แม้ไม่ใช่อรหันต์ ก็พร้อมที่จะสละชีพ เพื่อเผยแผ่สัทธรรม
(ยกเอาปุณโณวาทสูตรมาแสดงโดยย่อ)
ดูกรปุณณะ มีธรรมารมณ์ที่รู้ได้ด้วยมโน อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดอยู่แล
ถ้าภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่พูดถึง ไม่ดำรงอยู่ด้วยความติดใจธรรมารมณ์นั้น
นันทิของเธอผู้ไม่เพลิดเพลิน ไม่พูดถึง ไม่ดำรงอยู่ด้วยความติดใจธรรมารมณ์นั้น ย่อมดับไป
เพราะนันทิดับ เราจึงกล่าวว่า ทุกข์ดับนะ ปุณณะ ฯ
ดูกรปุณณะ ก็เธออันเรากล่าวสอนด้วยโอวาทย่อๆ นี้แล้ว จักอยู่ในชนบทไหน ฯ
ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อันพระผู้มีพระภาคทรงสั่งสอนด้วยโอวาทย่อๆ นี้แล้ว มีชนบทชื่อ สุนาปรันตะ เป็นที่ที่ข้าพระองค์จักไปอยู่ ฯพระปุณณเถระเปล่งสีหนาท
พ. ดูกรปุณณะ พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทดุร้ายหยาบช้านัก ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักด่า จักบริภาษเธอ เธอจักมีความคิดอย่างไรในมนุษย์พวกนั้น ฯ
ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักด่า จักบริภาษข้าพระองค์ ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยฝ่ามือ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ข้าพระองค์มีความคิดในมนุษย์พวกนั้นอย่างนี้ ฯ
พ. ดูกรปุณณะ ก็ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทจักให้การประหารเธอด้วยฝ่ามือ เธอจักมีความคิดอย่างไรในมนุษย์พวกนั้น ฯ
ปุ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าพวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท จักให้การประหารข้าพระองค์ด้วยฝ่ามือ ข้าพระองค์จักมีความคิดในพวกเขาอย่างนี้ว่า พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบทนี้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยก้อนดิน ข้าแต่พระผู้มีพระภาคผู้สุคต ข้าพระองค์จักมีความคิดในมนุษย์พวกนั้นอย่างนี้ ฯ
พ. ถ้าประหารเธอด้วยก้อนดิน เธอจักมีความคิดอย่างไร
ปุ. ถ้าประหารข้าพระองค์ด้วยก้อนดิน ยังดีหนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยท่อนไม้
พ. ถ้าประหารเธอด้วยท่อนไม้ เธอจักมีความคิดอย่างไร
ปุ. ถ้าประหารข้าพระองค์ด้วยท่อนไม้ ยังดีนักหนาที่ไม่ให้การประหารเราด้วยศาตรา
พ. ถ้าประหารเธอด้วยศาตรา เธอจักมีความคิดอย่างไร
ปุ. ถ้าประหารข้าพระองค์ด้วยศาตรา ยังดีนักหนาที่ไม่ปลิดชีพเราเสียด้วยศาตราอันคม
พ. ถ้าจักปลิดชีพเธอเสียด้วยศาตราอันคม เธอจักมีความคิดอย่างไร
ปุ. ถ้าจักปลิดชีพข้าพระองค์ด้วยศาสตราอันคม จักมีความคิดนี้ว่า มีเหล่าสาวกของพระผู้มีพระภาค ที่อึดอัดเกลียดชังร่างกายและชีวิต พากันแสวงหาศาตราสังหารชีพอยู่แล เราไม่ต้องแสวงหาสิ่งดังนั้นเลย ก็ได้ศาตราสังหารชีพแล้ว
[๗๖๓] พ. ดีละๆ ปุณณะ เธอประกอบด้วยทมะและอุปสมะ ดังนี้แล้ว จักอาจเพื่อจะอยู่ในสุนาปรันตชนบทได้แล
ดูกรปุณณะ เธอจงสำคัญกาลที่ควรในบัดนี้เถิด ฯ
ครั้งนั้นแล ท่านพระปุณณะยินดีอนุโมทนาพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากอาสนะ ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคทำประทักษิณ แล้วเก็บเสนาสนะถือบาตรจีวรเดินทางจาริกไปยังที่ตั้งสุนาปรันตชนบท เมื่อจาริกไปโดยลำดับได้ลุถึงสุนาปรันตชนบทแล้ว ฯ____________________
ทมะ คือ การรู้จักข่มจิตข่มใจ
อุปสมะ คือ การทำใจให้สงบพระปุณณะบรรลุอรหันต์ที่สุนาปรันตชนบท
[๗๖๔] เป็นอันว่า ท่านพระปุณณะอยู่ในสุนาปรันตชนบทนั้น
ครั้งนั้นแล ท่านพระปุณณะได้ให้พวกมนุษย์ชาวสุนาปรันตชนบท
กลับใจแสดงตนเป็นอุบาสกประมาณ ๕๐๐ คน ภายในพรรษานั้นเอง
กลับใจแสดงตนเป็นอุบาสิกาประมาณ ๕๐๐ คน ภายในพรรษานั้นเอง
และตัวท่านได้ทำให้แจ้งซึ่งวิชชา ๓ ภายในพรรษานั้นเหมือนกัน
ครั้นสมัยต่อมา ท่านได้ปรินิพพานแล้ว ฯ
ครั้งนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุลบุตรชื่อปุณณะที่พระผู้มีพระภาคทรงสั่งสอนด้วยพระโอวาทย่อๆ นั้น ทำกาละเสียแล้ว เธอมีคติเป็นอย่างไร มีสัมปรายภพเป็นอย่างไร ฯ
[๗๖๕] พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุณณกุลบุตร เป็นบัณฑิต ได้บรรลุธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว ทั้งไม่ให้เราลำบากเพราะเหตุแห่งธรรม
ดูกรภิกษุทั้งหลายปุณณกุลบุตรปรินิพพานแล้ว ฯ
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯอ้างอิง :-
ปุณโณวาทสูตร ,พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๔ ,พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๖ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=9641&Z=9745&pagebreak=0ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=14&i=754