ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ชายชรา กับ ลังเหล็ก  (อ่าน 6378 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

มะเดื่อ

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 181
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
ชายชรา กับ ลังเหล็ก
« เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 11:17:17 am »
0


าลครั้งหนึ่ง ยังมีคุณลุงอยู่ท่านหนึ่ง ในช่วงวัยหนุ่มคุณลุงท่านนี้เป็นหัวหน้าคนงานอยู่ในเหมืองทองคำ
มีรายได้ดีมาก แต่คุณลุงท่านนี้ไม่เคยเก็บเงินเลยมีเท่าไรก็ใช้หมด เนื่องจากคุณลุงเป็นคนจิตใจดีใครมา
หยิบยืมก็ให้ เลี้ยงเพื่อนฝูงตลอด คุณลุงมีเพื่อนเยอะมาก จนกระทั่งคุณลุงท่านนี้เกษียณอายุจากการ
ทำงาน ปรากฏว่าไม่มีเงินเหลือเลยจากชีวิตการทำงานอันยาวนาน คุณลุงมีลูกอยู่ 5 คน เมื่อคุณลุงไม่มี
เงินก็จำเป็นต้องไปอาศัยอยู่บ้านลูกๆ ทั้ง 5 คน

วันจันทร์ ก็ไปอยู่บ้านลูกสาว ก็ถูกลูกเขยพูดจากระทบกระเทียบ เช่น "ทำไมคุณพ่อคุณไม่ไปบ้านลูก
คนอื่นบ้างนะ ผมจะทำอะไรก็อึดอัดจริงๆ "

วันอังคาร ก็ไปอยู่บ้านลูกชาย ก็ถูกหลาน และลูกสะใภ้กระทบกระเทียบ เช่น "รำคาญคุณปู่จังเลยกับข้าว
ที่หนูชอบดูสิคุณปู่ทานหมดเลย ทำไมคุณปู่ไม่ไปบ้านอื่นบ้าง" เป็นเช่นนี้ตลอด คุณลุงก็เปลี่ยนไปอยู่
บ้านลูกคนนั้นทีคนนี้ที ก็ถูกลูกบ้าง ลูกเขยบ้าง ลูกสะใภ้บ้าง หลานบ้างพูดจาถากถางอยู่ตลอด แต่
คุณลุงก็ต้องทน เพราะคุณลุงไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียว

อยู่มาวันหนึ่ง คุณลุงตัดสินใจเรียกลูกๆ ทุกคนมาแล้วบอกว่า "พ่อจะไม่อยู่สัก 2 ปีนะลูก เพราะเพื่อนพ่อ
ที่เป็นเจ้าของเหมืองทองคำมันเขียนจดหมายมาขอร้องให้พ่อไปช่วยงานที่เหมืองทองคำของมัน พ่อ
จำเป็นต้องไปช่วยเขาจริงๆ" ลูกๆ ได้ฟังดังนั้นก็ดีใจสนับสนุนเพื่อให้คุณลุงท่านนี้ไปให้พ้นๆ จะได้ไม่
เป็นภาระอีกต่อไป
 






เมื่อครบ 2 ปี คุณลุงท่านนี้ก็กลับมาพร้อมกับลังเหล็กใบใหญ่ 1 ใบ ไปไหนแกก็ลากไปด้วย ลูกๆ ก็
พากันแปลกใจและถามว่า "ลังอะไร" คุณลุงตอบว่า "เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายที่ได้มาจากเหมืองทองคำ
ของเพื่อน ถ้าใครดูแลพ่อจนถึงวาระสุดท้ายก็จะมอบสมบัติในลังเหล็กให้ทั้งหมด" ปรากฏว่า ลูกๆ พา
กันตื่นเต้น ต่างอาสามาดูแลคุณพ่อกันยกใหญ่

วันจันทร์ คุณลุงก็อยู่กับลูกสาวคนโต ลูกเขยกับหลานก็พากันเอาใจบีบนวดให้ หาของกินดีๆ มาให้
แต่ยังไม่ทันไรลูกชายคนที่สองก็มาตามให้ไปอยู่ด้วย และก็เช่นกันยังไม่ทันไร ลูกสาวคนที่สาม ก็มา
ตามให้ไปอยู่ด้วยอีก ปรากฏว่าลูกๆ ทั้ง 5 คน ของคุณลุงต่างแย่งกันเอาใจและปรนนิบัติคุณลุงท่านนี้
อย่างดี แต่เวลาไปไหนคุณลุงก็จะลากลังเหล็กใบนี้ไปด้วยตลอด

เวลาผ่านไป 7 ปี คุณลุงท่านนี้เสียชีวิตลง หลังงานพิธีศพลูกๆ ทุกคนพากันมานั่งล้อมลังเหล็กใบนี้เพื่อ
แบ่งสมบัติกัน ลูกสาวคนโตเป็นคนเปิดฝาลังเหล็ก พบว่ายังมีผ้าสีขาวปิดอยู่อีกชั้นหนึ่ง และมีจดหมาย
ฉบับหนึ่งวางอยู่ ลูกสาวคนโตก็เปิดอ่านให้น้องๆ ฟัง เนื้อความในจดหมายเขียนไว้ว่า
 
 



  ผมขยายมาให้แล้วครับ
 
 
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าประมาทและอย่าคาดหวังว่าใครจะเลี้ยงดูเรา ให้เร่งเก็บออมเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
จะได้มีชีวิตบั้นปลายที่สุขสบาย

ได้ ฟังนิทานเรื่องนี้ทีไรให้รู้สึกสะท้อนใจทุกครั้ง และไม่เคยคิดว่า เป็นเพียงนิทานเพราะเหตุการณ์แบบนี้อาจเกิดขึ้นได้กับทุกคนที่ไม่เตรียมเก็บ ออมเงินเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
....พึ่งพาใครไหนเร่า....จะดีเท่าพึ่งพาตัวเราเอง
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 17, 2010, 11:20:20 am โดย มะเดื่อ »
บันทึกการเข้า

ลูกคิด

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 117
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ชายชรา กับ ลังเหล็ก
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 17, 2010, 07:20:08 pm »
0
สังคมคนไทย ถือเรื่อง กตัญญู กตเวทิตา

คือเลี้ยงดูตอบแทนบุพพการี

แต่ ตอนนี้วิถีชีวิตไทย เริ่มเปลี่ยนเป็น สากล

ก็ได้แต่หวังว่า การรณรงค์ เรื่องคุณธรรม จะเข้าถึงเยาวชนมากขึ้น

เพื่อให้โลก และ ประเทศไทย เป็นประเทศที่เย็น



 ข้าพเจ้าได้รับฟังเรื่องของ “ความมีน้ำใจ” มาตลอดทั้งชีวิตซึ่งมันมีอยู่ในตัวของทุกคนคงไม่จำเป็นจะต้องอธิบายกระมังว่า “ความมีน้ำใจ”   หมายความว่าอะไรแต่สิ่งที่น่าเสียใจที่เราควรจะนำมากล่าวถึงกันคือ  “ความมีน้ำใจ”  นี้   คนไทยเรามีมากจนอาจจะกล่าวได้ว่า   เป็น   “วัฒนธรรม”  ของคนไทยเรา  มาถึงปัจจุบันนับว่าจะหดหายไปทุกที  ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนลองช่วยกันวิเคราะห์กันว่าอะไรทำให้เป็นเช่นนี้

         ประการแรกเห็นจะเกิดจาก  “ความปลอดภัย”  ที่มีน้อยในปัจจุบันนี้  ขอยกตัวอย่างให้เห็นสักหนึ่งตัวอย่าง  สมมติท่านได้รับบาดเจ็บ  โดยวิสัยคนไทยเราจะต้องมีน้ำใจหยุดรถลงไปให้ความช่วยเหลือ  แต่มาในสมัยนี้  ท่านจะต้องคิดหนักว่า  สมควรจะช่วยหรือไม่  เพราะมีข่าวอยู่บ่อยๆว่าคนร้ายมักทำอุบายให้ลงไปช่วยแล้วทำการจี้ปล้น  โดยเฉพาะตอนกลางคืน  ท่านคงไม่กล้าลงไปช่วยอย่างแน่นอน  เพื่อนคนหนึ่งของข้าพเจ้าเล่าให้ฟังว่า   เขาลงไปช่วยแล้วนำผู้บาดเจ็บจากการถูกรถชนส่งโรงพยาบาล   ปรากฎว่าพอผู้บาดเจ็บฟื้นขึ้นมาจากอาการสลบ  กลับกล่าวหาว่าเขาเป็นผู้ชน  นี่ละค่ะ  เหตุการณ์แบบนี้ทำให้  “ความมีน้ำใจ” หมดสิ้นไป 

        ประการสุดท้ายน่าจะเกิดจาก “ธุระไม่ใช่ “ และ  “ไม่ใช่หน้าที่ของฉัน”   ข้าพเจ้า                     

จำความได้แต่เดิมมานั้น  เมื่อเราเห็นใครทำอะไรอยู่ที่เราพอจะช่วยได้ เช่น  รถเสีย กำลังแก้อยู่  ถ้าเรามีความรู้  เราก็จะเข้าไปถาม  และให้ความช่วยเหลือ  แม้แต่เห็นกำลังเข็นรถอยู่   เราก็จะเข้าไปช่วยเข็น  แต่ปัจจุบันนี้  มักจะเห็นว่า “ธุระไม่ใช่” หรือ  ในหน้าที่การงาน  แม้จะไม่ใช่หน้าที่ของเรา  แต่เห็นว่าพอจะช่วยกันได้  เราก็มักจะเข้าช่วยเท่าที่จะช่วยได้  แต่มาสมัยนี้  มักจะมองดูเฉยๆปล่อยให้คนมีหน้าที่ทำก็ทำกันไป ถ้าเสนอตัวเข้าไปถามเขา  เขาก็จะตอบว่า  “ไม่ใช่หน้าที่ของฉันเขามีหน้าที่ทำก็ทำไปซิ” สำหรับตัวข้าพเจ้าคิดว่า “ความมีน้ำใจ” จะต้องเกิดขึ้นในจิตใจมาตั้งแต่เด็ก  เห็น ผู้ใหญ่ทำอะไรที่เราจะช่วยได้ก็เข้าไปช่วยเหลือโดยไม่ต้องมีใครบอกใครสอน ยิ่งในสมัยนี้ผู้ใหญ่มักไม่ใคร่ยอมให้เด็กทำอะไรแทนที่จะให้เด็กช่วยทำอะไร  กลับตรงกันข้ามเห็นเด็กไม่ต้องทำอะไรเลยดังนั้น  แทนที่เด็กจะเกิด “ความมีน้ำใจ” กลายเป็นความ “เห็นแก่ตัว” เกิดความคิดว่า  เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่จะต้องทำให้ตนตลอดไป  จากประสบการณ์ความเป็นครูมายาวนานได้พบเจอกับหลายครอบครัวที่เมื่อแก่ตัวลง  ลูกไม่เคยเหลียวแล  ข้าพเจ้าคิดว่าอย่าไปโทษลูกเลยเพราะว่าตัวพ่อและแม่นั่นแหละที่ไม่เคยให้ลูกทำอะไรให้คนอื่นเลย  ลูกเลยไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้คนอื่นได้อย่างไร

           ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนตระหนักว่า  ถึงเวลาแล้วนะที่พวกเราในฐานะ “ครู”

จะต้องช่วยกันอบรมแนะนำ นักเรียน หรือทำอย่างไรก็ตามให้คนรุ่นหลังได้ช่วยกันรักษาวัฒนธรรมอันดีงามของไทยเราไว้ต่อไป   ก่อนที่จะจากกันตัวผู้เขียนอยากจะฝากบอกกับครูทุกคนว่า  มาเป็น  “คนมีน้ำใจ”  กันเถิดนะคะ

 

เอกสารอ้างอิง

บทความ เรื่องความมีน้ำใจ  โดย : พ.อ.สุทิน  สัมปัตตะวนิช

เครดิตเว็บนี้ด้วยครับ
http://learners.in.th/blog/amenatook/297730
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 17, 2010, 07:21:47 pm โดย ลูกคิด »
บันทึกการเข้า