ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ไม่มีศาสนาก็ไม่บาป ไม่ต้องรับผลกรรมจริงไหม.?  (อ่าน 593 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28450
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0






ธรรมะสวัสดี : ไม่มีศาสนาก็ไม่บาป ไม่ต้องรับผลกรรมจริงไหม.?

ถาม : คนเราเดี๋ยวนี้ไม่นับถือศาสนา ถึงขั้นคิดว่าไม่มีศาสนาก็ไม่มีกรรม ไม่มีบาป ไม่ต้องรับผลกรรมอันนี้เป็นเรื่องจริงหรือไม่.?

ตอบ : พุทธศาสนาเป็นศาสนาที่อยู่บนหลักการแห่งเหตุผล คำถามเรื่องกรรมกับตัวบุคคล จึงต้องรู้ว่า "กรรม" ที่พูดกันอยู่นั้น ความจริงกรรมคืออะไร.? 

คำว่า "กรรม" ไม่ได้มีความหมายอื่นใดเลยนอกเหนือจาก "การกระทำ" การที่พูดว่าคนนั้นมีกรรมคนนี้มีกรรมเป็นเรื่องสามัญอย่างที่สุด เพราะแปลได้เพียงว่าผู้นั้นได้กระทำ หรือมีการกระทำอะไรอยู่เท่านั้น กรรมเป็นเพียงคำกลาง ๆ ตราบเมื่อเพิ่มคำว่า "ดี" หรือ "ชั่ว" ต่อท้าย ความหมายจึงชัดเจนว่า ผู้นั้นได้กระทำเรื่องดีหรือเรื่องไม่ดีลงไป


@@@@@@

พุทธศาสนาสอนว่า ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม การที่คนหรือสัตว์เป็นเช่นไรในเวลานี้หรือเวลาไหน ก็เป็นผลที่มาจากเหตุก่อนหน้าทั้งสิ้น บาลีเรียกว่า "ปฏิจจสมุปบาท" ซึ่งเป็นหลักที่แสดงในรูปของกฎธรรมชาติ กล่าวคือ "เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี, สิ่งนี้เกิด สิ่งนี้จึงเกิด, สิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี, สิ่งนี้ดับสิ่งนี้จึงดับ" หมายถึงภาวะที่มีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย (อิทัปปัจจยตา) ซึ่งสิ่งทั้งหลายนั้น ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นได้ด้วยตัวของมันเอง ทุกชีวิต ทุกปรากฏการณ์ ล้วนมีเหตุและสิ่งที่เป็นไปตามเหตุนั้นเสมอ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้เองโดด ๆ การเกิดขึ้นมาและความเป็นไปเช่นนั้น มาจากเหตุปัจจัยก่อนหน้าทั้งสิ้น

เพราะฉะนั้นคำถามที่ว่าไม่มีศาสนาก็ไม่บาป ไม่ต้องรับผลกรรมจริงไหม คำตอบคือไม่จริง เพราะการที่บุคคลจะมีศาสนาหรือไม่มีศาสนาก็ตาม กฏของธรรมชาติก็เป็นอยู่อย่างนั้น หนึ่งบวกหนึ่งได้ผลลัพธ์เป็นสองเสมอ การกระทำใด ๆ ย่อมมีผลเกิดขึ้นวันยังค่ำ และผลที่ว่านี้ก็จะเป็นผลที่ "สมเหตุ" หมายถึงผลลัพธ์จะเชื่อมโยงกับสาเหตุนั้น ๆ ได้อย่างตรงไปตรงมา เช่น เมื่อเราทุบโต๊ะผลลัพธ์ก็คือเสียงทุบ คือการเจ็บมือ หรือจะอะไรก็ตามที่มีเหตุมาจากการทุบโต๊ะ ความหมายของกรรมทางพุทธศาสนาเป็นอย่างนี้

@@@@@@

ส่วนการจะนับถือศาสนาหรือไม่นั้น อาตมาเห็นว่า ศาสนาจะมีผลต่อการดำเนินชีวิตของใครก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล ผู้ที่ได้ชื่อว่านับถือศาสนา ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าเขาจะเป็นคนดี ส่วนคนที่ไม่มีศาสนา ก็ใช่ว่าเขาจะเป็นคนดีไม่ได้

ต้องเข้าใจก่อนว่า การไม่มีศาสนากับการไม่มีศีลธรรม มันคนละเรื่องกัน *ศีลธรรมเป็นความปกติเป็นเรื่องสากล เป็นสามัญสำนึกที่พึงมี (จากการสั่งสอน หรือรู้ด้วยตัวเอง) หากสามัญสำนึกนี้มิได้เกิดกับบุคคลใด ต่อให้เป็นผู้ที่นับถือศาสนาก็ไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนดี ในทางกลับกันคนที่ไม่มีศาสนา แต่เป็นผู้มีความเมตตากรุณา เห็นอกเห็นใจผู้อื่น แม้เขาจะรู้หรือไม่รู้ตัวก็ตาม เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นคนดี มีศีลธรรม

ศาสนา หมายถึง คำสอน และการปฏิบัติตามคำสอนสำหรับผู้ที่นับถือศาสนานั้น ๆ แม้ปัจจุบันผู้ไม่มีศาสนาหรือผู้ที่เลิกนับถือศาสนาจะมีมากขึ้น ซึ่งน่าจะเกิดจากโลกยุคปัจจุบันเป็นโลกของวัตถุและบริโภคนิยม ทำให้การดิ้นรนแสวงหาปัจจัยตอบสนองความต้องการวัตถุนิยมเหล่านั้น เป็นเรื่องที่มีความสำคัญต่อชีวิตมากกว่า เมื่อเขามองเห็นว่าศาสนาไม่ได้ช่วยอะไร ทุกอย่างเกิดจากตัวของเขาเองด้วยมันสมองและสองมือ จึงทำให้เขาหันมานับถือความสามารถของตัวเอง และกำหนดแนวทางชีวิตเอง


@@@@@@

ส่วนคนที่ได้ชื่อเป็นผู้นับถือศาสนา แต่ไม่เคยใส่ใจในหลักธรรมคำสอนทางศาสนา มัวแต่ไปยึดติดกับพิธีกรรมอันเป็นเรื่องนอกรีตนอกรอย นับถือศาสนากันแต่เพียงในนาม ก็เปรียบกันไม่ได้กับคนที่ไม่มีศาสนาแต่นับถือตัวเอง นับถือความถูกต้อง เสียด้วยซ้ำ

ดังนั้น สาระสำคัญในเรื่องศาสนาจึงมิได้ขึ้นอยู่ที่เขาจะนับถือหรือไม่นับถือศาสนา อาตมากำลังสื่อว่าศาสนาเป็นเพียงเครื่องมือที่นำมาใช้ในการดำเนินชีวิตไปในทิศทางที่ดีที่ถูกต้อง ทั้งนี้จึงขึ้นอยู่กับตัวบุคคล

          เจริญพร
          พระจิรสุโภ ภิกขุ
          วัดปากน้ำพิบูลย์สงคราม จังหวัดนนทุบรี



ชอบคุณภาพและเนื้อหาจาก
https://today.line.me/th/pc/article/ไม่มีศาสนาก็ไม่บาป+ไม่ต้องรับผลกรรมจริงไหม-kLNkQM 
LINE TODAY , เผยแพร่ : 20 กันยายน 2561 เวลา 13.12 น.
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ