วิธีดับความวิตก ตรึกนึก คิดฟุ้งซ่าน ไม่เป็นสมาธิ
ขอนอบน้อมแด่ พระพุทธเจ้า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ขอนอบน้อมแด่พระธรรม ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ พระเถระ พระอริยะเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ผู้ที่ควรแก่การเคารพนพน้อม
ธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่ผมโพสท์กล่าวทั้งหมด เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสไว้ดีแล้ว ประเสริฐแล้ว หาประมาณมิได้ พึงปฏิบัติและให้ผลได้ไม่จำกัดกาล เป็นธรรมเพื่อให้เราทั้งหลายได้เห็นทางพ้นทุกข์ จนถึงที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ผมได้นำธรรมอันประเสริฐทั้งหลายเหล่านั้นมาพิจารณาปฏิบัติ กรรมฐาน สมถะ และ วิปัสนา ทำให้ผมได้รู้เห็นและขยายความข้อธรรมและแนวปฏิบัติต่างๆตามจริต และ สติกำลังร่วมกับปัญญาของผมได้ดังนี้...หากธรรมที่ผมได้โพสท์กล่าวนั้นมีความผิดพลาด ผิดเพี้ยน ไม่เป็นจริงด้วยประการใดๆ ขอท่านทั้งหลายพึงรู้ว่าธรรมนั้นมาจากความคิดพิจารณาด้วยสติปัญญาอันน้อยนิดของผมแล้วกลั่นกรองออกมาเป็นแนวทางปฏิบัตินั้นๆ หากเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลายให้พึงระลึกรู้โดยจริงว่า ธรรมอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้นแล เป็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และตรัสสอน ไม่ใช่ธรรมของผมแต่อย่างใด
บัดนี้ข้าพเจ้าขอแสดงธรรมเรื่อง วิธีดับความวิตก ตรึกนึก คิดฟุ้งซ่าน ไม่เป็นสมาธิ ตามวิธีที่ผมศึกษาเรียนรู้ปฏิบัติมา เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินไปในธรรมดังนี้หลายครั้งที่ผมนั่งสมาธิแล้วชอบ วิตก ตรึกนึกฟุ้งซ่านไม่เป้นสมาธิ เข้าไม่ได้แม้ขณิกสมาธิ ทั้งๆที่เมื่อก่อนเคยทำสมาธิได้ถึงความสงบว่างมีสติแลดูอยู่ มีจิตจดจ่อได้นาน สามารถเข้าสมาธิจิตเมื่อไหร่ ตอนไหนก็ได้
มาเมื่อมาถึง 2 ช่วงเวลาที่เกิดขึ้นแก่ผมทำให้ผมไม่อาจเข้าสมาธิได้เลยคือ
1. ประสบพบเจอกับความทุกข์กายใจ ที่ขณะนั้นสำหรับผมมันหนักมาก ทำให้ผมไม่ได้ทำสมาธิต่อ เดี๋ยวนี้พอจะเข้าสมาธิก็เข้าไม่ได้เพราะจิตมัวหลงไปกับความ รัก โลภ โกรธ หลง ที่เกิดขึ้นแก่จิตอยู่ขณะนั้นๆทำให้จิตใจฟุ้งซ่านกระสับกระส่าย ระส่ำระส่ายไปหมด
2. พอมีคนมาสอนให้พิจารณาในวิปัสนา(บอกผมเจริญแต่วิปัสนาส่วนเดียว) ยิ่งทำให้ผมตรึกนึกคิดมากขึ้น ยิ่งรู้เห็นมากก็ยิ่งตรึกนึกคิดมากไม่เป็นสมาธิ แม้พิจารณาธรรมในวิปัสนามันก็เป็นได้แค่วิปัสนึก ไม่เห้นจริง ไม่รู้จริง จิตไม่มีกำลังมากพอจะพิจารณาใดๆ มีแค่ความคิดตนเองที่อนุมานเอาเท่านั้น
ทางแก้ไขวิตกจริต ตรึกนึกคิดขณะทำสมาธิ ทั้งด้วยกิเลสหรือติดในอนุมานจากการเรียนวิปัสนานี้ ผมได้พบเจอตามที่หลวงปู่มั่นสอนไว้ และ พบที่เป็นพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดังนี้
1. อาปานานสติ
2. กำหนดนิมิตขึ้นมาพิจารณา
3. พิจารณาธรรม
-------------------------------------------------------------------------------------------1. อาปานานสติ
- สิ่งแรกที่พระพุทธเจ้ารู้ ก็คือลมหายใจนี้แหละ และ พระพุทธก็มีอาปานานุสสติกรรมฐานเป็นอันมาก ดั่งที่พระราชพรหมญาณ (หลวงปู่ฤๅษีลิงดำ)ท่านสอนว่า
- แม้พระอรหันต์ก็ไม่ทิ้งลมหายใจ
- แม้พระพุทธเจ้าก็ตรัสแก่พระสารีบุตรว่า "สารีบุตรดูก่อน สารีบุตรเราเองก็เป็นผู้มากไปด้วยอานาปานุสสติกรรมฐาน" คำว่า "มาก" ก็หมายความว่า พระพุทธเจ้าทรงกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นปกติ ทั้งนี้เพราะอานาปานุสสติกรรมฐาน เป็นกรรมฐานระงับกายสังขาร คือเป็นกรรมฐานคลายอารมณ์เครียดของจิตใจ และเป็นกรรมฐานคลายอารมณ์เครียดทางร่างกาย มีทุกขเวทนา เป็นต้น
- เราทรงอานาปานุสสติกรรมฐานได้ ก็เหมือนกับคนฉีดมอร์ฟีน เป็นยาระงับ ระงับเวทนา อานาปานุสติกรรมฐานจงทำให้มาก จงอย่าละ ถ้าใครแสดงอาการเลว แสดงว่าคนนั้นทิ้งกำหนดลมหายใจเข้าออก
- ถ้าการกำหนดลมหายใจเข้าออกว่างเกินไป ก็ใช้คำภาวนาควบ เวลาหายใจเข้านึกว่า "พุท" เวลาหายใจออกนึกว่า "โธ" พยายามกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออกไว้เป็นปกติ
1.1 ให้ทิ้งความรู้ทั้งหมดใส่หีบไว้ก่อน ดั่งที่หลวงปู่มั่นพระอาจารย์ใหญ่ท่านกล่าวสอนไว้
1.2 กำหนดรู้ลมหายใจเข้า-ออก หายใจเข้ายาว-หายใจออกยาวก้รู้ หายใจเข้าสั้น-หายในออกสั้นก็รู้ หายใจเข้ายาว-หายใจออกสั้นก็รู้ หายใจเข้าสั้น-หายใจออกยาวก็รู้ มีสติรู้ลมจดจ่ออยู่จิตจะสงบ
1.3 ไม่ส่งจิตออกนอก คือ ไม่เอาจิตปล่อยไปตามอดีต ไม่ปล่อยไปตามอนาคต มีสติรู้ปัจจุบัน
1.3.1 สิ่งใดๆที่มันผ่านไปแล้ว มันจบไปแล้ว เราจักไม่เอาจิตไม่ย้ำคิดคำนึงถึงใน รูปใด เสียงใด กลิ่นใด รสใด โผฐฐัพพะใด ธัมมารมณ์ใด หรือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ใดๆที่ล่วงเลยมาแล้ว
1.3.2 สิ่งใดๆที่มันยังมาไม่ถึง เราจักไม่เอาจิตไม่ย้ำคิดคำนึงถึงใน รูปใด เสียงใด กลิ่นใด รสใด โผฐฐัพพะใด ธัมมารมณ์ใด หรือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ใดๆที่ยังมาไม่ถึง สิ่งที่มายังไม่ถึงมันเป็นได้แค่ความคิดปรุงแต่งคาดคะเนอนุมานเอาเท่านั้น
1.3.3 พึงรู้ในปัจจุบันขณะ รู้ลมหายใจเข้า-ออก
1.4 ไม่เอนไหวไปตามสัญญา คือ ความจำได้จำไว้ หรือ ความสำคัญมั่นหมายใดๆของใจ
1.4.1 ไม่เผลอไผลตามสัญญาจนเกิดเป็นความปรุงแต่งเป็นเรื่องราวต่างๆนาๆทั้งที่พอใจยินดี-ไม่พอใจยินดี และ ทั้งที่ใจปารถนา-ทั้งที่ใจไม่ปารถนาใดๆ
1.4.2 ความตรึกนึกคิดปรุงแต่งเรื่องราวใดๆทั้งที่เป็น อดีต และ อนาคต ทั้งหลายนี้เพราะมีสัญญาเป็นที่สุด มีสัญญาเป็นใหญ่
1.4.3 เมื่อเราเอาจิตใจเข้าไปเสพย์ในสัญญาใดๆที่ทำให้อกุศลเกิดขึ้นแล้ว ความปรุงแต่งเรื่องราวต่างๆก็เกิดขึ้นตามที่พอใจยินดี-ไม่พอใจยินดี เมื่อความโสมนัสเกิด-ก็ปารถนาใคร่ได้ เมื่อความโทมนัสเกิด-ก็ไม่ชอบอยากจะผลักหนีให้ไกลตน ต้องละความติดข้องใจในสัญญานั้นๆด้วยหาประโยชน์ไม่ได้นอกจากทุกข์ ไม่เข้าไปยึดเอาสัญญานั้นๆมาอีก รู้กายรู้ใจในปัจจุบันว่ากำลังทำอะไรอยู่
1.4.4 พึงระลึกในสิ่งที่ดีเป็นกุศลใดๆที่ทำให้จิตใจของเรานั้นแจ่มใส เบิกบาน เป็นสุขโดยปราศจากความเพลิดเพลินติดใจยินดี แล้วน้อมมารู้กายใจในปัจจุบันขณะนั้นว่ากำลังทำสมาธิอยู่ และ นี่ก็คือมหากุศลกรรมอันมีอานิสงส์เป็นอันมากแก่ตนเอง คนในครอบครัว และ คนอื่น พึงตั้งเจตนาในกุศลกรรมที่กำลังกระทำอยู่นั้น
1.4.5 พึงรู้ในปัจจุบันขณะ รู้ลมหายใจเข้า-ออก
จากข้อที่ 1.1-1.3 จะเห็นว่าการส่งจิตออกนอกทั้งหลายนั้น มีสัญญาเป็นใหญ่ เอาความปรุงแต่งจิตที่เป็นสัญญา คือ ความจำได้ จำไว้ ความสำคัญมั่นหมายใดๆของใจมาตั้งเสพย์อารมณ์นั้นๆ ทั้งๆที่มันผ่านมาแล้ว ทั้งที่ยังมาไม่ถึง ทั้งที่ปรุงต่อเรื่องราวไปเอง อนุมานเอาไปเอง การรู้เห็นในปัจจุบันนี้เป็นธรรมอันประเสริฐที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนเพื่อไม่หลงไป ฟุ้งไป