ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: จตุตถฌาน(ฌาน ๔) มีลมหายใจหรือไม่.? มีหลักฐานยืนยันอยู่ใน.......  (อ่าน 5652 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28506
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


๙. อนุรุทธเถรคาถา
คาถาสุภาษิตของพระอนุรุทธเถระ

    [๓๙๓] พระอนุรุทธะละพระชนกชนนี พระประยูรญาติ ละเบญจกามคุณได้แล้วเพ่งฌานอยู่ บุคคลผู้เพียบพร้อมด้วยการฟ้อนรำขับร้อง มีดนตรีบรรเลงปลุกให้รื่นเริงใจอยู่ทุกค่ำเช้า ก็ไม่บรรลุถึงความบริสุทธิ์ด้วยการฟ้อนรำขับร้องนั้นได้ เพราะยังเป็นผู้ยินดีในกามคุณอันเป็นวิสัยแห่งมาร
     พระอนุรุทธะก้าวล่วงเบญจกามคุณนั้นเสียแล้ว ยินดีในพระพุทธศาสนา
     ก้าวล่วงโอฆะทั้งปวงแล้ว เพ่งฌานอยู่ ฯลฯ
     
     ....................................................................   
     ......ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
     ภิกษุทั้งหลายถามเราว่า พระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้วหรือยัง
     เราได้ตอบว่า ลมหายใจออกและหายใจเข้ามิได้มีแก่พระผู้มีพระภาค
     ผู้มีพระหฤทัยตั้งมั่น คงที่ แต่พระองค์ยังไม่ปรินิพพานก่อน
     พระผู้มีพระภาคผู้มีพระจักษุ ผู้ไม่มีตัณหาเป็นเครื่องทำใจให้หวั่นไหว
    ทรงทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ คือ เสด็จออกจากจตุตถฌาน แล้วจึงจะเสด็จปรินิพพาน

    พระผู้มีพระภาคทรงอดกลั้นเวทนา ด้วยพระหฤทัยอันเบิกบาน
     ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคผู้เป็นดวงประทีปของชาวโลกกับทั้งเทวโลก เสด็จดับขันธปรินิพพาน
     ความพ้นพิเศษแห่งพระหฤทัยได้มีขึ้นแล้ว


     บัดนี้ธรรมเหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่ ๕ ของพระมหามุนีได้สิ้นสุดลงแล้ว
     ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว จิตและเจตสิกธรรมเหล่าอื่นจักไม่มีอีกต่อไป

     ................................ฯลฯ.....................................

________________________________
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๖  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๘
ขุททกนิกาย วิมาน-เปตวัตถุ เถร-เถรีคาถา
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=26&A=7834&Z=7898



อรรถกถา ขุททกนิกาย เถรคาถา วีสตินิบาต
๙. อนุรุทธเถรคาถา

    คาถา ๓ คาถามีอาทิว่า นาหุ อสฺสาสปสฺสาสา นี้ พระเถระถูกภิกษุทั้งหลายถามในเวลาที่พระศาสดาเสด็จปรินิพพานว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วหรือ? เมื่อจะประกาศภาวะคือการปรินิพพานจึงกล่าวไว้.

     บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาหุ อสฺสาสปสฺสาสา ฐิตจิตฺตสฺส ตาทิโน ความว่า
     ลมอัสสาสปัสสาสะมิได้มีแก่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าผู้คงที่ ผู้เข้าสมาบัติทุกอย่างอันเกลื่อนกล่นด้วยอาการต่างๆ โดยอนุโลมและปฏิโลม แล้วออกจากสมาบัติในตอนหลังสุด มีพระหฤทัยตั้งมั่นอยู่ในจตุตถฌาน.


     ด้วยคำนั้น ท่านแสดงว่า กายสังขารของท่านผู้เข้าจตุตถฌาน ย่อมดับไป และลมอัสสาสปัสสาสะ ท่านเรียกว่ากายสังขาร
     เพราะเหตุนั้น จำเดิมแต่ขณะอยู่ในจตุตถฌาน ลมอัสสาสปัสสาสะจึงไม่มี.

     ชื่อว่าผู้ไม่หวั่นไหว เพราะไม่มีความหวั่นไหว กล่าวคือตัณหา.
     อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าผู้ไม่หวั่นไหว เพราะเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ.
     บทว่า สนฺติมารพฺภ ได้แก่ ปรารภ คืออาศัย หมายเอาอนุปาทิเสสนิพพาน.
     บทว่า จกฺขุมา ได้แก่ ผู้มีจักษุด้วยจักษุ ๕.
     บทว่า ปรินิพฺพุโต แปลว่า ปรินิพพานแล้ว.

     จริงอยู่ ในคำนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ :-
     พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเข้าผลสมาบัติในจตุตถฌานอันมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วเสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ในลำดับแห่งจตุตถฌานนั้นนั่นแหละ.


     บทว่า อสลฺลีเนน ได้แก่ มีพระหฤทัยไม่หดหู่ คือเบิกบานดีแท้.
     บทว่า เวทนํ อชฺฌวาสยิ ความว่า เป็นผู้มีสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้นเวทนาอันเกิดในเวลาใกล้มรณะ.
     คือไม่เป็นไปตามเวทนาดิ้นรนไปรอบๆ.



    ด้วยบทว่า ปชฺโชตสฺเสว นิพฺพานํ วิโมกฺโข เจตโส อหุ ท่านแสดงว่า ประทีปที่ลุกโพลง อาศัยน้ำมัน อาศัยไส้ จึงโพลงอยู่ เมื่อน้ำมันและไส้หมด ย่อมดับไป และดับแล้ว ย่อมไม่ไปอยู่ที่ไหนๆ ย่อมหายไปโดยแท้ ย่อมถึงการมองไม่เห็นฉันใด ขันธสันดานก็ฉันนั้น อาศัยกิเลสและอภิสังขารเป็นไปอยู่ เมื่อกิเลสและอภิสังขารเหล่านั้นสิ้นไป ย่อมดับไป และดับไปแล้วย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ ย่อมอันตรธานไปโดยแท้ ย่อมถึงการมองไม่เห็นเลย

     ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมดับไป เหมือนดวงประทีปนี้ดับไปฉะนั้น และมีอาทิว่าเหมือนเปลวไฟถูกกำลังลมเป่าฉะนั้น.

     บทว่า เอเต นี้ ท่านกล่าวโดยความที่ธรรมทั้งหลายอันเป็นไปในพระสันดานของพระศาสดา ในขณะเวลาจะปรินิพพาน ได้ประจักษ์แก่ตน. ชื่อว่ามีครั้งสุดท้าย เพราะเบื้องหน้าแต่นั้นไม่มีการเกิดขึ้นแห่งจิต.
     บทว่า ทานิ แปลว่า บัดนี้.
     บทว่า ผสฺสปญฺจมา นี้ ท่านกล่าวโดยความที่ธรรมทั้งหลายมีผัสสะเป็นที่ ๕ ปรากฏขึ้น.
     จริงอย่างนั้น แม้ในกถาว่าด้วยจิตตุปบาท ท่านก็กล่าวธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ ไว้ข้างต้น.


     บทว่า อญฺเญ ธมฺมา ได้แก่ ธรรม คือจิตและเจตสิกเหล่าอื่นพร้อมด้วยที่อาศัย ไม่ใช่จิตและเจตสิกในเวลาปรินิพพาน.
     ถามว่า แม้จิตและเจตสิกในเวลาปรินิพพาน ก็จักไม่มีเลยมิใช่หรือ?
     ตอบว่า จักไม่มีก็จริง แต่เพราะไม่มีความกินแหนงใจ ไม่ควรกล่าวหมายเอาจิตและเจตสิกธรรมเหล่านั้นว่า จักไม่มี.
     หากจะพึงมีความแหนงใจว่า ก็ธรรมอื่นจักมี ดุจมีแก่พระเสขะและปุถุชนไหม
     ดังนั้น เพื่อจะห้ามความแหนงใจข้อนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรมเหล่าอื่นจักไม่มี ดังนี้.

___________________________________________________
ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=26&i=393
ขอบคุณภาพจาก http://www.trueplookpanya.com/, http://www.utdid.com/ , http://img.tarad.com/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28506
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0

       ans1 ans1 ans1

     อนุรุทธเถรคาถานี้ แสดงให้เห็นอีกว่า พระพุทธเจ้ามีเวทนา
     จำได้ว่า หนูกบเคยตั้งคำถามว่า พระอรหันต์มีเวทนาหรือไม่
     ข้อธรรมในคาถานี้มีประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า
     "พระผู้มีพระภาคทรงอดกลั้นเวทนา ด้วยพระหฤทัยอันเบิกบาน"
     ประโยคนี้จึงยืนยันได้ว่า อรหันต์ยังมีเวทนาอยู่ ไม่ใช้หุ่นยนต์หรือเป็นพระอิฐพระปูนแต่อย่างไร

 
     ประโยคต่อมาคือ
     "ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคผู้เป็นดวงประทีปของชาวโลกกับทั้งเทวโลก เสด็จดับขันธปรินิพพาน"
     ใครที่เข้าใจว่า พระอรหันต์ไม่ีมีขันธ์ห้า ขอให้พิจารณาคำว่า "ดับขันธปรินิพพาน"
     ทำไมในบาลีต้องใช้คำว่า "ดับขันธ์"


     พระสูตรนี้น่าจะตอบข้อสงสัยของหนูกบ(kobyamkala) ได้ระดับหนึ่่ง

      :25: :25: :25:
     
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

Tong9

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 15
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

       ans1 ans1 ans1

     อนุรุทธเถรคาถานี้ แสดงให้เห็นอีกว่า พระพุทธเจ้ามีเวทนา
     จำได้ว่า หนูกบเคยตั้งคำถามว่า พระอรหันต์มีเวทนาหรือไม่
     ข้อธรรมในคาถานี้มีประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า
     "พระผู้มีพระภาคทรงอดกลั้นเวทนา ด้วยพระหฤทัยอันเบิกบาน"
     ประโยคนี้จึงยืนยันได้ว่า อรหันต์ยังมีเวทนาอยู่ ไม่ใช้หุ่นยนต์หรือเป็นพระอิฐพระปูนแต่อย่างไร

 
     ประโยคต่อมาคือ
     "ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคผู้เป็นดวงประทีปของชาวโลกกับทั้งเทวโลก เสด็จดับขันธปรินิพพาน"
     ใครที่เข้าใจว่า พระอรหันต์ไม่ีมีขันธ์ห้า ขอให้พิจารณาคำว่า "ดับขันธปรินิพพาน"
     ทำไมในบาลีต้องใช้คำว่า "ดับขันธ์"


     พระสูตรนี้น่าจะตอบข้อสงสัยของหนูกบ(kobyamkala) ได้ระดับหนึ่่ง

      :25: :25: :25:
รบกวนจขกท  พิจารณาพุทธพจน์จากพระสูตรบทนี้หน่อยครับ.........

  [๑๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุ
ผู้เป็นเถระอยู่ในอาวาสโน้น เป็นพหูสูต มีอาคมอันมาถึงแล้ว เป็นผู้ทรงธรรม ทรง
วินัย ทรงมาติกา ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาเฉพาะหน้าพระเถระนั้นว่า นี้เป็นธรรม
นี้เป็นวินัย นี้เป็นคำสั่งสอนของพระศาสดา ดังนี้ พวกเธอไม่พึงชื่นชม ไม่พึงคัดค้าน
คำกล่าวของภิกษุนั้น ครั้นแล้ว พึงเรียนบทและพยัญชนะเหล่านั้นให้ดี แล้วสอบ
สวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียง
ในพระวินัย ลงในพระสูตรไม่ได้ ลงในพระวินัยไม่ได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า
นี้มิใช่คำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระนั้นจำมาผิดแล้ว ดังนั้น
พวกเธอพึงทิ้งคำกล่าวนั้นเสีย ถ้าเมื่อสอบสวนในพระสูตร เทียบเคียงในพระวินัย
ลงในพระสูตรได้ เทียบเคียงในพระวินัยได้ พึงถึงความตกลงในข้อนี้ว่า นี้เป็นคำของ
พระผู้มีพระภาคแน่นอน และพระเถระนั้นจำมาถูกต้องแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พวกเธอพึงทรงจำมหาประเทศข้อที่สี่นี้ไว้ ฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงทรงจำ
มหาประเทศทั้ง ๔ เหล่านี้ไว้ ฉะนี้แล ฯ
 

http://www.84000.org/tipitaka/read/?10/112-116

ผมวางลิ้งไว้ ถ้าจะให้ดีกรุณาเข้าไปอ่านให้หมด   เป็นพระสูตรที่เกี่ยวกับมหาปเทศสี่ครับ
บันทึกการเข้า

Tong9

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 15
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อยากให้นำเอามหาปรินิพพานสูตรมาเทียบเคียง  อรรถหรือเนื้อหาในมหาปรินิพานสูตร
ไม่ได้มีคำว่า.....ดับขันธ์ปรินิพานเลย  ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังปรินิพพาน
เห็นมีแต่คำว่า.....ปรินิพพาน


ดูได้จาก  บทสนทนาของพระพุทธเจ้ากับมาร   หรือพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ (มหาปรินิพพานสูตร)
ผมจะยกให้ดูเป็นบางส่วน.....
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอ
พระสุคตจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค
ก็พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระวาจานี้ไว้ว่า ดูกรมารผู้มีบาป พรหมจรรย์ของเรานี้
จักยังไม่สมบูรณ์ กว้างขวาง แพร่หลาย รู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่น จนกระทั่ง
พวกเทวดาและมนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว เพียงใด เราจักยังไม่ปรินิพพานเพียงนั้น
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บัดนี้ พรหมจรรย์ของพระผู้มีพระภาคนี้สมบูรณ์แล้ว
กว้างขวาง แพร่หลาย รู้กันโดยมาก เป็นปึกแผ่น จนกระทั่งพวกเทวดาและ
มนุษย์ประกาศได้ดีแล้ว ขอพระผู้มีพระภาคจงปรินิพพานในบัดนี้เถิด ขอพระสุคต
จงปรินิพพานในบัดนี้เถิด บัดนี้ เป็นเวลาปรินิพพานของพระผู้มีพระภาค ฯ
            เมื่อมารกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสตอบว่า ดูกรมารผู้
มีบาป ท่านจงมีความขวนขวายน้อยเถิด ความปรินิพพานแห่งตถาคตจักมีไม่ช้า
โดยล่วงไปอีกสามเดือนแต่นี้ ตถาคตก็จักปรินิพพาน   



แม้แต่เรื่องที่มีพระอนุรุธเถระมาเกี่ยวข้อง 
นี้เป็นบทสนาทนาระหว่างพระอานนท์กับพระอนุรุธเถระ พระสูตรมีดังนี้....
ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้กล่าวถามท่านพระอนุรุทธะว่าพระผู้มีพระภาค
เสด็จปรินิพพานแล้วหรือ ท่านพระอนุรุทธะตอบว่าอานนท์ผู้มีอายุ พระผู้มีพระ
ภาคยังไม่เสด็จปรินิพพาน ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ
             ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ทรง
เข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรง
เข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าวิญญาณัญ-
*จายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออก
จากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌาน
แล้ว ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจาก
ทุติยฌานแล้ว ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว ทรงเข้าจตุตถฌาน พระ
ผู้มีพระภาคออกจากจตุตถฌานแล้ว เสด็จปรินิพพานในลำดับ (แห่งการพิจารณา
องค์จตุตถฌานนั้น) ฯ
 


ที่กล่าวมาเป็นเพียงบางส่วนถ้าต้องการศึกษา  เพื่อการเทียบเคียงไปตามลิ้งครับ

http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v.php?B=10&A=1888&Z=3915
บันทึกการเข้า

Tong9

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 15
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

       ans1 ans1 ans1

     อนุรุทธเถรคาถานี้ แสดงให้เห็นอีกว่า พระพุทธเจ้ามีเวทนา
     จำได้ว่า หนูกบเคยตั้งคำถามว่า พระอรหันต์มีเวทนาหรือไม่
     ข้อธรรมในคาถานี้มีประโยคหนึ่งที่กล่าวว่า
     "พระผู้มีพระภาคทรงอดกลั้นเวทนา ด้วยพระหฤทัยอันเบิกบาน"
     ประโยคนี้จึงยืนยันได้ว่า อรหันต์ยังมีเวทนาอยู่ ไม่ใช้หุ่นยนต์หรือเป็นพระอิฐพระปูนแต่อย่างไร

 
เพราะท่านทั้งหลายเข้าใจผิดว่า  อาการเจ็บป่วยทางกาย  เป็นเวทนาขันธ์
แท้จริงแล้วมันไม่ใช่  เวทนาที่เป็นการเจ็บป่วยทางกาย ไม่ใช่ขันธ์  เป็นเพียงผัสสะทางกาย
การรู้ผัสสะทางกาย  พระพุทธองค์รู้ด้วยอินทรีย์ห้า  หนึ่งในอินทรีย์ห้านั้นก็คือ...ปัญญินทรีย์
อินทรีย์ห้าของพระอรหันต์หรือของพระพุทธเจ้า   ไม่ใช่เจตสิก
 เพราะว่าอินทรีย์ห้านั้นไม่ได้เกิดจาก  จักขุอินทรีย์  โสต..ชิวหา..ฆาต..กาย
สาเหตุข้างบนคำอธิบายในเรื่อง  เวทนาของพระอรหันต์หรือพระพุทธเจ้าไม่ใช่ขันธ์

ส่วนเรื่องเวทนาของพระพุทธเจ้า  ในเรื่องที่เกี่ยวกับปรินิพานหรือดับขันธ์  เป็นอะไรกันแน่
เราก็ต้องไปเทียบเคียงในมหาปรินิพพานอีกเช่นกัน...
[๑๔๘] เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว พร้อมกับการเสด็จ
ปรินิพพาน ท่านพระอนุรุทธะ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ความว่า
                          ลมอัสสาสะปัสสาสะของพระมุนีผู้มีพระทัยตั้งมั่น คงที่ ไม่
                          หวั่นไหว ทรงปรารภสันติ ทรงทำกาละ มิได้มีแล้ว พระองค์
                          มีพระทัยไม่หดหู่ ทรงอดกลั้นเวทนาได้แล้ว ความพ้นแห่งจิต
                          ได้มีแล้ว เหมือนดวงประทีปดับไปฉะนั้น ฯ
 

พระอนุรุธกล่าวถึงเวทนาไว้  แล้วก็จบลงที่ ..ปรินิพาน  ไม่ใช่ดับขันธ์ปรินิพาน
บันทึกการเข้า

kobyamkala

  • โยคาวจรผล
  • ******
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 2236
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
อ่านแล้ว แสดง ให้เห็นว่้า มีการบรรยายขันธ์ 5 โดยสภาวะ กับ โดย ขันธ์ 5 ที่มีใจครอง และ ไม่มีใจครอง

   ขันธ์ 5  ( เอาเฉพาะส่วนวเวทนาขันธ์ ) หมายถึง ความเข้าไปยึดมั่นถือมั่น จึง มีขันธ์ 5

   ชันธ์ 5 ที่เป็นไปตามปกติ ไม่ต้องมีอุปาทานขันธ์ ก็มี ขันธ์ 5

   อันที่จริง คิดว่า นามรูป เราเข้าไปรู้ หรือ ไม่รู้ ขันธ์ 5 นามรูป ก็มีอย่างนั้น ภายใต้กฏอันเดียวกัน

   :34: :58: :49:
บันทึกการเข้า
แล้วลองแอบมาแย้มกะลา
เพื่อดูโลก เห็นแล้วตกใจโลกนี้กว้างใหญ่จริง ๆ

ฟ้าใหม่แจ่มใส

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 226
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
จะเป็น ขันธ์ ที่ความยึดถือ ว่าเป็นขันธ์ หรือ จะเป็นขันธ์ ที่ เป็น ธาตุ มี ใจ ก็สรุปแล้ว เป็น ทุกข์เหมือนกัน

  ถึงไม่ยึดมั่น ถือมั่น เวทนาขันธ์ ก็มีเช่นเดิม เพียงแต่จิต มีฉลาด อาจจะไม่ต้องมานั่งร้อง โอย โอย ครวญคราง เพราะอย่างไร ใจ ก็ต้อง อาศัยกาย รูปขันธ์ และ รูปขันธ์ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็ต้อง มี เวทนา สัญญา สังขาย วิญญาณ จะเป็น พระอริยะบุคคล หรือ เป็น ปุถุชน ก็ต้องมีเช่นเดิม ภายใต้ กฏแห่งธรรม คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ท้ายที่สุด ใครจะละปล่อยวาง ลงได้ ก็อยู่ที่ภาวนา ของ แต่ละบุคคล

 สรุป เวทนาขันธ์ มี ทั้ง สองแบบ

   ( เรามีความเจ็บ เป็นธรรมดา เราไม่ล่วงพ้น ความเจ็บ นี้ไปได้ )

   :s_hi:
 
บันทึกการเข้า
เครดิต ยายกบ ถ้าไม่ถูกใจก็ต้องว่า ยายกบ เพราะชวนมาศึกษาธรรมะ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28506
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0
   
    gd1 gd1 st11 st11  st12 st12
   
   ดีมากเลยครับ อยากให้ทุกท่านช่วยกันอ่านพระไตรปิฎก แล้วนำมาวิพากษ์กัน
   ผิดหรือถูกอย่างไร ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง วิสัยของปุถุชนนั้น สัมมาทิฏฐิยังไม่สมบูรณ์
   มรรคที่เดินอยู่ ยังไม่ใช่อริยมรรค สัมมาทิฏฐิที่สมบูรณ์ต้องรู้แจ้งอริยสัจ
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ