......พิจารณาคำว่าอภัยทาน
อภัยทาน ให้ความไม่มีภัย, ให้ความปลอดภัย
http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อภัยทาน&detail=on
จาก ปุญญาภิสันทสูตร
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
http://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=23&A=5079&Z=5126ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=23&i=129( บางส่วน )
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทาน ๕ ประการนี้ เป็นมหาทาน อันบัณฑิตพึงรู้ว่าเป็นเลิศ มีมานาน
เป็นเชื้อสายแห่งพระอริยะเป็นของเก่า ไม่กระจัดกระจายไม่เคยกระจัดกระจาย
อันบัณฑิตไม่รังเกียจอยู่ จักไม่รังเกียจ อันสมณพราหมณ์
ผู้เป็นวิญญูไม่เกลียด
ทาน ๕ ประการเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกใน
ธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละปาณาติบาต
งดเว้นจากปาณาติบาต ดูกรภิกษุทั้งหลายอริยสาวกผู้งดเว้นจากปาณาติบาต
ชื่อว่าให้ความไม่มีภัย ความไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียน แก่สัตว์หาประมาณมิได้
ครั้นให้ความไม่มีภัย ความไม่มีเวร ความไม่เบียดเบียน
แก่สัตว์หาประมาณมิได้แล้ว ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งความไม่มีภัยความไม่มีเวร
ความไม่เบียดเบียน หาประมาณมิได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นทานประการที่ ๑
ที่เป็นมหาทาน บัณฑิตพึงรู้ว่าเป็นเลิศ มีมานาน
......ตามนัยของปุญญาภิสันทสูตร ศีล ๕ จัดเป็นมหาทาน และอภัยทานก็จัดอยู่
ในระดับศีลนั่นเอง คือให้ความไม่มีภัยให้ความปลอดภัย ไม่เบียดเบียนแก่ชีวิต
ทรัพย์สิน ฯลฯ ของผู้ที่เราให้อภัยทาน
พิจารณา :
บุญกิริยาวัตถุ
http://84000.org/tipitaka/dic/d_seek.php?text=บุญกิริยาวัตถุ#find2
อภัยทานอยู่ในระดับศีล จัดเข้าในสีลมัย
ส่วนธรรมทานนั้นอยู่ในระดับปัญญา จัดเข้าในภาวนามัย
http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=ธรรมทาน
....ธรรมทานจึงมีอานิสงส์มากกว่าอภัยทาน
สพฺพทานํ ธมฺมทานํ สพฺพรตึ ธมฺมรติ ชินาติ
สพฺพรสํ ธมฺมรโส ชินาติ ตณฺหกฺขโย สพฺพทุกฺขํ ชินาติ.
การให้ธรรมย่อมชนะการให้ทั้งปวง
ความยินดีในธรรมย่อมชนะความยินดี
ทั้งปวง รสแห่งธรรมย่อมชนะรสทั้งปวง
ความสิ้นตัณหาย่อมชนะทุกข์ทั้งปวง ดังนี้.
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=137 ซ้ำบางที่ ยังบอกว่า อภัยทานก็คือธรรมทาน... ผมเลยค่อนข้างสับสนนิดหน่อย พอจะมีผู้รู้ท่านใด
ไขข้อข้องใจนี้ได้บ้างมั๊ยครับ จะเป็นพระคุณอย่างสูง
.......ที่มาตอบไม่ใช่ผู้รู้นะคะ แต่เป็นผู้จำได้ว่าเคยสนทนาในเรื่องนี้มาก่อน จึงตามลิงค์มาตอบ
ถ้าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจในส่วนไหน ก็ขอให้บอกนะคะ เพราะได้สนทนาในแง่มุมต่างๆ
ไว้มาก เลือกนำบางส่วนมาตอบพอทำความเข้าใจเท่านั้น
.......ที่ว่าอภัยทานก็คือธรรมทานนั้น มาจากอรรถกถานี้ค่ะ
อรรถกถาทานสูตร
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=278( บางส่วน )
ในอธิการนี้ อภัยทานพึงทราบว่า ทรงสงเคราะห์เข้ากันด้วยธรรมทานนั่นเอง.
แต่ควรอ่านทั้งพระสูตรก่อนนะคะ
ทานสูตร
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=6453&Z=6470[๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทาน ๒ อย่างนี้ คือ อามิสทาน ๑ ธรรม
ทาน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาทาน ๒ อย่างนี้ ธรรมทานเป็นเลิศ
.......ว่าด้วยทาน ๒ อย่าง
ดูคำว่าอามิส ก่อนดีกว่า ทบทวนไปด้วยกันนะคะ
อามิส เครื่องล่อใจ, เหยื่อ, สิ่งของ
http://84000.org/tipitaka/dic/v_seek.php?text=อามิส
......อภัยทานก็เหมือนกับธรรมทาน คือไม่ใช่อามิส อภัยทานจึงสงเคราะห์เข้ากันด้วยธรรมทาน
......จำได้ว่าเมื่อเราสนทนาในข้อธรรมนี้ดิฉันกับพี่สนุกมากเลย แต่ดิฉันถ่ายทอดไม่เก่ง
งั้นเรามาปรียบเทียบให้เห็นชัดๆ กันไปเลยนะคะ
มาดูในแง่ผู้ให้ :
การให้อภัยทาน ก็คือผู้ให้ ผู้ให้ได้รักษาศีล คือ ได้ควบคุม กาย วาจา
ไม่ให้ไปทำอันตรายผู้ที่รับอภัยทาน คือให้ความไม่มีภัย
การให้ธรรมทานผู้ให้ ก็ต้องมีการศึกษาในข้อธรรมนั้นๆ จากการอ่าน การฟัง
( ธัมมัสสวนมัย ) และต้องมีความเห็นให้ตรง ( ทิฏฐุชุกัมม์ )จึงจะให้ธรรมทานได้
( ธัมมเทสนามัย)
ถ้ารวมการถวายพระไตรปิฎก การให้หนังสือธรรม จัดไว้ในธรรมทาน ผู้ให้
ก็ให้โดยไม่ได้อ่านหรือทำการศึกษาก็ได้ แต่ถึงกระนั้น ผู้ให้ย่อมมีความเลื่อมใสว่า
ได้ให้ในสิ่งที่เลิศ วิบากอันเลิศย่อมมีแก่ชนผู้เลื่อมใสในสิ่งเลิศ
ตามนัยของปสาทสูตร
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=21&A=912&Z=944&pagebreak=0ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=21&i=34ในแง่ของผู้รับ :
ผู้รับอภัยทาน ก็ได้รับความปลอดภัย ในชีวิต ทรัพย์สิน ไม่ถูกหลอกลวง
ด่าว่า ฯลฯ จากผู้ให้อภัยทาน
ผู้รับธรรมทาน จะได้รับประโยชน์ตามสมควรแก่เหตุปัจจัย เช่นมีความเข้าใจในธรรม
มีความเห็นตรงคือมีสัมมาทิฎฐิ บ้างก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ( จากหลายพระสูตรเมื่อ
ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ ) ได้ทั้งประโยชน์ในโลกนี้ โลกหน้า กันเลยทีเดียว
บางคนเมื่อฟังธรรมแล้ว เกิดเกรงกลัวบาปกรรม หันมาทำบุญ ละบาปก็ได้ประโยชน์
ทั้งโลกนี้และโลกหน้าเลยทีเดียว
........แต่ไม่ว่าทานไหนจะได้อานิสงส์มากหรือน้อย เราก็ทำทั้งนั้น ตามเหตุปัจจัย
การพิจารณาข้อธรรมต่างๆ ก็เป็นไปเพื่อการศึกษาพระสัทธรรม พิจารณาดูเหตุดูผล
การให้ทาน ( แจกจ่ายอามิส ) ก็เป็นไปเพื่อละความโลภ ละความตระหนี่
อภัยทานก็เพื่อละโทสะ ให้มีเมตตากรุณา ธรรมทานก็เป็นไปเพื่อปัญญา
........การสงสัยในข้อธรรมและถามปัญหา ก็เป็นโอกาสที่จะให้เราได้ฟังธรรมและ
ได้แสดงธรรม ทั้งยังได้ทำความเห็นให้ตรงอันเป็นบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ที่เรา
ได้ทำตามโอกาส และหาโอกาสที่จะทำ
ขอบคุณสหายธรรม rtid