ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - เฉินหลง
หน้า: 1 2 [3] 4
81  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ตอน 2 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2011, 09:45:30 am
        หลวงปู่ศุข เห็นผีสมภารดื้อด้านถึงเพียงนี้ ท่านจึงกล่าวออกมาดังๆว่า "อนิจจาเอ๋ยไม่เคยเห็น ผีตายหรือจะสู้กับผีเป็น นะโมพุทธายะ" ด้วยถ้อยคำประโยคนี้ ผีสมภารก็หายวับไป ไม่มีเสียงโครมครามใดๆ ตามมาอีก และหลวงปู่ศุขก็ไม่ใส่ใจสนใจอีกต่อไป เอนกายลงพักผ่อนตามปกติของท่าน

        เช้าวันรุ่งขึ้นอดีตมัคทายกและชาวบ้านกลุ่มใหญ่รีบมาที่วัดแต่เช้า เห็นหลวงปู่ศุขเป็นปกติดีไม่มีอะไร ต่างปีตีดีใจเข้ามากราบไหวันมัสการสอบถาม ว่าเมื่อคืนมีเหตุการณ์ร้ายๆอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ หลวงปู่ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มๆ ทำนองมิให้ซักไซร้ให้มากความ ชาวบ้านจึงไม่กล้าละลาบละล้วงถามอีก จากนั้นก็กลับไปจัดหาภัตราหารเช้ามาถวาย

        เมื่อท่านกระทำภัตกิจเรียบร้อย ชาวบ้านนิมนต์ให้ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อน เพื่อพวกเขาจะได้มีโอกาสทำบุญสร้างกุศลกันบ้าง หลวงปู่ศุข ก็เมตตารับนิมนต์ หลวงปู่พำนักอยู่ที่กุฎิร้างของสมภารเก่า ๕ คืน ไม่กรากฎมีผีสมภารออกอาละวาดอีกเลย ท่านเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงเก็บอัฐบริขารเพื่อเดินทางต่อไปชาวบ้านอ้อน วอนให้ท่านเป็นสมภารวัดร้างแห่งนี้ แต่หลวงปู่ไม่อาจรับศรัทธาญาติโยมข้อนี้ได้

กลับภูมิลำเนา

            หลวงปู่ท่านเพลินอยู่ในธรรมเสียหลายปี  จนกระทั่งมารดาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าได้ชราภาพลงตามอายุขัย ด้วยความเป็นห่วงใยในมารดาและบิดา ท่านจึงได้เดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม และได้อยู่จำพรรษาปีแรกๆที่วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่แต่โบราณที่อยู่ลึก เข้าไปในคลองมะขามเฒ่าหรือบริเวณต้นแม่น้าท่าจีนในปัจจุบัน แต่ทว่าสภาพวัดในขณะนั้น ชำรุดทรุดโทรมลงตามสภาพ เกินกว่าที่จะบูรณะให้กลับคืนในสภาพที่ดีได้ต่อไป ท่านจึงได้    ขยับขยายออกมา ที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและได้สร้างกุฎิขึ้นครั้งแรกหนึ่งหลังพอเป็นที่ อยู่อาศัย ไปพลางก่อน

กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

         อาจจะเป็นด้วย บุญกุศลของหลวงปู่ศุข กับเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งราชนาวี  ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นับลำดับราชสกุลวงศ์ เป็นพระโอรสพระองค์ที่ 28 และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ ที่1 ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ได้สร้างสมกันมาแต่ชาติปางก่อน ดลบันดาลให้เสด็จในกรมฯ ซึ่งทรงศรัทธาเลื่อมใสในทางมหาพุทธาคมอยู่แล้ว ได้เสด็จประพาสไปในภาคเหนือ  จึงเป็นเหตุให้หลวงปู่ศุขและพระองค์ท่านได้พบกัน  จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์-อาจารย์เพื่อจะได้ศึกษาทางมหาพุทธาคมและปรากฎว่า พระองค์เป็นศิษย์ที่มีความรู้ความ  สามารถได้ศึกษาแตกฉานจนกระทั่งหลวงปู่ศุขเองก็หมดความรู้ที่จะถ่ายทอด จึงแนะนำให้เสด็จในกรมฯไปศึกษาเคล็ดวิชากับหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน จังหวัดพิจิตรต่อ ดังเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วนั้น    เมื่อหลวงปู่ศุขท่านมีลูกศิษย์อย่างเสด็จในกรมฯ จึงเป็นกำลังสำคัญให้ท่านสามารถที่จะสร้างวัดปากคลองมะขามเฒ่าให้เสร็จ สมบูรณ์ ถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาที่คงเหลือเป็นประจักษ์พยานในปัจจุบันนี้คือ ภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯบนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนสีน้ำที่กรมศิลปากรยกย่องว่า เสด็จในกรมหลวงชุมพร ทรงมีฝีมือทางการเขียนภาพเป็นอย่างมาก และทรงสอดแทรกอารมณ์ขันในภาพพระพุทธ-เจ้าชนะมารในกระแสน้ำที่พระแม่ธรณีบิด มวยผม ทำให้เกิดอุทกธาราหลากไหลพัดพาเอาทัพพระยามารไปนั้น

        พระองค์ท่านเขียนเป็นภาพลิงใส่นาฬิกาและหนีบขวดวิสกี้ กำลังเดินตุปัดตุเป๋ไปเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฤาษีปัญจวัคคี โดยสอดใส่อารมณ์ที่ยิ้มเยาะเย้ยหยัน อย่างไม่อะไรไยดีต่อพระองค์เน้นความรู้สึกได้เด่นชัดมาก  ฝีมือของเสด็กในกรมฯ อีกชิ้นหนึ่งก็คือ ภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นรูปหลวงปู่ศุขยืนเต็มตัวและถือไม้เท้า ภาพนี้เขียนในขณะที่หลวงปู่ศุข ชราภาพมากแล้ว ท่านจึงต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงในการเดิน  ซึ่งภาพนี้ก็ยังปรากฎให้เห็นอยู่ที่วัดปากคลอง  มะขามเฒ่าจวบจนทุกวันนี้  ความสัมพันธ์ ระหว่างอาจารย์ กับ ลูกศิษย์ นอกจากจะถูกอัธยาศัยกันเป็นยิ่งนัก จักเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอแล้ว ถ้าเสด็จในกรมฯติดราชการงานเมือง หลวงปู่ก็จะลงมาหา โดยเสด็จในกรมฯได้สร้างกุฎิอาจารย์ ไว้กลางสระที่วัดนางเลิ้ง ซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัววิค   ตอเรีย  มีใบกลมใหญ่ขนาดถาด  และรู้สึกว่ากลางใบจะมีหนามคมด้วย อันนี้ได้รับคำบอกเล่า   จาก ลุงผล ท่าแร่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ ติดสอยห้อยตามหลวงปู่ศุขมาแต่เล็ก ท่านเป็นชาวอุตรดิตถ์ หรือพิษณุโลก จำได้ไม่ถนัดนัก หลวงปู่ท่านขอพ่อแม่เขามาเลี้ยงเป็นบุตร บุญธรรม เมื่อสิ้นบุญหลวงปู่ศุข ท่านก็ เลยลงหลักปักฐานได้ภริยาอยู่ที่ตำบลท่าแร่ อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท  เลยเรียกกันติดปากว่า ลุงผล ท่าแร่   แต่อย่างไรก็ตาม ภายในกำหนด 1 ปี หลวงปู่ท่านจะต้องลงมากรุงเทพฯ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย  เพราะเสด็จในกรมฯท่านจะทำวิธีไหว้ครูราวๆ เดือนเมษายน งานจะจัดเป็น 3 วัน วันแรกไหว้ครูกระบี่กระบอง  วันที่สองไหว้ครูหมอยาแผนโบราณ  และวันที่สามไหว้ครูทางวิทยายุทธ์ พุทธาคมและไสยศาสตร์ จัดเป็นงานใหญ่มีมหรสพสมโภชทุกคืน กับมีการแจกพระเครื่องรางของขลังจากหลวงปู่ศุขอีกด้วย แต่ในระยะหลังๆ หลวงปู่ศุขท่านมีอายุ   มากแล้ว สุขภาพไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าใดนัก ท่านจึงไม่ค่อยได้ลงมา

วัตถุมงคลรุ่นแรก

            สืบต่อมามารดาของหลวงปู่ได้ถึงแก่กรรมและได้จัดฌาปนกิจศพ และในงานนี้เองหลวงปู่ ท่านได้สร้างวัตถุมงคลในรูปพระพิมพ์สี่เหลี่ยมซุ้มรัศมีออกแจกเป็นของที่ ระลึกเป็นครั้งแรก เมื่อผู้ที่ได้รับแจกพระเครื่องจากท่านไปได้ปรากฎอภินิหารทางอยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกันเขี้ยวงา คือสุนัขกัดไม่เข้า ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ ที่บังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะบ้านนอกอย่างใน ชนบทสมัยก่อนนั้นไม่ค่อยจะมีรั้วรอบขอบชิดเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็ได้อาศัยสุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นยามเฝ้าบ้าน ฉะนั้น การที่แวะเวียนไปบ้านหนึ่งบ้านใดนั้นจะต้องระวังเรื่องสุนัขลอบกัดให้ดี มิฉะนั้นท่านจะถูกสุนัขกัดเอาง่ายๆ พระเครื่องของหลวงปู่จึงมีชื่อเรื่องสุนัขกัดไม่เข้า เป็นปฐมเหตุก่อน  จึงเกิดความนิยมไปขอท่านมาแขวนคอบุตรหลานเพื่อกันเขี้ยวงาและภยันตรายต่างๆ  สมัยก่อน พระวัดปากคลองเนื้อตะกั่ว จะมีแขวนอยู่ในคอเด็กในท้องถิ่นเกือบจะทุกคน แล้วถ้าไปขอพรหลวงปู่ศุข ท่านมักจะถามว่า "เอ็งมีลูกกี่คน?" ท่านจะให้ครบทุกคน กิตติศัพท์ในความขลังประสิทธิในพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่านจึงค่อยๆ เผยแพร่จากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง ในเวลาไม่ช้าไม่นาน คุณวิเศษของท่านจึงค่อยๆ โด่งดังขจรขจายไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก การขนส่งสินค้า ตลอดจนการทำมาค้าขาย จะขึ้นล่องจะต้องอาศัยสายน้ำ เจ้าพระยาเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เพราะในสมัยนั้นถนนหนทางทางบกยังทุรกันดาร พอตกเพลาพลบค่ำพ่อค้าพ่อขายเรือเล็กเรือใหญ่จะมาอาศัยนอนค้างแรมที่แพหน้า วัดของท่าน  เพื่ออาศัยบารมีของท่านช่วยป้องกันขโมยขโจร     ที่จะมาประทุษร้ายต่อเลือดเนื้อชีวิตและทรัพย์สิน ถ้าจะเปรียบไปแล้วหน้าวัดของท่านจึงเป็น  เสมือนหนึ่งเป็นชุมทางที่สำคัญนี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยเสริมส่งให้เกียรติคุณของท่านแผ่ขยายไปทั่วทุกภาคของประเทศชื่อเสียง ของท่านจึงเป็นที่รู้จักกันดี"หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า"

พระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง

         การที่ท่านทำพระเครื่องรางของขลัง ได้ประสิทธิ์ มี ฤทธิ์ มีเดช ทั้งๆที่อักษรเลขยันต์พื้นๆนั้น เป็นเพราะอำนาจจิตที่ท่านได้ฝึกฝนมานั้น กล้าแกร่งยิ่งนัก โดยเฉพาะกสิณธาตุทั้งสี่ มี ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญ เป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจอิทธิฤทธิ์ทางใจเลยทีเดียว สำหรับการสำเร็จวิชาชั้นสูงเรียกว่า มายาการ คือความเชื่อถือและการปฏิบัติ ที่มุ่งหมายให้เกดิผลด้วยการ ใช้พลังหรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่นของขลัง พิธีกรรม หรือ หลีกลี้ลับ บังคบให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ เช่น ท่านเสกใบมะขาม ให้เป็น ตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ตลอดจนการผูกหุ่นพยนต์ด้วยฟางข้าว เสกคนให้เป็นจระเข้เป็นต้น มันเป็นมายาการชั้นสูง คือการบังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ

         แท้ที่จริงแล้วใบมะขามก็ยังคงเป็นใบมะขาม หัวปลี ก็ คงเป็นหัวปลี และหุ่นฟาง ก็คงเป็นหุ่นฟางเหมือนเดิม เว้นแต่อำนาจจิตของท่านทำให้เราเห็นไปเอง จากหนังสือ "พระกฐินพระราชทาน สมาคมศิษย์อนงคาราม ปี 2519 เรื่องพระใบมะขาม ท่านผู้เขียนอดีตเป็นพระมหา มีหน้าที่ไปอุปัฏฐากหลวงปู่ศุขขณะที่อาราธนาท่านมาปลุกเสกพระชัยวัฒน์ และพระปรกใบมะขาม (พ.ศ.2459)ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า เมื่อข้าพเจ้าไปอุปัฏฐากหลวงพ่อแล้ว  มีชาวบ้านชาววัดมาขอให้หลวงพ่อลงกระหม่อมบ้าง ลงตะกรุดพิสมรบ้าง โดยยื่นแผ่น เงิน ทอง นาก ให้ลงคาถา บางคนขอเมตตา บางคนขอการค้าขาย หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ลง ข้าพเจ้าถามว่า การค้าขายจะให้ลงว่ากระไร ท่านบอกว่า "นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู "  ข้าพเจ้าจึงบอกว่า "หลวงพ่อครับ ผมไม่มีความขลัง ลงไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร " หลวงพ่อบอกว่า " มันอยู่ที่ผมเสกเป่านะคุณมหา" ข้อนี้ยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะระหว่างนั้นข้าพเจ้าให้หลวงพ่อลงกระหม่อม และท่านเสกเป่าไปที่ศรีษะตั้งหลายครั้ง เมื่อท่านเป่าที่กระหม่อมทีไร ข้าพเจ้าขนลุกชันทั่วทั้งตัวทุกครั้ง ทั้งที่ข้าพเจ้าฝืนใจไม่ให้ขนลุก ก็ ลุกซู่ทุกครั้งที่ท่านเป่า ข้อนี้เป็นมหัศจรรย์ จริงๆ ข้าพเจ้าคิดว่าจะเป็นแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ไปสอบถามภิกษุอุปัฐาก รูปอื่นๆ ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน ข้อนี้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า "ท่านสำเร็จสมถะภาวนาแน่ๆ"

           อนึ่งท่านเป็นพระที่น่าเคารพนับถือ สำรวมในศีลเป็นอย่างดี  ไม่ใคร่พูดจานั่งสงบอารมณ์ เฉยๆ ไม่ถามอะไร ท่านก็ไม่ตอบไม่พูด บางอย่างข้าพเจ้าถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ตอบเลี่ยงไปทางอื่น เช่น " เขาว่าหลวงพ่อเสกใบไม้เป็นต่อ และเสกผ้าเช็ดหน้าเป็นกระต่ายได้ และแสดงให้กรมหลวงชุมพรฯเห็นจนท่านยอมเป็นศิษย์ " หลวงพ่อตอบข้าพเจ้าว่า ลวงโลก แล้วท่านก็นิ่งไม่ตอบว่า อะไรอีก หลวงพ่อพูดต่อไปว่า "เวลานี้ กรมหลวงชุมพรฯไปต่างประเทศ (เข้าใจว่าไปรับเรือพระร่วง ) ถ้าอยู่ก็ต้องมาหาท่าน และปรนนิบัติ ท่านจนท่านกลับวัด และว่ากรมหลวงชุมพรฯ นี้ ตกทะเลไม่ตาย แม้จะมีสัตว์ร้ายก็ไม่ทำอันตรายได้ "

ท้ายบท

             การที่เราคนรุ่นหลังจักเขียนเรื่องราวและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านมรณะภาพล่วงไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษให้ได้ใกล้เคียงกับความจริงนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ อาศัยหลักฐานทางเอกสารที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง จากการสอบถามบรรดาลูกศิษย์ ลูกหาของท่าน ซึ่งส่วนมากจะล้มหายตายจากกันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการที่ท่านได้รับรู้จากการเขียน ของ "ท่านมหา" ซึ่งเคยเป็นอุปัฏฐากหลวงปู่ จึงใกล้เคียงความจริงเท่าที่จะหาได้มากที่สุด



ขอบคุณเนื้อเรื่อง ภาพประกอบโดย คุณ phutakun
82  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ตอนที่ 1 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2011, 09:43:01 am
หากเอ่ยชื่อ พระครูวิมลคุณากร คนทั่วไปอาจจะยังไม่คุ้นหูเท่าใดนัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อ หลวงปู่ศุข  วัดปากคลองมะขามเฒ่าแล้วล่ะก้อ ไม่มีใครปฎิเสธได้ว่าไม่รู้จัก โดยเฉพาะนักนิยมพระเครื่องแล้ว แทบทุกคนต่างใฝ่หาพระเครื่องของหลวงปู่ศุข มาใช้เพราะเชื่อกันว่า พระหลวงปู่ศุขนั้นให้พุทธคุณ ทั้งด้านเมตตามหานิยม และ ด้านแคล้วคลาด คงกระพัน

ภูมิลำเนา - ชีวิตก่อนบวช

            หลวงปู่ศุข ท่านอยู่ในละแวก วัดมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ปัจจุบันยังมี  ลูกหลานของท่านอยู่ที่บ้านใต้วัดปากคลองมะขามเฒ่าอีกหลายคน หรือแม้แต่ร้านค้าขายภายในบริเวณวัดเองก็ยังมี  หลวงปู่ศุข ท่านใช้นามสกุล เกศเวชสุริยา อีกสกุลหนึ่ง ท่านเป็นบุตรคนโตในจำนวนพี่น้อง 9 คน ด้วยกัน    เมื่อหลวงปู่ศุข อยู่ในวัยฉกรรจ์ ท่านได้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ทำมาหากินค้าขายเล็กๆน้อยๆ โดยยึดลำคลองบางเขน ซึ่งมีปากคลองเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้จังหวัดนนทบุรีลงมา ปัจจุบันอยู่ข้างทางเข้าวัดทางหลวง เป็นที่ทำมาหากิน คลองบางเขนนี้ทอดขึ้นไปเชื่อมกับคลองรังสิต เมื่อก่อนนี้เป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมทางน้ำ  ที่สำคัญ และกว้างขวางเป็นอย่างมาก เมื่อการคมนาคมทางบกเจริญขึ้น การสัญจรทางน้ำก็หมดความสำคัญลง ปัจจุบันคงจะตื้นเขินไปแล้วก็ได้  เพราะขาดการทนุบำรุงที่ควร     หลวงปู่ศุข ท่านทำมาหากินอยู่ในคลองบางเขนอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งได้ภรรยาชื่อนางสมบูรณ์ และกำเนิดบุตรชายคนหนึ่งชื่อ สอน เกศเวชสุริยา

บวช

            หลวงปู่ศุข ท่านครองเพศฆาราวาสอยู่ไม่นาน พออายุท่านครบ 22 ปี ท่านได้ลาไปอุปสมบท ณ วัดโพธิ์บางเขน หรือปัจจุบันชื่อว่า วัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งอยู่ปากคลองบางเขนตอนล่าง ส่วนวัดโพธิ์ทองบน อยู่ตอนเหนือของปากคลองบางเขน ตอนบนบริเวณจังหวัดปทุมธานี   พระอุปฌาย์ท่านชื่อ  หลวงพ่อเชย จันทสิริ อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ ฝ่ายรามัญ ที่ถือเคร่งในวัตรปฎิบัติและพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวงพ่อเชยท่านยังเป็นอาจารย์ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีความรู้และความชำนาญรู้แจ้งแทงตลอด อีกทั้งทางด้านวิทยาคม   ก็แก่กล้าเป็นยิ่งนัก หลวงปู่ศุข ท่านได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้จากพระอุปฌาย์ของท่านมาพร้อมกับพระอาจารย์ เปิง วัดชินวนาราม และหลวงปู่เฒ่าวัดหงษ์ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อเชย วัดโพธิ์ทองล่างเหมือนกัน

ผีสมภารวัดร้าง

"ผีสมภารวัดร้าง" ซึ่งนายยอด สุขทอง ลูกศิษย์คนหนึ่งของท่านรับฟังมาและนำมาเล่าต่อ ดังมีรายละเอียดดังนี้

        ครั้งนั้นหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จาริกธุดงค์ ไปนมัสการพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี เมื่อท่านได้ถวายอภิวาทต่อรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความปิติอิ่มใจแล้วจึงได้เดินธุดงค์กลับวัดปากคลองมะขามเฒ่าของท่าน ระหว่างเดินทางกลับท่านได้จากริมาพบวัดร้างแห่งหนึ่งในเวลาเย็นย่ำสนธยา ซึ่งถึงกาลอันสมควรหาสถานที่เหมาะสมเพื่อปักกลด หลวงปู่ศุข พิจารณาวัดร้างแห่งนี้เห็นว่าพอจะอาศัย เป็นสถานที่พักผ่อนในราตรีกาลที่จะมาถึงได้ ท่านจึงแบกกลดเข้าไปในเขตธรณีสงฆ์แห่งนั้น

        บริเวณทั่วไปของวัดร้างสงัดเงียบ มีโบสถ์ ศาลาการเปรียญและกุฎิ พระครบสมบูรณ์ เพียงแต่ปราศจากพระเณรจำพรรษาคอยดูและรักษาทำนุบำรุง เสนาสนะต่างๆ ดังนั้นศาสนสถานโดยทั่วไปจึงชำรุดทรุดโทรมผุพังเป็นที่น่าสังเวช หลวงปู่ศุขรู้สึกแปลกใจระคนสงสัยทีวัดนี้ ไม่ควรจะปล่อยร้างวังเวงดังที่เห็น เพราะสังเกตดูที่ตั้งขอวัดก็อยู่ในพื้นภูมิทำเลที่เหมาะสม ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหมู่บ้านชุมชนเท่าไหรนัก เหตุใดจึงขาดผู้มีจิตกุศลศรัทธาอุปัฎฐากพระเณรถึงเพียงนี้ หลวงปู่เพียงแค่สงสัย แต่ไม่คิดใฝ่ใจใคร่รู้สาเหตุที่มาของวัดร้าง ท่านจึงมองหาที่พักสำหรับคืนนี้ เห็นบริเวณระเบียงด้านหน้ากุฎิหลังใหญ่ดูกว้างขวาง และเปิดโล่งโปร่งสบายก็ตรงไปยังที่น้น วางอัฐบริขารลง แล้วไปเก็บแขนงไม้มารวมกันปัดกวาดพื้นให้สะอาดพอปูอาสนะได้

        ขณะที่หลวงปู่ศุข กำลังปัดกวาดอยู่นั้น มีชาวบ้านเป็นชาย 2 - 3 คน เดินมาหาท่านแล้วนังยกมือไหว้นมัสการ คนที่มีอาวุโสที่สุดถามขึ้นว่า "หลวงพ่อมาจากไหนขอรับ" พวกกระผมเห็นหลวงพ่อเดินลัดตัดทุ่งตรงมาที่นี่ จึงรีบมาพบ" "อาตมาไปนมัสการพระพุทบาทสระบุรีมา

        กำลังจะกลับวัดปากคลองมะขามเฒ่า คืนนี้คงต้องพักที่วัดนี้ชั่วคราว พวกโยมเป็นคนบ้านนี้กระมัง""ใช่ขอรับ กระผมเองอยูเลยหลังวัดนี้ไปไม่เท่าไหร่ เอ้อ หลวงพ่อขอรับ ท่านพักอยู่ตรงระเบียงหน้ากุฎินี้เห็นทีจะไม่เหมาะสมกระมังครับ" "ทำไมหล่ะโยม อาตมาเห็นว่าเป็นวัดร้างไม่มีใครดูแลเป็นเจ้าของจึงไม่ได้ขออนุญาตใคร"

        " ไม่ใช่เรื่องขออนุญาต หรือไม่ขออนุญาตหรอกขอรับ แต่พวกกระผมเป็นห่วงหลวงพ่อ กลัวว่าหลวงพ่อจะเจอเรื่องไม่ดีไม่งามเข้าตอนกลางค่ำกลางคืน " "เรื่องไม่ดีไม่งามที่โยมว่านั่นน่ะ มันเรื่องอะไร" ชายสูงวัยทำท่าอึกอักก่อนจะตัดสินใจไปกราบเรียน "ผีที่นี่เฮี้ยนเหลือกำลังขอรับหลวงพ่อสาเหตุที่วัดนี้กลายเป็นวัดร้าง ก็เพราะผีดุนี่แหละครับ กระผมเองเคยเป็นมัคทายกวัดนี้รู้เรื่องดีเชียวละ"แล้วอดีตมัคทายกก็เล่า เรื่องผีวัดร้างให้ปลวงปู่ศุข ฟังว่า เมื่อก่อนวัดนี้มีพระเณรจำพรรษาไม่เคยขาด ชาวบ้านร้านตลาดมาทำบุญทำทานกันตลอดเวลา

        ต่อมาสมภารเจ้าวัดมรณภาพ ยังไม่ทันจะหาสมภารรูปใหม่มาปกครองดูแลวัด ผีสมภารเปิดฉากออกอาละวาดหลอกหลอนแทบทุกคืนจนพระเณรอกสั่นขวัญหาย แม้ชาวบ้านจะร่วมกันทำบุญแผ่กุศลสักเท่าไหร่ ผีสมภารก็ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ยังคงหลอกหลอนเหมือนเดิม กระทั่งพระเณรทนไม่ไหวพากันหนีหายย้ายไปอยู่วัดอื่นหมด เคยมีพระใหม่ใจกล้ารับอาสาจะมาช่วยบูรณะวัดฟื้นฟูวัด แต่อยู่ได้ไม่กี่วันก็หอบอัฐบริขารจากไป เพราะผีสมภารเล่นงานหลวงปู่ศุขรับฟังอดีตมัคทายกวัดเล่าเรื่อผีสมภารโดยสงบ มิได้แสดงความคิดเป็นแต่ประการใด เมื่อมัคทายกกราบเรียนแนะนำให้ท่านย้ายที่ปักกลดไปอยู่นอกเขตวัดจะดีกว่า ท่านก็เฉยเสีย บอกแต่เพียงว่าคงไม่เป็นไร เพราะท่านมาอาศัยคืนเดียวแล้วก็ไป ผีสมภารคงไม่ทำอะไร

        เมื่อหลวงปู่ยืนยันเช่นนี้ ชาวบ้านก็จำต้องนมัสการกราบลากลับไป ทั้งที่ห่วงใยท่านจะทานวิญญาณร้ายของสมภารเจ้าวัดที่ตายไปไม่ไหว หลวงปู่กางกลด จัดวางบริขารและปูอาสนะเรียบร้อย เมื่อความมืดของราตรีมาเยือน วัดก็ยิ่งวังเวงหนักขึ้น หลวงปู่ไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเย็นตามกิจของท่านแล้วเข้ากลด เจริญสมาธิภาวนาเช่นที่เคยปฎิบัติมา โดยไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ตราบกระทั่งดึกสงัด ก็ปรากฎเสียงบานหน้าต่างของกุฎิหลังใหญ่กระแทกเปิดปิดดังสนั่น ทั้งๆ ที่ประตูหน้าต่างใส่ดาลลั่นกลอนปิดสนิท จะเป็นเพราะลมก็ไม่ใช่เพราะเวลานั้นลมสงบเงียบเชียบ หลวงปู่ศุข กำลังพักผ่อนต้องลุกขึ้นมานั่ง คอยดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีก

        ท่านก็ไม่ต้องคอยนาน เมื่อตรงหน้ากลดนั้นร่างดำมึนดูทะมึนของสมภารวัดได้ผุดวูบขึ้นมา ให้เห็นถนัดชัดเจน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงแหบห้าวดุจไม่พอใจ " มาทำไม?" "ผมไปรุกขมูลมา จะขออาศัยนอนที่นี่สักคืน" หลวงปู่ศุข ตอบผีสมภารนิ่งแล้วหายวับ คราวนี้เกิดเสียงดังโครมครามสนั่นหวั่นไหว ภายในกุฎิไม่ยอมหยุด  ประหนึ่งต้องการขับไล่หลวงปู่ศุข ทว่าหลวงปู่มิได้หวั่นไหวต่อการแสดงฤทธิ์ของผีสมภาร ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังรู้สึกสงสารเวทนาต่อดวงวิญญาณมิจฉาทิฐิ ที่หลงวนเวียนยึดเหนี่ยวในสถานที่นี้ไม่ยอมไปผุดไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า ทั้งๆที่บวชเรียนในพระพุทธศาสนามานานถึงขึ้นเป็นสมภารเจ้าวัด หลวงปู่ศุข สำรวมจิตแผ่เมตตาไปให้ แต่เสียงสนั่นหวั่นไหวภายในกุฎิ ก็ไม่ยอมหยุด สวดมนต์อีกหลายบท ผีสมภารก็ยังไม่รับรู้ มิหนำซ้ำ ผีสมภารยังมาปรากฎร่างยืนตระหว่างตรงหน้ากลด แผดเสียงหัวเราะเย้ยหยันแล้วคำรามลั่นบอกว่า "ไม่กลัวหรอก มีคาถาอะไรก็ว่ามาอีกซิ"

        หลวงปู่ศุข เห็นผีสมภารดื้อด้านถึงเพียงนี้ ท่านจึงกล่าวออกมาดังๆว่า "อนิจจาเอ๋ยไม่เคยเห็น ผีตายหรือจะสู้กับผีเป็น นะโมพุทธายะ" ด้วยถ้อยคำประโยคนี้ ผีสมภารก็หายวับไป ไม่มีเสียงโครมครามใดๆ ตามมาอีก และหลวงปู่ศุขก็ไม่ใส่ใจสนใจอีกต่อไป เอนกายลงพักผ่อนตามปกติของท่าน

        เช้าวันรุ่งขึ้นอดีตมัคทายกและชาวบ้านกลุ่มใหญ่รีบมาที่วัดแต่เช้า เห็นหลวงปู่ศุขเป็นปกติดีไม่มีอะไร ต่างปีตีดีใจเข้ามากราบไหวันมัสการสอบถาม ว่าเมื่อคืนมีเหตุการณ์ร้ายๆอะไรเกิดขึ้นหรือไม่ หลวงปู่ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มๆ ทำนองมิให้ซักไซร้ให้มากความ ชาวบ้านจึงไม่กล้าละลาบละล้วงถามอีก จากนั้นก็กลับไปจัดหาภัตราหารเช้ามาถวาย

        เมื่อท่านกระทำภัตกิจเรียบร้อย ชาวบ้านนิมนต์ให้ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อน เพื่อพวกเขาจะได้มีโอกาสทำบุญสร้างกุศลกันบ้าง หลวงปู่ศุข ก็เมตตารับนิมนต์ หลวงปู่พำนักอยู่ที่กุฎิร้างของสมภารเก่า ๕ คืน ไม่กรากฎมีผีสมภารออกอาละวาดอีกเลย ท่านเห็นว่าสมควรแก่เวลาแล้วจึงเก็บอัฐบริขารเพื่อเดินทางต่อไปชาวบ้านอ้อน วอนให้ท่านเป็นสมภารวัดร้างแห่งนี้ แต่หลวงปู่ไม่อาจรับศรัทธาญาติโยมข้อนี้ได้

กลับภูมิลำเนา

            หลวงปู่ท่านเพลินอยู่ในธรรมเสียหลายปี  จนกระทั่งมารดาที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าได้ชราภาพลงตามอายุขัย ด้วยความเป็นห่วงใยในมารดาและบิดา ท่านจึงได้เดินทางกลับภูมิลำเนาเดิม และได้อยู่จำพรรษาปีแรกๆที่วัดอู่ทองคลองมะขามเฒ่า ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่แต่โบราณที่อยู่ลึก เข้าไปในคลองมะขามเฒ่าหรือบริเวณต้นแม่น้าท่าจีนในปัจจุบัน แต่ทว่าสภาพวัดในขณะนั้น ชำรุดทรุดโทรมลงตามสภาพ เกินกว่าที่จะบูรณะให้กลับคืนในสภาพที่ดีได้ต่อไป ท่านจึงได้    ขยับขยายออกมา ที่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาและได้สร้างกุฎิขึ้นครั้งแรกหนึ่งหลังพอเป็นที่ อยู่อาศัย ไปพลางก่อน

กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์

         อาจจะเป็นด้วย บุญกุศลของหลวงปู่ศุข กับเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ พระบิดาแห่งราชนาวี  ซึ่งเป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นับลำดับราชสกุลวงศ์ เป็นพระโอรสพระองค์ที่ 28 และเป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ ที่1 ในเจ้าจอมมารดาโหมด ธิดาพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) ได้สร้างสมกันมาแต่ชาติปางก่อน ดลบันดาลให้เสด็จในกรมฯ ซึ่งทรงศรัทธาเลื่อมใสในทางมหาพุทธาคมอยู่แล้ว ได้เสด็จประพาสไปในภาคเหนือ  จึงเป็นเหตุให้หลวงปู่ศุขและพระองค์ท่านได้พบกัน  จึงได้ฝากตัวเป็นศิษย์-อาจารย์เพื่อจะได้ศึกษาทางมหาพุทธาคมและปรากฎว่า พระองค์เป็นศิษย์ที่มีความรู้ความ  สามารถได้ศึกษาแตกฉานจนกระทั่งหลวงปู่ศุขเองก็หมดความรู้ที่จะถ่ายทอด จึงแนะนำให้เสด็จในกรมฯไปศึกษาเคล็ดวิชากับหลวงพ่อเงินวัดบางคลาน จังหวัดพิจิตรต่อ ดังเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วนั้น    เมื่อหลวงปู่ศุขท่านมีลูกศิษย์อย่างเสด็จในกรมฯ จึงเป็นกำลังสำคัญให้ท่านสามารถที่จะสร้างวัดปากคลองมะขามเฒ่าให้เสร็จ สมบูรณ์ ถาวรวัตถุทางพุทธศาสนาที่คงเหลือเป็นประจักษ์พยานในปัจจุบันนี้คือ ภาพเขียนฝีมือเสด็จในกรมฯบนฝาผนังพระอุโบสถ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ที่ยังรักษาไว้ได้อย่างสมบูรณ์ และเป็นภาพเขียนสีน้ำที่กรมศิลปากรยกย่องว่า เสด็จในกรมหลวงชุมพร ทรงมีฝีมือทางการเขียนภาพเป็นอย่างมาก และทรงสอดแทรกอารมณ์ขันในภาพพระพุทธ-เจ้าชนะมารในกระแสน้ำที่พระแม่ธรณีบิด มวยผม ทำให้เกิดอุทกธาราหลากไหลพัดพาเอาทัพพระยามารไปนั้น

        พระองค์ท่านเขียนเป็นภาพลิงใส่นาฬิกาและหนีบขวดวิสกี้ กำลังเดินตุปัดตุเป๋ไปเลย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฤาษีปัญจวัคคี โดยสอดใส่อารมณ์ที่ยิ้มเยาะเย้ยหยัน อย่างไม่อะไรไยดีต่อพระองค์เน้นความรู้สึกได้เด่นชัดมาก  ฝีมือของเสด็กในกรมฯ อีกชิ้นหนึ่งก็คือ ภาพเขียนสีน้ำมัน เป็นรูปหลวงปู่ศุขยืนเต็มตัวและถือไม้เท้า ภาพนี้เขียนในขณะที่หลวงปู่ศุข ชราภาพมากแล้ว ท่านจึงต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงในการเดิน  ซึ่งภาพนี้ก็ยังปรากฎให้เห็นอยู่ที่วัดปากคลอง  มะขามเฒ่าจวบจนทุกวันนี้  ความสัมพันธ์ ระหว่างอาจารย์ กับ ลูกศิษย์ นอกจากจะถูกอัธยาศัยกันเป็นยิ่งนัก จักเดินทางไปมาหาสู่กันเสมอแล้ว ถ้าเสด็จในกรมฯติดราชการงานเมือง หลวงปู่ก็จะลงมาหา โดยเสด็จในกรมฯได้สร้างกุฎิอาจารย์ ไว้กลางสระที่วัดนางเลิ้ง ซึ่งเต็มไปด้วยดอกบัววิค   ตอเรีย  มีใบกลมใหญ่ขนาดถาด  และรู้สึกว่ากลางใบจะมีหนามคมด้วย อันนี้ได้รับคำบอกเล่า   จาก ลุงผล ท่าแร่ ซึ่งเป็นลูกศิษย์ ติดสอยห้อยตามหลวงปู่ศุขมาแต่เล็ก ท่านเป็นชาวอุตรดิตถ์ หรือพิษณุโลก จำได้ไม่ถนัดนัก หลวงปู่ท่านขอพ่อแม่เขามาเลี้ยงเป็นบุตร บุญธรรม เมื่อสิ้นบุญหลวงปู่ศุข ท่านก็ เลยลงหลักปักฐานได้ภริยาอยู่ที่ตำบลท่าแร่ อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท  เลยเรียกกันติดปากว่า ลุงผล ท่าแร่   แต่อย่างไรก็ตาม ภายในกำหนด 1 ปี หลวงปู่ท่านจะต้องลงมากรุงเทพฯ 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย  เพราะเสด็จในกรมฯท่านจะทำวิธีไหว้ครูราวๆ เดือนเมษายน งานจะจัดเป็น 3 วัน วันแรกไหว้ครูกระบี่กระบอง  วันที่สองไหว้ครูหมอยาแผนโบราณ  และวันที่สามไหว้ครูทางวิทยายุทธ์ พุทธาคมและไสยศาสตร์ จัดเป็นงานใหญ่มีมหรสพสมโภชทุกคืน กับมีการแจกพระเครื่องรางของขลังจากหลวงปู่ศุขอีกด้วย แต่ในระยะหลังๆ หลวงปู่ศุขท่านมีอายุ   มากแล้ว สุขภาพไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าใดนัก ท่านจึงไม่ค่อยได้ลงมา

วัตถุมงคลรุ่นแรก

            สืบต่อมามารดาของหลวงปู่ได้ถึงแก่กรรมและได้จัดฌาปนกิจศพ และในงานนี้เองหลวงปู่ ท่านได้สร้างวัตถุมงคลในรูปพระพิมพ์สี่เหลี่ยมซุ้มรัศมีออกแจกเป็นของที่ ระลึกเป็นครั้งแรก เมื่อผู้ที่ได้รับแจกพระเครื่องจากท่านไปได้ปรากฎอภินิหารทางอยู่ยงคงกระพัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องกันเขี้ยวงา คือสุนัขกัดไม่เข้า ซึ่งเป็นปรากฎการณ์ ที่บังเกิดขึ้นบ่อยครั้ง เพราะบ้านนอกอย่างใน ชนบทสมัยก่อนนั้นไม่ค่อยจะมีรั้วรอบขอบชิดเสียเป็นส่วนใหญ่ ก็ได้อาศัยสุนัขที่เลี้ยงไว้เป็นยามเฝ้าบ้าน ฉะนั้น การที่แวะเวียนไปบ้านหนึ่งบ้านใดนั้นจะต้องระวังเรื่องสุนัขลอบกัดให้ดี มิฉะนั้นท่านจะถูกสุนัขกัดเอาง่ายๆ พระเครื่องของหลวงปู่จึงมีชื่อเรื่องสุนัขกัดไม่เข้า เป็นปฐมเหตุก่อน  จึงเกิดความนิยมไปขอท่านมาแขวนคอบุตรหลานเพื่อกันเขี้ยวงาและภยันตรายต่างๆ  สมัยก่อน พระวัดปากคลองเนื้อตะกั่ว จะมีแขวนอยู่ในคอเด็กในท้องถิ่นเกือบจะทุกคน แล้วถ้าไปขอพรหลวงปู่ศุข ท่านมักจะถามว่า "เอ็งมีลูกกี่คน?" ท่านจะให้ครบทุกคน กิตติศัพท์ในความขลังประสิทธิในพระพิมพ์สี่เหลี่ยมของท่านจึงค่อยๆ เผยแพร่จากปากหนึ่งไปสู่อีกปากหนึ่ง ในเวลาไม่ช้าไม่นาน คุณวิเศษของท่านจึงค่อยๆ โด่งดังขจรขจายไปทั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัดปากคลองมะขามเฒ่า ซึ่งตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาอันเป็นเส้นทางคมนาคมสายหลัก การขนส่งสินค้า ตลอดจนการทำมาค้าขาย จะขึ้นล่องจะต้องอาศัยสายน้ำ เจ้าพระยาเพียงแห่งเดียวเท่านั้น เพราะในสมัยนั้นถนนหนทางทางบกยังทุรกันดาร พอตกเพลาพลบค่ำพ่อค้าพ่อขายเรือเล็กเรือใหญ่จะมาอาศัยนอนค้างแรมที่แพหน้า วัดของท่าน  เพื่ออาศัยบารมีของท่านช่วยป้องกันขโมยขโจร     ที่จะมาประทุษร้ายต่อเลือดเนื้อชีวิตและทรัพย์สิน ถ้าจะเปรียบไปแล้วหน้าวัดของท่านจึงเป็น  เสมือนหนึ่งเป็นชุมทางที่สำคัญนี่ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยเสริมส่งให้เกียรติคุณของท่านแผ่ขยายไปทั่วทุกภาคของประเทศชื่อเสียง ของท่านจึงเป็นที่รู้จักกันดี"หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า"

พระเครื่อง-เครื่องรางของขลัง

         การที่ท่านทำพระเครื่องรางของขลัง ได้ประสิทธิ์ มี ฤทธิ์ มีเดช ทั้งๆที่อักษรเลขยันต์พื้นๆนั้น เป็นเพราะอำนาจจิตที่ท่านได้ฝึกฝนมานั้น กล้าแกร่งยิ่งนัก โดยเฉพาะกสิณธาตุทั้งสี่ มี ดิน น้ำ ลม ไฟ นั้นเป็นพื้นฐานที่สำคัญ เป็นบ่อเกิดแห่งอำนาจอิทธิฤทธิ์ทางใจเลยทีเดียว สำหรับการสำเร็จวิชาชั้นสูงเรียกว่า มายาการ คือความเชื่อถือและการปฏิบัติ ที่มุ่งหมายให้เกดิผลด้วยการ ใช้พลังหรืออำนาจเหนือธรรมชาติ เช่นของขลัง พิธีกรรม หรือ หลีกลี้ลับ บังคบให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ เช่น ท่านเสกใบมะขาม ให้เป็น ตัวต่อ ตัวแตน เสกหัวปลีให้เป็นกระต่าย ตลอดจนการผูกหุ่นพยนต์ด้วยฟางข้าว เสกคนให้เป็นจระเข้เป็นต้น มันเป็นมายาการชั้นสูง คือการบังคับให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ

         แท้ที่จริงแล้วใบมะขามก็ยังคงเป็นใบมะขาม หัวปลี ก็ คงเป็นหัวปลี และหุ่นฟาง ก็คงเป็นหุ่นฟางเหมือนเดิม เว้นแต่อำนาจจิตของท่านทำให้เราเห็นไปเอง จากหนังสือ "พระกฐินพระราชทาน สมาคมศิษย์อนงคาราม ปี 2519 เรื่องพระใบมะขาม ท่านผู้เขียนอดีตเป็นพระมหา มีหน้าที่ไปอุปัฏฐากหลวงปู่ศุขขณะที่อาราธนาท่านมาปลุกเสกพระชัยวัฒน์ และพระปรกใบมะขาม (พ.ศ.2459)ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า เมื่อข้าพเจ้าไปอุปัฏฐากหลวงพ่อแล้ว  มีชาวบ้านชาววัดมาขอให้หลวงพ่อลงกระหม่อมบ้าง ลงตะกรุดพิสมรบ้าง โดยยื่นแผ่น เงิน ทอง นาก ให้ลงคาถา บางคนขอเมตตา บางคนขอการค้าขาย หลวงพ่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ลง ข้าพเจ้าถามว่า การค้าขายจะให้ลงว่ากระไร ท่านบอกว่า "นะเมตตา โมกรุณา พุทธปราณี ธายินดี ยะเอ็นดู "  ข้าพเจ้าจึงบอกว่า "หลวงพ่อครับ ผมไม่มีความขลัง ลงไปก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร " หลวงพ่อบอกว่า " มันอยู่ที่ผมเสกเป่านะคุณมหา" ข้อนี้ยืนยันว่าเป็นความจริง เพราะระหว่างนั้นข้าพเจ้าให้หลวงพ่อลงกระหม่อม และท่านเสกเป่าไปที่ศรีษะตั้งหลายครั้ง เมื่อท่านเป่าที่กระหม่อมทีไร ข้าพเจ้าขนลุกชันทั่วทั้งตัวทุกครั้ง ทั้งที่ข้าพเจ้าฝืนใจไม่ให้ขนลุก ก็ ลุกซู่ทุกครั้งที่ท่านเป่า ข้อนี้เป็นมหัศจรรย์ จริงๆ ข้าพเจ้าคิดว่าจะเป็นแต่ข้าพเจ้าคนเดียว ไปสอบถามภิกษุอุปัฐาก รูปอื่นๆ ก็ได้รับคำตอบเช่นเดียวกัน ข้อนี้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า "ท่านสำเร็จสมถะภาวนาแน่ๆ"

           อนึ่งท่านเป็นพระที่น่าเคารพนับถือ สำรวมในศีลเป็นอย่างดี  ไม่ใคร่พูดจานั่งสงบอารมณ์ เฉยๆ ไม่ถามอะไร ท่านก็ไม่ตอบไม่พูด บางอย่างข้าพเจ้าถามหลวงพ่อ หลวงพ่อก็ตอบเลี่ยงไปทางอื่น เช่น " เขาว่าหลวงพ่อเสกใบไม้เป็นต่อ และเสกผ้าเช็ดหน้าเป็นกระต่ายได้ และแสดงให้กรมหลวงชุมพรฯเห็นจนท่านยอมเป็นศิษย์ " หลวงพ่อตอบข้าพเจ้าว่า ลวงโลก แล้วท่านก็นิ่งไม่ตอบว่า อะไรอีก หลวงพ่อพูดต่อไปว่า "เวลานี้ กรมหลวงชุมพรฯไปต่างประเทศ (เข้าใจว่าไปรับเรือพระร่วง ) ถ้าอยู่ก็ต้องมาหาท่าน และปรนนิบัติ ท่านจนท่านกลับวัด และว่ากรมหลวงชุมพรฯ นี้ ตกทะเลไม่ตาย แม้จะมีสัตว์ร้ายก็ไม่ทำอันตรายได้ "

ท้ายบท

             การที่เราคนรุ่นหลังจักเขียนเรื่องราวและวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ศุข ซึ่งท่านมรณะภาพล่วงไปแล้วกว่าครึ่งศตวรรษให้ได้ใกล้เคียงกับความจริงนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมากๆ อาศัยหลักฐานทางเอกสารที่ยังหลงเหลืออยู่บ้าง จากการสอบถามบรรดาลูกศิษย์ ลูกหาของท่าน ซึ่งส่วนมากจะล้มหายตายจากกันไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการที่ท่านได้รับรู้จากการเขียน ของ "ท่านมหา" ซึ่งเคยเป็นอุปัฏฐากหลวงปู่ จึงใกล้เคียงความจริงเท่าที่จะหาได้มากที่สุด หากเอ่ยชื่อ พระครูวิมลคุณากร คนทั่วไปอาจจะยังไม่คุ้นหูเท่าใดนัก แต่ถ้าเอ่ยชื่อ หลวงปู่ศุข  วัดปากคลองมะขามเฒ่าแล้วล่ะก้อ ไม่มีใครปฎิเสธได้ว่าไม่รู้จัก โดยเฉพาะนักนิยมพระเครื่องแล้ว แทบทุกคนต่างใฝ่หาพระเครื่องของหลวงปู่ศุข มาใช้เพราะเชื่อกันว่า พระหลวงปู่ศุขนั้นให้พุทธคุณ ทั้งด้านเมตตามหานิยม และ ด้านแคล้วคลาด คงกระพัน

ภูมิลำเนา - ชีวิตก่อนบวช

            หลวงปู่ศุข ท่านอยู่ในละแวก วัดมะขามเฒ่า อำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท ปัจจุบันยังมี  ลูกหลานของท่านอยู่ที่บ้านใต้วัดปากคลองมะขามเฒ่าอีกหลายคน หรือแม้แต่ร้านค้าขายภายในบริเวณวัดเองก็ยังมี  หลวงปู่ศุข ท่านใช้นามสกุล เกศเวชสุริยา อีกสกุลหนึ่ง ท่านเป็นบุตรคนโตในจำนวนพี่น้อง 9 คน ด้วยกัน    เมื่อหลวงปู่ศุข อยู่ในวัยฉกรรจ์ ท่านได้เดินทางเข้ามาในกรุงเทพฯ ทำมาหากินค้าขายเล็กๆน้อยๆ โดยยึดลำคลองบางเขน ซึ่งมีปากคลองเชื่อมกับแม่น้ำเจ้าพระยาตอนใต้จังหวัดนนทบุรีลงมา ปัจจุบันอยู่ข้างทางเข้าวัดทางหลวง เป็นที่ทำมาหากิน คลองบางเขนนี้ทอดขึ้นไปเชื่อมกับคลองรังสิต เมื่อก่อนนี้เป็นเส้นทางหลักในการคมนาคมทางน้ำ  ที่สำคัญ และกว้างขวางเป็นอย่างมาก เมื่อการคมนาคมทางบกเจริญขึ้น การสัญจรทางน้ำก็หมดความสำคัญลง ปัจจุบันคงจะตื้นเขินไปแล้วก็ได้  เพราะขาดการทนุบำรุงที่ควร     หลวงปู่ศุข ท่านทำมาหากินอยู่ในคลองบางเขนอยู่ระยะหนึ่ง จนกระทั่งได้ภรรยาชื่อนางสมบูรณ์ และกำเนิดบุตรชายคนหนึ่งชื่อ สอน เกศเวชสุริยา

บวช

            หลวงปู่ศุข ท่านครองเพศฆาราวาสอยู่ไม่นาน พออายุท่านครบ 22 ปี ท่านได้ลาไปอุปสมบท ณ วัดโพธิ์บางเขน หรือปัจจุบันชื่อว่า วัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งอยู่ปากคลองบางเขนตอนล่าง ส่วนวัดโพธิ์ทองบน อยู่ตอนเหนือของปากคลองบางเขน ตอนบนบริเวณจังหวัดปทุมธานี   พระอุปฌาย์ท่านชื่อ  หลวงพ่อเชย จันทสิริ อดีตท่านเจ้าอาวาสวัดโพธิ์ทองล่าง ซึ่งเป็นพระสงฆ์ ฝ่ายรามัญ ที่ถือเคร่งในวัตรปฎิบัติและพระธรรมวินัยเป็นอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลวงพ่อเชยท่านยังเป็นอาจารย์ ฝ่ายวิปัสสนาธุระ มีความรู้และความชำนาญรู้แจ้งแทงตลอด อีกทั้งทางด้านวิทยาคม   ก็แก่กล้าเป็นยิ่งนัก หลวงปู่ศุข ท่านได้รับถ่ายทอดวิชาความรู้จากพระอุปฌาย์ของท่านมาพร้อมกับพระอาจารย์ เปิง วัดชินวนาราม และหลวงปู่เฒ่าวัดหงษ์ จังหวัดปทุมธานี ซึ่งเป็นศิษย์ในสายหลวงพ่อเชย วัดโพธิ์ทองล่างเหมือนกัน

ผีสมภารวัดร้าง

"ผีสมภารวัดร้าง" ซึ่งนายยอด สุขทอง ลูกศิษย์คนหนึ่งของท่านรับฟังมาและนำมาเล่าต่อ ดังมีรายละเอียดดังนี้

        ครั้งนั้นหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า จาริกธุดงค์ ไปนมัสการพระพุทธบาทจังหวัดสระบุรี เมื่อท่านได้ถวายอภิวาทต่อรอยพระบาทของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความปิติอิ่มใจแล้วจึงได้เดินธุดงค์กลับวัดปากคลองมะขามเฒ่าของท่าน ระหว่างเดินทางกลับท่านได้จากริมาพบวัดร้างแห่งหนึ่งในเวลาเย็นย่ำสนธยา ซึ่งถึงกาลอันสมควรหาสถานที่เหมาะสมเพื่อปักกลด หลวงปู่ศุข พิจารณาวัดร้างแห่งนี้เห็นว่าพอจะอาศัย เป็นสถานที่พักผ่อนในราตรีกาลที่จะมาถึงได้ ท่านจึงแบกกลดเข้าไปในเขตธรณีสงฆ์แห่งนั้น

        บริเวณทั่วไปของวัดร้างสงัดเงียบ มีโบสถ์ ศาลาการเปรียญและกุฎิ พระครบสมบูรณ์ เพียงแต่ปราศจากพระเณรจำพรรษาคอยดูและรักษาทำนุบำรุง เสนาสนะต่างๆ ดังนั้นศาสนสถานโดยทั่วไปจึงชำรุดทรุดโทรมผุพังเป็นที่น่าสังเวช หลวงปู่ศุขรู้สึกแปลกใจระคนสงสัยทีวัดนี้ ไม่ควรจะปล่อยร้างวังเวงดังที่เห็น เพราะสังเกตดูที่ตั้งขอวัดก็อยู่ในพื้นภูมิทำเลที่เหมาะสม ไม่ใกล้ไม่ไกลจากหมู่บ้านชุมชนเท่าไหรนัก เหตุใดจึงขาดผู้มีจิตกุศลศรัทธาอุปัฎฐากพระเณรถึงเพียงนี้ หลวงปู่เพียงแค่สงสัย แต่ไม่คิดใฝ่ใจใคร่รู้สาเหตุที่มาของวัดร้าง ท่านจึงมองหาที่พักสำหรับคืนนี้ เห็นบริเวณระเบียงด้านหน้ากุฎิหลังใหญ่ดูกว้างขวาง และเปิดโล่งโปร่งสบายก็ตรงไปยังที่น้น วางอัฐบริขารลง แล้วไปเก็บแขนงไม้มารวมกันปัดกวาดพื้นให้สะอาดพอปูอาสนะได้

        ขณะที่หลวงปู่ศุข กำลังปัดกวาดอยู่นั้น มีชาวบ้านเป็นชาย 2 - 3 คน เดินมาหาท่านแล้วนังยกมือไหว้นมัสการ คนที่มีอาวุโสที่สุดถามขึ้นว่า "หลวงพ่อมาจากไหนขอรับ" พวกกระผมเห็นหลวงพ่อเดินลัดตัดทุ่งตรงมาที่นี่ จึงรีบมาพบ" "อาตมาไปนมัสการพระพุทบาทสระบุรีมา

        กำลังจะกลับวัดปากคลองมะขามเฒ่า คืนนี้คงต้องพักที่วัดนี้ชั่วคราว พวกโยมเป็นคนบ้านนี้กระมัง""ใช่ขอรับ กระผมเองอยูเลยหลังวัดนี้ไปไม่เท่าไหร่ เอ้อ หลวงพ่อขอรับ ท่านพักอยู่ตรงระเบียงหน้ากุฎินี้เห็นทีจะไม่เหมาะสมกระมังครับ" "ทำไมหล่ะโยม อาตมาเห็นว่าเป็นวัดร้างไม่มีใครดูแลเป็นเจ้าของจึงไม่ได้ขออนุญาตใคร"

        " ไม่ใช่เรื่องขออนุญาต หรือไม่ขออนุญาตหรอกขอรับ แต่พวกกระผมเป็นห่วงหลวงพ่อ กลัวว่าหลวงพ่อจะเจอเรื่องไม่ดีไม่งามเข้าตอนกลางค่ำกลางคืน " "เรื่องไม่ดีไม่งามที่โยมว่านั่นน่ะ มันเรื่องอะไร" ชายสูงวัยทำท่าอึกอักก่อนจะตัดสินใจไปกราบเรียน "ผีที่นี่เฮี้ยนเหลือกำลังขอรับหลวงพ่อสาเหตุที่วัดนี้กลายเป็นวัดร้าง ก็เพราะผีดุนี่แหละครับ กระผมเองเคยเป็นมัคทายกวัดนี้รู้เรื่องดีเชียวละ"แล้วอดีตมัคทายกก็เล่า เรื่องผีวัดร้างให้ปลวงปู่ศุข ฟังว่า เมื่อก่อนวัดนี้มีพระเณรจำพรรษาไม่เคยขาด ชาวบ้านร้านตลาดมาทำบุญทำทานกันตลอดเวลา

        ต่อมาสมภารเจ้าวัดมรณภาพ ยังไม่ทันจะหาสมภารรูปใหม่มาปกครองดูแลวัด ผีสมภารเปิดฉากออกอาละวาดหลอกหลอนแทบทุกคืนจนพระเณรอกสั่นขวัญหาย แม้ชาวบ้านจะร่วมกันทำบุญแผ่กุศลสักเท่าไหร่ ผีสมภารก็ไม่ยอมไปผุดไปเกิด ยังคงหลอกหลอนเหมือนเดิม กระทั่งพระเณรทนไม่ไหวพากันหนีหายย้ายไปอยู่วัดอื่นหมด เคยมีพระใหม่ใจกล้ารับอาสาจะมาช่วยบูรณะวัดฟื้นฟูวัด แต่อยู่ได้ไม่กี่วันก็หอบอัฐบริขารจากไป เพราะผีสมภารเล่นงานหลวงปู่ศุขรับฟังอดีตมัคทายกวัดเล่าเรื่อผีสมภารโดยสงบ มิได้แสดงความคิดเป็นแต่ประการใด เมื่อมัคทายกกราบเรียนแนะนำให้ท่านย้ายที่ปักกลดไปอยู่นอกเขตวัดจะดีกว่า ท่านก็เฉยเสีย บอกแต่เพียงว่าคงไม่เป็นไร เพราะท่านมาอาศัยคืนเดียวแล้วก็ไป ผีสมภารคงไม่ทำอะไร

        เมื่อหลวงปู่ยืนยันเช่นนี้ ชาวบ้านก็จำต้องนมัสการกราบลากลับไป ทั้งที่ห่วงใยท่านจะทานวิญญาณร้ายของสมภารเจ้าวัดที่ตายไปไม่ไหว หลวงปู่กางกลด จัดวางบริขารและปูอาสนะเรียบร้อย เมื่อความมืดของราตรีมาเยือน วัดก็ยิ่งวังเวงหนักขึ้น หลวงปู่ไหว้พระสวดมนต์ทำวัตรเย็นตามกิจของท่านแล้วเข้ากลด เจริญสมาธิภาวนาเช่นที่เคยปฎิบัติมา โดยไม่มีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ตราบกระทั่งดึกสงัด ก็ปรากฎเสียงบานหน้าต่างของกุฎิหลังใหญ่กระแทกเปิดปิดดังสนั่น ทั้งๆ ที่ประตูหน้าต่างใส่ดาลลั่นกลอนปิดสนิท จะเป็นเพราะลมก็ไม่ใช่เพราะเวลานั้นลมสงบเงียบเชียบ หลวงปู่ศุข กำลังพักผ่อนต้องลุกขึ้นมานั่ง คอยดูว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไปอีก

        ท่านก็ไม่ต้องคอยนาน เมื่อตรงหน้ากลดนั้นร่างดำมึนดูทะมึนของสมภารวัดได้ผุดวูบขึ้นมา ให้เห็นถนัดชัดเจน พร้อมกับพูดขึ้นด้วยเสียงแหบห้าวดุจไม่พอใจ " มาทำไม?" "ผมไปรุกขมูลมา จะขออาศัยนอนที่นี่สักคืน" หลวงปู่ศุข ตอบผีสมภารนิ่งแล้วหายวับ คราวนี้เกิดเสียงดังโครมครามสนั่นหวั่นไหว ภายในกุฎิไม่ยอมหยุด  ประหนึ่งต้องการขับไล่หลวงปู่ศุข ทว่าหลวงปู่มิได้หวั่นไหวต่อการแสดงฤทธิ์ของผีสมภาร ยิ่งไปกว่านั้น ท่านยังรู้สึกสงสารเวทนาต่อดวงวิญญาณมิจฉาทิฐิ ที่หลงวนเวียนยึดเหนี่ยวในสถานที่นี้ไม่ยอมไปผุดไปเกิดในภพภูมิที่ดีกว่า ทั้งๆที่บวชเรียนในพระพุทธศาสนามานานถึงขึ้นเป็นสมภารเจ้าวัด หลวงปู่ศุข สำรวมจิตแผ่เมตตาไปให้ แต่เสียงสนั่นหวั่นไหวภายในกุฎิ ก็ไม่ยอมหยุด สวดมนต์อีกหลายบท ผีสมภารก็ยังไม่รับรู้ มิหนำซ้ำ ผีสมภารยังมาปรากฎร่างยืนตระหว่างตรงหน้ากลด แผดเสียงหัวเราะเย้ยหยันแล้วคำรามลั่นบอกว่า "ไม่กลัวหรอก มีคาถาอะไรก็ว่ามาอีกซิ"

        หลวงปู่ศุข เห็นผีสมภารดื้อด้านถึงเพียงนี้ ท่านจึงกล่าวออกมาดังๆว่า "อนิจจาเอ๋ยไม่เคยเห็น ผีตายหรือจะสู้กับผีเป็น นะโมพุทธายะ" ด้วยถ้อยคำประโยคนี้ ผีสมภารก็หายวับไป ไม่มีเสียงโครมครามใดๆ ตามมาอีก และหลวงปู่ศุขก็ไม่ใส่ใจสนใจอีกต่อไป เอนกายลงพักผ่อนตามปกติของท่าน
83  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / นอกเรื่องหน่อยนะครับ มาแนะนำ วีดีโอ สำหรับผู้ที่ยังใช้ การค้นหา ไม่เก่งต้องดู เมื่อ: สิงหาคม 03, 2011, 09:28:19 am
IT.Station: Search อย่างเซียน ตอนที่ 1/5



IT.Station: Search อย่างเซียน ตอนที่ 2/5



IT.Station: Search อย่างเซียน ตอนที่ 3/5



IT.Station: Search อย่างเซียน ตอนที่ 4/5



IT.Station: Search อย่างเซียน ตอนที่ 5/5

84  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ความหลุดพ้นด้วยอำนาจ จากสมาธิ เมื่อ: สิงหาคม 01, 2011, 08:57:25 am
[๑๓๗] บุคคลผู้ได้เจโตสมถะในภายใน แต่ไม่ได้ปัญญาที่เห็น
แจ้งในธรรม กล่าวคืออธิปัญญา เป็นไฉน
            บุคคลบางคนในโลกนี้ ได้สมาบัติที่สหรคตด้วยรูป หรือสหรคตด้วย
อรูป แต่ไม่ได้โลกุตรมรรค หรือโลกุตรผล บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า เป็นผู้ได้
เจโตสมถะในภายใน แต่ไม่ได้ปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรม กล่าวคือ อธิปัญญา
            บุคคลผู้ได้ปัญญาเห็นแจ้งในธรรม กล่าวคืออธิปัญญา แต่ไม่
ได้เจโตสมถะเป็นภายใน เป็นไฉน
            บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ได้โลกุตตรมรรคหรือโลกุตตรผล แต่
ไม่ได้สมาบัติที่สหรคตด้วยรูป หรือสหรคตด้วยอรูป บุคคลอย่างนี้ชื่อว่า เป็น
เป็นผู้ได้ปัญญาที่เห็นแจ้งในธรรมกล่าวคืออธิปัญญา แต่ไม่ได้เจโตสมถะเป็น
ภายใน............................................................

[  เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๖  บรรทัดที่ ๓๖๕๙ - ๔๕๔๔.  หน้าที่  ๑๕๐ - ๑๘๕.
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=36&A=3659&Z=4544&pagebreak=0  ]
85  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / สมาธิที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสไว้ มีเพียง ๙ ระดับ ดังนี้ เมื่อ: กรกฎาคม 31, 2011, 08:23:29 am
สมาธิที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสไว้ มีเพียง ๙ ระดับ ดังนี้
[๔๖๓] ธรรม ๙ อย่างที่ควรรู้ยิ่งเป็นไฉน ได้แก่อนุบุพพวิหาร ๙ คือ
ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้... สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่
อนึ่ง เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกาย เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะเจ้าทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
บรรลุจตุตถฌานไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
บรรลุอากาสานัญจายตนฌานด้วยมนสิการว่า อากาศหาที่สุดมิได้
เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง เพราะดับปฏิฆสัญญา เพราะไม่กระทำไว้ในใจซึ่งนานัตตสัญญาอยู่
บรรลุวิญญาณัญจายตนฌานด้วยมนสิการว่า วิญญาณหาที่สุดมิได้
เพราะล่วงอากาสานัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวงอยู่
บรรลุอากิญจัญญายตนฌานด้วยมนสิการว่าไม่มีอะไร
เพราะล่วงวิญญาณัญจายตนฌานโดยประการทั้งปวงอยู่
บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน
เพราะล่วงอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวงอยู่
บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวงอยู่
ธรรม ๙ อย่างเหล่านี้ควรรู้ยิ่ง ฯ
ที.ป. ๑๑/๒๘๒/๔๖๓
โปรดศึกษาพระสูตรเพิ่มเติม : http://etipitaka.com/read?language=thai&volume=11&number=282
*ปฐมฌาน ๑ ทุติยฌาน ๑ ตติยฌาน ๑ จตุตถฌาน ๑ อากาสานัญจายตนฌาน ๑ วิญญาณัญจายตนฌาน ๑
อากิญจัญญายตนฌาน ๑ เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ๑ สัญญาเวทยิตนิโรธ ๑
86  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นั่งสมาธิ แล้วเสียงดัง ผมคิดว่า ...... เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2011, 09:51:59 am
เีีอียปลั๊ก

เอียมัฟ

สำลี


ตอนนี้คิดไว้ 3 แบบครับ

 :67:
87  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / นั่งสมาธิ แล้วเสียงดัง ผมคิดว่า ...... เมื่อ: กรกฎาคม 26, 2011, 09:48:20 am
นั่งสมาธิ แล้วเสียงดัง ผมคิดว่า ......จะหาซื้อที่อุดหู มาใช้ตอนนั่งสมาธิ

อยากทราบความเห็นของผู้ภาวนา ว่าความคิดของผมที่จะหาอุปกรณ์ ช่วยฝึกให้เป็น สมาธิ นี้ ผิดเพี้ยน หรือไม่ครับ

หรือ เพื่อน ๆ ที่ฝึกสมาธิ กันอยู่ มีคำแนะนำดี ๆ ให้ผมบ้าง ก็จะขอบคุณมากครับ


 :25: :25: :25: :25: :c017:
88  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / อ่านข้อความ เข้าข้อมูล ส่วนตัวไม่ได้ครับ เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 12:35:52 pm
อ่านข้อความ เข้าข้อมูล ส่วนตัวไม่ได้ครับ

 :smiley_confused1: :s_hi:
89  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นั่งสมาธิ แล้ว มีความรู้สึก คัน เหมือน แมลง มด ไต่ ทำอย่างไรดีคะ เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2011, 10:53:54 am
ยาช่วยได้แค่ระงับเฉพาะหน้า แต่ทานบ่อยๆ ก็ไม่ได้แก้ที่ต้นเหตุจริง

จิตใจที่วิตกกังวล เครียด หรือ กลัวอะไรโดยไม่มีเหตุผลยาวนาน
วิธีบำบัดฟื้นฟู ตามที่คุณรุ่งฟ้าสางแนะนำครับ

ส่วนเรื่องอาหาร ให้เสริมอาหารธาตุเหล็กไว้
เพราะมีวิจัยว่าไปช่วยระบบเลือดที่จะไปเลี้ยงสมองส่วนไฮโปทารามัส
ที่จะมีหน้าที่ควบคุม เกี่ยวกับระบบประสาทส่วนอัตโนมัติ
เช่นการหายใจ(ตามปกติ) ฯลฯ

อีกประการหนึ่ง ฝึกใจให้ตัดอะไรให้ขาด
เช่น การทำอะไรเป็นเวลา เมื่อถึงเวลาต้องไปทำอีกอย่างก็พร้อมจะวางอารมณ์เก่าลงได้
ใจที่คอยวิตกจากเรื่องราวภายนอก บางครั้งทำอะไรไม่ได้
บางครั้งใจเหมือนตกไปที่แคบ และระบบกายจะปิดตัวเองลงได้อัตโนมัติ
ตามกลไกระบบประสาทนั้น ให้หมั่นนึก คุณพระรัตนตรัย นั่นแหละช่วยได้มาก

- เวลานอน อย่าหัดนอนแบบไหลตามเคลิ้มๆอารมณ์ลงไป

- หรือเวลาตื่นแล้ว รู้สึกแล้วก็หัดลุกขึ้นเลย

- อย่าไปนอนแบบทู่ซี้นอน เพื่อจะให้หลับ แต่หลับไม่ลง หลับไม่เต็ม

- ส่วนปัญหาที่บางครั้งเกินกว่าจะแก้ไขได้ ก็วางใจอดทนแต่ไม่เก็บกดอารมณ์
ไม่ระเบิดอารมณ์อันเป็นเครื่องผิดศีลทางวาจาออกไป

- บางครั้งจิตเหน็ดเหนื่อยแต่จะหนีความทุกข์ด้วยการหลบเข้าเพื่อให้หลับ
หาก รู้เป็นอย่างนี้ ให้หันมาฝึกผ่อนคลายด้วยสายลมปราณลมหายใจเข้าออกยาวๆไปสบายๆ เวลาปราณเคลื่อนดี ส่วนที่จะกลับไปทำให้ระบบประสาทส่วนอัตโนมัติเข้าที่เข้าทางเอง แล้วส่งผลต่อสมองส่วนกลาง ส่วนไฮเปอทาลามัส ให้ผลิตสารสื่อประสาทที่สมดุลขึ้น

- ระหว่างในชีวิตประจำวัน อย่าปล่อยจิตปล่อยใจให้ กิเลสตระกูลโทสะครอบงำจิตใจ กิเลสตระกูลนี้ก็ เช่น ความโกรธ พยาบาท ความกลัว ความวิตกกังวล ความเกร็งเครียด ฯลฯ ทั้งหมดนี้อยู่ในตระกูลนี้

- เช่นกัน ระหว่างวัน อย่าปล่อยจิตใจเผลอคิดไหลๆ ตามอารมณ์ อันเป็นการสร้างนิสัยด้านไม่ดี เหมือนฝึกให้จิตโมหะ เรื่อยๆ ทำให้เวลานอนจิตก็จะไหลตามอารมณ์ตรึกคิดแบบลึกๆ ทำให้เหมือนไม่ได้นอนเต็มอิ่มจริง

- สวดบทพุทธคุณ อิติปิโสฯ เรื่อยๆ หรือไม่ก็บท พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ฯ เป็นเครื่องอยู่เล่นๆ ใช้สวดยามว่าง พักผ่อนคลายระหว่างวันก็ได้

จากคุณ: STL
90  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: กลยุทธ์มารพระพุทธศาสนา: ยุทธวิธีนารีพิฆาต เมื่อ: มิถุนายน 11, 2011, 02:39:20 pm
ที่ผมเห็นที่จังหวัด บ้านผม ลำปาง พะเยาว์ ที่เห็น ๆ คือ ตุ๊เจ้าท่านต้องการสึกไปอยู่กินกัน แต่ผลก็คือ ในหมู่บ้านส่วนมากจะไม่คบกับ คนพวกนี้ครับ เพราะถือว่า ถ้าไปคบแล้วแนวโน้ม จะทำให้จิตเราอ่อนแอตามด้วยครับ

เพราะ พระที่สึก เพราะสีกา ไม่ใช่ไม่มีครับถึงปัจจุบัน ที่สึกเพราะสีกา เข้าไปคลุกคลี แล้วก็สึก ออกไปอยู่กินกัน
แต่สิ่งที่นำความแปลกใจมาสู่ ผู้ีที่เคารพศรัทธาก็คือ การพ่ายแพ้ต่อกิเลสตัณหา ที่บรรดาหลวงพ่อ หลวงพี่ อาจารย์ ทั้งหลายที่สึกไป พยายามสอนชี้นำให้ประพฤติ ปฏิบัติ

 พูดง่าย ๆ ก็คือ ทำลายความศรัทธา เชื่อมั่นต่อการปฏิบัติแบบไม่เหลือ ในใจผู้คนที่ไปเรียนบอกนับถือ เลยครับ

บางรูป บางองค์ ถึงกับวางแผนฆ่าสามีเก่า ของผู้หญิง ก่อนออกไปอยู่ด้วยกัน เบาที่สุด ก็ทำให้ครอบครัวเขาแตกแยกกันด้วยการหย่าร้าง และไปอยู่กินกัน ทั้งหมดนี้อาจจะมองว่าเป็นแผนทำลายพระพุทธศาสนาหรือไม่ ก็ตอบว่าไม่ใช่แผนเลยครับ แต่เป็นเพราะบุคคลนั้น ไม่ทนต่อสภาวะกิเลสของตนได้

 สึก นี่ยัง ดีนะครับ
 พวกที่ไม่สึก หน้าด้านอยู่อีก ก็ยังมีอีกมากครับ
 
 :96: :67:
91  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: จิตตก เพราะพบเรื่องแย่ ๆ หลายเรืื่อง ควรทำอย่างไร เมื่อ: มิถุนายน 11, 2011, 02:32:12 pm
น่าสนใจ ครับ อยากให้เล่าประสพการณ์ชีวิตให้ฟังด้วยครับ ทำไมถึงมีแนวคิด แนวโน้มเป็นอย่างนั้นไปได้ครับ
ทั้ง ๆ ที่แต่งงานอยู่้กินกันมาจนมีลูกสาว ลูกชาย แล้ว ไม่น่านะครับ มีเหตุผลอะไร ดี ๆ ลองนำเสนอให้ฟังหน่อย
ได้หรือไม่ครับ

 :smiley_confused1:
92  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: มุมอับแสง เมื่อ: มิถุนายน 04, 2011, 09:26:39 am
ผมว่าปัญหา ที่ไม่เป็นปัญหา ครับ

การที่คนเราไม่เบียดเบียน เพราะมีศีล
กับการที่คนเรามีศีล เพราะต้องการสิ้นกรรม

ความเป็นจริง ผมมองเห็นกระแสธรรม ว่า

  ในโลกนี้ ผู้ที่มีศีล สมาธิ ปัญญา นั้นเริ่มจะไม่มีแล้ว ..... เพราะว่า เหลือพวก ปทปรมะ มาก

  บัว 2 เหล่า น่าจะไม่มีแล้ว บัวเหล่า 3 ก็น่าจะเบาบาง

 
 มองโลกตามความเป็นจริง ก็คือ การไม่เบียดเบียน ก็คือศาสนาด้านเปลือก
ส่วนการเบียดเบียน นั้นคือ โลก

  :13:
93  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไทยแพล็งกิ้ง พวกพิลึก กึกกึ๊ย ( ครับ ) เอามาให้ชม ผ่อนคลายครับ เมื่อ: มิถุนายน 04, 2011, 09:20:17 am












ไทยแพล็งกิ้ง พวกพิลึก กึกกึ๊ย ( ครับ )
เอามาให้ชม ผ่อนคลายครับ
94  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "ร็อคป่าช้าแตก" ลำซิ่งหุ่นผีสุดซี๊ด คิวแน่นไม่ได้กลับหลุม เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2011, 10:47:11 am

"ร็อคป่าช้าแตก" ลำซิ่งหุ่นผีสุดซี๊ด คิวแน่นไม่ได้กลับหลุม

 

 

 


 

 

 

ขณะนี้ ภาคอีสานมีวงดนตรีวงใหม่เกิดขึ้น “ร็อคป่าช้าแตก” ร้องเล่นเต้นรำเด็ดสะเด่าตามแบบฉบับอีสาน แต่นักดนตรีนักร้องไม่มีชีวิต เพราะมีแต่ผี และผู้ควบคุมผีให้ร้องเล่นเต้นตามจังหวะ เผยคิวแสดงแน่นแทบไม่ได้ลงหลุม…

ผู้สื่อข่าว จ.หนองบัวลำภู รายงานเมื่อช่วงเช้าวันที่ 8 พ.ค. 2554 ว่า ขณะนี้ ธุรกิจวงดนตรี ต่างมีการแข่งขันกันสูง มีการงัดกลยุทธ์ลูกล่อลูกชนต่างๆ เพื่อมัดใจลูกค้าให้จ้างไปแสดงโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่มีรูปแบบตื่นเต้นเร้าใจ ล่าสุดเกิดวงร็อคใหม่ล่าสุด เป็นของกลุ่มพ่อบ้านหมู่ 7 ต.ผาอินทร์แปลง อ.เอราวัณ จ.เลย ที่มารับงานใน อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู ชื่อวงร็อคป่าช้าแตก ที่งัดเอากลยุทธเพลงร็อคซิ่งอีสานมาเป็นจุดขาย

แต่เนื่องจากบรรดาพ่อบ้าน นักดนตรีของวงนี้แต่ละคน หน้าตาไม่ได้หล่อเหลา สูงยาว ขาวตี๋ หรือ มาดเท่แบบวงร็อกอย่างบอดีสแลม หรือ โปเตโต้ ทางกลุ่มพ่อบ้านวงร็อกป่าช้าแตก ก็เลยประยุกต์เอาหุ่นกระบอกมาเล่นแทน จะเอาหุ่นสวยยังไงก็ดูเป็นหุ่น ก็เลยปรึกษาหารือกันจนปิ้๊งไอเดียกระฉูดแบบสุด ๆ โดยเอาหุ่นมาตกแแต่งให้กลายเป็นผี ทั้งนักดนตรี และนักร้อง สุดท้ายก็ลงตัวในแนวคิดนี้

สำหรับรูปแบบในการแสดงของวงร็อกป่าช้าแตก ใช้หุ่นผีร้องเล่นเต้นอยูบนเวที ที่ยกสูงบริเวณกระบะท้ายรถบรรทุกหกล้อ ส่วนข้างล่าง ก็เป็นคนที่มาทำหน้าที่ชักหุ่นผี มีแกนเหล็กต่อสูงยกขึ้นไป มีเชือกสายยางสำหรับดึงชักหุ่นที่อยู่ข้างบน ให้ร้องเล่นเต้นตามจังหวะเพลง ล่าสุดมีข่าวว่าวงดนตรีคณะนี้ เริ่มคิวทองรับงานแทบไม่ว่าง เนื่องจากมีความแปลกใหม่ และผู้ชมไม่เคยพบเห็นการแสดงแบบนี้


Credit :  ไทยรัฐออนไลน์
95  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: เตือน16จังหวัดระวังน้ำท่วมฉับพลัน เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2011, 10:43:23 am
ช่วงนี้ สมาชิกธรรม โปรดสังเกตุ คล้ายว่าโลก กำลังส่งสัญญาณเตือนภัยให้ทราบนะครับว่า จะมีภัยพิบัติเกิดขึ้น

ประเทศไทยเราเอง ถึงไม่โดนเรื่องอื่น ๆ แต่ก็โนเรื่องแรง ก็คือ อุทกภัย นะครับ ตอนนี้ทางใต้ ซับน้ำตายังไม่หาย

ก็ย้ายมาภาคเหนือ แล้ว นะครับ สงสัย ต่อไปก็ภาคอิสาณ แน่ ๆ เลยครับ

 :03:
96  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เตือน16จังหวัดระวังน้ำท่วมฉับพลัน เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2011, 10:41:14 am

วันนี้ (10พ.ค.) สำนักพยากรณ์อากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือนภัย "ฝนตกหนักและคลื่นลมแรง" ฉบับที่ 11 ระบุว่า หย่อมความกดอากาศต่ำปกคลุมบริเวณอ่าวมะตะบัน ประเทศพม่าได้เคลื่อนเข้าปกคลุมภาคเหนือ

ประกอบกับ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังแรงยังคงพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย ทำให้ด้านรับลมมรสุมในภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก มีฝนหนาแน่นและมีฝนตกหนักถึงหนักมากหลายพื้นที่ จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัยตามที่ลาดเชิงเขาใกล้ทางน้ำไหลผ่านบริเวณจังหวัด

แม่ฮ่องสอน
เชียงใหม่
เชียงราย
ลำพูน
ลำปาง
พะเยา
แพร่
 น่าน
อุตรดิตถ์
พิษณุโลก
สุโขทัย
ตาก
พิจิตร
เพชรบูรณ์
ระนอง
และ พังงา

ระวังอันตรายจากสภาวะน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากที่อาจจะเกิดขึ้นในระยะนี้ไว้ด้วย

สำหรับคลื่นลมในทะเลมีกำลังแรงขึ้น โดยเฉพาะทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-3 เมตรและอ่าวไทยตอนบนคลื่นสูงประมาณ 2 เมตร ขอให้ชาวเรือควรระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ เรือเล็กบริเวณดังกล่าวควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 10-11 พฤษภาคม 2554

อนึ่ง ขอให้ผู้ที่จะเดินทางไปประเทศฟิลิปปินส์ ตรวจสอบลักษณะอากาศก่อนเดินทางด้วย เนื่องจากมีพายุโซนร้อน “แอรี” กำลังเคลื่อนที่ผ่านบริเวณดังกล่าว
97  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐาน ณ วัดประทีปพลีผล 6 - 9 พฤษภาคม พ.ศ.2554 เมื่อ: เมษายน 27, 2011, 12:01:03 pm
  วันที่ 6 - 9 พฤษภาคม พ.ศ.2554
    ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมวิปัสสนากรรมฐาน ณ วัดประทีปพลีผล แขวงท่าข้าม เขตบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร 10150 ซึ่งเป็นวัดที่ทรายไปบวชเป็นประจำคะ
    วิปัสสนากรรมฐานเพื่อพัฒนาจิตใจ ให้เกิดปัญญา และความสุข โดย ท่านพระอธิการประพันธ์ พนฺธุธมฺโม เจ้าอาวาสวัดปทีปพลีผล
     ชุดขาวเตรียมมาเองนะคะ
     สอนกรรมฐานโดย พระอาจารย์ชูเกียรติ  สิริยโส  ฝ่ายวิปัสสนากรรมฐาน
มือถือ 085-2285639
    กำหนดการวิปัสสนา

    วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม 2554 เริ่ม 17.00 น.
17.00 น.     ลงทะเบียนเข้าที่พัก
17.30 น.     ปฐมนิเทศ สวดมนต์
18.00 น.     รับศีล 8 แนะแนวข้อวัตรปฏิบัติ สมาทานพระกรรมฐาน
19.00 น.     เดินจงกรม สมาธิก่อนนอน
20.00 น.     พักผ่อนอย่างมีสติ

     วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม 2554
04.00 น.     สัญญาณระฆัง รวมทำสมาธิ
04.30 น.     สวดมนต์ทำวัตรแปล
06.00 น.     เดินจงกรม, เจริญสติ กายบริหารโยคะ
07.00 น.     ทำกิจส่วนตัว
08.00 น.     รับประทานอาหารเช้า
09.00 น.     อบรมสมาธิ เดินจงกรม
10.00 น.     เจริญสติกรรมฐาน
11.00 น.     รับประทานอาหารกลางวัน
13.00 น.     ธรรมบรรยาย
15.00 น.     อบรมจิต ผึกสมาธิ เดินจงกรม
16.00 น.     เจริญสติกรรมฐาน
17.00 น.     พักทำกิจส่วนตัว
18.00 น.     สวดมนต์ทำวัตรเย็นแปล
19.00 น.     ธรรมบรรยาย
20.00 น.     ชมธรรมะบรรยายประกอบสื่อ
21.00 น.     สมาธิก่อนนอน

     อบรมวันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ.2554
04.00 น.     สัญญาณระระฆัง รวมทำสมาธิ
04.30 น.     สวดมนต์ทำวัตรแปล
06.00 น.     เดินจงกรม, เจริญสติ กายบริหารโยคะ
07.00 น.     ทำกิจส่วนตัว
08.00 น.     รับประทานอาหารเช้า
09.00 น.     อบรมสมาธิ เดินจงกรม
10.00 น.     เจริญสติกรรมฐาน
11.00 น.     รับประทานอาหารกลางวัน
13.00 น.     ปัจฉิมนิเทศ เขียนความรู้สึกที่ได้อบรม
14.00 น.     ขอขมาพระสงฆ์ ขอขมาคณะครูอาจารย์
15.00 น.     ลาศีล 8 รับศีล 5 เดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ หรือจะปฏิบัติต่อเหมือนวันที่ 7 พ.ค.2554 แต่อยู่ในศีล 5

     วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ.2554
04.00 น.     สัญญาณระฆังรวมทำสมาธิ

เสร็จแล้วเดินทางกลับบ้านโดยสวัสดิภาพ

บริจาคเงินสนับสนุนการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานแล้วแต่ศรัทธาได้ที่
"กองทุนวิปัสสนากรรมฐาน วัดปทีปพลีผล"

" ไม่เสียค่าใช้จ่ายในการอบรม "

http://www.ponboon.com/board/index.php?topic=3554.0
98  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / เชิญร่วมบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม ณ วัดป่าเกษมสุข ๒๙ เมษายน - ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔ เมื่อ: เมษายน 27, 2011, 11:58:41 am
ขอเรียนเชิญร่วมบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรม

ณ วัดป่าเกษมสุข ต.หนองกี่ อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี

วันที่ ๒๙ เมษายน - ๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๔
(ตรงกับแรม ๑๑ - ๑๔ ค่่าเดือน ๕)


............................................................


ชีวิตของเรามีค่า จงใช้เวลาให้เป็นประโยชน์

อุบาสก อุบาสิกา นักเรียน นักศึกษา ร่วมสร้างบุญบารมี บวชเนกขัมมะประพฤติปฏิบัตธรรม อบรมวิปัสสนากัมมัฏฐานจากพระวิปัสสนาจารย์ และพระคณาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒมาให้ธรรมบรรยายและให้ความรู้หลักธรรมตามแนวมหา สติปัฏฐานสูตร แก่ผู้เข้ารับการอบรมอย่างใกล้ชิด เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา และอาจาริยะบูชา ในองค์หลวงปู่จันทา อนากุโล อีกด้วย


กำหนดการ

วันศุกร์ที่ ๒๙ เมษายน ๒๕๕๔
- เวลา ๑๗.๐๐ น. พิธีบวชเนกขัมมะ/รับพระกัมมัฏฐาน

วันที่ ๓๐ เม.ย. – ๑ พ.ค. ๒๕๕๔
- ปฏิบัติตามตารางเวลาที่พระวิปัสสนาจารย์กาหนด และฟังธรรมบรรยายจากพระคณาจารย์

วันจันทร์ที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๕๔
- เวลา ๑๑.๓๐ น. พิธีถวายผ้าป่าสามัคคี
- เวลา ๑๓.๓๐ น. พิธีลาสิกขา / เสร็จพิธี



ประธานอุปถัมภ์ :
พระครูอุดมธัมโมภาส เจ้าคณะอาเภอ จังหวัดปราจีนบุรี-สระแก้ว(ธ)

ประธานกรรมการ :
พระครูภาวนาวิโรจน์ รก.เจ้าอาวาสวัดป่าเกษมสุข

กรรมการจัดงาน :
คณะกรรมการวัดป่าเกษมสุข



............................................................

;aa37


หมายเหตุ ผู้ประสงค์ร่วมทำบุญถวายทาน อาหาร/น้ำปานะ ติดต่อได้ที่วัดป่าเกษมสุข หรือ โอนเงินเข้า บ/ช




ธนาคารนครหลวงไทย สาขาเขตอุตสาหกรรม(หนองกี่)
ชื่อ บ/ช วัดป่าเกษมสุข
เลขที่ บ/ช ๔๓๙ - ๒ - ๑๐๔๐๓ - ๘
สอบถามรายละเอียดได้ที่.... โทร. ๐๘๑-๗๑๕ ๔๐๒๑ , ๐๘๙-๐๒๕ ๔๐๕๒ , ๐๘๙-๘๐๖ ๔๙๖๐ , ๐๘๑-๘๐๒ ๑๑๗๙


_/\_ อนุโมทนา สาธุ

ขอบารมีหลวงปู่จันทา อนากุโล ช่วยให้งานนี้สำเร็จๆๆๆ ราบรื่นด้วยเทอญ

http://board.palungjit.com/archive/t-287205.html
99  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมวันวิสาขบูชา 2557 ถวายเป็นพุทธบูชา เมื่อ: เมษายน 27, 2011, 11:56:20 am
ปฏิบัติธรรมวันวิสาขบูชา 12-14 พฤษภาคม 2557 ขอเชิญร่วมปฏิบัติธรรมถวายเป็นพุทธบูชา

   สำนักสงฆ์เขาพระครู สถานปฏิบัติธรรมศรีราชา ได้จัดปฏิบัติธรรมเนื่องในวันวิสาขบูชา ถวายเป็นพุทธบูชา ในระหว่างวันที่ 12-14 พฤษภาคม 2557  จึงขอประชาสัมพันธ์เชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมกันปฏิบัติธรรมเนื่องในวันวิสาข บูชา ซึ่งจะรับจำนวนจำกัด เพียง 150 ท่าน 
   

 ท่านใดจะเข้าร่วมปฏิบัติธรรมให้แจ้งชื่อท่าน หรือสอบถามได้ที่ 038-773349

กำหนดการปฏิบัติธรรมวันวิสาขบูชา
http://www.watkhaophrakru.com/webboard/index.php/topic,2277.msg5419/topicseen.html#msg5419


ประวัติวันวิสาขบูชา
http://www.watkhaophrakru.com/webboard/index.php/topic,137.msg214.html#msg214 (http://www.watkhaophrakru.com/webboard/index.php/topic,137.msg214.html#msg214)

https://www.youtube.com/v/9rX-9Jv0Hgg?fs=1&hl=th_TH
100  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ฝึกกรรมฐาน จำเป็นต้องฝึกในวัด หรือ ไม่ ? เมื่อ: เมษายน 24, 2011, 09:14:39 am
-คนที่หลับตาเก่ง  นาน ๆ จะนึกว่าได้กรรมฐานดีฉันไม่เชื่อ  เพราะถ้าดีจริง ๆ มันต้องดีทั้ลืมตาและหลับตา  ดีทั้งที่อยู่ในที่สงัด  ดีทั้งอยู่ในที่เกลือกกลั้วไปด้วยประชาชน ดีทั้งที่เวลาร่างกายปกติและไม่ปกติ  อารมณ์ต้องดีทั้งในขณะที่เราฟังคำสรรเสริญ  และก็ดีทั้งในขณะที่คนเขาด่าเรา  อารมณ์ของเราต้องสม่ำเสมอกัน  ไม่ขึ้นไม่ลง  ใครเขาสรรเสริญหรือนินทาก็เฉย  อารมณ์เงียบสงัด เสียงเงียบสงัด เสียงจอแจ โวยวาย  เราก็เฉย  ลงเฉยเสียหมดมันก็หมดเรื่อง  และคำว่าสถานที่สงัดคือเราใช้อารมณ์สงัด  จะไปนั่งคิดว่าที่นั้นต้องไม่มีเสียง ที่นี้ต้องไม่มีเสียง  เราคิดหรือว่าเวลาที่เราจะตายน่ะเราจะหาที่สงัดได้  เราต้องพร้อมใจไว้เสมอว่า  เวลาที่เราจะตายอาจจะมีเสียงเครื่องขยายเสียง  หรืออาจจะมีใครกำลังทะเลาะกัน  หรือมีใครมานั่งด่าเราอยู่ใกล้ ๆ ก็ได้  เราจึงต้องเตรียมใจไว้  ถ้าอาการอย่างนั้นมันปรากฎ  เราจะไม่เอาจิตของเราเข้าไปยุ่งกับเสียงกับอารมณ์ต่าง ๆ  ทำจิตของเราให้สงัด  คือใช้อารมณ์จิตสงัดจากนิวรณ์  5  ประการ  และก็สงัดจากกิเลสด้วย

ที่มาคำสอน พระราชพรหมญาณ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
101  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: กรรมฐาน แก้ทุกข์ ได้หรือไม่ เมื่อ: เมษายน 24, 2011, 09:10:27 am
จะดีขึ้นเองครับ
น่ังสมาธิ ทำใจให้สบายๆ ไม่ต้องเครียด
จิตเราเป็นลิงมาทั้งชีวิตหลายภพหลายชาติ จะมาจับให้มันนั่งนิ่งๆเลยไม่ได้
ต้องค่อยๆหลอกล่อมันไปเรื่อย ทำใจให้รู้สึกสบายๆครับ
ถ้าวันไหนฟุ้งมากๆ ให้เลิกไปเลยครับ อย่าไปเครียด
วันไหนอารมณ์สบายๆ ลมเย็นๆ นั่งพิงฝา ลองตามลมหายใจ จะได้เรื่อง

วอกแวกไปบ้างตามประสา กุศลที่ทำมาก็ไม่สูญไปไหน
อย่าไปเครียดเรื่องนี้ มันเป็นธรรมชาติของจิต
เราก็นั่งดูมันนะครับ มันคิดเรื่องอกุศล เราก็.. เ
ออ.. เมื่อกี้ยังดีๆ
นี่มาเลวแล้ว นี่แหละสภาพจิต ไม่นิ่ง ยังไม่ชินกับความดี
เหมือนนักกีฬาเริ่มฝึุกซ้อมใหม่ๆ มันก็เบื่อบ้างอยากบ้าง อยากโดดบ้าง อยากได้ดีบ้าง
ธรรมดาครับ
102  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / วิธีนับลมหายใจ ในอานาปานสติ แบบนี้ถูกหรือไม่ครับ เมื่อ: เมษายน 24, 2011, 09:08:01 am
1,1    2,2     3,3     4,4     5,5
1,1    2,2     3,3     4,4     5,5     6,6
1,1    2,2     3,3     4,4     5,5     6,6      7,7
1,1    2,2     3,3     4,4     5,5     6,6      7,7      8,8
1,1    2,2     3,3     4,4     5,5     6,6      7,7      8,8      9,9
1,1    2,2     3,3     4,4     5,5     6,6      7,7      8,8      9,9     10,10

นับเข้า 1 ออก นับ 1 ไปจน ครบ 10 แล้วกลับมาตั้งต้นใหม่ อย่างนี้ถูก หรือ ผิด ครับ หรือต้อง
ทำอะไรเพิ่มด้วยในระหว่่างที่นับครับ

 :25:
103  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: หนีเสือ ปะจระเข้ วัดเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้แล้วครับ เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 05:25:24 pm
ก็เป็นธรรมดาครับ ที่วัดทั่ว ๆ ไปจะเป็นอย่างนี้ครับ ผมเองก็ผ่านการทำบุญมาหลายวัดแล้วครับ

ส่วนใหญ่ พระท่านไม่ค่อยสนใจในการภาวนา กันสักเท่าใด เห็นทะเลาะกันแบ่งเป็นกลุ่ม ๆ กันอีกครับ

แต่ถ้าไปวัดแบบนี้ก็จะเจออย่างนี้ ดังนั้นส่วนมากแล้วพวกเราจะเลือกไปวัดที่มีสายการภาวนากันครับ

ถึงจะมีเรื่องขัด ๆ กันบ้างแต่ก็น้อยครับ

 :035:
104  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: สุดทึ่ง!พระชราขาขาด2ข้าง อดีตทหารกรมสรรพาวุธขี่"เอทีวี"จากอ่างทองธุดงค์ เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 05:22:51 pm
พูดไ่ม่ออก เลยครับ แสดงว่า ลุงเก็บกดมานานแล้ว

 :hee20hee20hee:
105  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: มีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับเรื่อง การใส่ ฮิญาบ ของหญิงมุสลิม ในโรงเรียนพุทธ เมื่อ: เมษายน 21, 2011, 07:18:08 pm
เคยเห็นมาแล้วครับ สวม ผ้า ตอนเข้าเรียน ตอนเดินห้างเก็บใส่กระเป๋ากันหมด

5 5 5 5 5

เกรียน จริง ๆ

106  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: โอม~ คำนี้เจ๋งกว่าที่คุณคิด เมื่อ: เมษายน 21, 2011, 07:15:06 pm
เนื้อหาน่าสนใจมากครับ ผมนำไปประกอบกับเรื่องเสียง ได้ผลดีในการภาวนาครับ รู้สึกสมาธิ รวมตัวเร็วขึ้นครับ

แสดงว่าเสียงมีผลต่อจิตใจมาก

  แต่ในทางกลับกัน ครูอาจารย์ มักจะสอนว่า เสียง เป็น อุปสรรค และเขื่อนกั้น สำหรับ อุปจาระสมาธิ และ ปฐมฌาน นะครับ ไม่รู้ว่าถ้าเราส่งจิตติดเสียง แล้วจะผิดทาง หรือไม่

  :smiley_confused1:
107  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: กาละเทศะ ในการภาวนา กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ เมื่อ: เมษายน 17, 2011, 09:08:29 am
อยากให้สืบสานพระกรรมฐาน ต่อไปครับ อาจจะลำบากมากครับ แต่คนที่มีบุญวาสนา กับกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ น่าจะยังมีอยู่นะครับ

อนุโมทนา ด้วยครับ

 :25:
108  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: กำลังจะซื้อบ้านครับ ญาตผมมาเสนอขายให้ แต่.... เมื่อ: เมษายน 17, 2011, 09:06:52 am
ดูจากภาพแล้ว บ้านจะถูกบังกึ่งหนึ่ง ไม่ค่อยสวยครับ
ว่าแต่ราคาเท่าไหร่ครับ
 :smiley_confused1:
109  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: น้ำป่าซัดสะพาน ข้ามแม่น้ำหลังสวน ดินถล่ม ที่ชุมพร เมื่อ: เมษายน 08, 2011, 11:53:28 am
เป็นเพราะอะไร โคลนดินถล่ม ?

ตอบโจทย์ เพราะป่าไม้ถูกทำลาย โดยนายทุน ทำลายป่าไม่มีจุดซับน้ำ โคลนดินถล่ม ก็เพราะเหตุนี้
 :34:
110  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ช่วงนี้ปฏิบัติอ่อน ทำแล้วเหมือนภาวนาไม่ได้ครับ เมื่อ: เมษายน 05, 2011, 05:12:08 pm
ผมเองก็กำลังเป็นเช่นนั้นอยู่ เหมือนกันครับ

ขอบคุณผู้ถาม และ พระอาจารย์ผู้ชี้นำแนวทางครับ

 :25:
111  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: การฝึกสมาธิ ให้สำเร็จโดยอาศัยการถ่ายพลังจิต เป็นไปได้หรือไม่ครับ เมื่อ: มีนาคม 25, 2011, 05:42:43 pm
ผมมีความเห็นเชื่อว่า ถ่ายทอดได้ครับ เหมือนบารมีธรรม เหมือนผลบุญ

ดูเหมือน เจ้าชายสิทธัตถะ ตอนอายุ 7 ขวบ นั่งสมาธิใต้ต้นหว้า ได้รับถ่ายทอดมาทางบุญฤทธิ์ครับ

 :13:
112  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: มีใครเคยประสพปัญหาชีวิต ถึงขั้นตกอับยากจน ล้มละลาย เพื่อนทิ้ง ประมาณนี้ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2011, 03:56:28 pm
ติดตามไปอ่านแล้วนะครับ ลุงปุ้ม นี่เป็นคนเจ้าชู้นะครับ

ไม่น่าเชื่อว่า วันนี้จะหันหน้ามาหาธรรมได้....

สาูธุ ขอให้เป็นกำลังในพระศาสนาต่อไปนะครับ

:25:
113  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การสอบความเป็นพระโสดาบัน .... เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2011, 03:41:31 pm
เกณฑ์ในการวัดสอบโสดาบัน

มีศีลบริบูรณ์และมีความเชื่อยังลงมั่นไม่หวั่นไหวในพระรัตนตรัย
หรือ
เห็นญาณวัตถุ 44 ญาณวัตถุ 77
หรือ
มีอริยญายธรรม คือเห็นปฏิจฺจสมุปบาท

ถ้ามีคุณสมบัติข้างต้นพระศาสดาให้พยากรณ์ตนด้วยตนว่าเป็นโสดาบันแล้ว

จำมาจากเขาครับ

ก็เลยติดใจว่า ญาณวัตถุ 44 ญาณวัตถุ 77 เป็นอย่างไรครับ ใครพอจะอธิบายได้บ้างครับ

ขอบคุณครับ

 :c017:
114  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การกราบไหว้ บูชา รอยพระพุทธบาทมีอานิสงค์อะไรครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 10:34:04 am
การกราบไหว้ บูชา รอยพระพุทธบาทมีอานิสงค์อะไรครับ

 และมีพระสูตร กล่าวเรื่องการกราบบูชา รอยพระพุทธบาทหรือไม่ครับ มีเนื้อหาว่าอย่างไร

 ใครพอจะแสดงให้ทราบได้บ้างครับ  ?

 :c017:
115  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ระหว่างการบวชเป็น พระ และ การอยู่ เป็น ฆราวาส นั้นใครสามารถถึงธรรมได้ก่อนในยุคนี เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 10:31:46 am
ระหว่างการบวชเป็น พระ และ การอยู่ เป็น ฆราวาส นั้นใครสามารถถึงธรรมได้ก่อนในยุคนี

ดูจากการบวชพระในปัจจุบัน ผมเข้าไปในวัด เพื่อจะสนทนาธรรมเรื่องเกี่ยวกับนิพพาน กับได้รับคำตอบว่า

ทั้ง 6 วัดเลยใกล้บ้านครับ ไม่ปรากฏว่า มีพระรูปไหนส่ิงเสริม เรื่องการภาวนาถึงพระนิพพาน กับมีความเห็นว่า

แม้แต่พระที่บวชยังทำไม่ได้ โยมไม่ได้บวชจะทำได้อย่างไร ?

  อันที่จริง ความคิดเช่นนี้ จัดว่าเป็นความคิดที่ผิดในแนวทางสงฆ์ หรือไม่ครับ ปัจจุบัน ฆราวาส ปฏิบัติธรรม

สำเร็จมีใครบ้างครับ หรือ ไม่มีเลย ดังนั้นพระนิพพาน เป็นเรื่องของนักบวชใช่หรือไม่ครับ

 ถ้าอย่างนั้น เราซึ่งเป็น ฆราวาส ก็คงไปนิพพานไม่ได้แล้วใช่หรือไม่ครับ

 :25: :25: :25:
116  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คนเกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าพยากรณ์ โดยผู้มีความสามารถว่า... เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 10:26:18 am
คนเกิดขึ้นมาแล้ว ถ้าพยากรณ์ โดยผู้มีความสามารถว่า...

 เช่น เด็กคนนี้จักฆ่า พ่อ และ ผู้มีพระคุณ ในอนาคต เหมือน พระยาพาล ( จากประวัติ พระประัโทณเจดีย์ )

      ต้องเข่นฆ่าคน เป็นจำนวนมาก เหมือน จอมโจรองคุลีมาล เป็นต้น

  อันนี้แสดงให้เห็นว่า ถ้าบุคคลใดเกิดมาได้รับพยากรณ์ แล้ว ก็ไม่สามารถ เปลี่ยนแปลง ชะตากรรมตนเองได้

ใช่หรือไม่ ครับ ?

 :25:
117  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คนเกิดขึ้นมานั้น ดี เลว จากกำเนิดเลยหรือไม่ ? เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 10:22:28 am
บัวสี่เหล่า เป็นเครื่องจำแนกคนไว้

  แต่ปัญหาอยากถามว่า คนเราเกิดขึ้นมาแล้ว ดี เลว ตั้งแต่เกิดเลยหรือไม่ครับ

 ผมเห็นเด็กข้างบ้านตั้งแต่เด็กมา ก็เป็นเด็กเกเรา ปัจจุบัน ก็เป็นจิ๊กโก๋ ที่นี้ดูกำเนิดในบ้านคุณแม่ก็เป็นคนใฝ่ธรรม

ชอบไปวัด ไปวา ฟังธรรม ช่วยงานวัด แต่ทำไมลูกจึง ดับเบิ้ลเกเร

 อันนี้แสดงให้เห็นว่า คนจะดี จะเลว ล้วนแล้วมาแต่กำเนิด มาจากโครโมโซม ด้วยใช่หรือไม่ครับ


  :25: :25: :25:
118  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ทำไมคนทำเลว จึงได้ดีคะ คนทำดี จึงไม่ได้ดีตกต่ำ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 23, 2011, 10:18:22 am
ผมว่าต้องพัฒนา องค์ความรู้ในด้านความดี คุณความดี ก่อนนะครับ ว่าคืออะไร?

  ความดี คือการกระทำทางกาย วาจา ใจในด้านบวก ไม่เบียดเบียนตนเอง และผู้อื่น
  คุณความดี คือผลของการทำความดี กล่าว กุศลจิต อันมีตั้งแต่ ปีติ บุญ ปราโมทย์ เป็นต้น

 โกหกเขาแล้วได้ดี ถ้าไม่รู้สึกละอายใจเลย ก็เป็นคนชั่ว ( ฟันธง )

 ดังนั้นคุณธรรม คนคนกึ่งดิบ กึ่งสุก คือ ดี ชั่ว ปนกัน ต้องมีคุณธรรม คือ หิริ ความละอายแก่ใจ และ

 โอตตัปปะ คือความเกรงกลัว ต่อบาป อกุศล

 :021: :021: :021:
119  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หนึ่งบทเรียนชีวิต...((ดีมากๆๆ...เพื่อนๆๆลองอ่านดูน้า))‏ เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 11:53:31 am








120  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: จิตปภัสสร เป็นเช่นไร เมื่อ: มกราคม 17, 2011, 02:38:34 pm
อ้างถึง
[๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้อย่างหนึ่ง ที่เปลี่ยนแปลง
ได้เร็ว เหมือนจิต ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตเปลี่ยนแปลงได้เร็วเท่าใดนั้น แม้จะอุปมาก็กระทำได้
มิใช่ง่าย ฯ

    [๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง แต่ว่าจิตนั้นแล เศร้าหมองด้วยอุปกิเลสที่
จรมา ฯ

    [๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตนี้ผุดผ่อง และจิตนั้นแล พ้นวิเศษแล้วจากอุปกิเลส
ที่จรมา ฯ

ให้ลองพิจารณา พระดำรัสของพระพุทธเจ้า อีกหนนะครับ ( หรือ หลาย ๆ รอบ ) อย่าพึ่งไปสนใจ อรรถกถา ครับ
และลองเทียบศัพท์กับบาลีต้นฉบัึบอีกครั้ง ว่าแปลถูกหรือไม่ ครับ

เห็นด้วยกับการแปล บาลี เป็น ไทย ต้องระวัง เพราะคำไทยผวนไ้ด้ หลายความหมาย ตีความเสียได้ ครับ

หน้า: 1 2 [3] 4