ่งแล้วมาสนใจกับคนที่อยู่รอบข้างบ้างจะดีกว่า เพราะการจ้องมือถือตลอดโดยไม่สนใจอย่างอื่นอาจทำให้คุณพลาดโอกาสสำคัญใน ชีวิตก็เป็นได้
นั่งสั่นขาตลอดเวลา คุณคงรู้สินะว่าการนั่งสั่นขาหมายถึงเวลานี้คุณกำลังมีเรื่องไม่สบายใจหรือ หงุดหงิดอะไรอยู่ ซึ่งเมื่อทำบ่อย ๆ จะทำให้ติดเป็นนิสัยได้ และพฤติกรรมแบบนี้ทำให้บุคลิกภาพของคุณดูไม่ดี เวลาที่ต้องนั่งใกล้คนอื่นเขาก็อาจจะรำคาญคุณ ดังนั้น ลองฝึกฝนทำสมาธิและจิตใจให้ผ่อนคลายดู รับรองเลยว่าสามารถแก้อาการนั่งสั่นขาได้
กลอกตาไปมา การกลอกตาไปมาเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะเวลาที่คุณพูดคุยกับใครนั้น การสบตากับคู่สนทนาถือเป็นสิ่งสำคัญ จริงอยู่ว่าบางครั้งการคุณมองไปทางนู้นทางนี้บ่อย ๆ เพราะกำลังสนใจสิ่งรอบข้างที่ผ่านไปผ่านมา แต่ถ้าคุณกำลังเดทอยู่อาจทำให้สาวเจ้าที่คุณพามาด้วยคิดว่าคุณไม่สนใจเธอเลย มองดูคนอื่นตลอด หรือสงสัยว่าคุณทำอะไรอยู่กันแน่ ให้ระวังพฤติกรรมแบบนี้หน่อยนะ หากคุณมองเธอตลอดเธอจะได้รู้สึกว่าตัวเองสำคัญ แต่ไม่ได้หมายถึงให้จ้องเขม็งนะ อันนั้นก็ดูเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อเกินไป และอาจทำให้เธอรู้สึกอึดอัดได้เช่นกัน
พูดแต่คำว่า...เอ่อ อ่า อืม ทุกคนต้องเคยทำกันอยู่บ้าง ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองพูดว่า เอ่อ อ่า และอืมซ้ำ ๆ ไปมาอยู่บ่อย ๆ แนะนำว่าให้ก็เลิกเสียเถอะ เพราะที่คุณใช้คำพวกนี้บ่อยอาจเนื่องมาจากการที่คุณเป็นคนพูดเร็วมากเกินไป แล้วสมองยังประดิษฐ์คำพูดให้คุณไม่ทันจนเกิดคำดังกล่าว วิธีแก้นั้นง่ายคือหยุดคิดก่อนพูดเสมอ พยายามพูดให้ช้าลง หยุดหายใจเล็กน้อย เพื่อไม่ให้เกิดอาการพูดตะกุกตะกัก
ชอบสาบานแบบส่งเดช ถ้าพูดเป็นเรื่องตลอกขบขันก็ว่าไปอย่าง การสาบานนั้นคุณต้องใช้อย่างระมัดระวังอย่างมาก เพราะโดยทั่วไปแล้วเราไม่ควรสาบานหรือสัญญาอะไรแบบส่ง ๆ อย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะการสาบานกับผู้หญิง เพราะหากทำตามอย่างที่พูดไม่ได้มันจะทำให้คุณดูเป็นคนที่เชื่อถืออะไรไม่ได้ เลยน่ะสิ
นี่ คือพฤติกรรมที่ผู้คนส่วนใหญ่มักเผลอทำเป็นประจำเวลาอยู่ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่ดูจะไม่ค่อยเหมาะสม คุณสามารถสังเกตตัวเองว่ามีข้อผิดพลาดตามตามที่เรากล่าวมาบ้างหรือไม่ แล้วเลือกนำไปปรับปรุงตามนิสัยของตัวเองดูอีกที อย่างไรก็ตาม ยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ อีกด้วยสำหรับวิธีการอยู่ร่วมกับผู้อื่น นั่นก็คือ ความเป็นมิตรและการคิดดีทำดี หากปฏิบัติตามที่แนะนำมาได้ เพียงเท่านี้คุณก็สามารถอยู่ในสังคมได้อย่างดีมีความสุขแล้ว
|
|
|
58
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เกี่ยวกับเรื่อง เซ็น
|
เมื่อ: กันยายน 25, 2012, 08:28:39 am
|
ขอบคุณมากคะ รู้สึกในแบบของจีนนั้น พระกับ คนทั่วไป ไม่ต่างกันเลยนะคะ คือคนไม่สนใจพระอยู่แล้ว บรรยากาศน่าจะเหมือน ๆ กับ ประเทศอินเดีย นะคะ สำหรับปัจจุบันในประเทศไทย พระ นั้นจะมีคนนับถือมากกว่า ประเทศอื่น ๆ 5.ในขณะที่กำลังทำงานตามปกติเป็นขณะแห่งการสัมผัสกับชีวิตทางธรรม
การตรัสรู้นั้นไม่จำกัดอยู่ในรูปแบบใด ในขณะทำงาน ในชีวิตประจำวันก็อาจเป็นขณะแห่งการตรัสรู้ได้ ธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะเป็นสิ่งที่มีอยู่ปกติตามธรรมชาติ เราพบมันได้ในทุกหนทุกแห่งทุกเวลาที่ถูกใจ ก็ข้อที่ห้า คะ ดูเหมือนจะนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้นะคะ
|
|
|
64
|
เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / โทรและส่งข้อความฟรีกับแอพพลิเคชั่น“Viber” - APP
|
เมื่อ: กันยายน 07, 2012, 11:22:26 am
|
โทรและส่งข้อความฟรีกับแอพพลิเคชั่น“Viber” - APP วันพุธที่ 5 กันยายน 2555 เวลา 00:00 น.
ใครที่มีความจำเป็นต้องโทรศัพท์ไปยังต่างประเทศบ่อย ๆ ทั้งการติดต่อเรื่องงาน ติดต่อญาติพี่น้องถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ หรือต้องไปอยู่ต่างประเทศมีความจำเป็นต้องโทรศัพท์กลับไทยบ่อย ๆ คงต้องเสียเงินค่าโทรศัพท์ระหว่างประเทศไม่ใช่น้อย ๆ คอลัมน์แอพ วันนี้จึงมีแอพพลิเคชั่นที่เป็นตัวช่วยในเรื่องนี้ได้ ก็คือ “ไวเบอร์” (Viber) แอพพลิเคชั่นที่ใช้โทรฯและส่งข้อความฟรีทั่วโลกผ่านไว-ไฟ ส่วนการใช้ผ่านระบบ 3 จี อาจจะเสียค่าเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับเครือข่ายที่ใช้ แต่หากใครใช้เน็ตแบบไม่จำกัดก็ไม่น่ามีปัญหา แต่คนที่เราต้องการโทรฯหาฟรีจะต้องมีการลงแอพพลิเคชั่นนี้ในเครื่องของเขาเหมือนกัน ไวเบอร์ เป็นแอพพลิเคชั่นที่ถูกจัดไว้ในหมวดเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Networking) ซึ่งในเวอร์ชั่นใหม่ได้พัฒนาให้สามารถส่งข้อความเป็นกลุ่ม และแบ่งปันหรือส่งรูปภาพให้เพื่อนที่ใช้ “ไวเบอร์” เหมือนกันได้ด้วย ซึ่งแอพพลิเคชั่นสามารถใช้ได้ทั้งในสมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต รองรับทั้งระบบปฏิบัติการไอโอเอส ของแอปเปิ้ล, แอนดรอยด์, วินโดว์สโฟน และแบล็คเบอรี่ การใช้งานก็ใกล้เคียงกับโปรแกรมสไกป์ (Skype) แต่ง่ายและสะดวกกว่าเพราะไม่ต้องใช้ไอดี หรือต้องแอดรายชื่อผู้ที่จะติดต่อ เพราะสามารถใช้หมายเลขโทรศัพท์เป็นไอดีได้เลย สำหรับการใช้งานเริ่มแรกให้ดาวน์โหลดแอพพลิเคชั่นนี้ลงเครื่องก่อนตามระบบปฏิบัติการที่ใช้ จากนั้นให้เปิดแอพพลิเคชั่นขึ้น โปรแกรมจะให้เข้าไปเซตค่า Notification เป็น on ก็ให้เข้าไปที่ Settings> Notification> OnViber>ON เพื่อที่เวลามีคนโทรฯเข้ามาเราไม่ได้เปิดโปรแกรมไว้จะได้ทราบ จากนั้นโปรแกรมจะดึงรายชื่อผู้ติดต่อทั้งหมดที่มีอยู่ในเครื่องให้กดโอเค แล้วก็ให้ใส่เบอร์โทรศัพท์ของเราไป ซึ่งโปรแกรมจะส่งรหัสเพื่อใช้ลงทะเบียนมายังโทรศัพท์มือถือของเรา จากนั้นก็ให้นำรหัสไปใส่ในช่องแล้วกดยืนยันที่ปุ่ม Enter Viber ก็เป็นอันเสร็จการติดตั้งพร้อมใช้งาน ซึ่งหากคนในรายชื่อติดต่อในโทรศัพท์มีการติดตั้งแอพพลิเคชั่นนี้เหมือนกันก็จะมีไวเบอร์ โชว์ ในเมนูรายชื่อโดยตรง ทำให้เรารู้เลยว่าใครใช้ไวเบอร์บ้าง หากเราต้องการโทรฯก็ให้คลิกที่รายชื่อจากนั้นจะมีแถบ Free Call เพื่อใช้โทรฯฟรีได้เลย หรือหากต้องการส่งข้อความฟรีก็ให้กดที่แถบ Free text แล้วพิมพ์ข้อความที่จะส่งได้เลยเหมือนกัน นับเป็นแอพพลิเคชั่นที่ช่วยอำนวยความสะดวกได้ดีจริง ๆ สำหรับคนที่ต้องการโทรฯฟรีไม่เสียเงิน.http://www.dailynews.co.th/technology/153297
|
|
|
65
|
เรื่องทั่วไป / IT สาระประโยชน์ชาวธรรม / แค่ครึ่งปีร้องเรียนกระจายเสียง 400 เรื่อง
|
เมื่อ: กันยายน 07, 2012, 11:08:21 am
|
กสท.เผยครึ่งปีแรกมีเรื่องร้องเรียนประเภทวิทยุ-ทีวีจำนวน 400 เรื่อง หวังสร้างกติกา รองรับหลังใบอนุญาตประกอบกิจการออก ต.ค. นี้ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ด้านคุ้มครองผู้บริโภคด้านกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 15 ก.พ.-30 มิ.ย. 55 มีจำนวนเรื่องร้องเรียนเข้ามาทั้งหมด 400 เรื่อง โดยครอบคลุมกิจการประเภทฟรีทีวี เคเบิลดาวเทียม ทีวีดาวเทียม ทีวีแบบบอกรับสมาชิกและวิทยุกระจายเสียงในกลุ่มรายเดิมและรายใหม่ที่ยังไม่ได้ขอรับใบอนุญาต ทั้งนี้การร้องเรียนส่วนใหญ่เกี่ยวกับไม่สามารถรับชมรายการถ่ายทอดสดของฟรีทีวีผ่านช่องรายการโทรทัศน์ดาวเทียม โฆษณาด้านอาหาร ยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีลักษณะหลอกลวงเกินจริง แจ้งยกเลิกบริการแต่ไม่ได้รับค่ามัดจำอุปกรณ์ หรือได้รับแต่ช้า เรียกเก็บค่าบริการเพิ่มช่องรายการโดยไม่ได้ขอรับการบริการ รวมถึงมีคลื่นความถี่รบกวนขณะชมรายการ น.ส.สุภิญญา กล่าวว่า เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ต้องหาแนวทางสำหรับผู้ประกอบกิจการ เมื่อ กสท.ได้ประกาศหลักเกณฑ์เปิดอนุญาตให้ประกอบกิจการได้ในเดือน ต.ค.นี้คาดจะมีเรื่องรับร้องเรียนเพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ตามใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ จะช่วยให้แก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากมีกฎหมายควบคุมอย่างถูกต้อง เพราะผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เพื่อช่วยให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค.http://www.dailynews.co.th/technology/153428
|
|
|
66
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / บุคคลเปรียบเหมือน ฟ้าร้อง 4 ประการ วลาหก 4
|
เมื่อ: กันยายน 06, 2012, 09:11:02 am
|
[๑๑๑] วลาหก ๔ อย่าง ฟ้าร้องฝนไม่ตก ฝนตกฟ้าไม่ร้อง ฟ้าร้องฝนตก ฟ้าไม่ร้องฝนไม่ตก
[๑๑๒] บุคคลเปรียบด้วยวลาหก ๔ อย่างนี้ มีปรากฏอยู่ในโลกก็ฉัน นั้นเหมือนกัน บุคคล ๔ จำพวก เป็นไฉน บุคคลเหมือนฟ้าร้องฝนไม่ตก บุคคลเหมือนฝนตกฟ้าไม่ร้อง บุคคลเหมือนฟ้าร้องฝนตก บุคคลเหมือนฟ้าไม่ร้องฝนไม่ตก
บุคคลเหมือนฟ้าร้องฝนไม่ตก เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้พูดแต่ไม่ทำ อย่างนี้เป็นคนเหมือนฟ้า ร้องฝนไม่ตก ฟ้านั้นร้องแต่ฝนไม่ตก แม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น
บุคคลเหมือนฝนตกฟ้าไม่ร้อง เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นคนทำแต่ไม่พูด อย่างนี้เป็นคนเหมือนฝนตก ฟ้าไม่ร้อง ฝนตกฟ้าไม่ร้องแม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น
บุคคลเหมือนฟ้าร้องฝนตก เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้พูดด้วยทำด้วย อย่างนี้เป็นคนเหมือนฟ้า ร้องฝนตก ฟ้าร้องฝนตกแม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น
บุคคลเหมือนฟ้าไม่ร้องฝนไม่ตก เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่พูดไม่ทำ อย่างนี้เป็นคนเหมือนฟ้าไม่ร้อง ฝนไม่ตก ฟ้าไม่ร้องฝนไม่ตกแม้ฉันใด บุคคลนี้ก็มีอุปไมยฉันนั้น บุคคลเปรียบด้วยวลาหก ๔ อย่างเหล่านี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=36&A=3659&Z=4544&pagebreak=0
|
|
|
68
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ถ้านิพพาน เป็นเรื่อง ที่มองไม่เห็นเป็นเรื่องข้างหน้า เราควรสนใจปัจจุบันก่อนดี...
|
เมื่อ: กันยายน 06, 2012, 08:44:33 am
|
ถ้านิพพาน เป็นเรื่อง ที่มองไม่เห็นเป็นเรื่องข้างหน้า เราควรสนใจปัจจุบันก่อนดีหรือไม่คะ ? คือ อย่างนี้ นิพพาน เป็นผลของการปฏิบัติธรรม ที่สำเร็จ อริยะมรรค อริยะผล ระดับพระอรหันต์ ซึ่งเป็นหนทางที่เราเห็นว่ายากอยู่ จึงอยากเรียนให้เพื่อนสมาชิก ลองสนใใจปัจจุบัน ให้มากกว่า ด้านหน้าที่ยังไม่มาถึงดีหรือไม่ มีคำกล่าวว่า อดีต เป็นเหตุปัจจัย ของปัจจุบัน ปัจจุบัน เป็นเหตุปัจจัย ของอนาคต พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สิ่งที่เป็นอดีตก็ล่วงไปแล้ว ( แก้ไขอะไรไม่ได้ ) สิ่งที่เป็นอนาคต ก็ยังมาไม่ถึง ( เมื่อไหร่จะถึง ) ดังนั้นเราควรหันกลับ มาพิจารณา ในปัจจุบัน ให้มาก ๆ ดีหรือไม่คะ
|
|
|
70
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การบรรลุธรรม จำเป็นต้อง เสียสละ ทรัพย์ อวัยวะ ชีวิต ใช่หรือไม่ ?
|
เมื่อ: กันยายน 03, 2012, 10:15:33 am
|
ถ้าฟังพระพุทธพจน์ ว่า สละทรัพย์ เพื่อรักษา อวัยวะ สละอวัยวะ เพื่อรักษา ชีวิต สละชีวิต เพื่อรักษา ธรรม ดังนั้นในครั้งพุทธกาลจึงมีพระสงฆ์ ที่มุ่งการภาวนา สละชีวิตเพื่อ การบรรลุธรรมเป็นจำนวนมาก บางรูปถูกโจรฆ่า บางรูปถูกเสือฆ่า บางรูปถูกงูฆ่า บางรูปก็สละชีวิตเพื่อกรรมฐาน เหล่านี้จะบอกว่า ใดถูก หรือ ใดผิดนั้น ก็คงเป็นไปได้ยากคะ สำหรับพวกเราซึ่งมีอินทรีย์กำลังอ่อนจึงยังไม่สามารถจะเข้าใจ เรื่องราวเหล่านี้ได้คะ
|
|
|
71
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ขอเชิญท่าน ผู้รู้ อธิบาย คำว่า อรหัง กับคำว่า สัมมาอรหัง ด้วยคะ
|
เมื่อ: กันยายน 03, 2012, 10:06:25 am
|
อรหัง กับ พระอรหันต์ คือคำเดียวกันคะ แปลว่า ผู้ไกลจากกิเลส เป็น พระอริยะขั้นสูงสุดในบรรดาพุทธสาวกคะ พระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ด้วยคะ ส่วนคำว่า สัมมา แปลว่า ถูกต้องคะ จะเห็นว่า การใช้คำว่า สัมมาอรหัง เพราะในบรรดาลัทธิอื่น ๆ ก็มี พระอรหันต์ ประจำศาสนาลัทธิของ ลัทธิศาสนานั้นด้วยนะคะ สมัยครั้งพระพุทธกาลนั้นมี 6 ลัทธิใหญ่ก็กล่าวว่าตนเองเป็น พระอรหันต์ เช่นกันคะ พระพุทธเจ้าเมื่อตรัสรู้ก็ปฏิญญาตนว่าเป็นพระอรหันต์เช่นกันคะ ดังนั้น สัมมาอรหัง นั้นจะใช้กับคนที่ยังไม่เข้าใจ ในระบบพระอริยะก่อนคะ เมื่อใดใจเข้าถึงความหมายแล้วก็จะเหลือแต่เพียงคำว่า อรหัง คะ
|
|
|
76
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อนัตตลักขณสูตร (บางส่วน ) เจริญธรรม ในวันพระ 1 ก.ย. 2555 นะคะ
|
เมื่อ: กันยายน 01, 2012, 08:40:49 am
|
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ ทรงแสดงอนัตตลักขณสูตร ตรัสถามความเห็นของพระปัญจวัคคีย์
[๒๑] พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนรูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง? พระปัญจวัคคีย์ทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา? ป. ข้อนั้น ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. ภ. เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา? ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. ภ. สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา? ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. ภ. สังขารทั้งหลายเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา? ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า. ภ. วิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง? ป. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า? ป. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า. ภ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเป็นเรา นั่นเป็นตนของเรา? ป. ข้อนั้นไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=4&A=479&w=อนัตตลักขณสูตร
ขอบคุณภาพประกอบจาก http://desmond.imageshack.us เจริญในธรรมคะ
|
|
|
77
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิธีดูจิต.... ในแบบแผนของ มหาสติปัฏฐานสูตร
|
เมื่อ: สิงหาคม 31, 2012, 11:04:49 am
|
วิธีดูจิต.... ในแบบแผนของ มหาสติปัฏฐานสูตร ( กายานุปัสสนา, เวทนานุปัสสนา, จิตตานุปัสสนา, ธัมมานุปัสสนา )
===============
จิตตานุปัสสนา
.… ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเฝ้าตามดูจิตในจิตอยู่อย่างไร .… ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑. จิตมีราคะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีราคะ หรือจิตปราศจากราคะ ก็รู้ชัดว่าจิตปราศจากราคะ ๒. จิตมีโทสะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีโทสะ หรือจิตปราศจากโทสะ ก็รู้ชัดว่าจิตปราศจากโทสะ ๓. จิตมีโมหะ ก็รู้ชัดว่าจิตมีโมหะ หรือจิตปราศจากโมหะ ก็รู้ชัดว่าจิตปราศจากโมหะ ๔. จิตหดหู่ ก็รู้ชัดว่าจิตหดหู่ ๕. จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ชัดว่าจิตฟุ้งซ่าน ๖. จิตเป็นมหัคคตะ ก็รู้ชัดว่าจิตเป็นมหัคคตะ หรือจิตไม่เป็นมหัคคตะ ก็รู้ชัดว่าจิตไม่เป็นมหัคคตะ ๗. จิตตั่งมั่น ก็รู้ชัดว่าจิตตั้งมั่น จิตไม่ตั้งมั่น ก็รู้ชัดว่าจิตไม่ตั้งมั่น ๘. จิตเป็นสอุตตระ ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นสอุตตระ จิตเป็นอนุตตระ ก็รู้ชัดว่า จิตเป็นอนุตตระ ๙. จิตหลุดพ้น ก็รู้ชัดว่า จิตหลุดพ้น จิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ชัดว่า จิตไม่หลุดพ้น
.… " ภิกษุเฝ้าตามดูจิตในจิตภายในอยู่บ้าง เฝ้าตามดูจิตในจิตภายนอกอยู่บ้าง ภิกษุเฝ้าตามดูจิตทั้งภายในและทั้งภายนอกอยู่บ้าง ด้วยประการฉะนี้ .… เฝ้าตามดูสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นในจิตอยู่บ้าง เฝ้าตามดูสิ่งที่ทำให้ดับไปในจิตอยู่บ้าง เฝ้าตามดูสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นและสิ่งที่ทำให้ดับไปในจิตอยู่บ้าง
.… อนึ่ง ภิกษุนั้นเข้าไปตั้งสติไว้ว่า จิตมีอยู่ดังนี้ เพียงเพื่อรู้ไว้เท่านั้น เพียงเพื่อระลึกไว้เท่านั้น เธอเป็นผู้ที่ตัณหาและทิฐิอาศัยไม่ได้ ทั้งไม่ยึดถืออะไรๆ ในโลกด้วย .… ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเฝ้าตามดูจิตอยู่ แม้ด้วยประการดังกล่าวนี้”
=====================
รายละเอียดเพิ่มเติม: มหาสติปัฏฐานสูตร และภาคปฏิบัติสภาวธรรม http://www.dhammachak.net/board/viewtopic.php?t=12
|
|
|
78
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ทำไม เราต้องภาวนาเพื่อการไม่กลับมาเกิด ด้วยคะ เพื่ออย่างอื่นไม่ได้หรือ ?
|
เมื่อ: สิงหาคม 31, 2012, 10:49:48 am
|
คำว่าภาวนาเท่าที่ทราบตามภาษาบาลีคือ ทำให้เจริญขึ้น ถ้าจะเทียบความหมายเช่นนั้นก็คงมีการภาวนาทุกศาสนาครับ คือนอกจากมีข้อปฏิบัติให้ละหรือหลีกเลี่ยงบางสิ่ง ก็มีข้อที่ให้พยายามทำบางสิ่ง (ให้มากขึ้น ให้เจริญขึ้น)นั่นเอง แต่พอเอามาใช้กันแบบบ้านๆ คนส่วนใหญ่ก็ใช้ในในความหมายในภาษาไทยที่ต่างออกไป เช่น การท่องบ่นให้จำขึ้นใจ หรือการนั่งสมาธิ ก็เรียกรวมๆว่านั่งภาวนา ซึ่งความหมายแคบกว่าคำเดิมมาก
อาจจะเข้าใจกันว่าศาสนาอื่นๆไม่มี แต่ที่จริงหลายศาสนาก็มีอีกนั่นแหละครับ เพียงแต่อยู่รูปแบบต่างๆกันไป เช่นบางความเชื่อมีการเต้นรำปนอยู่ด้วยซึ่งส่วนที่เห็นได้ชัดมักจะปนร่วมกับพิธีกรรม ส่วนที่เห็นไม่ชัดก็แฝงอยู่ในชีวิตประจำวันของศาสนิกนั้นๆเอง ส่วนที่ศาสนาอื่นๆไม่มี (เพื่อให้พ้นทุกข์ได้อย่างสมบูรณ์/เมื่อมองตามจุดประสงค์ของศาสนาแบบพุทธ)คือ มรรคมีองค์แปด ครับ
ดังนั้น ส่วนของ ภาวนา ตามแบบพุทธจึงมีเพื่อเน้นหรือหนุนแก่มรรคมีองค์แปดครับ ที่ชัดๆเลยคือการ เจริญสมาธิ ศาสนาอื่นๆเช่นพราห์มทำมาก่อนพุทธเสียอีก แต่เป็นแบบเก็บงำสอนกันเฉพาะกลุ่ม แม้นั่งสมาธิแบบพราห์มก็มีส่วนของวิปัสสนานะครับ คือพิจารณา รู้นิวรณ์ที่เกิดขึ้น และละอารมณ์นั้นๆไปได้ทำให้เข้าถึงฌาณ แต่ยังเป็นแค่ส่วนที่เกี่ยวเนี่องกับ รูป/อรูปภูมิ ยังไม่เข้าถึงโลกุตรภูมิ)
เมื่อทางพุทธนำมาใช้ ก็เพิ่มส่วนของสัมมาทิษฐิเป็นธรรมนำหน้า และแยกการสอนตามจริตนิสัยของผู้ปฏิบัติ และหลีกเลี่ยงสมาธิแบบมิจฉาทิษฐิ เช่น สมาธิจากการเต้นรำ การละเล่น ที่หนุนให้เพลิดเพลินขาดสติ พุทธสอนการเจริญสติให้เป็นทางสายเอกเหมาะสมแก่คนส่วนใหญ่ คือได้ทิศทางที่ถูกต้อง ส่วนการเจริญสมาธินั้นเพื่อให้ได้กำลังมีแค่คนส่วนน้อยที่ทำได้ (ความจริงคือทั้งสติและสมาธินั้นเอื้อต่อกันอยู่ในตัวเมื่อทำสมาธิได้ดีสติก็ไว เมื่อฝึกสติได้ดีก็ย่อมเป็นสมาธิในตัวเอง)
การภาวนาแบบปุถุชนคนพุทธ เป็นการเพียรทำให้กุศลจิตเจริญขึ้นนั่นเอง ที่ผมทำบ่อยก็คือ ฝึกสติรู้สึกตัวครับ
จากคุณ : BlueDelphi
|
|
|
79
|
ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ฉิคคฬสูตรที่ ๑ ว่าด้วยความเป็นมนุษย์ยาก
|
เมื่อ: สิงหาคม 31, 2012, 10:37:54 am
|
ฉิคคฬสูตรที่ ๑ ว่าด้วยความเป็นมนุษย์ยาก
[๑๗๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษโยนแอก ซึ่งมีช่องเดียวลงไปใน มหาสมุทร เต่าตาบอดมีอยู่ในมหาสมุทรนั้น ต่อล่วงร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ เธอ ทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เต่าตาบอดนั้น ต่อล่วงร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ จะสอดคอให้เข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้นได้บ้างหรือหนอ? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่ พระองค์ผู้เจริญ ถ้าล่วงกาลนานไปบางครั้งบางคราว เต่าจะสอดคอให้เข้าไปในแอกนั้นได้บ้าง.
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เต่าตาบอด ต่อล่วงร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ สอด คอให้เข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้น ยังจะเร็วกว่า เราย่อมกล่าวความเป็นมนุษย์เพราะคนพาล ผู้ไปสู่วินิบาตแล้วคราวเดียวก็หามิได้ ข้อนั้น เพราะเหตุไร? เพราะว่าในวินิบาตนี้ ไม่มีการ ประพฤติธรรม การประพฤติชอบ การกระทำกุศล การกระทำบุญ มีแต่การเคี้ยวกินกันและกัน การเคี้ยวกิน ผู้มีกำลังน้อยกว่า ย่อมเป็นไปในวินิบาตนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะไม่เห็น อริยสัจ ๔ อริยสัจ ๔ เป็นไฉน? คือ ทุกขอริยสัจ ฯลฯ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียร เพื่อรู้ตามความเป็นจริง ว่า นี้ทุกข์ ฯลฯ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
จบ สูตรที่ ๗ เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ บรรทัดที่ ๑๐๖๙๙ - ๑๐๗๑๔. หน้าที่ ๔๔๗. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=19&A=10699&Z=10714&pagebreak=0 ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :- http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=19&i=1743ขอบคุณภาพประกอบจาก http://www.matichon.co.th
|
|
|
|