กรรมฐาน มีมากมาย จริง ในยุคปัจจุบัน รูปแบบ แตกแขนงออกไป ภายใต้คำว่า สติ และ สมาธิ ครูอาจารย์แต่ละท่าน ก็ล้วนมีกลอุบายวิธี เฉพาะเจาะจงแก่ศิษย์ การเรียนกรรมฐาน โดยไม่รู้ว่า เรียนไปทำไม ? จึงมิใช่เรื่องที่จะทำให้ท่านทั้งหลายเข้าใจ ในกรรมฐานได้ เพราะว่า เป้าหมายในกรรมฐาน เป็นเครื่องกำหนดความสำเร็จของกรรมฐาน ในการเริ่มต้น สมัยที่อาตมา ภาวนา กรรมฐาน มันตีกัน มันยุ่งเหยิง สับสนด้วยวิธีการ ทำให้เสียเวลามากมาย ครั้นจะไม่นึกถึง มันก็ผุดขึ้นมาว่า อันนี้ดีกว่า อันนี้ดีกว่า อันนี้ถนัดกว่า อันนี้ง่ายกว่า อันนี้สะดวกกว่า เฮ้อ กว่าจะรู้สึกตัว ผ่านไปตั้ง หนึ่งอาทิตย์ โดยที่ทั้่งอาทิตย์ มันก็นั่ง นิ่ง ๆ เฉย แต่แตกความคิด มากมายกับการเลือกกรรมฐาน ช่างน่าอายจริง ๆ หนึ่งอาทิตย์ กับความคิดตัวเอง
ถ้าไม่มีครูมาบอกขั้นตอนสอนไว้ และนึกไม่ได้ ถ้าจะเสียเวลามากกว่า หนึ่งอาทิตย์
มันรำคาญ และท้อแท้ ในช่วง วันที่ 5 และ 6 เพราะว่า มันเหมือนว่า ฉันมานั่งนอนอยู่ที่ ถ้ำ นี้อย่างเสียเวลา มันน่าอาย เทวดา สัมภะเวสี แม้สัตว์ทั้งหลาย ที่อยู่รอบถ้ำนี้เสีย จริง ๆ เขาอุตส่าห์ อนุโมทนา ไม่มารบกวน ฉันเลย ทั้งอาทิตย์นี้ ทั้ง ๆ ที่เพื่อนฉัน ขึ้นมานอนที่ถ้ำนี้ ถูกรบกวน ด้วย งูบ้าง ตะขาบบ้าง และแม้เสียงโหยหวน ของสัตว์ที่ร้องตอนกลางคืน แต่ฉันขึ้นมาอยู่หนึ่งอาทิตย์ ทั้งเดิน ทั้งนอน ไม่มีสิ่งใดมารบกวนเลย แต่ ผลกรรมฐานนั้น กับไม่เป็นที่พอใจของตนเองเสียจริง นึกไปนึกมาก็ละอายใจ อยู่
ดังนั้นวันรุ่งขึ้นเมื่อทำวัตรเสร็จ ฉันก็เลยนั่งประชดตัวเองด้วยการสวด พระพุทธคุณ สวดไปเป็นร้อย ๆ จบ จนสาย จนโยมมาทำบุญในวันพระ จึงได้หยุดสวด พอหยุดสวด ขณะนั้น ฉันก็นึกถึง คำสอนของครูที่สอนวิธีสัมปยุตธรรม ก่อนทำกรรมฐาน นึกได้ตอนนั้นมัน โพลง ขึ้นมาทันที
แหม เราลืมไปได้อย่างไร ตอนแรก คิดว่า ขั้นตอนเหล่านี้ไม่มีความสำคัญ แต่ พอวันนี้หลังจากฉันภัตรเสร็จโยมลงไปจากถ้ำแล้ว ก็เลยเริ่มทำตามที่ครูสอนไว้
หนึ่งอาทิตย์ทำแบบเปล่า ๆ จริง ๆ สู้วันนี้ไม่ได้ ทำเพียงเล็กน้อย แต่สมาธิ เกิดขึ้นอย่างดี
นี้แหละหนา เราตกม้าตาย เพราะมันไม่จับบังเหียน คิดว่าตนเองเก่ง แท้ที่จริงที่เก่งเพราะจำไม่ได้ความนี่เอง
เล่าไว้ให้ท่านทั้งหลาย ที่ประมาท ต่อคำสอนของครูอาจารย์ และจะได้เห็นความสำคัญของขั้นตอนพระกรรมฐาน นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด
เจริญธรรม / เจริญพร