คุณนพดลถามว่า เคยเสียโอกาส แบบนี้ไหม
ผมตอบว่า เคยครับ และบ่อยครั้งด้วย
ส่วนคุณอุทาปาติ ถามภาษาบาลีมา ผมตอบไม่ได้ ไม่สันทัด
แต่ คำว่า “พึ่งนิ่งเสีย” กับคำว่า “อุเบกขา การวางเฉย” นั้น
โดยส่วนตัวเข้าใจว่า น่าจะเหมือนกัน
หากจะให้แสดงความเห็นให้มากกว่านี้ คงต้องเล่าประสบการณ์ให้ฟัง
ผมเคยคุยกับแม่ชีทศพร สองสามครั้ง และติดตามรายการทีวีที่มีแม่ชีมาออกหลายครั้ง
แม่ชีจะเน้นให้กตัญญูกับพ่อแม่ อย่าทำให้ท่านเสียใจ
ท่านจะอยู่ในสถานะใด ทำถูกหรือทำผิด มันเป็นเรื่องของท่าน
การวิพากษ์วิจารณ์หรือ พูดถึงท่านในทางที่ไม่ดี(ถึงแม้จะเป็นความจริง)
บาปจะตกกับลูก(ที่พูด)
ผมเคยไปวัดพิชัยญาตฯมีผู้หญิงคนหนึ่งมาถามเรื่องคู่ของตัวเอง
ทำนองว่ามีปัญหาอยู่เรื่อยๆ แม่ชีตอบว่าเป็นกรรมที่รับมาจากพ่อ
(มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์) เนื่องจากพ่อทำผิดศีลข้อ ๕
ผู้หญิงคนนั้น เลย พูดความจริงออกมาว่า พ่อของตัวเองเจ้าชู้มาก
สาธยายอย่างละเอียด แม่ชีได้ฟังก็เอ่ยปากว่า ห้ามพูดถึงพ่อแบบนั้น
มันจะเป็นบาป เขาจะเป็นอย่างไรเป็นเรื่องของเขา
เท่าที่ฟังแม่ชีพูดเรื่องพ่อแม่มาหลายรายการ แม่ชีจะเน้นมาก
ให้กตัญญู อย่าทำให้ท่านเสียใจ ขัดใจหรือลำบากใจ
หน้าที่ของลูกมีอย่างเดียวคือ ทำให้ท่านสบายใจ
ในกรณีของคุณนพดล มีแต่คุณนพดลคนเดียวที่รู้ว่า
ในสถานการณ์อย่างนั้นควรทำอย่างไร
คนอื่นไม่อยู่ในเหตุการณ์ไม่สามารถกล่าวอะไรได้เลย
(ผมตอบตรงดีไหมครับ)
การอธิบายความต่างๆเพื่อแก้ปัญหาหรือชี้แจ้งให้เข้าใจ
สื่งที่ควรคำนึงถึงก็คือ
“ถูกที่ ถูกเวลาหรือเปล่า”
ถึงแม้เหตุผลจะดีหรือถูกต้องเพียงใด บางครั้งพูดไป ก็ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด
เนื่องจากไม่ถูกที่ไม่ถูกเวลา(ไม่ดูกาละเทศะ,ไม่ดูตาม้าตาเรือ)
การใช้อุเบกขาอย่างมีปัญญาจะช่วยลดความขัดแย้งได้
แต่อุเบกขาจะเกิดได้ต้องมีศีลก่อน โดยเฉพาะ กุศลกรรมบถ ๑๐ จะช่วยได้มาก
ตัวผมเองทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เนื่องจากอินทรีย์ยังอ่อนอยู่
บางครั้งต้องปลีกตัวออกมา ก่อนที่ตบะจะแตก
ขอฝากไว้ก่อนจากว่า
“บุคคลที่จะมีอุเบกขาที่สมบูรณ์ได้ ต้องเป็นอริยบุคคล”
หรืออย่างน้อยต้องได้ “สังขารุเปกเขาญาณ”
ขอนำคำเทศน์ของ ลพ.ฤาษีลิงดำ เรื่องวิปัสสนาญาณ ในส่วนของ สังขารุเปกขาญาณ
มาให้อ่านดังนี้(จากเว็บพระรัตนตรัย)
ญาณที่ ๘ องค์สมเด็จพระประทีปแก้วกล่าวว่า สังขารุเปกเขาญาณ ญาณอันนี้พิจารณาคำนึงถึงความวางเฉย เฉยในอะไรบรรดาท่านพุทธบริษัท เฉยในโลกธรรมเป็นอันดับแรก โลกธรรม ๘ ประการโยนทิ้งไปเลยจากใจ อะไรบ้างที่มันจะเข้ามาสิงในใจ จับมันโยนทิ้งไป
มาเฉยอีกจุดหนึ่งก็เฉยกาย กายมันจะแก่เชิญแก่ตามสบาย ฉันรู้แล้วว่านายจะแก่ กายมันจะป่วยเชิญป่วยตามสบาย ฉันจะรักษานายเพื่อเป็นการระงับเวทนา จะรักษาหายไม่หายตายแหล่ก็ช่างมัน เฉยจากอาการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ ตามสบาย มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างหัวมัน นี่เรียกว่าเฉยทั้งหมด ถือว่ายอมรับนับถือว่านี่มันเป็นเรื่องธรรมกา
ถ้าอาการเกิดมีมามันก็ต้องมีอาการอย่างนี้ปรากฏเฉยจริง ๆ ให้มันเฉยได้ทั้งหมด เช่นว่า
มีลาภ เสื่อลาภ มียศ เสื่อมยศ นินทา สรรเสริญ สุข ทุกข์ ไอ้สุขในกามารมณ์ก็โยนทิ้งไป ทุกข์จากการกระทบกระทั่งใจ สิ่งทีไม่ชอบ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจก็โยนทิ้งไปเฉย
นอนนึกให้สบาย ๆ วาดภาพไว้ว่า ถ้าตายเมื่อไร พังเมื่อไร เราไปนิพพานเมื่อนั้น ยิ่งเวลากาลผ่านไปมากเท่าไรความดีใจย่อมปรากฏ ถ้าคิดว่าเราพอจะมีความสุขตามที่องค์สมเด็จพระบรมสุคตทรงแนะนำไว้แล้ว เฉย
ใครจะมาบอกเรื่องรัก เฉย ใครจะมาบอกเรื่องรวย เฉย ใครจะมาบอกเรื่องความโกรธ ความพยาบาท เฉย ใครจะมาบอกว่า โน่นก็ของเรา นี่ก็ของเรา เฉย
เรารู้อยู่แล้วว่า แม้แต่ร่างกายก็ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราแล้วของภายนอกกายจะมีอะไรเป็นของเราอีก นี่เป็นญาณที่ ๘