ผมก็คิดเช่นเดียวกันครับ การจับมือของพระสงฆ์ ต่างขั้วนั้น คือ ด้วยทิฏฐิ ที่ไม่เสมอกัน ศีลที่ไม่เสมอกัน ปัญญาที่ไม่เสมอกัน อาจาระที่ไม่เหมือนกัน มันต้องเกิดระหองระแหงแน่
ตอนนี้ระบบพระสงฆ์เถรวาท กำลังกลายเป็นมหายานไปแล้วครับ ไม่ใช่มหายานกลายมาเป็นเถรวาท เพราะมหายานทางศีลนั้นย่อหย่อนกว่า ทางฝ่านหินยาน
ตอนนี้พระสงฆ์ไทยเห็นดี ในด้านการประกอบอาชีพเอง ประจบคฤหัสถ์มากขึ้น พระทำขนมปังขาย เปิดโรงหมอ เปิดโรงแรม พระทำนา ทำไร่ ทำสวน ขับรถ ขับจักรยาน ล้วนแล้ว ก็มาจากอิทธิพลของมหายานทั้งนั้น
เมื่อก่อนพระสงฆ์จะเรียนก็มีจุดมุ่งหมายสืบสานต์อายุพระพุทธศาสนา แต่ปัจจุบัน เรียนเพื่อเพิ่มอีโก้ และลาสิกขาบถ ไปทำงานกัน หลักสูตรที่ถูกยกย่องมากที่สุด ก็ คือ ปริญญาบัตร ไม่ใช่ นักธรรม หรือ เปรียญแบบเมื่อก่อน ถ้า
เวลาผมไปวัดเดี๋ยวนี้จะได้ยินแต่พูดว่า จบ ป ตรี ป โท กำลัง ทำ ดร. ประมาณนี้ แต่ไม่ม่ใครที่จะแสดงถึงเรื่อง นักธรรม เปรียญบาลี พอพูดออกไป ส่วนใหญ่จะบอกว่า เปรียญสอบยาก ป.ตรี โท นั้นมันง่ายกว่า มีประโยชน์มากกว่า
จริงอยู่ การสอนการอบรม ศีลธรรม มันก็มีความสำคัญ แต่เราให้ความสำคัญในด้าน ศ๊ลธรรมเพียงเพื่อสันติสุขเท่านั้น แม้หลักสูตรการเจริญวิปัสสนา ที่ผมไปสัมผัสที่ มจร ก็ไม่ได้มุ่งไปสู่ สถานะ แห่งพระนิพพาน แต่มุ่งไปสู่การรับรองเพื่อปริญญาบัตร คือเหมือนเป็นหลักสูตรรับรอง ป.ตรี โท เอก ประมาณนั้น ผู้มาเรียนก็ํจำต้องมาเพราะอยู่ในภาควิชาบังคับ ประมาณนี้
คนอื่นอาจจะมองว่าดี แต่ผมมองว่า เถรวาทปัจจุบันกำลังกลายพันธ์เป็น มหายานไปโดยไม่รู้ตัว