-
การแก้ไขโดยวิธี การเจริญวิปัสนา สภาพจิตที่รู้สึก อึดอัดใจ อัดอั้นใจ หวีดหวิวสั่นใจ และ ความรู้สึกทางกายที่คุณรับรู้ถึงการเต้นเร็วและแรงจนรู้สึกได้นั้น ทางธรรมเรียกว่าสภาพปรมัถธรรม มันคือ สภาพจริงที่เกิดขึ้นตจริงๆที่รับรู้ได้ทุกคน ทุกชาติ นี่ถือว่าเป็นข้อดีข้อหนึ่งที่ทำให้คุณรู้ในวิปัสนากัมมัฏฐาน หากจะแก้ในทางวิปัสนานั้น ให้คุณพิจารณารู้สภาพจิตและกายที่เกิดขึ้นนี้ไปเรื่อยๆ **โดยไม่ต้องให้ความหมายบัญญัติมันว่า สภาพความรู้สึกนี้คือความรู้สึกที่เรียกว่าอะไร เช่น โกรธ อยาก กลัว ไม่ชอบ** ให้แค่รู้ว่าสภาพแบบนี้มันเกิดขึ้นกับคุณเฉยๆ ไม่นานมันจะดับไปเอง เพราะเมื่อจิตคุณจดจ่ออยู่กับมัน สติและสมาธิจะเข้ามาแทรกแทนความปรุงแต่งนึกคิด
-
การแก้ไขโดยวิธี ดับที่เหตุของทุกข์ คุณต้องระลึกย้อนมองดูดังนี้ว่า
1. ทบทวนตรึกตรองเพื่อมองหาว่า สิ่งที่คุณไม่สบายใจ สิ่งที่ทำให้เป็นทุกข์อยู่นั้น เพราะเรื่องอะไร สิ่งใดๆ
2. ทบทวนตรึกตรองเพื่อมองหาว่า ที่คุณไม่พอใจในสิ่งนั้น หรือ เรื่องนั้น นั่นเพราะมันขัดใจ ขุ่นเคืองใจกับสิ่งใดที่คุณต้องการและสำคัญมั่นหมายเอาไว้
3. ทบทวนตรึกตรองเพื่อมองหาว่า คุณมีความ พอใจยินดี ใคร่ได้ ปารถนา กับสิ่งใดๆอยู่ มีสิ่งใดเป้นีท่ตั้งของจิตให้พอใจยินดีต่อสิ่งนั้นๆ
4. เมื่อคุณรู้ สิ่งที่คุณพอใจยินดี ใค่ได้ปารถนา ตั้งความสำคัญมั่นหมายไว้ในใจแล้ว ให้พึงพิจารณาเช้าใจดังนี้ว่า
- ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปดั่งใจเราพอใจยินดี ปารถนาใคร่ได้ไปทุกอย่าง คนเรามีความผิดหวังไม่สมความปารถนาเป็นธรรมดา จะล่วงพ้นสิ่งนี้ไปไม่ได้
- คนเรามีความพรัดพรากจากวิ่งอันเป้นที่รักที่พอใจทั้งหลายเป็นที่สุด ไม่ด้วยเหตุใดก็เหตุหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็น สภาพแวดล้อม การดูแลรักษาของเรา หรือ กาลเวลาที่ล่วงเลยไป จะล่วงพ้นจากสิ่งนี้ไปไม่ได้
- ดังนั้น เมื่อมีทั้ง 2 สิ่งข้างต้นที่เป็นสัจธรรมอันแท้จริงแล้ว เราทั้งหลายย่อมจะประสบพบเจอกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ที่พอใจยินดี ไม่ใคร่ได้ ไม่ต้องการ อยากจะผลักหนีให้ไกลตน เป็นสิ่งที่แน่นอนและแท้จริงอยู่เป็นประจำทุกวัน อย่างหลีกเลียงให้พน้ไปไม่ได้
- เพราะเราทุกต้องเจอสัจธรรมที่แท้จริงทั้ง 3 ข้อข้างต้นนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจึงควรทำให้ใจยอมรับในสภาพความเป้นจริงนี้ๆในชีวิตเสีบ ให้มองว่าเราต้องพบเจอเรื่องพวกนี้เป็นธรรมดาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วพึงลดละความติดข้องใจ ขัดเคืองใจ ขุ่นเคืองใจใดๆ ที่เกิดขึ้นแก่ใจเราเสีย เพราะติดข้องใจไปก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆแก่เรานอกจากความเป้นทุกข์แก่ตนเอง จากนั้นให้พึงระลึกจิตให้เกิดความเป็นกุศลจิตเกิด ตั้งมั่นคงอยู่ในกุศล รักษากุศลไว้ไม่ให้เสื่อม เข้าสู่สภาวะเมตตาจิต กรุณาจิต ทานจิต มุทิตาจิต จนเข้าสู่ความวางใจกลางๆไม่ติดข้องใจสิ่งใดๆทั้งในสิ่งที่เราพอใจยินดี ไม่พอใจยินดี แล้วความทุกข์จะไม่เกิดแก่คุณอีก
ศึกษาแนวทางปฏิบัติเบื้องต้นได้ตาม Link นี้ครับ
http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=7455.0