ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - raponsan
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 557
81  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พุทธไม่ใช่พระสงฆ์ ขอพร ยึดติด ไม่ผิด ไร้ศาสนา คือ ปัจเจกแห่งโลก เมื่อ: เมษายน 07, 2024, 06:32:34 am
.



พุทธไม่ใช่พระสงฆ์ ขอพร ยึดติด ไม่ผิด ไร้ศาสนา คือ ปัจเจกแห่งโลก

แลกเปลี่ยนมุมมองพระพุทธศาสนา กับ 'ผศ.ดร.สมพรนุช ตันศรีสุข' มองการยึดติดตัวบุคคลอาจไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องไม่ลืมศึกษาหลักธรรมที่เป็นแก่นแท้ คนรุ่นใหม่เมินศาสนาไม่ใช่เรื่องแปลก เหตุข่าวเสียพระสงฆ์มีให้เห็นมาก จนภาพจำเริ่มเปลี่ยนไป

'ความไม่ยึดมั่นถือมั่น' เป็นหนึ่งในหลักธรรมที่สำคัญของพระพุทธศาสนา เพราะหากใจปล่อยวางได้แล้ว ย่อมเป็นส่วนประกอบนำไปสู่การหลุดพ้นจากสังสารวัฏได้ในที่สุด…

อย่างไรก็ตาม เราจะสังเกตเห็นได้ว่าชาวพุทธบางคน ยังยึดติดอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ โดยเฉพาะ 'ยึดติดในตัวบุคคล' นั่นก็คือพระสงฆ์ผู้สืบทอดศาสนา แต่เมื่อมีการยึดติดและส่งต่อความเชื่อ จนพระบางรูปโด่งดัง ก็ใช่ว่าทุกรูปจะปฏิบัติดีเสมอไป

มีข่าวจำนวนไม่น้อยที่พระสงฆ์ใช้แรงศรัทธาของประชาชน เพื่อช่วงชิงสร้างประโยชน์แก่ตนเอง จนกระทั่งนำมาซึ่งภาพจำไม่ดีที่มีต่อพระพุทธศาสนา ถึงกระนั้น การยึดติดในตัวบุคคลก็ยังมีให้เห็น จนนำมาซึ่งเหตุการณ์ลักษณะดังกล่าว ที่ปรากฏภาพเดิมๆ ให้เห็นอยู่ 'ครั้งแล้วครั้งเล่า'

แล้วเพราะเหตุใดเราจึงยึดติดตัวบุคคล?

มีวิธีที่จะสามารถก้าวข้ามความยึดติดนั้นได้หรือไม่?

ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ ขอนำพาผู้อ่านทุกคน ไปเข้าใจกับเรื่องนี้ให้มากขึ้น ผ่านการสนทนาและมุมมองจาก 'ผศ.ดร.สมพรนุช ตันศรีสุข' อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ ภาควิชาภาษาตะวันออก คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย





รากฐานการยึดติด :

ผศ.ดร.สมพรนุช มองว่า การบูชาตัวบุคคลเปรียบเสมือน 'ปรากฏการณ์' ของสังคม เรื่องนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่เฉพาะทางศาสนา แม้แต่ทางการเมืองก็สามารถเห็นเรื่องลักษณะนี้ได้ คนเรามักจะยึดโยงกับตัวบุคคล มากกว่าการดูที่หลักการ อุดมการณ์ หรือความคิดที่เป็นสำคัญ คราวนี้เมื่อคนหนึ่งได้รับความนิยม สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับคนนั้นก็จะได้รับความนิยมไปด้วย

ทีมข่าวฯ สอบถามต่อไปว่า มีรากฐานใดหรือไม่ ที่ทำให้คนไทยยึดติดกับตัวบุคคล มากกว่าแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา?

ทรรศนะของ ผศ.ดร.สมพรนุช ที่มีต่อคำถามนี้ คือ เรามองว่า เรื่องเชื่อในตัวบุคคล เป็นความคิดทางศาสนาที่มีมาตั้งแต่โบราณ แสดงถึงการยึดมั่น และเชื่อมั่นผู้ที่มีความเกร่งกล้าสามารถ คล้ายกับมองว่าเป็น 'ฮีโร่' ซึ่งถ้ามองดีๆ แล้ว พระพุทธเจ้าพระองค์ก็มีความเป็นฮีโร่อยู่เช่นกัน

"อย่างในประเทศไทย ความคิดดั้งเดิมมีผลมาก ที่ทำให้เรายึดตัวติดบุคคล หรือคุณวิเศษบางอย่างที่อยู่ในบุคคลนั้น มากกว่าที่จะไปยึดหลักการของพระพุทธศาสนา"

อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ กล่าวต่อว่า แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องการสอน นั่นก็คือหลักการที่พระองค์ทรงค้นพบจากการตรัสรู้ ได้แก่ อริยสัจ 4 ที่พูดถึงเรื่องของความทุกข์ และการหลุดพ้นจากทุกข์ สิ่งนี้ต่างหากที่เป็น 'พระพุทธศาสนา' แต่เมื่อศาสนาสืบทอดต่อกันมานับพันปี แน่นอนว่าย่อมมีความคิดพื้นเมืองเข้าไปผสมผสาน





ยึดติดตัวบุคคลได้ แต่ต้องศึกษาแก่นธรรมด้วย :

ผศ.ดร.สมพรนุช การยึดตัวบุคคล การยึดเป็นที่พึ่งทางใจ การได้สนทนาแล้วสบายใจ อยากเข้าใกล้ ฯลฯ มันคือสิ่งที่เป็นปฐมภูมิ เป็นเพียงขั้นต้น แก่นของพระพุทธศาสนาต้องไปไกลกว่านั้น จะไม่ยุ่งไม่ยึดติดตัวบุคคล เราต้องพึ่งตัวเอง ต้องเข้าใจว่าชีวิตเป็นทุกข์ได้อย่างไร และจะออกจากทุกข์นั้นได้อย่างไร

การนับถือพุทธศาสนาเราต้องเล่าเรียนด้วย ต้องศึกษาจากตัวบทและคัมภีร์ที่เป็นหลักการ ถ้าไม่ได้ศึกษาจากหลักการเลย แต่ไปเน้นอยู่ที่ตัวของบุคคล ศาสนาพิธี หรือพิธีกรรมต่างๆ ก็จะทำให้คนไปยึดติดกับตัวบุคคล

"การศึกษาพระพุทธศาสนาตามหลักการ ต้องมีผู้ให้ความรู้ที่ถูกต้อง พยายามที่จะสอนหลักศาสนา แต่สุดท้ายแล้ว ผู้สอนก็ไม่พ้น 'พระภิกษุ' หรือ 'พระอาจารย์' สุดท้ายคนเราก็จะไปติดอยู่กับพระอาจารย์ ตามที่เราเห็นว่ามีชาวพุทธจำนวนมาก ไปแสดงหาครูบาอาจารย์ดังๆ มากกว่าการแสวงความรู้ทางหลักธรรม"

อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ กล่าวต่อว่า ในบรรดาของพระชื่อดัง มีทั้งที่เป็นของจริงและไม่จริง ถ้าเป็นของจริง ผู้ที่เข้าไปก็จะได้รับผลประโยชน์ จากการได้ศึกษาเล่าเรียนหรือฝึกปฏิบัติกับพระรูปนั้นๆ แต่ถ้าเกิดว่าเป็นของไม่จริง สุดท้ายประชาชนก็จะถูกหลอก อย่างเช่นคดีของ หลวงปู่เณรคำ

สำหรับเราในจุดนี้ จะยึดติดตัวบุคคลอาจไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องไม่ลืมว่าอะไรคือสิ่งสำคัญ นั่นก็คืออริยสัจ 4 ความเข้าใจสิ่งที่ต่างๆ ตามความเป็นจริง ความเข้าใจสภาพไตรลักษณ์ ความไม่เที่ยงของขันธ์ 5 การที่พยายามที่จะปฏิบัติธรรมตามหลัก ศีล สมาธิ ปัญญา นี่คือหลักการ

"พระสงฆ์เป็นเพียงผู้สืบทอดศาสนา ท่านก็ปฏิบัติเพื่อตัวท่านเอง และแบ่งปันความรู้ให้พุทธศาสนิกชน เพื่อให้ทุกคนนำไปเป็นความรู้ ต่อยอดสู่วิธีทางปฏิบัติเพื่อตนเอง"





กรณีตัวอย่าง (อดีต) 'พระมิตซูโอะ' :

กรณีตัวอย่างที่ ผศ.ดร.สมพรนุช ยกประกอบการอธิบายว่า เข้าข่ายลักษณะ 'การยึดติดตัวบุคคล' คือกรณีของ (อดีต) 'พระมิตซูโอะ' โดยได้อธิบายว่า ท่านเป็นลูกศิษย์ของหลวงปู่ชา ในสายของท่านเป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ตั้งใจสืบทอดศาสนา มีลูกศิษย์มากมาย มีพระที่เป็นนักปฏิบัติ แล้วไปสร้างวัดตามสถานที่ต่างๆ

ส่วนพระมิตซูโอะ ช่วงที่ท่านยังอยู่ในสมณเพศ ท่านเป็นพระรูปหนึ่งที่น่าเคารพนับถือ แต่เมื่อวันหนึ่งมีเหตุปัจจัยต่างๆ เข้ามา ทำให้ท่านจำเป็นต้องเปลี่ยนการใช้ชีวิตจึงตัดสินใจลาสิกขา มันก็เป็นเรื่องปกติที่ท่านจะทำได้ แต่ก็จะมีคนไทยบางกลุ่มที่รับไม่ได้กับเรื่องนี้

"กรณีนี้แสดงให้เห็นว่า คนอาจจะไม่ได้เข้าหาพระมิตซูโอะเพราะเรื่องหลักธรรม แต่เข้าหาเพราะคุณสมบัติบางอย่างของท่าน การเคารพในคุณลักษณะที่เป็นพระดี ซึ่งคนไทยติดเรื่องลักษณะนี้ มากกว่าที่จะมองแค่ว่าท่านเป็นเพียงแค่พระสงฆ์ผู้สืบทอดศาสนา"

ผศ.ดร.สมพรนุช กล่าวต่อว่า เรื่องนี้แสดงถึง 'การยึดติดในตัวบุคคล' แทนที่จะมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม การยึดติดกับตัวบุคคลไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ต้องเรียนรู้แนวคิด หลักธรรม กระบวนการทางศาสนาด้วย อย่างเรื่องของพระมิตซูโอะ เราก็ควรมองว่าเป็นเรื่องขันธ์ 5 ทุกอย่างย่อมเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอน





แนวคิด 'กัลยาณมิตร' :

แม้การยึดติดตัวบุคคลจะไม่ใช่หลักการของพระพุทธศาสนา แต่ ผศ.ดร.สมพรนุช บอกว่า การกระทำลักษณะนี้มีสิ่งที่ศาสนารองรับอยู่ นั่นก็คือเราจะรู้สึกว่า 'เหมือนได้อยู่ใกล้กัลยาณมิตร'

อาจารย์ ขยายความว่า กัลยาณมิตร หรือ ผู้มีบุญมาก เป็นเรื่องที่ฝังอยู่ในความคิดของคนไทยมาช้านาน เพราะเราต่างมองหาคนที่เป็นผู้นำ และต้องยอมรับว่า 'พระสงฆ์' เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณมาตั้งแต่โบราณ ในประวัติศาสตร์ไทย เราก็มักจะมองหาคนที่มีความรู้ และมีคุณธรรมสูงส่งเป็นผู้นำ ซึ่งคนมีภาพจำว่าพระสงฆ์มีสิ่งที่กล่าวมา และปัจจุบันก็ยังคงเป็นอยู่

"เมื่อคนมีความรู้สึกแบบนั้น มันก็ดึงดูดให้คนมีศรัทธาในลักษณะนี้ ทีนี้ถ้าไม่ได้ไตร่ตรองให้ดี ก็อาจจะเข้าใจอะไรผิดๆ" ผศ.ดร.สมพรนุช กล่าว





ทำอย่างไรจึงจะเลิกยึดติดตัวบุคคล? :

คราวนี้… ถ้าการยึดติดตัวบุคคล ไม่ใช่แนวทางของพระพุทธศาสนา เราจึงสงสัยและสอบถามอาจารย์ว่า จะมีวิธีใดบ้างที่ช่วยให้ก้าวข้ามความรู้สึกเหล่านั้นได้?

ผศ.ดร.สมพรนุช แสดงความคิดเห็นว่า เรายังคงเชื่อในเรื่อง 'การศึกษา' สิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งมันยากเพราะเป็นนามธรรม เป็นอะไรที่เข้าใจยาก และปฏิบัติได้ยาก แต่กลับกันเมื่อเราเข้าหาอาจารย์ท่านหนึ่ง ที่เราเชื่อว่าเขาศักดิ์สิทธิ์ มีคุณวิเศษ มันเข้าถึงง่ายมากกว่า

"การได้รับการศึกษาอย่างถูกต้อง จะช่วยพัฒนาเรื่องของวิจารณญาณ ซึ่งจะเป็นเหมือนกรอบ ที่ทำให้แต่ละท่านได้สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนเองที่สุด หรือว่าหลีกเลี่ยงการถูกหลอกลวง"

เมื่ออาจารย์ผู้ให้สัมภาษณ์ยังมองว่า การศึกษาเป็นเรื่องที่อยาก ทีมข่าวฯ จึงถามต่อไปว่า แล้วเรายังจะมีความหวังให้สังคมไทยก้าวข้ามเรื่องนี้ได้หรือไม่?

ผศ.ดร.สมพรนุช ตอบว่า เราต้องบอกว่า "อยากให้มองแบบมีความหวัง" เราต้องมีความหวังไว้ก่อนไม่งั้นจะอยู่ลำบาก ถ้าเห็นแต่ข้อเสียอย่างเดียวจะทำให้เรารู้สึกว่าชีวิตไม่มีความหวัง





การภาวนาขอพรไม่ใช่เรื่องผิด :

อีกหนึ่งคำถามที่น่าฉงน คือเมื่อศาสนาพุทธสอนให้หลุดพ้น แต่ผู้คนต่างยังมุ่งมั่น 'ขอพร' และอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วนี่ถือเป็นเรื่องผิดหรือไม่ควรหรือไม่?

ข้อสงสัยนี้ ผศ.ดร.สมพรนุช มองว่า การขอพร หรืออธิษฐานเรื่องต่างๆ ไม่ใช่เรื่องผิด เพราะในทางศาสนามีสิ่งที่เรียกว่า 'อธิษฐานบารมี' คือ การตั้งจิตให้มั่น เหมือนการตั้งความหวัง ตั้งความปรารถนา เซตเป้าหมายว่าเราจะไปถึงอะไร หรืออยากได้อะไร แต่ตามหลักการแล้ว การที่เราวางเป้าหมายอย่างเดียว โดยที่ไม่ลงทำอะไร ความสำเร็จในเรื่องนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลย

"การไปอธิษฐานกับพระ ทำให้มีที่พึงทางใจ กลายเป็นคนที่มีหวัง สภาพชีวิตที่อยู่โดยไร้หวังเป็นเรื่องที่แย่มากเลยนะพราะจะทำให้เราไม่อยากมีชีวิตอยู่ ดังนั้น การที่เรามีความหวัง แล้วฝากความหวังไว้ที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันจะช่วยเป็นแรงผลักดันให้เรามีแรงกาย แรงใจ ที่จะดำเนินชีวิตต่อไป"

อาจารย์ประจำสาขาวิชาภาษาเอเชียใต้ แสดงทรรศนะต่อว่า ดังนั้น เรามองว่านี่ไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องระลึกว่าขออะไรต้องปฏิบัติ มันก็เข้ากับหลักการของศาสนาอีก เป็นเรื่องของ 'กรรม' ก็คือ 'การกระทำ'





มูเตลู-กุศโลบาย :

อีกหนึ่งกระแสที่ตีคู่กันมากับการยึดติดตัวบุคคล นั่นก็คือเรื่อง 'มูเตลู' เราจะเห็นได้ว่าหลายคนเลือกที่จะเมินพุทธศาสนา แต่หันไปพึ่งพาเครื่องรางของขลัง ซึ่ง ผศ.ดร.สมพรนุช มองว่า เรื่องนี้เหมือนเป็น 'ไสยศาสตร์ยุคใหม่' เป้าหมายของการบูชาตรงนี้ ก็เพื่อจะให้ได้สิ่งที่ต้องการเท่านั้น คนก็จะแสวงหาของต่างๆ มา ซึ่งนี่ก็ถือว่าผิดหลักการของศาสนา

แต่อย่างไรก็ดี ในความเป็นจริงศาสนาพุทธก็มีเรื่องทำนองนี้ แต่เราจะยึดถือในลักษณะที่เป็น 'กุศโลบาย' มากกว่า เช่น คุณได้รับพระเครื่องไป แต่ถ้าต้องการจะบูชาพระองค์นี้ แล้วให้ได้ดี ต้องเป็นคนที่มีศีล มีสัตย์ มีคุณธรรม จึงจะสามารถรักษาคุณวิเศษของพระองค์นั้นได้ มันเป็นกุศโลบาย เพื่อให้ผู้ชาปรับตัวให้ดีขึ้น ไม่ใช่เพียงการเช่าบูชาหรือครอบครอง





คนรุ่นใหม่เมินศาสนาไม่ใช่เรื่องแปลก :

เราจะเห็นได้ว่าในหมู่คนรุ่นใหม่ กระแสการเข้าวัดทำบุญเริ่มลดลงเรื่อยๆ หลายคนเลือกที่จะเมินพระพุทธศาสนา หรืออาจจะไม่นับถือศาสนาใดเลยเสียด้วยซ้ำ ไม่ก็เน้นการกราบไหว้บูชาตามโอกาส และช่วงเวลาที่ตนอยากได้สิ่งที่ต้องการ

อย่างไรก็ดี ผศ.ดร.สมพรนุช รู้สึกว่า การที่คนรุ่นใหม่เมินศาสนาไม่ใช่เรื่องแปลก ส่วนหนึ่งก็มาจากเพราะเขาเห็นข่าวที่ไม่ค่อยดีเกี่ยวกับพระ ที่ถูกถ่ายทอดผ่านสื่อ มีข้อมูลมากมายที่พวกเขาเห็น ทั้งดีและเสีย เพียงแต่ว่าเราจะสื่อสารให้เขาเห็นได้อย่างไร ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องธรรมดา ในหลักการของศาสนาต่างหากมีของดีอยู่

"จะทำอย่างไรให้เขาเข้าใจว่า พระพุทธศาสนาไม่ใช่พระสงฆ์ แต่พระสงฆ์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของศาสนา เป็นเพียงแค่ผู้สืบทอด และจริงๆ แล้วพระสงฆ์เหล่านั้นก็เป็นเหมือนเรานี่แหละ เพียงแต่เขาไปนุ่งห่มผ้าเหลือง แล้วอยู่ในพระวินัย ซึ่งบางท่านก็ทำได้ ปฏิบัติดี แต่บางท่านก็ทำไม่ได้ เลยออกมาในลักษณะการนอกรีตนอกรอย มันอยู่ที่การให้ความเข้าใจที่ถูกต้อง"

ผศ.ดร.สมพรนุช กล่าวต่อว่า เรื่องพระนอกรีตมีมาตั้งแต่อดีต เพียงแต่ไม่มีสื่อกระแสจึงยังไม่กว้างเท่าปัจจุบัน เดี๋ยวนี้เราเห็นได้ทุกอย่าง แล้วอะไรที่เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องสามัญที่พระต้องปฏิบัติ คนก็ไม่เอามาลงเป็นข่าว แต่อะไรที่ผิดประหลาดจะเป็นข่าวเสมอ คนจึงสูญเสียศรัทธาแห่งศาสนา

"ตอนนี้กลายเป็นว่าพระสงฆ์ เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธศาสนาไปแล้ว ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่" อาจารย์กล่าวเน้นย้ำกับเรา





ความท้าทายในวันที่คนมีความเป็นปัจเจกสูง :

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอาจารย์เชื่อว่า สังคมเราก็ดูมีความพยายามจะทำให้ศาสนาดีขึ้น โดยองค์กรของรัฐ เอกชน หรือหน่วยงานใดก็ตาม แต่สิ่งที่เป็นความท้าทายในยุคนี้ คือ โลกสื่อโซเชียล และความเป็นปัจเจกนิยมบุคคล สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดความยาก ที่จะทำให้ทุกคนคิดหรือทำเหมือนกัน

เราเผยแพร่ความคิดได้ระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายแล้วเป็นเรื่องของ 'ปัจเจก' ที่จะเลือกเชื่อหรือไม่ อิทธิพลของสื่อยุคนี้แรงมาก ทำให้ข่าวสารแพร่สะพัดไปหลากหลาย ดังนั้น ความเชื่อทุกวันนี้ เราไม่สามารถบอกได้เลยว่ามีอยู่กี่อย่าง หรือมีอะไรปะปนมาบ้าง

อย่างเรื่องของ 'มูเตลู' คนที่ทำเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่กลุ่มพระพุทธศาสนาเท่านั้น แม้กระทั่ง ฤาษี ชีไพร ไม่รู้มาจากไหน ตั้งตัวเป็นอาจารย์ ตั้งตัวเป็นเอกชน เป็นคนมีความรู้ ซึ่งถ้ามีคนศรัทธา พร้อมใช้เข้าไปบริการ เขาก็สามารถไปต่อได้ และก็วนกลับมาเรื่องยึดตัวบุคคล

"ปัจจุบันเรื่องความคิดปัจเจกบุคคล มีมากขึ้นกว่าในอดีต มากเกินที่รัฐจะควบคุมสื่อ ความคิด หรือความเชื่อทางศาสนาได้ ซึ่งทุกวันนี้มีสื่อให้เราค้นหามากขึ้น อยู่ที่ว่าเราจะแสวงหาองค์ความรู้ดีๆ จากไหน"

                                    ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ รายงาน





Thank to : https://www.thairath.co.th/scoop/interview/2775497
4 เม.ย. 2567 , 06:40 น. | สกู๊ปไทยรัฐ > Interview > ไทยรัฐออนไลน์
82  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / การพัฒนามนุษย์ตามแนวภาวนา ๔ เมื่อ: เมษายน 03, 2024, 10:32:00 am
.



การพัฒนามนุษย์ตามแนวภาวนา ๔
โดย ภาษิต สุขวรรณดี สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา
หมายเหตุ : ยกมาแสดงบางส่วน




๓. การพัฒนามนุษย์ตามแนวภาวนา ๔

ภาวนาหรือการพัฒนาตามแนวพระพุทธศาสนามี ๔ อย่าง จําแนกไว้ว่า คือ
     ๑. พัฒนาด้านกาย เรียกว่า กายภาวนา
     ๒. พัฒนาด้านศีล เรียกว่า ศีลภาวนา
     ๓. พัฒนาด้านจิต เรียกว่า จิตภาวนา
     ๔. พัฒนาด้านปัญญา เรียกว่า ปัญญาภาวนา     

ภาวนาตามแนวพระพุทธศาสนานี้เป็นของเก่ามาก  แต่จําเพาะมาใกล้กันมากกับ development ๔ ประการของวงการการศึกษาสมัยใหม่ ซึ่งกล่าวถึงการพัฒนาที่แปลจากของฝรั่งว่า development ๔ ด้าน หรือ growth ๔ ด้าน คือ
    ๑) พัฒนาทางกาย (Physicaldevelopment) 
    ๒) พัฒนาการทางสังคม (Social  development) 
    ๓) พัฒนาการทางอารมณ์ (Emotional development)
    ๔) พัฒนาการทางปัญญา (Intellectual development)

ซึ่งมีการพูดกันมาหลายสิบปีแล้ว แต่ไม่เคยพูดถึงภาวนา ๔ อย่างในพระพุทธศาสนา คําว่า "ภาวนา" ใน  dictionary ภาษาบาลี-อังกฤษ แปลเป็น development ทั้งนั้น ภาวนาในทางพระพุทธศาสนาแปลว่า พัฒนา  และคําว่า development ก็มีความหมายตรงกับคําว่าภาวนา และทั้งภาวนา และ development มี ๔ ประเด็นเหมือนกัน ดังนี้ 

     ๑) พัฒนากาย หรือพัฒนาทางกาย ได้แก่ Physical development ตรงกับ กายภาวนา     
     ๒) พัฒนาศีล หรือพัฒนาทางสังคม ด้วยเหตุที่ศีลคือการอยู่ร่วมกันในสังคมโดยไม่เบียดเบียนกัน มีชีวิตที่เกื้อกูลต่อกัน และมีวินัยจึงได้แก่ Social development ตรงกับ ศีลภาวนา       
     ๓) พัฒนาจิตใจ หรือพัฒนาทางอารมณ์ เรื่องอารมณ์ที่เพี้ยนมาในภาษาไทยปัจจุบัน ก็คือเรื่องของจิตใจนั่นเอง พัฒนาด้านนี้ จึงได้แก่ Emotional development ตรงกับ จิตภาวนา     
     ๔) พัฒนาปัญญา หรือพัฒนาการทางปัญญา ได้แก่ Intellectual development ตรงกับ ปัญญาภาวนา


@@@@@@@

๓.๑ การพัฒนาสี่ด้าน แต่รวมลงเป็นระบบเดียว จึงกล่าวได้ว่า ภาวนา ๔ กับ development ตรงกันหมด แต่ความหมายมีนัยที่แยกกัน ต่างกัน กว้างกว่ากัน หรือลึกกว่ากันบ้าง คือ

กายภาวนา พระพุทธศาสนาไม่เน้นที่การทําให้ร่างกายเติบโตแข็งแรง แต่ถือว่าการกินอาหารให้ได้คุณค่า  กินพอดี ด้วยความรู้จักประมาณ ให้ร่างกายอยู่ผาสุก มีสุขภาพดีเป็นฐานให้การพัฒนาด้านอื่นๆ ต่อไป การมีร่างกายที่ระบบภายในต่างๆ ทํางานเรียบร้อยดี เรียกว่าเป็น ปธานิยังคะ อย่างหนึ่ง คือ เป็นองค์หนึ่งของสภาพชีวิตที่เหมาะแก่การใช้ความเพียรพยายามในการพัฒนาชีวิต แต่การพัฒนากายไม่ใช่แค่นั้น

การพัฒนากาย ท่านเน้นที่เราดํารงชีวิตอยู่ในโลกนี้ ส่วนของร่างกายที่สัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมในการดํารงอยู่ ก็คือ ตา หู จมูก ลิ้น และประสาทกาย ที่เรียกว่าอินทรีย์ ฉะนั้น การพัฒนากายในพระพุทธศาสนาจึงเน้นไปที่การพัฒนาอินทรีย์ ในการสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ให้ใช้งานได้ดี เกิดประโยชน์สูงสุด มีผลในทางส่งเสริมคุณภาพชีวิต เช่น พัฒนาการใช้ตาให้ดูเป็น พัฒนาการใช้หูให้ฟังเป็น ฯลฯ การพัฒนากายจะต้องเน้นเรื่องนี้

การพัฒนาอินทรีย์ คือ การฝึกใช้อินทรีย์ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิต ไม่ใช่ใช้อินทรีย์ให้เกิดโทษ ฉะนั้น การศึกษาจะต้องมีกายภาวนา ซึ่งไม่ใช่เฉพาะเพียงฝึกให้ร่างกายเติบโตแข็งแรง มีสุขภาพดีเท่านั้น แต่ต้องพัฒนาให้ใช้อินทรีย์เป็น นอกจากนั้นการพัฒนาทักษะต่างๆ ในทางอาชีพ ก็รวมอยู่ในข้อนี้ด้วย แต่ที่เป็นแกนกลาง ก็คือ การพัฒนาที่เป็นอินทรีย์นี้ จนพูดได้ว่า การพัฒนากายก็คือการพัฒนาอินทรีย์

ศีลภาวนา ที่ว่าเป็นการพัฒนาทางสังคมนั้น  ไม่มุ่งแต่การอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ดีโดยไม่เบียดเบียนกันเท่านั้น  แต่มุ้งถึงการฝึกอบรมกาย วาจา ให้เป็นฐานในการพัฒนาจิตต่อด้วย กล่าวคือการฝึกอบรม ให้รู้จักควบคุมตนในเรื่องกายวาจานั้น เริ่มด้วยการไม่เบียดเบียนผู้อื่น ให้อยู่ร่วมกันกับผู้อื่นได้ดี เป็นไปในทางที่เกื้อกูลต่อกันในสังคม เรื่องนี้เป็นศีลขั้นพื้นฐาน แต่นอกเหนือจากนั้น ยังมีการศึกษาอบรมกายวาจาให้ประณีตยิ่งขึ้นไปอีก โดยที่ความสามารถในการฝึกพฤติกรรมทางกายวาจาของตนนั้น จะเป็นฐานแก่การพัฒนาจิตใจต่อไปด้วย

เมื่อเรารู้จักควบคุมฝึกหัดกายและวาจาแล้ว จะต้องฝึกฝนพัฒนาจิตใจพร้อมกันไปด้วย ซึ่งจะส่งผลต่อกันตามหลักปัจจัยสัมพันธ์ หมายความว่า ภาวนา ๔ ด้านนี้ จะต้องโยงเป็นระบบเดียวกันไม่ใช่แยกเป็นด้านๆ ไม่ใช่เป็นความคิดแบบ reductionist เพราะพวกนั้นแยกแล้วไม่โยง คือแยกภาวนา หรือพัฒนา ๔ ด้าน แยกออกไปได้หมด แต่ไม่ได้ดูว่า ๔ ด้านนั้นสัมพันธ์กันอย่างไร

ทางที่ถูกต้องโยงด้วยว่า ๔ ด้านนี้เกื้อกูลและอาศัยกันอย่างไรอีกที แยกแล้วต้องโยงด้วยทางด้านการพัฒนาจิตใจก็ต้องโยงว่า เมื่อพัฒนาจิตใจดี ก็ส่งผลดีออกมาต่อร่างกาย เช่น ใจไม่โกรธไม่เครียด ช่วยให้มีสุขภาพดีและมีผลในการสัมพันธ์หรือในการอยู่ร่วมสังคมด้วย ทําให้การสัมพันธ์กับโลก และสภาพแวดล้อมภายนอกพลอยดีไปด้วย และการพัฒนาจิตใจนั้น เช่น เมื่อมีสมาธิ ใจไม่ว้าวุ่นสับสน ก็เป็นฐานให้แก่การพัฒนาปัญญาต่อไป 

เมื่อพัฒนาปัญญาดีแล้ว ก็ทําให้จิตใจเป็นอิสระ เพราะรู้ว่าจะทําจะปฏิบัติต่ออะไรอย่างไร แก้ไขข้อติดขัดขจัดปัญหา หายอึดอัดหลุดโล่งไปได้ ตลอดจนรู้เท่าทันชีวิตและโลกตามเป็นจริงรู้เท่าทันเหตุปัจจัย มีอะไรเกิดขึ้นก็รู้จักมองตามเหตุปัจจัย ก็ไม่มีอะไร มาบีบคั้นตัว อย่างน้อยก็ไม่ค่อยมีการกระทบกระแทก เพราะทําตามปัญญา ไม่ใช่ทําตามใจอยาก     

การพัฒนาปัญญาตามหลักพระพุทธ-ศาสนานี้ จะใช้คําว่า intellectual ก็ไม่ค่อยตรงเพราะคําว่า intellectual เน้นไปที่ความคิดเหตุผลซึ่งเป็นเพียงขั้นหนึ่งหรือด้านหนึ่งของปัญญา ปัญญาในพระพุทธศาสนา มีอยู่หลายขั้น เริ่มตั้งแต่การรู้จักรับ รู้ประสบการณ์ให้ตรงตามเป็นจริง การคิดตามเป็นจริง โดยไม่ถูกครอบงําด้วยอคติ หรือโลภะ โทสะ โมหะ จนถึงความรู้ความเข้าใจโลกและชีวิตตามเป็นจริง ที่ทําให้มีจิตใจเป็นอิสระ ด้วยเหตุนี้ ปัญญาภาวนาอาจจะต้องใช้คําว่า wisdom development       

ภาวนา ๔ นี้เป็นหลักสําคัญอีกชุดหนึ่ง โดยสรุปแล้ว ภาวนาหรือพัฒนาแสดงถึงหนทางในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล เมื่อพูดแยกเป็นแง่ ด้านต่างๆแล้ว ก็ต้องเอามาโยงเข้าด้วยกันให้เป็นภาพรวมอันหนึ่งอันเดียว กันอีกที

@@@@@@@

๓.๒ เป้าหมายของการพัฒนาสู้จุดหมายของชีวิต

จุดหมายในการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ถือเป็นจุดหมายของการศึกษา ซึ่งกล่าวให้ง่าย จุดหมายนั้นก็คือ การพัฒนาตนของแต่ละคนให้เข้าถึง อัตถะ(เรื่องอัตถะ คือ จุดหมายของชีวิต ๓ ขั้น พึงดูในหนังสือวินัยชาวพุทธ หน้า ๙–๑๐ หรือ ธรรมนูญชีวิต หน้า ๘–๙) คือ เข้าถึงจุดมุ่งหมายของชีวิตในระดับต่างๆกัน คือ

    ๑. ขั้นชีวิตระดับรูปธรรม หรือชีวิตด้านนอก ซึ่งเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ตามองเห็น เช่น ให้พึ่งตนเองได้ในทางเศรษฐกิจ ให้พึ่งตนได้ในทางสังคม โดยอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ดี มีความเจริญก้าวหน้าในสังคม มีฐานะตําแหน่งเป็นที่ยอมรับนับถือ เป็นต้น ซึ่งเป็นขั้นเรียกว่า ทิฏฐธัมมิกัตถะ คือ ประโยชน์ที่ตามองเห็น อันเป็นประโยชน์ในขั้นของจุดหมายสามัญ เป็นอิสรภาพของชีวิตด้านนอก หรืออิสรภาพทางกายภาพและทางสังคม ขั้นนี้แม้จะสําคัญแต่ไม่เพียงพอ ถ้ามีได้เพียงขั้นนี้ไม่มีขั้นที่ ๒. จะไม่ปลอดภัย     

    ๒. ขั้นเข้าถึงจุดหมายในทางชีวิตจิตใจที่ลึกซึ้งลงไป คือ มีจิตใจที่ดีงาม เชื่อมั่นในความดีและการกระทําสิ่งที่ถูกต้องดีงาม มีคุณธรรมและรู้จักเสียสละสร้างสรรค์ทําประโยชน์ต่างๆ มีปัญญากอปรด้วยวิจารณญาณ ซึ่งทําให้เกิดความมั่นใจและความสุขในบุญกุศล หรือการมีชีวิตที่มีคุณค่า ซึ่งเป็นขั้นที่เรียกว่า "สัมปรายิกัตถะ" คือ ประโยชน์ที่ลํ้าเลยจากการที่ตามองเห็น เป็นอิสรภาพของชีวิตด้านใน ที่ปลอดพ้นจากความชั่วร้ายตกตํ่า และความทุกข์ที่ร้ายแรงขั้นที่เรียกว่า ตกอบาย       

    ๓. ขั้นสุดท้ายคือ ปรมัตถะ ความหมายคือ ประโยชน์สูงสุด คือถึงขั้นที่มีจิตใจเป็นอิสระด้วยปัญญาที่รู้ความจริง อย่างที่เรียกว่ารู้แจ้งสังขารหรือรู้เท่าทันโลกและชีวิต ไม่ตกเป็นทาสของสิ่งทั้งหลาย ไม่หวั่นไหวตามความเป็นไปภายนอก เป็นภาวะเต็มอิ่มสัมบูรณ์ ซึ่งมีแต่ความสุขที่โปร่งเบา ไร้ทุกข์ เป็นอิสรภาพขั้นสูงสุดหรือขั้นสุดท้าย ที่ความเป็นอิสระของชีวิตจิตใจถึงขั้นเป็นภาวะเด็ดขาดสิ้นเชิง เพราะปัญญากําจัดเหตุปัจจัยแห่งความติดข้องของจิตหมดสิ้นแล้ว

แม้แต่ความสุขก็แบ่งได้เป็นหลายประเภทหลายระดับ เช่น ที่แบ่งอย่างง่ายๆว่า ความสุขของมนุษย์แยกออกเป็น ๒ แบบ คือ
      ๑) สามิสสุข ความสุขที่อาศัยอามิส และ 
      ๒) นิรามิสสุข ความสุขที่ไม่อาศัยอามิส       

สําหรับคนธรรมดาทั่วๆไปที่ยังมีจิตใจไม่เป็นอิสระ ไม่ถึงปรมัตถ์ ก็ต้องอาศัยสิ่งภายนอกมาเป็นปัจจัยช่วยให้ได้รับความสุข ความสุขของเขาขึ้นต่อวัตถุ ต้องอาศัยสิ่งบํารุงบําเรอ หรือแหล่งความสุขจากภายนอก ถ้าไม่มีอะไรภายนอกมาช่วยให้ได้เสพได้บริโภค เป็นต้น ก็เป็นทุกข์ ไม่สบาย ไร้ความสุข อย่างนี้เรียกว่ามีแต่ สามิสสุข กล่าวคือ ความสุขที่ยังพึ่งพาวัตถุ แต่ถ้าได้พัฒนาตนขึ้นไปถึงปรมัตถ์แล้ว หรือแม้แต่ในแนวทางของปรมัตถ์ ก็จะมีนิรามิสสุข สุขที่ไม่ต้องอิงอาศัยอามิส ไม่ต้องขึ้นต่อสิ่งภายนอก มีความสุขได้โดยลําพังตัว เป็นตัวของตัวเอง เป็นความสุขแบบอิสระ เป็นการพึ่งตัวเองได้ด้วยความมีอิสรภาพทางจิต ทางปัญญา การพึ่งตนได้ ก็มีหลายขั้นเป็นระดับๆ ขึ้นมา

เริ่มแต่พึ่งตนได้ทางรูปธรรม ไม่ต้องขึ้นต่อผู้อื่นในด้านวัตถุภายนอก ในทางสังคม ในทางจิตใจจนถึงพึ่งตนเองได้ในทางปัญญา จึงเข้าถึงอิสรภาพอย่างแท้จริง 

กล่าวโดยสรุป การพึ่งตนได้ ก็คือ อิสรภาพในระดับต่างๆ จนถึงอิสรภาพสูงสุด ทั้งหมดนี้จึงกลับเข้าสู่หลักข้างต้น  ที่ว่า 
    ๑) รู้ความจริงของสิ่งทั้งหลาย เข้าถึงสัจธรรม
    ๒) จึงดําเนินชีวิต หรือปฏิบัติต่อสิ่งทั้งหลายได้สอดคล้องกับหลักความจริง เป็นผู้มีจริยธรรม
    ๓) จึงสามารถแก้ปัญหาได้สําเร็จ ไร้ทุกข์ เกิดมีอิสรภาพ





๔. ยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ตามแนวพุทธศาสตร์ ๔ มิติ

"การพัฒนา" พระพุทธศาสนา เรียกว่า ภาวนา หมายถึง กระบวนการสร้างหรือทําให้เกิดให้มีขึ้น ส่วนบุคคลหรือทรัพยากรมนุษย์ที่ผ่านการขัดเกลาพัฒนา และตามกระบวนการแล้วเรียกว่า "ภาวิตา" หมายถึงถูกพัฒนาแล้วโดยใช้เครื่องมือและกลไก หลักการ ที่จัดเป็นยุทธวิธีตามแนวพุทธศาสตร์ คือ มีคุณสมบัติและมีวัตถุประสงค์ (Objective) และเป้าหมาย (Goal) ตามรูปแบบ (Pattern) ยุทธศาสตร์ตามแนวพุทธศาสตร์ กําหนดไว้ ๔ มิติ คือ
     
@@@@@@@

๔.๑ กายภาวนา หมายถึง การพัฒนากาย ฝึกอบรมกาย ให้รู้จักติดต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอกทั้งด้านกายภาพและชีวภาพด้วยดีมิให้เกิดโทษ มีประโยชน์แก่ตนเองและสังคม บําเพ็ญตนให้เกิดประโยชน์ มิให้อกุศลเกิด ปัจเจกบุคคลต้องรู้จักเลือกเสพ บริโภคสิ่งที่เป็นประโยชน์ มีคุณค่างแก่ร่างกายแก่ตนเอง รับเอาปัจจัยที่ส่งเสริมความแข็งแรงของร่างกาย ไม่ทําอะไรที่เป็นการหักโหมจนเกินไป รู้จักพักผ่อนให้เพียงพอแก่สุขภาพร่างกาย ออกกําลังกายแต่พอควร และใช้ชีวิตด้วยการมีสติ อย่าประมาท

การกําหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศด้านคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของประชาชน มีนัยตามนี้ จึงกําหนดนโยบายเร่งด้วนออกมา ได้ผลตอบรับเป็นอย่างดี จากหลากหลายทัศนะมุมมอง อันเนื่องมาจากผลกระทบด้านบวกต่อประชาชนในระดับรากหญ้า รัฐจึงใช้ยุทธวิธีทั้งในเชิงรุก คือ การสร้างกระแสตื่นตัวในการส่งเสริมให้ประชาชนได้ออกกําลังกายในรูปแบบต่างๆ โดยใช้ทรัพยากรภูมิปัญญาท้องถิ่น เช่น การออกกําลังประกอบเพลงดนตรีท้องถิ่นของแต่ละภาค เป็นต้น เพื่อสร้างสุขอนามัยที่ดี

ยุทธวิธีในเชิงรับ คือ การดูแลรักษาผู้ที่มีโรคภัย หรือไม่สบาย ดูแลรักษาอย่างมีคุณภาพและได้มาตรฐานระดับหนึ่ง เป็นการให้โอกาสกับประชาชนได้เข้าบริการของรัฐตามสิทธิอันชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๕๒ มีเป้าหมายทางสังคม คือ การมีสุขภาพชีวิตที่ของประชาชน การพัฒนาด้านกายตามแนวพุทธศาสตร์จึงเป็นการกําหนดทำาทีและทิศทางอันเหมาะสมกับตนเอง   
   

@@@@@@@

๔.๒ ศีลภาวนา คือ การพัฒนาพฤติกรรมของปัจเจกบุคคล  ให้ถูกต้องสอดคล้องกับระเบียบวินัย  กฎเกณฑ์ กติกาของสังคม ตลอดถึงขนบธรรมเนียม จารีตวิถี และมารยาทสากลนิยม มีจรรยาบรรณในวิชาชีพ ประกอบอาชีพที่สุจริต ใช้ชีวิตถูกต้อง และขยันหมั่นเพียรสร้างผลผลิต (product) ให้เพิ่มขึ้นโดยสุจริตในการประกอบอาชีพ (อุฏฐานสัมปทา) รู้จักฉลาดอดออม (save) ทรัพย์สินที่หามาได้ ด้วยมาตรการต่างๆ (อารักขสัมปทา) เข้าสู่ระบบการออมของนโยบายรัฐ

สังคมไม่มีสันติสุข ขาดความสมดุลยภาพเพราะปัจเจกบุคคลบกพร่องในจริยธรรม คุณธรรม ที่ได้ชื่อว่าศีลนี้เอง  โดยเฉพาะศีล ๕ ซึ่งเป็นศีลขั้นต้น นับเป็นหลักสากลในการสร้างบรรทัดฐานทางสังคม ทั้งมิติของคําพูดการกระทํา และการเลี้ยงชีพ       

ผลกระทบต่อสังคม อันเนื่องมาจากการย่อหย่อนหรือความบกพร่องทางคุณธรรม คือ ความเสียหายต่อสังคม ประเทศชาติ ความเชื่อมั่นต่อประเทศลดลง การพัฒนาไม่ประสบผลสําเร็จเพราะกระบวนการที่ถูกต้อง สังคมจึงไม่ปกติสุข มีปัญหา อันเป็นผลมาจากการทุจริตทั้งสามมิติ คือพูด พฤติกรรม และการอาชีพการทุจริต หรือคอรัปชั่น มีสมุฏฐานมาจากการบกพร่องทางศีลธรรม จึงมีปรากฏทุจริตเชิงนโยบายอันแยบยลออกมา องค์กรอิสระที่เราตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลด้านนี้โดยเฉพาะ ถูกต้องคาดหวังเอาไว้สูงมาก เพราะเราได้สูญเสียโอกาส สิทธิอันพึงมีพึงได้     

ดังปรากฏในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ ๙ (๒๕๔๔-๒๕๔๙) จึงได้กําหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านการบริหารจัดการที่ (Good governance) เป็นยุทธศาสตร์ที่สําคัญในการผลักดันยุทธศาสตร์ให้ขับเคลื่อนไปด้วยดี และให้ความสําคัญกับ การปรับระบบบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพ (Sufficiency) และโปร่งใส (Transparent) การป้องกันและการทุจริตประพฤติมิชอบ       

@@@@@@@

๔.๓ จิตตภาวนา การพัฒนาจิต ฝึกอบรมจิต ข่มอารมณ์ความรู้สึกได้ มีความเจริญงอกงามทางอารมณ์ (Emotional  growth) จิตที่ฝึกอารมณ์ดีแล้วนําความสุขมาให้ จิตที่มีคุณภาพประกอบด้วยคุณธรรมตามหลักศาสนา มีสมาธิ มีสติมั่นคง ใช้งานได้ดี เป็นสุขผ่องใส เป็นต้น     

การพัฒนาจิตเป็นเรื่องของคุณธรรม ความรู้สึก แรงจูงใจ สภาพจิตใจ และเป็นนามธรรม คนเข้าใจยาก ไม่ให้ความสนใจเท่าที่ควร เป็นเรื่องละเอียดอ่อน เมื่อสังคมเผชิญกับภาวะวิกฤต ก็เอาตัวไม่รอด มีการฆ่าตัวตาย เพราะภูมิคุ้มกันทางจิตไม่ดี สุขภาพจิตเปราะบาง เมื่อประสบเหตุการณ์เข้า ทนไม่ได้ หาทางออกไม่ได้ ฆ่าตัวตาย ถ้าผ่านกระบวนการฝึกอบรมจิต ปัญหาเหล่านี้จะไม่เกิด ไม่ส่งผลกระทบกับสังคม       

ข้อเสนอในประเด็นนี้ คือ สร้างจิตสํานึกด้านคุณธรรมตามหลักพระพุทธศาสนา ส่งเสริมให้มีการศึกษาองค์ความรู้ของศาสนาอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพราะพุทธศาสตร์เป็นวิทยาศาสตร์ทางจิตอยู่แล้ว ให้เวลากับการสํารวจดูตัวเองอย่างมีวิจารณญาณ ใช้ปัญญาให้มากอย่าให้อารมณ์อยู์เหนือเหตุผล ถึงแม้จะเป็นเรื่องยากแต่ถ้าตั้งใจแน่วแน่ใช้เวลาในการศึกษา รู้ทันตัวเอง มีสติกํากับอยู่ทุกขณะ     

สร้างกระบวนการในการบริหารงานด้านส่งเสริมคุณภาพจิตใจของประชาชน โดยการสนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมให้กับหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการเผยแผ่องค์ความรู้ด้านศาสนธรรมแก่ประชาชน และหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านสุขภาพจิต ปรับปรุงกระบวนการทํางานให้ทันเหตุการณ์ ศึกษาวิเคราะห์แนวทางต่างๆ อย่างเป็นระบบ ในรูปเครือข่ายงานสร้างคุณภาพจิตของประชาชน     

วิธีการในการพัฒนาคุณภาพจิตของพุทธศาสนา มีให้เลือกและสามารถนํามาใช้กับพฤติกรรมของปัจเจกบุคคลอย่างเหมาะสมหลายประการ แต่ละอย่างมีผลสะท้อนกลับมายังผู้ปฏิบัติมากน้อยตามกําลังความสามารถของแต่ละคน โดยไม่ต้องเข้าศึกษาหรือบวชเรียนตามสํานักต่างๆ เพียงแต่มีศูนย์ดูแลมีบุคลากรผู้ประสบการณ์ เชี่ยวชาญเข้าใจในวิธีบริการดีต่อผู้อื่น     

ในกระแสโลกาภิวัตน์สิ่งที่มาคู่กัน คือ กระแสวัตถุนิยมในระบอบประชาธิปไตยคนที่จะยืนหยัดสู้ได้ จิตใจต้องเข้มแข็ง ชีวิตจึงไม่ตกเป็นทาส หรือเหยื่อของกระแส ไม่ต้องไปมองไกลถึงขนาดที่จะช่วยสังคมองค์รวมให้พ้นปัญหาสาธารณะ ขอเพียงให้แต่ละคนช่วยตนเองให้ได้ ก็เป็นปัญหาที่หนักหนาพอสมควร พุทธศาสตร์สร้างความเข้มแข็งด้านสุขภาพจิต จึงเป็นเรื่องของจิตตภาวนาโดยตรง       


@@@@@@@

๔.๔ ปัญญาภาวนา พัฒนาปัญญา การฝึกอมรมปัญญา ให้รู้เข้าใจสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง รู้เท่าทันเข้าใจโลกและชีวิตตามสภาวะ เป็นการไตร่ตรองวินิจฉัยเหตุการณ์ตามความเป็นจริง เป็นอิสระ ไม่ตามกิเลส รู้และเข้าใจอะไรตามความเป็นจริง

ข้อเสนอในประเด็นนี้ หลักการหรือแนวทางการพัฒนาตามแนวทางของพุทธศาสนา ที่จะนําไปกําหนดเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรบุคคล จะต้องมีปัญญากํากับเสมอ ปัญญาเป็นคุณธรรมสําคัญอย่างยิ่ง เพราะช่วยเป็นแสงสว่างส่องทางแห่งชีวิต ช่วยคุ้มครอง หรือปกครองคนและข้อสําคัญ ช่วยให้พ้นทุกข์ หรือให้หาความสุขได้ในท่ามกลางความทุกข์ การเผชิญปัญหาชีวิตโดยปราศจากปีญญา เปรียบเหมือนการเดินคลําไปในที่มืด อาจตกหลุมตกบ่อ หรือที่รกชัฏก็ได้

หลักการหรือแนวทางการพัฒนาตามแนวทางของพุทธศาสนา ให้ความสําคัญกับปัญญาอย่างยิ่ง และปัญญานั้นต้องเป็นสัมมาปัญญา คือปัญญาที่ถูกต้อง ปัญญาเกิดจากการประกอบความเพียร ฝึกฝน มิใช่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญ เพราะปัญญาที่เกิดขึ้นเองโดยบังเอิญไม่สามารถที่จะเป็นปัญญาขั้นสูงสุด ประเภทของปัญญาจึงมีหลายอย่าง แต่ปัญญาที่จะกําหนดให้เป็นยุทธศาสตร์ได้ ขอเสนอในที่นี้ คือ       

    ๑) จินตามยปัญญา ปัญญาชนิดนี้เกิดจากการจินตนาการ หรือคิดพิเคราะห์ใคร่ครวญด้วยวิจารณญาณ
    ๒) สุตามยปัญญา ปัญญาประเภทนี้เกิดจากการศึกษา ฟังจากท่านผู้รู้ อบรมสัมมนา ฟังจากสื่ออื่นๆ     
    ๓) ภาวนาปัญญา เกิดจากการพัฒนาโดยกระบวนการต่างๆ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลให้มีภูมิรู้

ปัญญามีขีดความสามารถ แข็งแกร่งทางด้านวิชาการ มีคุณภาพชีวิตที่ดีประกอบอาชีพด้วยวิชาการและทักษะชั้นสูง จําเป็นที่จะต้องกําหนดยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาปัญญาของมวลชน

เป้าหมายสูงสุดของยุทธศาสตร์การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ตามแนวพุทธศาสตร์ คือ การพัฒนาให้เกิดปัญญา ซึ่งมีวิธีการเพื่อส่งผลให้บรรลุถึงจุดหมายสูงสุด ตามแนวทางของพระพุทธศาสนา คือ การหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง     

การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ก็คือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของปัจเจกบุคคลให้ดีขึ้นในทุกด้าน ทั้งมิติร่างกาย  อารมณ์ สังคมและวิญญาณ ซึ่งแต่ละตัวมีเครื่องชี้วัดคุณภาพ (Indicator) แตกต่างกันไป การสร้างยุทธศาสตร์พัฒนาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการพัฒนา คือ เป้าหมายทางสังคมนั้น       

@@@@@@@

พัฒนาตามแนวทางของพุทธศาสนา มีหลักการที่เป็นองค์ความรู้ที่จะกําหนดเป็นยุทธวิธีในการพัฒนาไว้อย่างเด่นชัด สามารถที่จะเลือกใช้ได้ตามกลุ่มเป้าหมาย หรือปัจเจกบุคคลที่จะพัฒนา เป็นวิธีการ (ploy) ของการพัฒนาที่ส่งผลต่อการดําเนินงานยุทธศาสตร์ ซึ่งจะต้องวางตําแหน่ง (position) กลุ่มเป้าหมายที่จะพัฒนา ตามลําดับของความแตกต่างทางด้านความสามารถทางสติปัญญา (Intelligence) เช่น 
    ๑) ผู้ที่มีสติปัญญา (IQ) สูง การรับรู้ เข้าใจได้เร็วเรียกว่า อุคฆฏิตัญญู
    ๒) ผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดรองลงมา เรียกว่า วิปจิตัญญู
    ๓) ผู้มีสติปัญญาปานกลาง เนยยะ
    ๔) ผู้อับเฉาปัญญา หรือขั้นปัญญาอ่อน เรียกว่า ปทปรมะ 

สําหรับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในมิติของระดับสติปัญญา ได้กําหนดยุทธวิธีหรือหลักการที่เป็นแนวทางสําหรับปฏิบัติให้เหมาะสมแตกต่างออกไปมีเป้าหมายอยู่ที่ เข้าใจอย่างถูกต้อง เหมาะสําหรับการพัฒนาคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ด้านการศึกษา     

การวิเคราะห์กลุ่มเป้าหมายในการวางยุทธศาสตร์พัฒนา การกําหนดกลุ่มเป้าหมายมีความสําคัญเพื่อให้เกิดความชัดเจน ในการที่จะวางยุทธศาสตร์ไปอย่างมีทิศทาง ซึ่งจะส่งผลให้กับวัตถุประสงค์และเป้าหมายทางสังคม(Social goal) คือ สมาชิกของสังคมทั้งหมดเกิดสันติสุข เป้าหมายทางเศรษฐกิจ (Economic goal)  คือ  ความมั่งคั่ง (Wealth) พร้อมทั้งเป้าหมายสูงสุดของชีวิต (Ultimate goal) คือ นิพพาน สภาวะที่เป็นสุขสูงสุดเพราะไร้ทุกข์ เป็นอิสรภาพที่สมบูรณ์     

ในมิติอื่นๆ พุทธศาสตร์มีมุมมองและวางเอาไว้อย่างครอบคลุมเกือบทุกสาขา โดยมี (Goal หรือ Purpose) แตกต่างกันไป ในที่นี้ไม่สามารถที่จะกล่าวถึงได้หมด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระเบียบวิธีศึกษาวิจัยและศักยภาพของแต่ละคนซึ่งไม่เหมือนกัน ยุทธศาสตร์จึงเป็นการนําองค์ความรู้อันหลากหลาย ของพุทธศาสนามาประกอบในการกําหนดโดยวางวิธีการหรือยุทธวิธีในหมวดองค์ความรู้ด้านนั้นๆ จึงจําเป็นอย่างยิ่งที่จะใช้สติปัญญาและความสนใจของผู้ศึกษาเป็นอย่างยิ่งในการพัฒนาต่อไป


อ่านเพิ่มเติมได้ที่ : https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jsrc/article/view/211162/146299





ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/
บทความของ : ภาษิต สุขวรรณดี สาขาวิชาพุทธศาสน์ศึกษา | bhasitsukhawandee@gmail.com
ที่มา : วารสารสิรินธรปริทรรศน์ , ปีที่ ๑๗ ,ฉบับที่ ๑ ,มกราคม-มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๙
website : https://so06.tci-thaijo.org/index.php/jsrc/article/view/211162/146299
83  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระภูตเถระ : ผู้ยินดีในความสงัดและความอยู่ผาสุกสบายในป่า เมื่อ: เมษายน 02, 2024, 07:23:08 am
.



พระภูตเถระ : ผู้ยินดีในความสงัดและความอยู่ผาสุกสบายในป่า

ว่าด้วย : ผู้ยินดียิ่งในความสงัด

เหตุการณ์ : บุพกรรมและคาถาสุภาษิตของพระภูตเถระ - พระภูตเถระประกาศการยินดียิ่งในความสงัดและความอยู่ผาสุกสบายในป่าแก่ญาติ ผู้ปรารถนาให้ท่านอยู่อย่างไม่ลำบากและพวกตนได้เจริญบุญขึ้น

ท่านพระภูตะเถระผู้ได้บำเพ็ญ สั่งสมบุญซึ่งเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้ในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อน ๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าสิทธัตถะ เกิดในตระกูลพราหมณ์ได้นามว่าเสนะ วันหนึ่งพบพระศาสดา มีใจเลื่อมใส จึงชมเชยด้วยคาถา ๔ คาถา ว่า

    • ผู้ได้เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้องอาจ ผู้ประเสริฐ ผู้แกล้วกล้า ผู้แสวงหาคุณใหญ่ ทรงชนะวิเศษ มีพระฉวีวรรณดังทองคำแล้ว ใครจะไม่เลื่อมใสเล่า

    • ผู้เห็นพระฌานของพระพุทธเจ้าอันเปรียบเหมือนภูเขาหิมวันต์อันประมาณไม่ได้ ดังสาครอันข้ามได้ยากแล้ว ใครจะไม่เลื่อมใสเล่า

    • ผู้เห็นศีลของพระพุทธเจ้าซึ่งเปรียบเหมือนแผ่นดินอันประมาณไม่ได้ ดุจมาลัยประดับศีรษะอันงดงาม ฉะนั้นแล้ว ใครจะไม่เลื่อมใสเล่า

    • ผู้เห็นพระญาณของพระพุทธเจ้าซึ่งเปรียบดุจอากาศอันไม่กำเริบ ดุจอากาศอันนับไม่ได้ฉะนั้นแล้ว ใครจะไม่เลื่อมใสเล่า

ด้วยการสรรญเสริญนั้น ท่านไม่ได้เข้าถึงทุคติเลยตลอด ๙๔ กัป

@@@@@@

ในพุทธุปบาทกาลนี้ บังเกิดเป็นลูกชายของเศรษฐีผู้มีทรัพย์สมบัติมากในบ้านใกล้ประตูนครสาเกต ท่านเศรษฐีมีบุตรหลายคน แต่ถูกยักษ์จับกินเสีย เพราะผูกใจอาฆาตไว้ แต่สำหรับเด็กคนนี้ พวกภูตพากันคุ้มครองไว้ได้ เพราะความที่เป็นผู้เกิดชาติสุดท้าย ญาติทั้งหลายจึงตั้งชื่อว่า ภูตะ

เมื่อรู้เดียงสา ท่านพร้อมกับพวกอุบาสกพากันไปยังวิหาร ฟังธรรมในสำนักพระศาสดาในพระนครสาเกต เกิดมีศรัทธา ออกบวช แล้วอยู่ในถ้ำใกล้ฝั่งแม่น้ำชื่อว่าอชกรณี เริ่มเจริญวิปัสสนา ไม่นานนักก็บรรลุพระอรหัต.

สมัยต่อมา พระเถระต้องการอนุเคราะห์หมู่ญาติ จึงไปยังพระนครสาเกต ได้รับการบำรุงจากพวกญาติ ๒-๓ วัน ก็ไปอยู่ในป่าไม้อัญชัน พวกญาติพากันอ้อนวอนให้พระเถระอยู่ต่อเพื่อความไม่ลำบากและพวกตนได้เจริญบุญขึ้น




พระเถระประกาศการยินดียิ่งในความสงัดและความอยู่ผาสุกสบายในป่าของตน จึงกล่าวคาถาว่า

    "เมื่อใด บัณฑิตกำหนดรู้ทุกข์ในเบญจขันธ์ที่ปุถุชนทั้งหลายไม่รู้แจ้งว่า ความแก่และความตายนี้เป็นทุกข์ แล้วจมอยู่ เป็นผู้มีสติเพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้นย่อมไม่ประสบความยินดีในเบญจขันธ์นั้น ยิ่งไปกว่าความยินดีในวิปัสสนา และในมรรคผล"

    "เมื่อใด บัณฑิตละตัณหาอันนำทุกข์มาให้ ซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ นำมาซึ่งทุกข์อันเกิดเพราะความต่อเนื่องแห่งธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า เป็นผู้มีสติเพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้นย่อมไม่ประสบความยินดียิ่งไปกว่าการพิจารณาธรรมนั้น"

    "เมื่อใด บัณฑิตถูกต้องทางอันสูงสุด เป็นทางปลอดโปร่ง ให้ถึงองค์ ๒ และองค์ ๔ เป็นที่ชำระกิเลสทั้งปวงด้วยปัญญา มีสติเพ่งพินิจอยู่ เมื่อนั้นย่อมไม่ได้ประสบความยินดียิ่งไปกว่าการเพ่งพิจารณานั้น"

    "เมื่อใด บัณฑิตเจริญสันตบทอันไม่ทำให้เศร้าโศก ปราศจากธุลี อันปัจจัยอะไร ๆ ปรุงแต่งไม่ได้ ให้หมดจดจากกิเลสทั้งปวง เป็นเครื่องตัดกิเลสเครื่องผูกพัน คือสังโยชน์ เมื่อนั้นย่อมไม่ได้ประสบความยินดียิ่งไปกว่าการเจริญสันตบทนั้น"

    "เมื่อใด กลอง คือ เมฆอันเกลื่อนกล่นด้วยสายฝน ย่อมคำรนร้องอยู่บนนภากาศอันเป็นทางไปแห่งฝูงนกอยู่โดยรอบ และภิกษุไปเพ่งพิจารณาธรรมอยู่ที่เงื้อมเขา เมื่อนั้นย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการเพ่งธรรมนั้น"

    "เมื่อใด บัณฑิตมีจิตเบิกบาน นั่งเพ่งพิจารณาธรรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำทั้งหลาย อันดารดาษไปด้วยดอกโกสุม และดอกมะลิที่เกิดในป่าอันวิจิตรงดงาม ย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการนั่งเพ่งพิจารณาธรรมนั้น"

    "เมื่อใด มีฝนฟ้าร้องในเวลาราตรี ฝูงสัตว์ที่มีเขี้ยวก็พากันยินดีอยู่ในป่าใหญ่ และภิกษุไปเพ่งพิจารณาธรรมอยู่ที่เงื้อมเขา เมื่อนั้นย่อมไม่ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการพิจารณาธรรมนั้น"

    "เมื่อใด ภิกษุกำจัดวิตกทั้งหลายของตน เข้าไปสู่ถ้ำภายในภูเขา ปราศจากความกระวนกระวายใจ ปราศจากกิเลสอันตรึงใจ เพ่งพิจารณาธรรมอยู่ เมื่อนั้นย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการพิจารณาธรรมนั้น"

    "เมื่อใด ภิกษุมีความสุข ยังมลทินกิเลสอันตรึงจิตและความเศร้าโศกให้พินาศ ไม่มีกลอนประตู คือ อวิชชา ไม่มีป่าคือตัณหา ปราศจากลูกศรคือกิเลส เป็นผู้ทำอาสวะทั้งปวงให้สิ้นไป เพ่งพิจารณาธรรมอยู่ เมื่อนั้นย่อมไม่ได้ประสบความยินดีอย่างอื่น ยิ่งไปกว่าการเพ่งพิจารณาธรรมนั้น"

 
อ่าน ภูตเถรคาถา




 
ขอขอบคุณ :-
อ้างอิง : ภูตเถรคาถา พระไตรปิฎก ฉบับหลวง ๒๖/๓๖๙/๒๙๕-๒๙๖ และอรรถกถา
website : https://uttayarndham.org/node/5040
84  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ในหลวงโปรดเกล้า ฯ พระราชทานวิสุงคามสีมาจำนวน 184 วัด (เช็ครายชื่อ) เมื่อ: มีนาคม 31, 2024, 07:37:07 am
.


ในหลวงโปรดเกล้า ฯ พระราชทานวิสุงคามสีมาจำนวน 184 วัด (เช็ครายชื่อ)

วันที่ 30 มีนาคม 2567  ราชกิจจานุเบกษาเล่มที่ 141 ตอนพิเศษ 88 ง. วันที่ 27 มีนาคม 2567 ได้ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานวิสุงคามสีมา ความว่า ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานวิสุงคามสีมา งวดที่ 2 ประจำปี 2566 ให้แก่วัดที่มีชื่อในบัญชีแนบท้ายประกาศนี้จำนวน 184 วัด ตามเขตที่กำหนดไว้ในบัญชีนั้นและให้นายอำเภอท้องที่ปักเขตให้ถูกต้องตามที่กำหนดไว้ ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง พระราชทานวิสุงคามสีมา ประกาศ ณ วันที่ 21  มีนาคม พ.ศ. 2567   ผู้รับสนองพระบรมราชโองการสมศักดิ์ เทพสุทิน รองนายกรัฐมนตรี

อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://ratchakitcha.soc.go.th/documents/24696.pdf


























ขอบคุณ : https://thebuddh.com/?p=78656
85  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รุ่งโรจน์ หวั่น ‘อโยธยา’ ถูกบังคับสูญหาย ซัดรัวหลักฐานพรึบ เก่ากว่าสุโขทัยแน่ เมื่อ: มีนาคม 31, 2024, 06:59:59 am
.



รุ่งโรจน์ หวั่น ‘อโยธยา’ ถูกบังคับสูญหาย ซัดรัวหลักฐานพรึบ เก่ากว่าสุโขทัยแน่


เมื่อวันที่ 30 มีนาคม ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชั้น LG ฮอลล์ 5-7 สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) พร้อมด้วยพันธมิตรสำนักพิมพ์ ร่วมจัดงาน ‘สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22’ ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม – 8 เมษายนนี้ โดยบรรยากาศการจัดงานวันที่ 3 เป็นไปอย่างคึกคักเนื่องจากเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์

บรรยากาศตั้งแต่เวลา 11.00 น. ที่บูธสำนักพิมพ์มติชน ‘J47’ ในวันที่ 3 ของงาน มีผู้คนแวะเวียนมาเลือกซื้อ เลือกอ่านหนังสือเป็นจำนวนมาก โดยสำนักพิมพ์มติชน มีหนังสือแนวประวัติศาสตร์ การเมือง ศิลปวัฒนธรรม และจิตวิทยาพัฒนาบุคคล เป็นแม่เหล็กดึงดูดให้นักอ่านมาหาซื้ออ่านเป็นจำนวนมาก

เวลา 13.00 น. เริ่มกิจกรรมแจกลายเซ็นนักเขียน ‘Read up Sign’ ตลอดช่วงบ่าย ที่บูธสำนักพิมพ์มติชน นำโดย นายสรกล อดุลยานนท์ หรือ หนุ่มเมืองจันท์, รศ.ดร.รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล เจ้าของผลงานดัง ‘อโยธยาก่อนสุโขทัย ต้นกำเนิดอยุธยา’ และน.ส.วรรณพร เรียนแจ้ง ผู้แปลหนังสือ เดินทางมาพบปะแฟนหนังสือ The Museum of Other People พิพิธภัณฑ์แห่งผู้เป็นอื่น พร้อมแลกเปลี่ยนบทสนทนาอย่างเป็นกันเอง




จากนั้นเวลา 18.00 น. เริ่มเวที Matichon’s Special talk “อโยธยาเก่าแก่กว่าสุโขทัยจริงหรือ?” นำพูดคุยโดย รศ.ดร.รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล เจ้าของผลงาน ล้อมวงไปด้วยนักอ่านอย่างอบอุ่น

ในตอนหนึ่งของช่วงทอล์ก รศ.ดร.รุ่งโรจน์ กล่าวว่า เรื่องราวของอโยธยาหายไป แล้วสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรก เกิดขึ้นหลังสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเสนอว่าสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือ พระเจ้าอู่ทอง เสด็จมาจากเมืองอู่ทอง ประกอบกับการยึดมั่นว่าสุโขทัยเป็ยราชธานีแห่งแรก อโยธยาก็เงียบหายไป ตั้งแต่ช่วง ร.6-7 และช่วงสมัยครามโลก

รศ.ดร.รุ่งโรจน์กล่าวอีกว่า จนมาถึงสมัยรัฐบาลจอมพล. ป พิบูลสงคราม ครั้งที่ 2 ตอนปลาย ก็เริ่มมีการพูดถึงอโยธยาอีกครั้ง โดยการเขียนของนายธนิต อยู่โพธิ์ ก็ได้ทำให้นายจิตร ภูมิศักดิ์ ได้สืบสานงานต่อ รวมถึงงานของอาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ที่มีการเอาหลักฐานโบราณวัตถุมาพูดขึ้นอีก

“ทั้งนี้ทั้งนั้นเหตุผลที่ว่า นักวิชาการกระแสหลักนั้น ยังยึดติดกับสุโขทัยเป็นราชธานีแห่งแรก และที่มาของพระเจ้าอู่ทอง ก็เลยทำให้ไม่กล้าออกมาอภิปรายถกเถียง

ดังนั้นอโยธยาจึงถูกนักวิชาการกระแสหลัก เรียกว่า เมืองในจินตนาการ เหมือนความหวานชื่น เมื่อหลับตื่นก็หายไป ไม่มีตัวตนจริง แต่ทีนี้พอเอาเข้าจริงแล้วมันต้องกลับไปทบทวนใหม่ว่า เรารู้ส่าสุโขทัยไม่ใช่ราชธานีแรก และสมเด็จพระรามาธิบดีที่1 ก็ไม่ได้มาจากเมืองอู่ทอง เรื่องอโยธยาก็มีสิทธิเอากลับมาทบทวนว่า มันมีจริงหรือเปล่า อย่าให้มันเป็นแค่เมืองในความฝัน” รศ.ดร.รุ่งโรจน์กล่าว




เมื่อถามถึงความสำคัฐของ ‘วัดสมณโกฏฐาราม’ บนปกหนังสือ

รศ.ดร.รุ่งโรจน์กล่าวว่า วัดสมณโกฏตามเอกสารคำให้การของวัดประดู่ทรงธรรม บอกว่าพระมหาธาตุที่เป็นหลักของพระนคร มาพระปรางค์อยู่ 5 แห่ง 1.วัดราชบูรณะ 2.วัดมหาธาตุ 3. วัดพระราม ซึ่ง 3 วัดนี้อยู่ในเกาะเมือง

“ระบุชัดแน่ว่าวัดมหาธาตุ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 สร้าง และ วัดราชบูรณะ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 สร้าง ส่วนวัดพระราม สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถสร้างอยู่บนตำแหน่งศูนย์กลางของเมือง วัดสมณโกฏก็ต้องเข้ากับกรณีเหล่านั้น และที่สำคัญภาพจากหอจดหมายเหตุแห่งชาติ วัดสมณโกฏ มีพระปรางค์ที่ใหญ่มาก คนยืนอยู่ตัวกระจึ๋งเดียว พร้อมแสดงตำแหน่งพระปรางค์อย่างเด่นชัด

หลายอย่างในการกำหนดอายุโบราณสถานอธุธยามีปัญหามาก เพราะว่าเราไปติดกับปัญหาว่าก่อนหน้า พ.ศ.1893 มันไม่มีอะไร เรามองเหมือนว่าอยุธยาเกิดจากกระบอกไม้ไผ่ พอถึงพ.ศ.1893 มีจานบินอยู่หนองโสน มันไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องมีอยู่ก่อน” รศ.ดร.รุ่งโรจน์ชี้

รศ.ดร.รุ่งโรจน์กล่าวว่า มีการกำหนดว่าอะไรก็ตามที่ใกล้เคียงดับวัดมหาธาตุ ลพบุรี อันนั้นจะต้องเก่า แต่เก่าได้สูงสุดได้แค่พ.ศ. 1893 ทำไมใกล้เคียงกว่านั้นไม่เป็น ทำไมใกล้เคียงมากไม่เป็นพ.ศ. 1850 เพราะฉะนั้นอะไรหลายชิ้น มีความใกล้เคียงกับวัดมหาธาตุ ลพบุรีเยอะ อะไรก็ตามกำหนดไม่เกินพ.ศ 1893 ที่เป็นเพดานกำหนดสำคัญ

เมื่อถามว่าจากการค้นคว้าหลักฐาน พบว่า ‘อโยธยา’ เป็นรากฐานสำคัญของอยุธยาหรือไม่

รศ.ดร.รุ่งโรจน์กล่าวว่า เอกสารก่อนพ.ศ. 1893 มีสำคัญอยู่ 4 ชิ้น 1. โองการแช่งน้ำ และพระอัยการ ซึ่งหมายถึงกฎหมายอีก 3 ฉบับ กล่าวคือ โองการแช่งน้ำเป็นเรื่องราวมีมาก่อนกรุงศรีอยุธยา ซึ่งมีการใช้ภาษาไท-ลาวเกิดขึ้น แสดงว่ากลุ่มผู้มีอำนาจใช้ภาษากลางในภาษาราชการ

“โองการแช่งน้ำเป็นตัวที่บ่งบอกว่า ระบบกษัตริย์ในอโยธยา พัฒนาไปกว่าระบบวงศ์พระร่วง หัวเมืองแม่น้ำปิง วัง เพราะระบบกษัตริย์เหล่านี้บอกว่า เกิดจากฤาษี หรือ พญานาค แต่อโยธยาบอกว่าสืบมาจากองค์สมมุติไปเลย เป็นกษัตริย์องค์แรกตามคัมภีร์อคัญญสูตรดูศักดิ์สิทธิ์กว่า ฉะนั้นโครงสร้างเหล่านี้เป็นโครงสร้างที่เก่าแก่มา เพียงแต่ว่าเรายึดติดว่าไม่มีเมืองก่อน 1893 แล้วอันนี้ล่ะ หมายความว่าอย่างไร” รศ.ดร.รุ่งโรจน์ชี้

หลักฐานที่ชี้ว่าเมืองอโยธยาเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดจากการค้าขายกับเรือสำเภา?

รศ.ดร.รุ่งโรจน์กล่าวว่า ตั้งแต่ช่วงพ.ศ. 1500-1600 รางวงศ์ซ่งส่งเรือสำเภามาค้าขายเอง ศูนย์กลางเดิมจากลพบุรี มาหาแหล่งใหม่ที่สำเภาจีนเข้าได้ก็เลยมาเป็นศูนย์รวมที่อโยธยา เราจะพบตัวอย่างพระพุทธรูปหินทราย แพตเทิร์นที่เราเรียกว่าอู่ทอง กระจายตัวอยู่ตามชุมชนที่รองรับการค้าสำเภากับจีน

เมื่อถามว่าอโยธยาทำไมเก่ากว่าสุโขทัยได้?

รศ.ดร.รุ่งโรจน์กล่าวว่า หนังสือเล่มนี้ตนชี้ว่าอโยธยาเป็นศูนย์กลางที่เก่าแก่กว่าสุโขทัย คือ สุโขทัยเป็นชุมชนอยู่แล้ว แต่ความเป็นเซ็นเตอร์เกิดที่อโยธยาแล้วขึ้นไปที่สุโขทัย

“อโยธยาประกาศใช้กฎหมายอย่างเป็นทางการปี 1776 โครงสร้างภาษามีความซับซ้อนมาก โดยเฉพาะที่หลายท่านไปตรวจสอบ ช่วงพีเรียดร่วมสมัยจารึกของพระมหาธรรมราชา พระยาลิไท กษัตริย์สุโขทัยยังเป็นพ่อขุนบางกลางหาว เพิ่งได้เป็นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์ แต่อยุธยาเป็นสมเด็จพระรามาธิบดีไปเรียบร้อยแล้ว” รศ.ดร.รุ่งโรจน์กล่าว




รศ.ดร.รุ่งโรจน์กล่าวว่า เนื้อหาข้างในพูดถึงว่าอโยธยาเป็นเซ็นเตอร์ก่อนสุโขทัย ถ้าจะบอกว่าสุโขทัยเจอเครื่องถ้วยซ่ง งั้นบ้านเชียงก็เก่ากว่าอโยธยาเพราะเจอเครื่องถ้วยเหมือนกัน แต่สุโขทัยไม่เคยแสดงอะไร ที่แสดงความเป็นเซ็นเตอร์เก่ากว่าอโยธยา

เมื่อถามว่าการพัฒนาพื้นที่อโยธยากับการอนุรักษ์ จะสามารถอยู่ร่วมกันได้หรือไม่?

รศ.ดร.รุ่งโรจน์กล่าวว่า การพัฒนาก็จะต้องควบคู่ไปกับการอนุรักษ์ เพียงปัญหามีอยู่ว่า ถ้าเราคิดว่ามันไม่มี เราก็เลยละเลย เปรียบเสมือนว่ามันหาย เหมือนถูกบังคับให้สูญหาย สะกดจิตกันเองให้มันหายไป

“เอาง่ายๆหนังสือเล่มนี้บอกว่า อโยธยาเป็นต้นกำเนิดอยุธยา อยูธยาเป็นต้นกำเนิดกรุงธนบุรี ธนบุรีต้นกำเนิดรัตนโกสินทร์ ซึ่งอโยธยาเป็นตัวรัฐที่ใช้ภาษาไทในทางการที่มีความเก่าแก่ และลักษณะแบบแผนสำนวนภาษา ก็สืบต่อมาถึงช่วงรัตนโกสินทร์” รศ.ดร.รุ่งโรจน์ชี้

รศ.ดร.รุ่งโรจน์กล่าวทิ้งท้ายว่า คำนำในหนังสือตนเขียนชัดว่า ไม่ได้คัดค้านรถไฟความเร็วสูง ซึ่งตอนนั้นพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็บอกแล้วว่า จะให้มีการสร้างหลายแนวทางเลือก แต่ทำไมยังอุตส่าห์ตัดทางเข้าสู่ตัวเมืองอโยธยา ต้นทาง ที่เป็นรากเหง้าของประวัติศาสตร์







ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/news-monitor/news_4501695
วันที่ 30 มีนาคม 2567 - 21:31 น.   
86  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เปิดประวัติ “สามเณรนนท์” วัดโมลีฯ อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์​ สอบได้ ป.ธ.9 เมื่อ: มีนาคม 31, 2024, 06:25:53 am
.



เปิดประวัติ “สามเณรนนท์” วัดโมลีฯ อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์​ สอบได้ ป.ธ.9

สามเณรภานุวัฒน์ กองทุ่งมน อายุ 17 ปี หรือ "สามเณรนนท์" วัดโมลีโลกยาราม สามเณรอายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์ ที่สอบได้ป.ธ.9 พบสถิติสุดยอดสอบบาลีผ่านทุกปี

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการสอบประโยคบาลีสนามหลวง ประจำปี พ.ศ. 2567 ซึ่งได้มีการประกาศผลสอบที่วัดสามพระยา ซึ่งปีนี้มีผู้สอบได้เปรียญธรรม (ป.ธ.)​ 9 ประโยค จำนวน 76 รูป ในจำนวนนี้เป็นสามเณร 14 รูป นั้น หนึ่งในรายชื่อสามเณร พบว่ามีชื่อสามเณรภานุวัฒน์ กองทุ่งมน หรือ “สามเณรนนท์” อายุ 17 ปี วัดโมลีโลกยาราม รวมอยู่ด้วย ถือว่าเป็นสามเณรที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทยที่สามารถสอบได้ ป.ธ.9

สำหรับประวัติสามเณรภานุวัฒน์ เป็นชาวอ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา สังกัดสำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม กรุงเทพฯ บวชตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ศึกษาพระปริยัติธรรมแผนกบาลี ที่สำนักเรียนวัดโมลีโลกยาราม
    อายุ 10 ปี สอบไล่ได้ประโยค 1-2
    อายุ 11 ปี สอบไล่ได้ป.ธ. 3
    อายุ 12 ปี สอบไล่ได้ป.ธ. 4
    อายุ 13 ปี สอบไล่ได้ป.ธ. 5
    อายุ 14 ปี สอบไล่ได้ป.ธ. 6
    พ.ศ. 2565 ก็สอบไล่ได้ป.ธ. 7
    พ.ศ. 2566 อายุ 16 ปี สอบไล่ได้ป.ธ.8

ด้านพระธรรมราชานุวัตร (สุทัศน์ ปิยสีโล) เจ้าอาวาสวัดโมลีโลกยาราม กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่ง ที่สำนักเรียนได้สร้างประวัติศาสตร์ของวัดเป็นครั้งแรกที่พระภิกษุ-สามเณร สามารถสอบได้ ป.ธ.9 เป็นจำนวนถึง 25 รูป ถือว่ามากที่สุด ในประวัติศาสตร์การสอบของวัดโมลีฯ อีกทั้งมีสามเณรสอบได้ ป.ธ.9 ถึง 9 รูป โดยเฉพาะสามเณรภานุวัฒน์ ที่มีอายุเพียง 17 ปี ถือว่ามีอายุน้อยที่สุด ขอแสดงความยินดีเป็นอย่างยิ่ง





ขอบคุณ : https://www.dailynews.co.th/news/3303962/
30 มีนาคม 2567 , 18:37 น. | การศึกษา-ศาสนา
87  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / "นวัคคหายุสมธัมม์" ธรรมที่เสมอด้วยอายุแห่งการกําหนดด้วยองค์เก้า เมื่อ: มีนาคม 30, 2024, 10:16:03 am
.



แบ่งปันความรู้ทางศาสนาสู่สาธารณะ "นวัคคหายุสมธัมม์"
โดย นางสาวกัญญา แก้วคำฟุ่น นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการพิเศษ

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โปรดเกล้าฯพระราชทานผ้าไตร และสังฆทานถวายในการ คณะสงฆ์วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม โดยพระเดชพระคุณพระพรหมวัชราจารย์ ประธานพิธีฝ่ายสงฆ์ ร่วมกับกระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนา จัดพิธีนวัคคหายุสมธัมม์ ถวายพระพรชัย แต่เจ้าฟ้าพัชรกิติยาภา นเรนทิราเทพยวดี กรมหลวงราชสาริณีสิริพัชร มหาวัชรราชชิดา ในโอกาสที่ทรงพระประชวร เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๕ เวลา ๑๕.๓๐ น. ณ วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

เพื่อให้ พุทธศาสนิกชนที่เป็นพสกนิกรภายใต้พระบรมโพธิสมภารได้แสดงออกถึงความจงรักภักดี และสํานึกในพระมหา กรุณา คุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยเชื่อว่าสามารถช่วยป้องกันภัยอันตรายจากโรคภัยต่างๆ และทําให้เกิด ความสุขสวัสดี เมื่อผู้สวดมนต์ สวดด้วยความเคารพศรัทธาพร้อมกับแผ่เมตตาและทําใจให้สงบเป็นสมาชิก็จะทําให้ พระปริตรนั้นมีพลังและอานุภาพยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ กระทรวงวัฒนธรรม โดยกรมการศาสนายังได้ประสานไปยังองค์การทางศาสนา ร่วมกันจัดพิธีทางศาสนาถวายพระพรแด่พระองค์ ณ ศาสนสถาน ตามหลักศาสนบัญญัติ ของแต่ศาสนาอีกด้วย

    นวัคคหายุสมธัมม์ อ่านว่า นะ-วัก-คะ-หา-ยุ-สะ-มะ-ทำ แยกศัพท์เป็น นว + ศห + อายุ + สม + ธัมม์ 
    นวัคคหายุสม + ธัมม์ = นวัคคหายุสมธัมม์ แปลว่า ธรรมที่เสมอด้วยอายุแห่งการกําหนดด้วยองค์เก้า หรือธรรมเป็นเครื่องเสมออายุด้วยนพเคราะห์

@@@@@@@

ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาบําราบปรปักษ์ จะทรงบําเพ็ญพระกุศลฉลองพระชันษา ครบ ๕๐ ปี ใครจะทรงทําพิธีพิเศษ จึงได้ตรัส ปรึกษาเพื่อจัดพิธีขึ้นใหม่ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ลา ปุสฺสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๙ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงจัดรูปแบบพิธีสวดนพเคราะห์ขึ้นถวายใหม่ เรียกว่า “นวัคคหายุสมธัมม์ "

โดยให้พระสงฆ์ ๕ รูป สวดพระธรรมต่างๆ ที่มีข้อธรรมเท่าจํานวนเกณฑ์กําลังของเทวดานพเคราะห์เฉพาะองค์ๆ คือ
     - อนุตริยะ ๖ สําหรับวันอาทิตย์
     - จรณะ ๑๕ สําหรับวันจันทร์
     - มรรค ๘ สําหรับวันอังคาร
     - อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ รวม ๕๔ สําหรับวันพุธ
     - ทศพลญาณ ๑๐ สําหรับวันเสาร์
     - สัญญา ๑๐ อนุปุพพวิหาร ๙ รวม ๑๙ สําหรับวันพฤหัสบดี
     - สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ รวม ๑๒ สําหรับพระราหู
     - สัปปุริสธรรม ๗ อริยทรัพย์ ๗ สัมมาสมาธิปริกขาร ๗ รวม ๒๑ สําหรับวันศุกร์
     - และอาฆาตวัตถุปฏิวินัย ๙ สําหรับพระเกตุ

เมื่อวิเคราะห์ดูจํานวนข้อธรรมแล้วจะพบว่า เท่ากับจํานวนกําลังวันของดาวแต่ละดวง น่าจะมิได้ทรงมุ่งให้ใช้บทสวดเป็นมนต์คาถาถอดถอนพระเคราะห์อย่างเดียว แต่มุ่งจะให้นําธรรมะอันเป็นเนื้อหาในบทสวดเป็นข้อประพฤติปฏิบัติ เพื่อกําจัดเคราะห์และเสริมมงคลด้วยการประพฤติปฏิบัติ มากกว่า ดังนั้น ถ้าจะสะเดาะเคราะห์ให้หมดโดยสิ้นเชิงเหมือนการชําระสิ่งสกปรกออกจากภาชนะ ก็ควรนำหลักธรรมะไปปฏิบัติชําระล้างจิตใจอีกชั้นหนึ่ง


@@@@@@@

การสวดนพเคราะห์ด้วยการเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ในปัจจุบัน ได้ถูกกําหนดให้จัดขึ้นทั่วไป ในพระราชพิธีต่างๆ มักจัดขึ้นเป็นประจําในพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ของพระมหากษัตริย์ และพระบรม วงศานุวงศ์ โดยจะถูกกำหนดให้เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีดังกล่าว จะสามารถพบเห็นได้ในพระราชพิธีเฉลิม พระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ทุกวันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปี หรืองานมหามงคลของ ทางราชสํานักในโอกาสอื่นๆ

พิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ ได้รับอนุญาตให้ประกอบพิธีเป็นกรณีเฉพาะในงานพระราชพิธีของราชสำนัก โดยมักจัดขึ้นในช่วงเวลาของวันพ่อแห่งชาติ คือ วันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปี จะประกอบพิธี ในช่วงเวลาประมาณ ๑๖.๐๐ - ๑๗.๓๐ น. ในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ ๙

แต่เนื่องจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ ในปัจจุบันได้ยกเลิกพระราชพิธีเฉลิมพระ ชนมพรรษา ในวันที่ ๕ ธันวาคมของทุกปีลงแล้ว วันที่ ๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ จึงเป็นปีสุดท้ายในการประกอบพิธี เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ และได้ถูกกําหนดให้จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ขึ้นอีกครั้ง ในการพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร วันที่ ๒๘ กราบของทุกปีแทนธรรมเนียมเต็มที่ได้ปฏิบัติมา




พิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ ถูกกําหนดให้ประกอบพิธีในโลกที่เป็นมงคลองราชสํานักไทยเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชพิธีที่เกี่ยวเนื่องโดยตรงกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ เจ้าหน้าที่กลุ่มพิธี กองศาสนูปถัมภ์ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบหน้าที่นี้โดยตําแหน่งทางราชการ

เริ่มตั้งแต่การขออนุญาตประกอบพิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ การเตรียมกําหนดการ การประสานงานกับบุคลากรฝ่ายอื่นๆ การจัดเตรียมอุปกรณ์ การเบิกสายสิญจน์จากพระมงคลภาณกาจารย์ ซึ่งเป็นพระสงฆ์ผู้หาพิธีจับสายสิญจน์เพื่อใช้ในพระราชพิธีของหลวง การจัดเตรียมสถานที่ รวมถึงการออกฎีกา นิมนต์พระภิกษุผู้ประกอบพิธี

โดยจะนําบัญชีรายนามพระสงฆ์จํานวน ๕ รูป มีพระราชาคณะเป็นหัวหน้า พร้อมด้วย พระครูสัญญาบัตร พระครูฐานานุกรม หรือพระเปรียญธรรม จากวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม เสนออธิบดี กรมการศาสนา หรือผู้ปฏิบัติหน้าที่แทนอธิบดีกรมการศาสนา เป็นผู้มีอํานาจลงนามในฎีกานิมนต์เท่านั้น และมอบให้เจ้าหน้าที่ดําเนินการวางฎีกานิมนต์ไปถวายพระสงฆ์ผู้มีรายนามดังกล่าวต่อไป

ระเบียบเช่นนี้ยึดถือปฏิบัติมา ตั้งแต่สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ ๕ เนื่องจากสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช ทรงนิพนธ์บทเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ขึ้นใหม่ ซึ่งกําหนดให้พระครูฐานานุกรมในสมัยนั้น คือ พระครูปลัดอวาจีคณานุสิชฌน์ (พระครูปลัดขวา) พระครูปลัดอุทิจยานุสาสน์ (พระครูปลัดซ้าย) รับหน้าที่เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์

และเนื่องด้วยวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามอยู่ใกล้พระบรมมหาราชวัง มีความเกี่ยวเนื่องสนิท สนมคุ้นเคยทางราชสํานัก ปฏิบัติจริยวัตรที่แสดงออกถึงความใกล้ชิด พระสงฆ์ภายในพระอารามเองก็มีความรู้ ความเข้าใจเข้าใจในขนบธรรมเนียมงานพระราชพิธี “กรมสังฆการีธรรมการ” (ปัจจุบัน คือ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม) จีงนิมนต์พระสงฆ์วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม จํานวน ๕ รูป เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ เป็นการเฉพาะ


@@@@@@@

พิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์กําหนดให้มีผู้ประกอบพิธี ๒ ฝ่าย คือ
    - ฝ่ายพระสงฆ์กําหนดให้ นิมนต์พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์จากวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม จํานวน ๕ รูป เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์
    - ส่วนฝ่ายฆราวาสกำหนดให้คณะโหรพราหมณ์ประกอบพิธีบูชาเชิญเทวดานพเคราะห์ทีละองค์ โดยสวดสลับกันไปมาตามลำดับพิธีของฝ่ายตนเอง โดยแบ่งขั้นตอนการประกอบพิธีออกเป็น ๒ ส่วน สลับไปมาเช่นกัน

"ในสมัยแรก" พิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์มักถูกกําหนดให้ประกอบพิธีในพระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในพระบรมมหาราชวัง เนื่องจากเป็นพระราชพิธี จึงได้รับการอุปถัมภ์จากราชสํานักอยู่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เพราะถือว่าพิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์เป็นส่วนหนึ่งของพระราชพิธีเฉลิม พระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งจะต้อง เนินการจัดงานดังกล่าวอยู่เป็นประจําทุกปี และในโอกาสสําคัญของพระบรมวงศานุวงศ์พระองค์อื่นๆ

พิธีเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ยุคแรกใช้เวลานาน ในการประกอบพิธี เนื่องจากบทสวดที่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (สา ปุสสเทโว) สมเด็จพระสังฆราช ได้นิพนธ์ ขึ้นใหม่มีจํานวนมาก ใช้เวลาสวดนาน ๔-๕ ชั่วโมง จนกระทั่งในสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรสทรงดําริตัดทอนความที่มีเนื้อหาซ้ำกันออกไป คงไว้แต่ข้อพระธรรมเท่านั้น ในปัจจุบันพระสงฆ์สวดบทสวดในคัมภีร์เจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ใช้เวลา ราว ๑-๒ ชั่วโมงเท่านั้น

"นวัคคหายุสมธัมม์" เป็นคําศัพท์ที่ทั้งพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชนไม่คุ้นชื่อมากนัก โดยกรมการศาสนา มีภารกิจสนองงานได้เบื้องพระยุคลบาทในฐานะเจ้าพนักงานผู้ปฏิบัติหน้าที่เกี่ยวกับสงฆ์ (สังฆการี) ถือปฏิบัติภารกิจ ดังกล่าวนี้ในพระราชพิธีที่เกี่ยวเนื่องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมพระเกียรติและถวาย พระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาหรือพระราชพิธีอื่นๆ เพื่อบํารุงขวัญและกําลังใจให้พุทธศาสนิกชน ที่เป็นพสกนิกรภายใต้พระบรมโพธิสมภาร ได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีและสํานึกในพระมหากรุณาธิคุณต่อสถาบันพระมหากษัตริย์








ขอขอบคุณที่มา :-
บทความ : แบ่งปันความรู้ทางศาสนาสู่สาธารณะ "นวัคคหายุสมธัมม์" โดยนางสาวกัญญา แก้วคำฟุ่น นักทรัพยากรบุคคลชำนาญการพิเศษ , กรมการศาสนา
URL : https://e-book.dra.go.th/ebook/2566/E-book_navakakha/mobile/index.html

แหล่งอ้างอิงข้อมูล :-
- กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. (๒๕๕๔) พระพิธีธรรม กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด
- กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม. (๒๕๕๔), ศาสนพิธีในพระราชพิธี (เล่ม - กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จํากัด
- พระมหาสี ปี่แก้ว (๒๕๖๒) วิเคราะห์การสวดนพเคราะห์ด้วยการเจริญพระพุทธมนต์นวัคคหายุสมธัมม์ วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาพุทธศาสนศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
88  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / "ศรีเทพ" เมืองศักดิ์สิทธิ์ ปาฏิหาริย์ดินแดนต้องห้าม เมื่อ: มีนาคม 30, 2024, 07:23:47 am
.



"ศรีเทพ" เมืองศักดิ์สิทธิ์ ปาฏิหาริย์ดินแดนต้องห้าม

“เมืองศรีเทพ” กรมศิลปากร ระบุไว้ว่า เป็นเมืองโบราณในตำบลศรีเทพ อำเภอศรีเทพ จังหวัดเพชรบูรณ์ จัดอยู่ในเขตที่สูงถูกเชื่อมโยงเป็นแหล่งแลกเปลี่ยนสินค้า วัฒนธรรมระหว่างพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ...มีความสำคัญมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์

รวมไปถึงวัฒนธรรมเขมรโบราณ (พุทธศตวรรษที่ 8-18) โดยมีพื้นที่รวมประมาณ 2,889 ไร่ หรือประมาณ 4.7 ตารางกิโลเมตร ลักษณะเป็นเมืองที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบแบบเมืองในวัฒนธรรมทวาราวดี ที่ยังคงสามารถรักษารูปแบบแต่เดิมไว้ได้อย่างสมบูรณ์มากที่สุด โดยไม่ถูกเปลี่ยนแปลงแห่งหนึ่งของประเทศไทย

สิ่งที่น่าสนใจคือ “ที่ตั้ง” ของ “เมืองศรีเทพ” นั้น แตกต่างจากเมืองอื่นๆในอดีต ซึ่งปกติแล้วเมืองที่มีความเจริญจะตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำหรือไม่ไกลทะเล แต่เมืองศรีเทพกลับอยู่ลึกเข้าไปในแผ่นดิน






แล้วเหตุใดถึงเจริญรุ่งเรืองได้? และในช่วงสมัยเดียวกันก็ยังเป็นเมืองที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดด้วย เมื่อประมาณพันปีที่ผ่านมา ผศ.ดร.กังวล คัชชิมา อาจารย์ประจำภาควิชาภาษาตะวันออก คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากรและผู้เชี่ยวชาญด้านปรัชญา พุทธศาสนา ภาษาศาสตร์ (เขมร) ตั้งข้อสังเกต

“เมืองศรีเทพ” มาก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งเดิมทีที่ตรงนี้ก็มีคนอาศัยอยู่ก่อนประมาณ 1,700-1,800 ปีก่อน แต่ปัญหาของเมืองศรีเทพนั้น ไม่ค่อยมีการเขียนจารึกไว้...เท่าที่ดูซากโบราณสถาน โบราณวัตถุ ก็เชื่อว่าผู้คนที่อาศัยมีอารยธรรมและเทคโนโลยีอยู่พอสมควร

เช่น การขนหินจากที่อื่นที่ไม่ใช่ประเทศไทย การสร้างเครื่อง ประดับต่างๆ ฯลฯ

@@@@

อัตลักษณ์ของเมืองศรีเทพ คือ “องค์สุริยเทพองค์ใหญ่” มีหลายองค์ ซึ่งที่น่าแปลกคือที่ผ่านมาไม่เคยค้นเจอในแถบบ้านเราเลย ที่สำคัญคืออารยธรรมที่ปรากฏมีลักษณะแบบ “เอเชียกลาง” สิ่งที่เห็นได้คือชุดที่ใส่ โดยมีอารยธรรมโบราณและมีการผสมผสาน

ผศ.ดร.กังวล บอกอีกว่า ที่แปลกที่สุดที่มีปรากฏเฉพาะในเมืองศรีเทพคือ พระพิมพ์ดินเผา ชุดหนึ่งที่มีชื่อของ “หลวงจีน” รูปหนึ่งสลักไว้ด้านหลังองค์พระที่สร้างขึ้น หลังจากทางเข้ามาในเมืองศรีเทพ

คาดว่าน่าจะสร้างช่วงพุทธศตวรรษที่ 13-14 หรือประมาณ 1,200 กว่าปีก่อน




นี่คือความชัดเจนที่เห็นได้ว่ามีคนต่างชาติเดินทางเข้ามาในเมืองศรีเทพ ซึ่งนอกจากจะมีอารยธรรมทางอินเดียมาแล้วยังมีคนจีนเข้ามาด้วย การมีหลวงจีนปรากฏในเมืองศรีเทพ สำคัญอย่างไร...ที่ผ่านมาเราอาจจะทราบว่ามี “พระถังซัมจั๋ง” ไปทางอินเดีย หลวงจีนอี้จิง หลวงจีนฟาเหียนเดินทางไปทะเล ไปอินโดฯก่อนไปอินเดีย แต่ทำไมหลวงจีนองค์นี้ ต้องตะเกียกตะกายเดินทางมา ที่ศรีเทพ

แปลว่าที่ตรงนี้ต้องเป็น...แหล่งศักดิ์สิทธิ์

หรือมีความสำคัญมากในภูมิภาคหรือเปล่า และจากการสำรวจเขาคลังนอก มีการระบุว่า มีความคล้ายกับ “นาลันทา” ซึ่งเป็นวิทยาลัยสงฆ์แห่งแรกในอินเดียเลย หรือนี่อาจจะเป็นเหตุผลคล้ายกับของพระถังซัมจั๋ง ก็เดินทางไปอินเดีย นี่เป็นข้อสันนิษฐาน...

แปลว่า “ศรีเทพ” ก็ไม่ใช่เมืองแห่งการค้าขาย และก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ สำคัญในทางพุทธศาสนาหรือไม่ สาเหตุที่ไม่มีความชัดเจนทางใดทางหนึ่ง เพราะไม่มี “จารึก”บ่งบอก




พุ่งเป้าไปที่ที่ตั้งของเมือง รูปลักษณ์ สิ่งแวดล้อม ส่วนประกอบต่างๆอย่างเขาถมอรัตน์ ก็อาจจะหมายถึง “ดินแดนศักดิ์สิทธิ์” นี่แหละ...เพียงแต่ว่าสิ่งที่ขาดคือ “จารึก” ที่เขียนบอกอย่างชัดเจน

น่าสนใจด้วยว่า...ถ้ำบนยอดเขาถมอรัตน์ก็เป็นสถานที่ซึ่งรวมรูปเคารพทั้งพระโพธิสัตว์...รูปเคารพของศาสนาพุทธในคติแบบมหายาน และพระพุทธรูป เสาธรรมจักร สถูปจำลอง ซึ่งเป็นคติแบบเถรวาท

การผสมผสานคติความเชื่อทั้งสองรูปแบบนี้นับได้ว่าเป็นลักษณะเด่นประการหนึ่งของคติความเชื่อแบบ “ศรีเทพ”...เป็นสังคมที่มีการผสมผสานแนวคิดทั้งสองแบบเข้าด้วยกัน

@@@@

ศิลปวัฒนธรรม (10 ม.ค.67) อนุชิต อุ่นจิต เขียนถึง “เมืองศรีเทพ” ไว้ว่า เมืองโบราณแห่งนี้มีลักษณะเป็น...เมืองซ้อนเมือง แล้วมีเนินดินสูงล้อมรอบคล้ายกำแพงเมือง ด้านนอกของเนินดินเป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ล้อมรอบอีกชั้นหนึ่ง การขุดค้นเมืองโบราณแห่งนี้เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2521 โดยกรมศิลปากร

และ...เป็นที่น่าแปลก ที่ว่าภายในพื้นที่บริเวณเขตเมืองโบราณนั้น ไม่มีชาวบ้านคนไหนเข้าไปตั้งถิ่นฐานอยู่ภายในเลย แต่กลับสร้างบ้าน ตั้งถิ่นฐานอยู่รอบนอกเขตเมืองโบราณเท่านั้น






ชาวบ้านเล่าว่า พื้นที่ดังกล่าวมีความเชื่อว่า...เป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ เป็นที่อยู่ของเทพเทวดา เมืองโบราณแห่งนี้...เทพเทวดาได้สร้างเอาไว้ก่อนจะขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ ในสมัยก่อนจึงไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่อาศัย

ทั้งยังมีความเชื่อด้วยว่า...หากใครเข้าไปอยู่ในพื้นที่เมืองโบราณแห่งนี้ ก็จะเกิดอาเพศกับตนเองและครอบครัว

บางคนอาจล้มป่วยโดยไม่มีสาเหตุ หรือบางคนถึงขั้นเสียสติ เมื่อเข้าไปอยู่อาศัยในสถานที่แห่งนี้ ชาวบ้านในพื้นที่ทำได้เพียงอาศัยพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ประกอบอาชีพเท่านั้น ซึ่งในสมัยก่อนก็จะมีการประกอบอาชีพการเกษตร ล่าสัตว์ เก็บของป่า ...พิธีกรรมความเชื่อสำคัญในสมัยก่อนชาวบ้านจะไปกราบไหว้ นำเครื่องเซ่นไหว้ไปไหว้ศาลที่ตั้งไว้บนเนินดินบริเวณขอบเมืองโบราณหรือเนินที่กรมศิลปากรเชื่อว่าน่าจะเป็นกำแพงเมือง

และ...หลังจากเมืองโบราณเปลี่ยนเป็นอุทยานประวัติศาสตร์ศรีเทพแล้ว ได้มีการอัญเชิญศาลแห่งนี้ลงมาไว้ด้านล่าง โดยเทวรูปที่ประดิษฐานอยู่ภายในศาล ชาวบ้านเรียกกันว่า...“เจ้าพ่อศรีเทพ”




ชาวอำเภอศรีเทพจะจัดพิธีบวงสรวงเจ้าพ่อศรีเทพเป็นประจำทุกปี ในวันขึ้น 3 ค่ำ เดือน 3 เพื่อความเป็นสิริมงคลและความเจริญรุ่งเรืองของชาวอำเภอศรีเทพ โดยเครื่องบวงสรวงประกอบด้วยข้าวต้มมัด ขนมจีนน้ำยา และอาหารท้องถิ่นของชาวอำเภอศรีเทพ

หลังเสร็จสิ้นพิธีบวงสรวงจะได้มีการแจกจ่ายข้าวต้มมัดแก่ผู้ร่วมงาน ซึ่งถือว่าผู้ได้รับประทาน ข้าวต้มมัดจะมีความเจริญรุ่งเรือง มั่งมีศรีสุข และมีความรักความสามัคคีกลมเกลียวกัน

“ศรัทธา” นำมาซึ่ง “ปาฏิหาริย์” เชื่อไม่เชื่ออย่างไรโปรดอย่าได้ “ลบหลู่”.

                                รัก-ยม




Thank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/culture/2772850
24 มี.ค. 2567 06:49 น. | ไลฟ์สไตล์ > วัฒนธรรม > รัก-ยม
89  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ส่อง ‘สงกรานต์ไทย’ ย้อนรอยความเชื่อโบราณ-ที่มาการเล่นสาดน้ำ เมื่อ: มีนาคม 30, 2024, 07:04:38 am
.



ส่อง ‘สงกรานต์ไทย’ ย้อนรอยความเชื่อโบราณ-ที่มาการเล่นสาดน้ำ

วงเสวนา ส่อง ‘สงกรานต์ไทย’ ย้อนรอยความเชื่อโบราณ และที่มาการเล่นสาดน้ำ

เมื่อวันที่ 28 มีนาคม ที่ห้องประชุมอาคารดำรงราชานุภาพ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร สโมสรศิลปวัฒนธรรม จัดเสวนาส่อง “สงกรานต์ไทย” โดยมี ผศ.คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และนายศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์โบราณคดี ร่วมเสวนา




โดย ผศ.คมกฤช กล่าวว่า คำว่า “สงกรานต์” หรือ “สังกรานติ (สํกฺรานฺติ)” มาจากภาษาสันสกฤต หรือภาษาแขกของอินเดีย มีความหมายว่า การเคลื่อนหรือย้ายของพระอาทิตย์ ซึ่งความเชื่อคนโบราณ แบ่งท้องฟ้าออกเป็น 12 ช่องตามกลุ่มดาวจักรราศี ดังนั้น “วันสงกรานต์” หมายถึงวันที่ดวงอาทิตย์ เคลื่อนย้ายจากราศีหนึ่งไปสู่อีกราศีหนึ่งในกลุ่มดาวจักราศีทั้ง 12 กลุ่ม เพราะฉะนั้นในรอบ 1 ปี จึงมีวันสงกรานต์ถึง 12 วัน ในช่วงวันที่ 14-15 ของทุกเดือน ตามสุริยคติ เช่น พระอาทิตย์ย้ายเข้าราศีมังกร ก็เรียก มกรสังกรานติ (มกรสงกรานต์) เข้าราศีเมษก็เรียก เมษสังกรานติ (เมษสงกรานต์) ซึ่งเป็นความเชื่อแบบโบราณ

โดยตามความเชื่อของพราหมณ์ ถือเอาสงกรานต์ใหญ่สองสงกรานต์ว่าสำคัญกว่าสงกรานต์อื่นๆ คือ มกรสงกรานต์ และเมษสงกรานต์ มกรสงกรานต์ หรือมกรสังกรานติ คือสงกรานต์ที่พระอาทิตย์ย้ายเข้าราศีมังกรในช่วงวันที่ 14-15 มกราคมของทุกปี เพราะเป็นช่วงที่ดวงอาทิตย์ย้ายเข้าราศีมังกร เท่ากับได้ย้ายจากวงโคจร (อายน) ด้านใต้ (ทักษิณายัน) ซึ่งกินเวลาครึ่งหนึ่งของปี มาสู่วงโคจรด้านเหนือ (อุตรายัน) วงโคจรด้านเหนือของดวงอาทิตย์คือช่วงเวลาของฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ซึ่งเป็นช่วงอบอุ่นของโลกอันเหมาะแก่การเพาะปลูก ผิดกับวงโคจรด้านใต้ที่หนาวเย็น สะท้อนถึงความมืดและความตาย ถือกันว่าทักษิณายันเป็น “กลางคืน” ของเทวดา ส่วนอุตรายันเป็น “กลางวัน” ของเทวดา เพราะหนึ่งปีมนุษย์เท่ากับหนึ่งวันของเทวดา




ทั้งนี้ เมื่อไปดูสงกรานต์ เดือนมกราคมของอินเดียใต้ จะไม่มีการสาดน้ำ แต่จะมีพิธีบูชาเทพที่เทวสถานแล้ว ในอินเดียภาคใต้จะเรียกเทศกาลนี้ว่า “ไทปงคัล” “ปงคัล” คือข้าวหุงอย่างเทศใส่นมเนย ส่วน “ไท” คือชื่อเดือนยี่ของทมิฬ ชาวบ้านจะตื่นมาหุงข้าวปงกัลป์ถวายพระสุริยเทพ ส่วนข้าว “ปงคัล” ของทมิฬ ก็คืออย่างเดียวกับ “ข้าวเปียก” หมายถึงข้าวกวนกับกะทิและนม ซึ่งใช้ถวายพระเป็นเจ้าในพระเทวสถานเฉพาะในพระราชพิธีตรียัมปวายเท่านั้น โดยไม่มีการสาดน้ำ

ส่วนส่งกรานต์เดือนเมษายน ของประเทศไทยนั้น ตรงกับช่วงที่พระอาทิตย์โคจรเข้าสู่ราศี เมษสงกรานต์สำคัญ เพราะเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์อยู่ในตำแหน่งสูงสุดคือจอมฟ้า ตรงเหนือศีรษะเราพอดี อันเป็นตำแหน่งที่พระอาทิตย์มีกำลังสูงสุดในทางโหราศาสตร์อินเดียถือว่า ราศีเมษ เป็นราศีที่สถิต “ลัคนา” หรือตำแหน่งอ้างอิงทางโหราศาสตร์ของโลก การที่ดาวใหญ่อย่างดวงอาทิตย์ย้ายเข้าในราศีลัคนาโลก จึงเป็นเรื่องใหญ่โต และยังใกล้เริ่มต้นเพาะปลูกอีกด้วย แขกพราหมณ์อินเดียใต้ ต่างถือว่าเมษสงกรานต์เป็นปีใหม่ของตน เรียกชื่อเทศกาลออกไปต่างกัน โดยอินเดียในแต่ละภูมิภาคไม่ได้นับปีใหม่ตรงกัน เพราะความแตกต่างของภูมิอากาศ




โดยสงกรานต์ของแขกพราหมณ์ไม่มีสาดน้ำหรือรดน้ำเป็นกรณีพิเศษ แต่จะมีรดน้ำเทวรูปในเทวสถาน ซึ่งก็ทำกันเป็นประจำอยู่แล้ว ไม่ใช่พิธีที่แยกออกมา

การที่พระอาทิตย์เคลื่อนย้ายทำให้เกิดฤดูกาล ส่วนมาเป็นสงกรานต์ของ ประเทศไทยได้อย่างไรนั้น สงกรานต์ในระดับราชสำนัก ที่รับมาจากพรามหณ์ จะมีความเข้มข้นค่อนข้างมากในเรื่องของพิธีกรรม ส่วนระดับชาวบ้านอาจจะมีความแตกต่างกับอินเดีย แต่ที่อาจจะคล้ายกัน คือของไทยมีการสาดน้ำ แต่ของประเทศอินเดียจะมีการสาดผงสีใส่กันในเทศกาลโฮลี เป็นเรื่องของการเจริญพืชพันธ์ แต่ที่สันนิษฐานว่า ไม่เหมือนกับสงกรานต์ไทย โดยโฮลี ถือเป็นสัญลักษณ์แห่งการสิ้นสุดฤดูหนาว ย่างเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ดังนั้น นอกจากจะเล่นสาดสีกันแล้ว ก็จะมีการร้องรำทำเพลงและเต้นรำกันเป็นที่สนุกสนาน ซึ่งตามความเชื่อแล้ว เทศกาลโฮลี เป็นการเผานาง โหลิกา หรือการไล่ความร้อน ซึ่งไม่มีการใช้น้ำ อีกทั้งยังเป็นคนละช่วงเวลา ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระอาทิตย์ และไม่ได้เป็นที่มาของการสาดน้ำในสงกรานต์ประเทศไทย




ส่วนพิธีกรรมที่เกี่ยวกับน้ำนั้น ตามประเพณีของไทยมี แต่จะมีเฉพาะพระราชพิธีของพระมหากษัตริย์ ซึ่งมีปรากฎอยู่ในพระราชนิพนธ์พระราชพิธีสิบสองเดือนเกิดขึ้น ของรัชกาลที่ 5 ส่วนการเล่นสาดน้ำนั้น มาจากของไทยเอง จนปัจจุบัน ถึงกับเรียกว่า Water Festival เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว แม้ที่ผ่านมา จะเคยมีการพูดคุยว่า อยากให้อนุรักษ์ประเพณีสงกรานต์แบบดั่งเดิม แต่ส่วนตัว ก็อยากให้เป็นไปตามยุคสมัย ภายใต้กฎหมาย เพื่อให้ประชาชนได้สนุกกับสงกรานต์แบบพอเหมาะพอดี

ด้านนายศิริพจน์ กล่าวว่า เรื่องวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่รับมาอินเดีย จะมาเป็นชุดทั้งประเพณี และหลักการความเชื่อทางศาสนา ซึ่งจะมีเรื่องพิธีกรรมที่สัมพันธ์กับฤดูกาล ภูมิอากาศ และการเพาะปลูก เห็นได้จากกฎหมายตราสามดวงวง ซึ่งนับ 1 ปี เป็น 1 รอบของการเพาะปลูก โดยช่วงเดือนเมษายน ของประเทศไทย ตรงกับหน้าร้อนที่ ไม่มีการเพาะปลูก ดังนั้น จึงเป็นช่วง ตรงกับช่วงที่มีการไหว้ผีบรรพบุรุษเพื่อคุ้มครองให้เดือนถัดไปที่จะมีการแรกนา เป็นไปด้วยดี มีความอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้สงกรานต์ของไทย นอกจากไหว้เทพและยังมีการไหว้ผีบรรพชนด้วย

ส่วนการสาดน้ำในประเพณีไทยมาจากไหน นั้น จากข้อมูลในสมัยร.4 ที่มีการออกประกาศในเรื่องประเพณีสงกรานต์ ก็ยังไม่มีการสาดน้ำ จนกระทั่งต้องมีการออกประกาศห้ามกระทำในเรื่องต่าง ๆ แต่ก็ยังไม่มีการประกาศในเรื่องสาดน้ำ ส่วนการสาดน้ำมีความเป็นมาอย่างไรนั้น มองว่า เป็นความพยายามแหกออกจากกฎเกณฑ์สังคม ซึ่งการสาดน้ำก็เป็นหนึ่งในการแหกกฎที่ไม่สามารถทำได้ในวิถีปกติ รวมถึงยังมีเรื่องเล่าสัปดนซึ่งไม่สามรถทำได้ในวิถีชีวิตปกติเช่นเดียวกัน





Thank to : https://www.matichon.co.th/education/religious-cultural/news_4497898
วันที่ 28 มีนาคม 2567 - 17:02 น.   
90  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘ปีเตอร์ แจ็กสัน’ ชี้ ศาสนาไทย รสหลากหลาย นักวิชาการแค่ ‘ไม่เก็ท’ เมื่อ: มีนาคม 30, 2024, 06:57:13 am
.



‘ปีเตอร์ แจ็กสัน’ ชี้ ศาสนาไทย รสหลากหลาย นักวิชาการแค่ ‘ไม่เก็ท’ ความเชื่อเปลี่ยนตามเจน

เมื่อวันที่ 29 มีนาคม ที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ชั้น LG ฮอลล์ 5-7 สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (PUBAT) พร้อมด้วยพันธมิตรสำนักพิมพ์ ร่วมจัดงาน ‘สัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ครั้งที่ 52 และสัปดาห์หนังสือนานาชาติ ครั้งที่ 22’ ตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม-8 เมษายนนี้

บรรยากาศเวลา 17.30 น. พบประชาชนร่วมรอฟังเสวนา “พุทธพาณิชย์ ชีวิตไทยไทย” โดยศาสตราจารย์ ดร.ปีเตอร์ เอ. แจ็กสัน เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการแจกลายเซ็น การถ่ายรูป แก่แฟนคลับ ที่เลือกซื้อหนังสือภายในบูธสำนักพิมพ์มติชน J47 พร้อมทั้งมีการเลือกซื้อหนังสือที่ตนเองสนใจ ทั้งในแนวประวัติศาสตร์ พระพุทธศาสนา จิตวิทยาพัฒนาตนเอง และศิลปวัฒนธรรม เป็นจำนวนมาก

ทั้งนี้ทางสำนักพิมพ์ยังมีโปรโมชั่นส่วนลดพิเศษกว่า 15-20% พร้อมรับของแถมสุดเก๋ไก๋เมื่อซื้อหนังสือครบ 500 บาท ขึ้นไปอีกจำนวนมาก




เวลา 18.00 น. ปีเตอร์ แจ็กสัน มาร่วมเวที Book Talk “พุทธพาณิชย์ ชีวิตไทยไทย” ในเรื่องของทุนนิยมที่สอดแทรกในชีวิตประจำวัน ไม่เว้นแม้แต่ความเชื่อทางศาสนา

ปีเตอร์ แจ็กสัน กล่าวว่า หนังสือ Capitalism Magic Thailand จุดเริ่มต้นที่ผมมาประเทศไทย มีความสนใจเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ผมเก็บข้อมูลพระพุทธศาสนา ปริญญาเอกเก็บข้อมูลกับพุทธทาสภิกขุ อาจารย์ต่างประเทศหลายคนก็มีจุดเริ่มต้นของพระพุทธศาสนาที่นี้

“สมัยเศรษฐกิจบูมๆ ของประเทศไทย ช่วง30-40ปีที่แล้ว ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่ในวัดที่คนไทยสนใจ เกี่ยวกับความเชื่อ คนไทยมักมองหาองค์เทพใหม่ๆ เพื่อหาความสำเร็จทางธุรกิจ มีองค์เทพใหม่ๆ ที่คนไม่เคยบูชามาก่อน” ปีเตอร์ แจ็กสัน กล่าว

ปีเตอร์ แจ็กสัน กล่าวต่อว่า ผมเคยอ่าน บทความของ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ เรื่องราวของเจ้าแม่กวนอิม เป็นบทความที่น่าสนใจมาก มีโอกาสที่น่าจะเปลี่ยนพฤติกรรมความเชื่อทั้งรูปแบบเก่า และมาเป็นรูปแบบใหม่ แม้จะเป็นนักธุรกิจ หรือคนค้าขาย เราต้องการความช่วยเหลือจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อความสำเร็จในชีวิต อาจารย์ในต่างประเทศมักมองข้ามสิ่งนี้ เพราะเขาคิดว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มักเกินขึ้นในวัดเท่านั้น




ช่วงนั้นพระที่ดังมากก็คือ หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา มีทั้งการปลุกเสก เครื่องรางของขลังจำนวนมาก ซึ่งเป็นความเชื่อการนับถือ เครื่องรางของขลัง ของพ่อค้า แม่ค้าจำนวนมาก

เมื่อถามว่า ในหนังสือ Capitalism Magic Thailand เล่าถึงเรื่องใดบ้าง ?

ปีเตอร์ แจ็กสัน กล่าวว่า ในหนังสือ Capitalism Magic Thailand ได้รวบรวมราชพิธี ทั้งความเชื่อจากเกจิอาจารย์ต่างๆ ที่ทำพิธีปลุกเสกพระเครื่อง เทพใหม่ๆ อาทิ เทพทันใจ ประเทศพม่า ที่คนไทยก็นับถือเช่นกัน ตนพยายามรวบรวมข้อมูลว่ามีความหลากหลายอะไรบ้าง ความสัมพันธ์เศรษฐกิจสมัยใหม่ต่างๆ

สร้างไอเดียหลากหลายรูปแบบ ทั้งความเชื่อ เศรษฐกิจ ทั้งความเชื่อคนไทย คนจีน เกี่ยวกับเจ้าแม่กวนอิม องค์เทพฮินดู จตุคามรามเทพ สงสัยว่าทำไมองค์เทพต่างๆ ถึงมาดังในช่วงนี้เพราะอะไรบ้าง ทั้งสื่อมวลชนก็มีความสนใจในประเด็นนี้




“เมื่อก่อนมีความคิดว่า ถ้าระบบทุนนิยมเข้ามาจะมีความคิด หรือว่าความเชื่อกับศาสนา ในความเชื่อเดิม อาจจะหายไป แต่ใน30-40 ปี ที่แล้ว แสดงให้เห็นว่า ไม่ใช่เลย แม้ว่าศาสนามีความเปลี่ยนแปลง แต่ความเชื่อไม่ได้หายไปเลย และยังขยายตัวมากขึ้นตามสถานการณ์อีกด้วย

อีกทั้งเป็นการสร้างโอกาสให้ความเชื่อรูปแบบใหม่เข้ามา ไม่ว่าใครก็สามารถสนใจเรื่องความเชื่อใหม่ๆได้ ทุกชนชั้นเช่นกัน”ปีเตอร์ แจ็กสัน กล่าว

เมื่อถามว่า ทำไมความเชื่อต่างๆ อยู่ๆ ถึงบูมขึ้นมาในประเทศไทย เกิดปรากฏการณ์อะไร

ปีเตอร์ แจ็กสัน กล่าวว่า ยกตัวอย่าง พระเครื่อง เหมือนเป็นสิ่งที่คนไทยติดตัวเอาไว้ เพื่อป้องกัน ไม่ให้สิ่งไหนมาทำอะไรเราได้ แต่ความคิดในสมัยนี้ พระเครื่องมีความเชื่อมากกว่านั้น ทั้งการขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากพระเครื่องในเรื่องของธุรกิจ การขอพรทางด้านการศึกษา สิ่งที่ความเชื่อนั้นบูมขึ้นมาก็คือ ความคิดของคนสมัยใหม่ ที่จะเป็นสิ่งที่เป็นที่พึ่งของเขาได้นั้นเอง




เมื่อถามว่า ในหนังสือมีการใช้คำว่า “ลัทธิบูชาความมั่งคั่ง” ทำไมถึงใช้คำนี้?

ปีเตอร์ แจ็กสัน กล่าวว่า สมัยก่อนไม่รู้จะเรียกว่าอะไร ความเชื่อและพฤติกรรมแบบนี้ คนเรามักเน้นความสำเร็จ ตนเคยไปที่ หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ จังหวัดนครราชสีมา ผมประทับใจมากที่พระเครื่องที่หลวงพ่อคูณปลุกเสก จะมีชื่อทุกรุ่น และกำไลก็มีชื่อ ตนคิดว่านี่คือสิ่งที่เป็นความสำเร็จทางธุรกิจ

“ในช่วงที่เศรษฐกิจบูม ผมมาเมืองไทยก่อนในช่วงนั้น จากเมืองที่เป็นเกษตรกรรม แต่ตอนนี้เป็นอุตสาหกรรมแล้ว คนสมัยก่อนอาจจะคิดว่าพิธีการมันเกิดขึ้นแต่ในหมูบ้านเล็กๆ เท่านั้น แต่ในปัจจุบัน กับเข้ามาในเมืองมากขึ้น นั้นแปลว่าความเชื่อในหมู่บ้าน ชนบท ก็ส่งผลต่อคนมนเมืองหลวงเหมือนกัน ซึ่งนักกิจกรรมต่างๆ ก็สนใจเรื่องเช่นนี้ด้วย”ปีเตอร์ แจ็กสัน กล่าว

เมื่อถามว่า ปรากฏการณ์ในสื่อที่เห็นได้มากมาย ที่คนชอบมาแสดง อภินิหาร ความเชื่อต่างๆ คิดเห็นอย่างไร ?

เป็นเหมือนเปลี่ยนแปลงความเชื่อ เมื่อ 40-50 ปีที่แล้ว มีมาตั้งนานแล้ว ในหมู่บ้านตามชนบท อาจจะมีทั้งผู้หญิง และผู้ชายที่เป็นทั้งคนทรงเจ้า ผมสังเกตว่า คนทรงเจ้า มักทรงเจ้าเป็น เจ้าแม่กวนอิม เทพอาจารย์ มีความหลากหลายทั้งพฤติกรรม และความเชื่อ และเป็นสิ่งตรงข้ามกับคำว่าสังคมสมัยใหม่

สิ่งที่น่าสนใจคือ อาทิ วัดแขก จะมีงานทุกปี งานนวราตรี จะมีคนมาบูชาองค์พระพิฆเนศ คนที่จะมาร่วมงานมักมากขึ้นทุกปีขยายขึ้น10เท่า จากเมื่อก่อน เป็นการขยายความเชื่อ คนที่เป็นองค์เทพจากทั่วประเทศก็เข้ามากรุงเทพฯ เพื่อที่จะมาร่วมงาน

และเทศกาลกิเจ จังหวัดภูเก็ต ก็มีความเชื่อจากคนในพื้นที่ต่างๆ เป็นความเชื่อที่มีความหลากหลาย ทั้งองค์เทพ หรือพระเครื่องก็ได้ เป็นสิ่งที่ใกล้ตัว และทุกชนชั้นก็จะเข้ามามีบทบาทด้วยเช่นกัน




เมื่อถามว่า คำว่าร่างทรง มีคำว่า “การทรงเจ้า” ขึ้นมา ทำให้ความเชื่อมากขึ้นจริงหรือไม่?

ปีเตอร์ แจ็กสัน กล่าวว่า เห็นด้วย คำว่า ร่างทรง ในชนบทโบราณ มักใช้คำว่าผีเข้า เป็นคำที่ไม่น่ากลัว ถ้าเราพูดว่าเทพเจ้าเข้า เหมือนยกระดับคำว่าร่างทรง เพราะคำว่าเทพ เป็นคำที่สูงกว่าผี ไม่ใช่พฤติกรรมอย่างเดียว เป็นเหมือนการยกระดับ พิธีกรรม ความเชื่อไสยศาสตร์ ถ้าเรายกระดับภาษาไปด้วย ก็จะทำให้มีคนสนใจมากขึ้น ความเชื่อมักตามมาด้วยบารมีที่มากขึ้น อาจจะเรียกว่าเป็นการเสริมบารมี องค์เทพก็เสมือนฐานนะของวิญญาณที่ค่อยช่วยเหลือในสมัยนี้ได้

เมื่อถามว่าการเปลี่ยนรูปลักษณ์ ของขลังให้เป็นสิ่งที่น่ารักมากขึ้น ความขลังจะมีอยู่ไหม?

การมูเตลูมักจะเกิดขึ้นในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ ทุกคนต้องหาที่พึ่งจากคนทรงเจ้า จากอินเตอร์เน็ตต่างๆ สิ่งเหล่านี้มักมาตามเศรษฐกิจด้วย แต่ก็มีคำถามว่า ความเชื่อยังอยู่ไหม บางคนก็คงเชื่ออยู่ บางคนบอกว่าคนที่มาขายของแบบนี้อาจจะเน้นความน่ารักของ แต่ผมว่าอยู่ที่ความเชื่อว่าคนที่นับถือสิ่งเหล่านั้น ว่านับถือจริงไหม บางคนก็ไม่เชื่อ บางคนก็เชื่อ

ของขลังมักเข้ามากับเศรษฐกิจ และเศรษฐกิจมักจะเข้ามากับคนรุ่นใหม่ กับนักศึกษา กับคนที่ไม่เข้าวัด แสดงว่า ความเชื่ออาจะเปลี่ยนตามรุ่น

“ความหลากหลายของประเทศไทย เป็นสิ่งที่สร้างรสชาติ เหมือนอาหารไทย ที่ต้องมีหลายอย่างในหนึ่งมื้อ หวาน เค็ม เผ็ด ต้องครบ เหมือนกับ ความหลายหลายในโต๊ะบูชาของคนไทย ก็มีทั้งองค์เทพในไทย ในจีน หรืออินเดียได้ ความเชื่อของประเทศไทยมีความหลากหลายมาก แต่ก็เป็นปัญหาของนักวิชาการ ที่ไม่สามารถเข้าถึงปัญหาของความหลากหลายเหล่านี้ได้ เราต้องสร้างไอเดียที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม”ปีเตอร์ แจ็กสัน กล่าวทิ้งท้าย






Thank to : https://www.matichon.co.th/book/news_4500339
วันที่ 29 มีนาคม 2567 - 21:29 น.   
91  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อานิสงส์การสวดมนต์ ในหลากหลายมุม เมื่อ: มีนาคม 29, 2024, 09:15:08 am
.



อานิสงส์การ "สวดมนต์" ดีต่อชีวิต อย่างไร.?

ไม่ว่าจะเหตุผลใดที่ "สวดมนต์" แต่เรื่องนี้มีอานิสงส์ทั้งทางโลกและทางธรรม จะเรียกว่า ดีต่อใจ ดีต่อชีวิต และดีต่อสัตว์โลกก็ว่าได้

การสวดมนต์ มีมาตั้งแต่ก่อนพุทธกาลจนถึงปัจจุบัน เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ สำหรับชาวพุทธถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของชีวิต โดยเฉพาะพระภิกษุสงฆ์ สามเณร นักบวช นักบุญทั้งหลาย จะขาดข้อวัตร กิจวัตรส่วนนี้ไม่ได้เลย

โดยเฉพาะบทสวดตามวิถีพุทธ โดยมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นองค์ศาสดา ได้กลั่นกรองคำสาธยายที่มีแต่ความเป็นสิริมงคล พร้อมด้วยพลานุภาพแห่งบุญกุศลในทุกถ้อยคำผ่านภาษาบาลี มีอานิสงส์พาชีวิตไปสู่ที่สูง ห่างไกลโรคภัย ป้องกันอุปสรรคอันตราย และสูงสุดคือตัดกิเลสให้ขาดสะบั้น จนมีดวงตาเห็นธรรม


@@@@@@@

บทสวดมนต์อันประเสริฐ

การสวดมนต์ จึงเป็นการทำสมาธิ ระหว่างการสวดมนต์ ใจจะจดจ่ออยู่กับบทสวดนั้นๆ หากเป็นบทสวดมนต์แปลจากภาษาบาลีเป็นไทย ยิ่งทำให้เข้าใจความหมายมากขึ้น ก็จะเข้าใจธรรมะอันลึกซึ้งได้ง่ายขึ้น

บทสวดแต่ละบทจะเรียกว่า พระปริตร แปลว่า เครื่องคุ้มครองอันประเสริฐ ประกอบด้วยบทพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า มีทั้งบทสรรเสริญคุณแห่งพระรัตนตรัย, บทอวยชัยให้พร บางบทนำมาจากพระไตรปิฎก บางบทเป็นบทที่แต่งขึ้นใหม่ในภายหลัง ในแต่ละบท แต่ละบาท ล้วนแล้วแต่มาจากพระโอษฐ์ อันประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณของพระพุทธเจ้า

สวดมนต์เสมือนเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

พระเทพโพธิวิเทศ (ท่านเจ้าคุณวีรยุทธ์ วีรยุทโธ) เจ้าอาวาสวัดไทยพุทธคยา ประเทศอินเดีย กล่าวถึงการสวดมนต์ว่า พลังของการสวดมนต์ในพุทธสังเวชนียสถาน เสมือนเรานั่งอยู่แวดล้อมด้วยองค์พระอรหันต์และเทวดา

   “การนำพระธรรมที่เป็นคำสอนจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้ามาสวด และสาธยายเป็นกิจวัตร ก็ขึ้นชื่อว่าปฏิบัติต่อพระบรมพระศาสดาด้วยการเข้าเฝ้าพระองค์ด้วยทุกประการ ขอท่านทั้งหลายจงสวดมนต์เสมือนหนึ่งเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าทุกวัน”

@@@@@@@

ดร.พระมหาอ้าย ธีรปัญโญ วัดนาคปรก กล่าวถึงอานิสงส์ของการสวดมนต์ในทางธรรมไว้ว่า "ผลประโยชน์ของการสวดมนต์นั้นมีมากมาย แต่สรุปง่ายๆ ตามที่ครูบาอาจารย์บอกตรงกัน ก็คือ
    1. ไล่ความขี้เกียจ
    2. ได้รู้ความหมาย
    3. จิตเป็นสมาธิ
    4. ได้ปัญญา เข้าใจแก่นสาระของธรรม และ
    5. เปรียบเสมือนได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า

    “สำหรับผู้เริ่มต้น ก็ให้เริ่มจากนะโม 3 จบให้ได้ก่อน แล้วค่อยต่อพุทธัง สะระณัง คัจฉามิ แล้วต่อด้วยบทพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ 3 บทนี้ จำให้ติดปาก ไม่ใช่การอ่านมนต์ เพราะถ้าอ่าน มันไม่มีอะไรเคลื่อนไหว สมองก็อยู่ที่เดิม ส่วนสถานที่นั้น สวดมนต์ที่ไหนก็ได้ ขอให้สวดด้วยใจก็พอแล้ว”


@@@@@@@

นายแพทย์วิโรจน์ ตระการวิจิตร ผู้อำนวยการสายงานแพทย์ โรงพยาบาลนครธน ผู้นำเอาธรรมปฏิบัติมาประยุกต์ใช้ในการรักษาผู้ป่วยในช่วงหลายสิบปีที่ผ่านมา เคยเล่าถึงอานิสงส์การสวดมนต์ในทางการแพทย์ว่า

ปัจจุบันมีผลวิจัยออกมามากมายเกี่ยวกับการสวดมนต์ที่มีผลต่อสมองและร่างกาย ในวงการแพทย์ การสวดมนต์ ทำสมาธิ เจริญอานาปานสติ จะได้ผลอยู่ 3 อย่างหลักๆ คือ
    1. เกิดภูมิต้านทานโรค โดยสร้างมาจากเซลล์สมองตัวหนึ่ง
    2. ระบบฮอร์โมน เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในสมองจะสร้างสมดุลให้กับร่างกาย
    3. หัวใจและหลอดเลือด ความดันลดลง เป็นโรคหัวใจลดน้อยลง

    “เพียงแค่สวดมนต์และทำสมาธิ วันละ 12 นาที นาน 8 สัปดาห์ จะมีเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นต่อเซลล์สมองของเราทันที”





สวดมนต์เพื่ออะไร.?

    • สวดเพื่อสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า
      บทสวดบางบทที่ใช้สวดนั้น เช่น บทอิติปิ โส ฯลฯ ภควาติฯ ชาวพุทธในสมัยพุทธกาล ผู้ที่มีจิตเลื่อมใสต่อพระพุทธเจ้านิยมใช้สวดเพื่อสรรเสริญคุณพระพุทธเจ้า

    • สวดเพื่อเป็นต้นทุนเจริญศรัทธา
      การสวดมนต์ก็เพื่อเพิ่มพูน พอกพูน เติมเต็มพลังแห่งศรัทธา ความเชื่อ ความเลื่อมใสที่มีต่อคุณพระรัตนตรัย ที่นับถือเคารพบูชาเป็นสรณะ

    • สวดเพื่อแผ่จิตเมตตา
      บทสวดมนต์แต่ละบทเป็นเสมือนตัวเชื่อมต่อส่งสัญญาณ แปรสภาพให้เป็นพลังงานพิเศษ เหมือนพลังงานทั่วไป ผ่านกระแสเสียงกระแสจิตจากจิตสู่จิต ก่อให้เกิดเป็นบุญเป็นกุศล เป็นความรักความปรารถนาดี ความเมตตาปรานี ความสุข ความปลอดภัยส่งให้ มอบให้ อุทิศให้ แผ่ให้ เพื่อนร่วมโลกร่วมแผ่นดินทั้งมิตรและศัตรู ไม่เลือกชนชั้นวรรณะภาษา ขอให้อยู่ดีมีสุข

    • การสวดมนต์เป็นการทำสมาธิ
      ขณะสวดมนต์ จิตย่อมจดจ่อในบทสวด หรือที่จำไม่ได้ก็ใช้สายตาเพ่งมองตัวหนังสืออ่านบทสวดแต่ละอักขระ แต่ละวรรค แต่ละบท แต่ละตอน จิตในขณะนั้นย่อมรวมตัว ดับความฟุ้งซ่านลง เกิดเป็นสมาธิได้

    • เพื่อฝึกความอดทน
      เวลาที่สวดมนต์ ต้องใช้เวลานานพอสมควร ผู้สวดจึงต้องมีความอดทนอดกลั้นสูง ข่มทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นในขณะสวดไปจนจบ ไม่ใช่เป็นเรื่องธรรมดา การฝืนกาย ฝืนใจ บังคับกาย บังคับใจในขณะนั้น ย่อมทำให้ขันติธรรม

    • เพื่อรักษาพระธรรม
      บทสวดมนต์บางบท เป็นพระพุทธพจน์ที่สำคัญ เช่น บทพระธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นต้น เป็นหลักธรรมสำคัญ ที่จะต้องจดจำให้ได้ เพื่อรักษาไว้ โดยปกติแล้ว บทสวดมนต์แต่ละบท ที่จะนำมาสวดนั้นผู้สวดจะต้องท่องจำให้ได้ขึ้นใจ แล้วนำมาสวดสาธยาย เพื่อเป็นการทบทวนอยู่เป็นประจำ เพื่อกันลืม

    • เพื่อกำจัดบาปอกุศล
      ในการสวดมนต์แต่ละครั้ง ต้องข่มซึ่งนิวรณ์ธรรม มีกามฉันทะ ความติดในสุข พยาบาทความหงุดหงิดไม่พอใจ ความฟุ้งซ่านรำคาญ ความง่วงซึม หดหู่ ความลังเลสงสัย และกำจัดอกุศลธรรมต่างๆ ความโลภ ความโกรธ ความหลง ความเห็นผิด ความถือตัวถือตน ความเกียจคร้านให้เบาบางจางหายหมดไปได้

    • เพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต
      ขณะสวดมนต์ จิตเป็นสมาธิตั้งมั่น ตั้งใจสวด สวดด้วยความสงบ เรียกว่า สมาธิ ขณะสวดจิตน้อมนึกพิจารณาไปตาม เห็นความเป็นจริงของชีวิต

    • สวดมนต์ช่วยเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ
      ตามหลักวิทยาศาสตร์และทางการแพทย์ มีข้อควรสังเกตว่า คนที่ชอบสวดมนต์อยู่เป็นประจำ เวลามีทุกข์ ประสบปัญหาชีวิต มักทุกข์ไม่นานนัก แก้ไข หาทางออกได้รวดเร็ว ต่างจากคนที่ไม่ชอบสวดมนต์ ทุกข์ก็จะทุกข์อยู่นานหาทางออกไม่ได้.






ขอขอบคุณ :-
ข้อมูลบางส่วนจาก : https://www.watphramahajanaka.org/
website : https://www.bangkokbiznews.com/lifestyle/985468
By ป้อมยาม | จุดประกาย | 30 ม.ค. 2022 เวลา 16:00 น.
92  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 13 บทสวดและคาถา | ท่องไว้ ใช้ในชีวิตประจำวัน และโอกาสพิเศษ เมื่อ: มีนาคม 29, 2024, 07:03:23 am
.



13 บทสวดและคาถา | ท่องไว้ ใช้ในชีวิตประจำวัน และโอกาสพิเศษ

ชีวิตบางทีก็ต้องการที่พึ่งทางใจ ไม่รู้จะหันหน้าไปทางไหน สังคมไทยเราก็มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์นี่แหละเป็นที่พึ่ง คนไทยอย่างเรา ยกมือไหว้ซักหน่อย ท่องคาถาสักนิด ยังไงของแบบนี้ก็ขอเชื่อไว้ก่อนแล้วกัน

แม้ว่าเราจะก้าวเข้าสู่โลกสมัยใหม่แล้ว แต่ความเชื่อทั้งหลายก็ยังดำรงอยู่ ไม่ว่าโลกจะทันสมัยและก้าวไกลไปแค่ไหน เรา – มนุษย์ตัวเล็กๆ – ต่างเผชิญชะตาชีวิตไปอย่างยากลำบาก การจะมีอำนาจศักดิ์สิทธิ์ ความเป็นมงคลบางอย่างที่เราสมาทานไว้เพื่อช่วยนำพาเราผ่านความยากลำบากและเหตุการณ์ที่อาจไม่คาดฝันในแต่ละวันไป ไม่แน่ใจว่าพลังเหนือธรรมชาติมีจริงแค่ไหน แต่ด้วยความเชื่อแบบโบราณก็มองว่า คาถา บทสวดอันประกอบด้วยคำ และความอันเป็นมงคล อ้างอิงตกทอดมาจากครั้งโบราณอย่างน้อยก็ทำให้จิตใจสงบ เป็นขวัญและกำลังใจ ช่วยเพิ่มพูนสติพร้อมรับมือกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง

The MATTER ชวนไปสำรวจและรวบรวมคาถาต่างๆ ที่มีจุดหมายเพื่อการเฉพาะ เหมาะกับเหตุการณ์ต่างๆ ในชีวิตประจำวันร่วมสมัย เรามีคาถาที่เหมาะกับมนุษย์เงินเดือน คาถาเจ้านายรัก คาถาสมัครงาน หรือบางวันเดินตามท้องถนนเราก็มีคาถาใช้ป้องกันสุนัข ป้องกันงู เดินทางไกลๆ เราก็มีคาถาป้องกันไฟไหม้ คาถาเพื่อความปลอดภัยเวลาเดินทางทางน้ำ เรื่อยไปจนถึงเรื่องสุขภาพ ครอบคลุมทุกความต้องการและทุกเหตุการณ์ในชีวิต

@@@@@@@

คาถาเจ้านายเมตตา




มนุษย์เงินเดือนฟังทางนี้ ใครรู้สึกไม่มั่นใจว่าเจ้านายโอเคกับเราไหม หรืออยากให้เจ้านายรักต้องบริกรรมคาถาดังกล่าวก่อนออกจากบ้าน ตามตำราบอกว่าให้ภาวนาท่องคาถาข้างต้นสามจบก่อนออกจากบ้านให้คุณเจ้านายเมตตา แต่ในขณะสวดมนต์ก่อนออกจากบ้านก็ถือโอกาสตั้งสติก่อนสตาร์ท ว่าไปทำงานวันนี้จะพูดจาสื่อสารยังไงให้มีประสิทธิภาพ ถ้าบุญยังมี เจ้านายก็น่าจะโอเคตามสภาพการทำงานของเราเนอะ

คาถาสมัครงาน




ทำนองเดียวกันกับคาถาก่อนหน้า เวลาเราจะออกไปสมัครงานเราก็ตื่นเต้นและตื่นกลัว การที่เรามีที่พึ่งสักหน่อย เชื่อโชคลางซักนิดก็ถือว่าไม่ผิด ดังนั้นเชิญสวดบทก่อนหน้า ถือเป็นกุศโลบายเพื่อเพิ่มกำลังใจ รวบรวมสติสมาธิก่อนออกไปสร้างความประทับใจครั้งแรกเพื่อรับเข้าทำงาน

คาถาขับรถ




ตั้งสติก่อนสตาร์ทที่แท้จริง การขับรถเป็นกิจกรรมที่เราทำทุกวัน และเป็นกิจกรรมที่ต้องการสติและความใจเย็น การปริ๊นต์คาถาภาษาบาลีไว้ที่รถก็อาจจะพอช่วยให้จิตใจเราสงบร่มเย็นขึ้น นึกภาพถ้าหงุดหงิดมากๆ เวลามีคนขับรถแย่ๆ อยากจะแซง อยากจะปาด หันไปเห็นคาถาขับรถก็ถือโอกาสบริกรรมให้ใจเย็น ให้มีสติ ขับขี่ปลอดภัยเนอะ แต่ถ้าบริกรรมไปแล้วเสียสมาธิจากพวงมาลัย ก็อย่าดีกว่าเนอะ สวดก่อนขึ้นรถพอ

คาถาใจอ่อน




ทีเด็ดลูกหนี้ หรือใครที่กำลังจะออกไปเจอคนที่อยากให้ใจอ่อน อ่อนใจ ตามตำราบอกว่าคาถานี้ใช้สำหรับท่องก่อนที่เราจะไปต่อรองกับเจ้าหนี้ อานุภาพของคาถาจะช่วยให้อีกฝ่ายใจอ่อน ยอมผ่อนปรนให้เรา แต่เรื่องเงินเรื่องใหญ่ มีหนี้ต้องใช้ ไม่แน่ใจว่าคาถาจะมีพลังมากกว่าเรื่องเงินและผลประโยชน์ได้แค่ไหน

คาถาป้องกันงูและสัตว์ร้าย – ขันธปริตร




ขันธปริตรเป็นส่วนหนึ่งของพระสูตรที่พูดถึงและเป็นการแผ่เมตตาถึงพญางูสี่ตระกูลตามความเชื่อแบบพุทธ ในพระสูตรพูดถึงพระภิกษุรูปหนึ่งที่ถูกงูกัด พระพุทธเจ้าไขว่าที่ถูกกัดเพราะไม่ได้แผ่เมตตาให้พญางูทั้งสี่ตระกูลคือ ตระกูลวิรูปักษ์ ตระกูลเอราปถ ตระกูลฉัพยาบุตร และตระกูลกัณหาโคมดม คาถาที่ใช้แผ่เมตตาก็คือคาถาขันธปริตรนี้ คนไทยจึงเชื่อว่าอานิสงส์ของการสวดคาถานี้ให้ผลเรื่องป้องกันงูและสัตว์ร้าย นิยมสวดขึ้นที่ท่อนอัปปะมาโณเพราะเชื่อว่าถ้าขึ้นแต่ต้นจะทำให้ผีมาอาละวาด แต่ถ้าเกิดเจองูขึ้นมาจริงๆ ก็ถอยให้ห่าง แล้วเรียกผู้เชี่ยวชาญมาจัดการ …ติดต่อศูนย์เอราวัณโทร 1646

คาถากันสุนัข




หมาจรจัดเป็นปัญหาที่เราเจอได้ตลอด เราเดินตามตรอกซอกซอย หรือบางทีอยากจะไปออกกำลัง ไปวิ่งไปขี่จักรยานตามท้องถนน เวลาเจอหมาก็กลัวๆ นอกจากคาถาแล้ว ข้อแนะนำเบื้องต้นของสัตวแพทย์บอกว่าถ้าเจอหมาดุทำท่าจะเล่นงานเรา สิ่งที่ควรทำคืออย่าตกใจ อย่ากระโตกกระตาก อย่าวิ่ง พยายามเบนความสนใจด้วยสิ่งอื่น ถ้าโดนจู่โจมจริงๆ ก็เก็บคองอเข่า ถ้าถูกกัดก็ไปพบแพทย์เพื่อรับวัคซีนต่อไป

คาถาป้องกันไฟ – วัฏฏกปริตร




วัฏฏกปริตร อ้างอิงนิทานชาดกวัฏฏกชาดก ชาดกหมายถึงพระชาติที่บำเพ็ญพรตเป็นพระโพธิสัตว์ มีพระชาติหนึ่งเสวยพระชาติเป็นนกคุ่ม แล้วเจอปัญหาไฟป่าจึงมีการทำพระปริตรเพื่อปกป้องตัวเองจากไฟป่า เนื้อความของคาถาเป็นการอาราธนาคุณของพระพุทธเจ้าในมาปกป้องตัวเองจากไฟป่า ดังนั้นจึงเชื่อว่าคาถานี้เป็นคาถาที่ให้คุณเรื่องการป้องกันไฟ

คาถาต้านคลื่น (พระเจ้าห้ามสมุทร)




ขึ้นรถ ลงเรือก็ต้องไปด้วยความระมัดระวัง บางคนกลัวเรือ เราก็มีคาถาเพื่อการเดินทางทางน้ำ ตามตำราบอกว่าให้สวดสามจบและเสกออกไประหว่างเดินทางเพื่อให้เดินทางอย่างปลอดภัย รอดพ้นจากคลื่นลมมรสุมต่างๆ หลังจากสวดครบสามจบแล้ว ก็มองหาเสื้อชูชีพ ทางออกฉุกเฉิน และตรวจสอบสภาพอากาศไปพร้อมๆ กัน

คาถาต่อสู้




เรามีตำนานเหล่าเสือ มีนักสู้นักรบที่มีการใช้พลังอาคมเข้าร่วมเพื่อปลุกขวัญและกำลังใจ สำหรับใครที่อาจจะต้องเผชิญหนาการต่อยตีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราก็มีคาถาต่อสู้ ใช้ภาวนาตอนที่เผชิญหน้ากับศัตรู ให้รอดพ้นจากภัยอันตราย

คาถาหมัดหนัก




คาถานี้เป็นคาถาเฉพาะ ใช้เพื่อเพิ่มพลังการต่อยของเราให้หมัดเราหนักมากขึ้น คาถานี้ไม่จำกัดว่าต้องเป็นนักมวยแต่อย่างไร แต่ถ้าอยากหมัดหนักก็อาจจะต้องมีการฝึกซ้อมและฝึกฝนกล้ามเนื้อประกอบด้วย

คาถารักษาไข้




เวลาป่วยๆ อยากหายเร็วๆ คาถารักษาไข้เป็นทางเลือกหนึ่ง แต่คาถานี้ระบุว่าเป็นการรักษาร่วม คือใช้ร่วมกับยาที่กินอยู่อาจช่วยฟื้นพลังใจให้หายเร็วขึ้น อย่าดูถูกพลังของจิตใจและพลังของ Placebo effect ใช้ภาวนาเมื่อเวลาที่ไม่สบายกับยาที่ใช้ทานอยู่จะช่วยให้หายป่วย หายเจ็บไข้ ได้เร็วขึ้น

บทสวดสำหรับคุณแม่ให้คลอดลูกง่าย – อังคุลิมาละปะริตตัง




อังคุลิมาละปะริตตัง แปลตรงตัวคือปริตรของพระองคุลิมาล ก็เป็นประวัติของพระองคุลิมาลที่หลังจากกลับใจบวช ขณะที่เป็นภิกษุก็ได้ไปเจอหญิงท้องแก่ที่คลอดลูกไม่ได้ ในพระสูตรพระองคุลิมาลจึงตั้งจิตตามคาถามีเนื้อความอำนวยพรให้หญิงท้องแก่นั้นคลอดได้โดยง่าย มนต์บทนี้จึงเชื่อกันว่ามีคุณด้านเกี่ยวกับการคลอด ป้องกันการแท้งลูก ก็เป็นกำลังใจให้คุณแม่ๆ เนอะ
 
คาถาครอบจักรวาล




คาถาข้างต้นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ถ้ารู้สึกว่าเลือกไม่ถูก คาถาครอบจักรวาล เป็นคาถามงคลรวมครบจบในคาถาเดียว

 




Thank to : https://thematter.co/social/13-pray-for-specific-purpose/38788
Posted On 8 November 2017 , vanat putnark

อ้างอิงข้อมูลจาก :-
- myhora.com
- wikihow.com
- watpamahachai.net
- wattongnai.com
- theasianparent.com
93  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อานิสงส์ในการฟังธรรม และใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรม เมื่อ: มีนาคม 27, 2024, 10:08:48 am
.



อานิสงส์ในการฟังธรรม และใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรม
จาก ผัคคุณสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “อานิสงส์ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร ๖ ประการ คือ

    @@@@@@@

จิตของภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังไม่หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕

    • ในเวลาใกล้ตาย เธอได้เห็นตถาคต ตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๑. ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร

    • ในเวลาใกล้ตาย เธอไม่ได้เห็นตถาคตเลย แต่ได้เห็นสาวกของพระตถาคต สาวกของพระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๒. ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร

    • ในเวลาใกล้ตาย เธอไม่ได้เห็นตถาคต และไม่ได้เห็นสาวกของตถาคตเลย แต่เธอย่อมตรึกตรอง เพ่งด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมา เมื่อเธอตรึกตรองเพ่งด้วยใจ ซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมาอยู่ จิตของเธอย่อมหลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๓. ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร


    @@@@@@@

จิตของมนุษย์ในธรรมวินัยนี้ ได้หลุดพ้นจากสังโยชน์อันเป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ ๕ แต่จิตของเธอยังไม่น้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้

    • ในเวลาใกล้ตาย เธอได้เห็นพระตถาคต พระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๔. ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร

    • ในเวลาใกล้ตาย เธอไม่ได้เห็นพระตถาคต แต่เธอได้เห็นสาวกของพระตถาคต สาวกของพระตถาคตย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๕. ในการฟังธรรมโดยกาลอันควร

    • ในเวลาใกล้ตาย เธอไม่ได้เห็นพระตถาคต และไม่ได้เห็นสาวกของพระตถาคตเลย แต่เธอย่อมตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมา ได้เรียนมาเมื่อเธอตรึกตรองเพ่งด้วยใจซึ่งธรรมตามที่ได้ฟังมาได้เรียนมาอยู่ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานอันเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลส อันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ นี้เป็นอานิสงส์ข้อที่ ๖. ในการใคร่ครวญเนื้อความแห่งธรรมโดยกาลอันควร

    @@@@@@@

    "ตถาคต สาวกของพระตถาคต ย่อมแสดงธรรมอันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์ บริบูรณ์สิ้นเชิงแก่เธอ จิตของเธอย่อมน้อมไปในนิพพานเป็นที่สิ้นไปแห่งอุปธิกิเลสอันหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ เพราะได้ฟังธรรมเทศนานั้น" พุทธพจน์






ขอขอบคุณ :-
ภาพ : https://www.pinterest.ca/pin/631981760239855321/
ที่มา : หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สุคติ สุคโต สำหรับแจกเป็นธรรมานุเคราะห์ จัดทำถวายพระศาสนาโดย
โครงการแสงธรรมแห่งพระไตรปิฎก มูลนิธิอุทยานธรรม ผู้กอปรกิจ และเจ้าภาพทุกท่าน E-Mail : tripitaka@uttayarndham.org
94  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เขม้นมอง “ผ้าขาวม้า” ไทยหรือเทศ.? เมื่อ: มีนาคม 27, 2024, 07:38:34 am
.



เขม้นมอง “ผ้าขาวม้า” ไทยหรือเทศ.?

คําว่า “ผ้าขาวม้า” หรือ “ผ้าขะม้า” มักได้ยินคนไทยส่วนใหญ่อ้างว่าเป็นหนึ่งในอัตลักษณ์ที่สะท้อนถึงความเป็นไทย มีจิตวิญญาณ “ไทยแท้” เสียยิ่งกว่าภาพลักษณ์ของ “ตุ๊กตุ๊ก” และ “สุวรรณเจดีย์” เสียอีก

จนเชื่อกันว่า หากดีไซเนอร์สามารถดึงเอาหัวใจของผ้าขาวม้าออกมาปอกเปลือกแต่งองค์ทรงเครื่องใหม่ให้กิ๊บเก๋ร่วมสมัย ออกแบบให้สาวงามผู้เข้าประกวดเวทีนางงามระดับจักรวาลใส่อย่างเหมาะสม ย่อมทำให้คนทั่วโลกตื่นตะลึง

แถมไม่ต้องได้รับคำวิจารณ์เสียดสีอย่างเสียๆ หายๆ เหมือนอย่างความพยายามที่จะฝืนไปใช้สัญลักษณ์อื่นใด ที่ดูอ่อนไหวบอบบาง อาจไปกระทบกระเทือนเรื่องศาสนา หรือสุนทรียศาสตร์เอาได้

คำถามมีอยู่ว่า ตุ๊กตุ๊กก็ดี สุวรรณเจดีย์ก็ดี รวมทั้งผ้าขาวม้านั้น ตกลงแล้วเป็นวัฒนธรรมเฉพาะเพียงแค่ของสยามประเทศชาติเดียวเท่านั้นเองล่ะหรือ





ใกล้ตัวสุด ผ้าขะม้า แผลงจากผ้าขอขมา

หากมองรากศัพท์ที่มาและความหมายของ “ผ้าขาวม้า” แบบลากให้ใกล้ตัว โยงหาความเป็นไทยมากที่สุด ก็อาจฟันธงไปเลยว่า ผ้าขาวม้า หรือ “ผ้าขะม้า” แผลงมาจาก “ผ้าขอขมา” โดยอิงกับประเพณีของคนดีศรีสยามในช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า คนไทยต้องซื้อหา “ผ้าขะม้า” ไปไหว้ผู้ใหญ่เพื่อ “กราบขอขมา”

ผ้าขมาใช้สำหรับไหว้ผู้ใหญ่ (ชาย) ในการรดน้ำดำหัว และยังใช้เป็นผ้าไหว้ในพิธีแต่งงานกับโอกาสต่างๆ ที่จะ “ขอขมา” ผู้ใหญ่ ด้วยเป็นของหาง่ายและได้ใช้ประจำวัน

แนวคิดนี้ สอดคล้องกับข้อมูลในหนังสือเรื่อง “ผ้าทออีสาน ฉบับเชิดชูเกียรติแม่ครูช่างแถบอีสานใต้” มีการอธิบายผ้าขะม้าในกัมพูชา เว่า “ผ้ากรรมา” เป็นผ้าที่มอบให้ผู้ใหญ่เพื่อขอล้างกรรม ทำให้มีผู้เชื่อต่อว่า “ผ้ากรรมา” คงแผลงเป็น “ผ้ากำมา” เมื่อเข้าสู่ราชสำนักอยุธยา ครั้นพอเข้าสู่สมัยรัตนโกสินทร์จึงกลายเสียงเป็น “ผ้ากำม้า” และค่อยๆ แผลงเป็น “ผ้าขะม้า” หรือ “ผ้าขาวม้า” ในที่สุด

นี่คือทฤษฎีแรก ขนาดที่เชื่อว่าผ้าขะม้าเป็นของไทยแท้แล้วเชียว ก็ไม่วายยังอุตส่าห์ถูกโยงดึงไปเกี่ยวข้องกับกัมพูชาอีกจนได้





อีสาน-ล้านนา-ปักษ์ใต้

เรียกนามตามกรรมต่างวาระ ในเมื่อเปิดประเด็น เสนอมุมมองว่า “ผ้าขะม้า” มีความเกี่ยวข้องกับการ “ขอขมา” ผู้ใหญ่ ดังนั้นมิอาจมองข้าม “ภาษาพื้นถิ่น” ของแต่ละภูมิภาคไปได้เลย ลองหันมาพินิจทีละภาษา บนพื้นฐานของการตั้งสมมติฐานว่า ผ้าขะม้าเกี่ยวข้องกับการไปไหว้สา สมมา สูมาคารวะ ดำหัว ผู้ใหญ่หรือไม่ และกลุ่มชนแต่ละภาคเรียกกันอย่างไร

ทางอีสานเอิ้น “ผ้าอีโป้”

บางพื้นที่เรียก “ผ้าด้าม” หรือ “ผ้าแพรด้าม” เป็นคำเรียกที่เก่ามาก ยังเหลือแถบกาฬสินธุ์ ในชีวิตจริงไม่มีใครเรียก “ผ้าขะมา” หรือ “ผ้าสุมมา” แต่อย่างใด

ฝ่ายล้านนาเรียก “ผ้าต่อง” หรือ “ผ้าหัว” สะท้อนวัฒนธรรมการโพกศีรษะที่พบในชนชาติไท/ไตแทบทุกกลุ่มทั้งหญิงและชาย

อ.ศักดิ์ รัตนชัย ปราชญ์เมืองนครลำปาง วัยย่าง 90 ปี เล่าว่า “ผ้าขะม้าของชาวลำปางในอดีตเป็นผ้าทอแบบมีลายทางเดียว ไม่เป็นตาหมากรุก จึงเชื่อว่า “ผ้าขะม้า” ไม่ใช่วัฒนธรรมดั้งเดิมของล้านนาโบราณ ลายผ้ารูปแบบชุดนักรบล้านนาคราวกอบกู้เมืองลำปางสมัย “หนานทิพย์ช้าง” เมื่อ พ.ศ.2275 เป็นเสื้อสีขาว มีผ้าคาดเอว (แต่ไม่ได้เรียกว่าผ้าขาวม้า) ยุคนั้นลำปางจะเรียกอย่างไรไม่ทราบ แต่ภาษาทางเชียงใหม่เรียกผ้าต่อง

ผ้านุ่งปิดส่วนล่างที่ม้วนถลกขึ้นมาพันขัดง่าม ลอดหว่างขาแบบโจงกระเบน แต่ดึงติ้วกว่าชิดแน่น เหมือนขี่ม้าก้านกล้วย คล้ายถกเขมรโชว์แก้มก้นนั้น เรียกผ้า “เค็ดม่ำ/เฟ็ดม่าม/เก๊นม่าม” แล้วแต่สำเนียงซึ่งเป็นภาษาที่มีอิทธิพลพม่าเข้ามาปะปน แต่ปัจจุบันไม่มีใครนิยมเรียกว่าเค็ดม่ำอีกแล้ว มักเรียกการนุ่งผ้าแบบถกเขมรโดยรวมว่า “ผ้าต้อย/ผ้าต่อง” มากกว่า”

ปักษ์ใต้เรียก “ผ้าชักอาบ” บ้างเรียก “ผ้าชุบ” มาจากวิธีการใช้ชุบน้ำเช็ดหน้าเช็ดตัว

พบว่า ในวัฒนธรรมพื้นถิ่นทั้งสามภาค ไม่มีคำเรียกใดที่ใกล้เคียงกับคำว่า “ผ้าขาวม้า/ผ้าขะมา/ผ้าสมมา/ผ้าสุมา” แต่อย่างใดเลย

อนึ่ง ในวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยศิลปากร เล่มหนึ่ง มีการอธิบายว่า สมัยอยุธยารับอิทธิพลรูปแบบ “ผ้าเคียนหัว” จากสุโขทัยมาใช้ แต่รับชื่อมาจากเขมร แผลงผ้ากรรมา เป็นผ้ากำมา แต่วัตถุประสงค์เริ่มจากพันหัว หากเปิดพจนานุกรมจะมีคำอธิบายว่า ผ้าขะม้า เรียกอีกอย่างได้ว่า “ผ้าเคียนพุง” เป็นอีกคำหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะเป็นภาษาที่อธิบายถึงวิธีการใช้งาน

สรุปว่า “ผ้าขะม้า” สามารถใช้ได้ทั้ง “เคียนพุง” และ “เคียนหัว”

ประโยชน์ของผ้าขะม้ามีมากมาย ในวัฒนธรรมล้านนา ใช้รักษาโรค มีท่ารัดอก ท่าตั้งวงแขน ขา ทำให้ร่างกายได้รับการผ่อนคลาย เรียก “วิถีแห่งผ้าต่อง”

โดยการใช้สอยในอีสานนั้น เป็นผ้าโพกหัว พัดวี อู่นอนลูกหลาน ปัดไล่แมลง เช็ดให้แห้งให้สะอาด เคียนเอว ห่มนั่งห่มนอน เบี่ยงบ้ายในยามอยู่ในพิธีบุญ นุ่งอาบน้ำ ห่อของ เป็นผ้าสารพัดประโยชน์ในวิถีเกษตรกร ส่วนในทางพิธีกรรมนั้น ถือเป็นของสมมา ของฝากของต้อน

ทางปักษ์ใต้ชุมชนลุ่มน้ำปากพนังเรียกว่า “ผ้าขาม้า” มีที่มาจากเวลาชิงเปรต เทศกาลงานบุญเดือนสิบ

แน่นอนว่า ภาษาถิ่น ทั้งอีสาน ล้านนา ปักษ์ใต้ในปัจจุบัน จะเรียก ผ้าขะม้า ว่าอะไรก็ได้ แล้วแต่สะดวก ขึ้นอยู่กับหน้าที่ใช้สอยในแต่ละพื้นถิ่น แต่ในเมื่อ “ผ้าขะม้า” เป็นของกลาง มิใช่ของภาคใดภาคหนึ่ง จึงควรช่วยกันสืบค้นว่า “ผ้าขะม้า” มีที่มาอย่างไรกันแน่





มอญม่านมลายู พี่น้องอุษาคเนย์

ภาษามอญเรียก “ผ้าขะม้า” ว่าอย่างไร อาจจะช่วยเป็นเครื่องมือในการคลำทางด้านนิรุกติศาสตร์มากยิ่งขึ้น อ.องค์ บรรจุน ผู้เชี่ยวชาญภาษามอญ บอกรียกว่า “ยาดกะบอย” ภาษามอญค่อนข้างห่างไกลผิดกับภาษาเขมร ที่เรียก ผ้ากรรมา แต่ในวัฒนธรรมมอญ กลับมีการใช้ผ้าขะม้าอย่างน่าสนใจ

โดยเฉพาะคำพูดที่ได้ยินจนชินหูว่า “นุ่งผ้าตาหมากรุกของรามัญฯ” แสดงให้เห็นว่า ผ้านุ่งชายมอญจะทอเป็นลายตาราง ซึ่งยังคงใช้มาจนถึงทุกวันนี้ ต่างกันที่มอญในไทย ใช้ลายตารางตาใหญ่คล้ายกับลายผ้าขะม้าในหลายวัฒนธรรมในไทย แต่มอญในพม่า ใช้โสร่งแดงลายตารางตาเล็ก ซึ่งเป็นการสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาใหม่หลังจากถูกวัฒนธรรมพม่ากลืนไป (อ้างอิงจากข้อมูล ของ อ.องค์ บรรจุน)

ปกติ ชายชาวมอญในไทยจะใช้ผ้าขะม้าในโอกาสต่างๆ กัน อาทิ
เข้าวัด – ใช้นุ่งเฉวียงบ่า เป็นผ้าสไบ อาจใช้เป็นผ้าปูกราบด้วย
งานพิธีที่เป็นทางการ – พับให้แคบ พับครึ่ง แล้วพาดบ่า โดยให้ชายผ้าอยู่ข้างหลัง
งานรื่นเริง – คล้องบ่า ห้อยไหล่ โดยให้ชายสองข้างห้อยอยู่ด้านหลัง เป็นสองชาย
ทำงานใช้แรง – มัดเอว

เมื่อเปรียบเทียบดูกับวัฒนธรรมไท/ไต และชาติพันธุ์อื่นในอุษาคเนย์ พบว่าผ้าขาวม้าปรากฏอยู่ทั่วไป เป็นผ้าอเนกประสงค์ ใช้ได้สารพัดประโยชน์ คำเรียกจึงมีหลากหลายตามหน้าที่ใชสอย รูปแบบก็แยกย่อย

ทว่า สิ่งหนึ่งที่ยังคงอยู่ไม่เคยเปลี่ยนคือ ลายตารางหมากรุก หรือศัพท์ผ้าทอเรียก “ตาโก้ง/ตาแสง” คำว่า “ผ้าลายตาโก้ง” ไม่เกี่ยวข้องกับชื่อ “เมืองตะโก้ง” ในพม่า แต่อย่างใด แต่เป็นคำไทย หมายถึงผ้าลายตาๆ ส่วนโก้งก็คือลายด่าง เช่น พูดว่า “เสื้อโก้งเสื้อลาย” คำว่า “ตาแสง” ก็ใช้เรียกลวดลายตาสี่เหลี่ยม เช่น “รั้วตาแสง” คือรั้วไม้ไผ่ลายตาราง

มีผู้เชี่ยวชาญภาษาชวาเสนอว่า ในภาษาอินโด มีคำว่า Garis-การีส แปลว่า ขูด ขีด เขียน (คล้ายคำว่า กา) กับอีกคำ Mata-มาตา แปลว่าดวงตา รวมสองคำเป็น Garismata ก็คือ การขีดเขียนตาสมัยนี้ หรืออีกนัยคือการขีดตารางก็ว่าได้

คำว่า Garis ยังแตกหน่อออกไปเป็น Keris-เคอริส หรือกริชในภาษาไทย มีคมสองด้านยาวเรียวแหลม และปลอกหรือซองใส่กริชเรียก Sarung-ซารุง ซึ่งยังใช้ในความหมายของซารุงหรือผ้าโสร่ง ผ้าตารางหมากรุก ในแบบเดียวกับผ้าขะม้า ที่น่าจะหดสั้นจากคำยาว “การีสมาตา” เป็น “กามา”



ฮากามะ


“ผ้าก่าม่า” “ฮากามะ” ของญี่ปุ่น

อีกทฤษฎีหนึ่ง มีโอกาสไปฟังการบรรยายของ อ.จิราภรณ์ อรัณยะนาค อดีตผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์โบราณวัตถุของกรมศิลปากร จัดโดย “มิวเซียมสยาม” ท่านบอกว่า พบผ้าขาวม้าผืนเก่าแก่มากในประเทศญี่ปุ่น ทำเป็นตารางหมากรุกเหมือนของเรา มีอายุร่วมสมัยกับกรุงศรีอยุธยา ญี่ปุ่นเรียกผ้านั้นว่า “ผ้าก่าม่า”

ผ้าก่าม่ามีลักษณะการนุ่งร่วมกับ “ฮากามะ” (Hakama) ที่เป็นกางเกงขายาวอัดพลีทบานคล้ายกระโปรง ส่วนผ้านุ่งพันแบบกางเกงชั้นใน คล้ายนุ่งเค็ดม่ำของคนล้านนา/พม่าและถกเขมร เปิดแก้มก้นคล้ายนักมวยปล้ำซูโม่นุ่งกัน เรียกว่า ฟุนโดชิ (Fundoshi)

น่าสนใจยิ่งนัก เนื่องจากญี่ปุ่นมีความสัมพันธ์กับสยามมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว ตกลงใคร “รับ” หรือ “ส่ง” อิทธิพลผ้าขะม้าให้ใครกันแน่ ญี่ปุ่นรับ “ผ้าก่าม่า” จากอยุธยา หรืออยุธยารับ “ผ้าขะม้า” จากญี่ปุ่น

ผู้รู้บางท่านบอกว่า ญี่ปุ่นรับอิทธิพลวัฒนธรรมจากอยุธยาไปมากโดยผ่านทางริวกิว (หรือโอกินาว่า อดีตเป็นประเทศหนึ่ง) ตัวอย่างที่ชัดคือ เหล้าสาเก เพราะแต่เดิมในญี่ปุ่นมีแต่เหล้าทำจากมันฝรั่ง

@@@@@@@
 
หรือจะจบลงด้วยทฤษฎีเปอร์เซียน

ในภาษาเปอร์เซียน หรืออิหร่าน มีคำว่า “คะมัร” ซึ่งแปลว่า “เอว” ส่วน ผ้าคะมัร=ผ้าคาดเอว ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาเปอร์เซียนจึงเชื่อว่า ขาวม้า/ขะม้า มาจากคำว่า คะมัร ในภาษาเปอร์เซียน

ยังมีคำภาษาไทยอีกมากที่มีที่มาจากเปอร์เซีย อาทิ
ฉัตร : (ชัทร)
กะหล่ำ : (คะลัม)
หลาบ : (โกลอบ) ฯลฯ

อาจเป็นไปได้ว่า คะมัร ของเปอร์เซียอาจเป็นรากศัพท์ “ตัวแม่” ที่ส่งอิทธิพลทางภาษาให้แก่ กามัร กรรมา การีสมาตา ก่าม่า เค็ดม่ำ ขมา ขาม้า ขาวม้า ให้แก่ประชาคมเอเชียนานาชาติพันธุ์ที่เข้ามาปะทะสังสรรค์กันแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยาโน้นแล้ว

ที่มาและรากศัพท์ของ “ผ้าขะม้า-ผ้าขาวม้า” คงต้องสืบค้นกันต่อไป ฟังดูเหมือนง่าย แต่กลับไม่ง่ายเหมือนที่คิด เพราะพอสืบสาวเอาเข้าจริงๆ แล้วมีข้อมูลทะลักมหาศาล มึนหัวพอสมควร

การสืบค้นเรื่อง “ผ้าขะม้าของคนเอเชีย” ไม่ได้ง่ายดาย เหมือนการได้มาซึ่งภรรยาหลายคน ของอดีตนายกรัฐมนตรีไทยผู้หนึ่งซึ่งมีฉายาว่า “จอมพลผ้าขะม้าแดง”






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 มิถุนายน 2559
คอลัมน์ : ปริศนาโบราณคดี
ผู้เขียน : เพ็ญสุภา สุขคตะ
เผยแพร่ : วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ.2567
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_5028
95  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 5 สิ่ง “เขมร-ไทย” ในประเด็นตามหา เมื่อ: มีนาคม 27, 2024, 07:14:43 am
.



5 สิ่ง “เขมร-ไทย” ในประเด็นตามหา

หลังทวงคืนปราสาทเขาพระวิหารกับศาลโลกเมื่อ 6 ทศวรรษก่อน ตอกย้ำความสำเร็จบนเวทีนานาชาติ ตอกย้ำความสำเร็จแต่ครั้งประเดิมคืนเอกราชจากฝรั่งเศสแล้วอย่างยิ่งยวดโดยมิโอ้อวดประวัติศาสตร์เลยนั้น เป็นความจริงทีเดียวสมัยสีหนุราช

แต่แล้วความภาคภูมิใจทั้งหมดก็ถูดลดเลือนโดยระบอบเขมรแดงและสงครามกลางเมือง ที่สุดจะเยียวยาจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ กลับสู่ยุคใหม่ทั้งหมดฟื้นฟูระบอบกษัตริย์และการปกครองในปี พ.ศ.2536 แต่ความขัดแย้งก็ยังไม่สิ้น จนปี 2546 เมื่อสมเด็จฯ ฮุน เซน ชนะเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาลแต่เพียงพรรคเดียว

ก่อนหน้านั้นเขาหลงทางไปกับนโยบายโยนบาปตามแนวพรมแดนเพื่อแสวงหาวิถีรักชาติจากประชาชนกัมพูชา และพบว่ามันไม่อาจยั่งยืน แต่นั้นมาเขาก็หันไปหาความสำเร็จแนวใหม่ นั่นคือแนวรบทางวัฒนธรรม และช่างบังเอิญว่า เมื่อกัมพูชากลับมาสู่ความสงบเรียบร้อยของความเป็นประเทศแล้ว ความถวิลหาวัฒนธรรมแห่งอดีตที่ยิ่งใหญ่ก็ตามมา โดยเฉพาะระหว่างปี 2513-2518 ที่ทำให้ขนบจารีตเขมรหลายอย่างได้บัดบ่งสูญหาย และช่างบังเอิญกระไร ที่ประดาเรื่องทั้งหมดดูจะมีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับไทย จนคล้ายเป็นเรื่องเดียวกัน

@@@@@@@

1. ระบำราชสำนัก : ละครรำสยาม

ไม่มีใครสนใจว่า จุดเริ่มต้นของต้นทุนวัฒนธรรมที่คนทั้งโลกจะรำลึกถึงกัมพูชานี้มาจากที่ใด

สำหรับระบำราชสำนักกัมพูชา ที่เดิมทีนักวิจัยฝรั่งเศสลงความเห็นว่า ราชสำนักกัมโพชรับมาจากสยาม และถูกบันทึกความสำคัญอย่างยิ่งยวดคราวที่พระบาทสีโสวัฒถิ์ (2447-2470) นำไปแสดงในฝรั่งเศส

คราบไคลในความเป็นสยามของนาฏศิลป์แขนงนี้ก็ดูจะหายไป และพัฒนาต่อยอดในแบบฉบับระบำอัปสราในอีก 2 รัชกาลถัดมา นี่คือสิ่งที่ทำให้ระบำราชสำนักของกัมพูชาโดดเด่นไปด้วยอัตลักษณ์เฉพาะตน จนยูเนสโก-องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกตั้งแต่ปี 2553 และนับแต่นั้นมา ระบำราชสำนักกัมพูชาก็กลายเป็นโมเดลแห่งความสำเร็จทางวัฒนธรรม


@@@@@@@

2. โขลเรียมเกร์ : โขนรามเกียรติ์

จุดบ่งชี้ที่เริ่มทำให้เห็นว่า ความสำเร็จจากชัยชนะในระบำเขมรอาจเป็นเรื่องง่ายเกินไปเพราะอยู่ในยุคที่ไร้คู่ต่อกร แต่สำหรับละครโขนรามเกียรติ์หรือละครโขลเรียมเกร์เขมรนั้นไม่ใช่ นี่คือจุดเริ่มต้นของการตามหาสิ่งที่สูญหายทั้งภายในประเทศเองและระดับนานาชาติ รวมทั้งความหมายของประเด็นชนชั้นล่าง-รวมทั้งศิลปินพื้นบ้านซึ่งเป็นผู้ก่อการการแสดงโขลในรูปแบบนานามาแต่ต้น

ก่อนหน้านั้น วัฒนธรรมโขลถือเป็นการแสดงชั้นสูงและถูกกีดกันจากราชสำนักผู้ปกครอง ทำให้โขลเขมรถูกจำกัด และแทบไม่มีตัวตนเชิงสาธารณะนอกจากบทร้องเรียมเกร์ของศิลปินพื้นบ้าน ที่พบก่อนปี พ.ศ.2518 โดยนักวิชาการฝรั่งเศส และยุคเขมรสาธารณรัฐหลังโค่นล้มกษัตริย์ไปแล้ว หลักฐานหลงเหลือของบทร้องเรียมเกร์โดยศิลปินพื้นบ้านคนสุดท้ายเพิ่งจะค้นพบเมื่อไม่นานนี้ คือบทร้องเรียมเกร์ของตาครุด

แต่อาจจะด้วยการถูกกดทับแสนนานหรือไม่ที่ทำให้เรียมเกร์เขมรมีลักษณะการเติบโตที่แตกต่างจากพื้นบ้านและการกลับมารื้อฟื้นอีกครั้งก็เกิดขึ้นโดยศิลปินท้องถิ่น โดยเฉพาะในลักษณะของความเป็นวัฒนธรรมจากฐานรากของชุมชนอย่างเป็นองค์รวม

ยูเนสโกขึ้นทะเบียนโขลเรียมเกร์ว่าเป็นมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอันจับต้องไม่ได้ สาขาอนุรักษ์/เสี่ยงการสูญหาย และขึ้นทะเบียนโขนไทยไว้ในสาขาเอกลักษณ์ชาติ แต่ประเด็นวิวาทะก็ยังเป็นดราม่า อันเกิดจากวัฒนธรรมร่วมสมัยแต่ไม่ร่วมชาติในบางครั้ง

@@@@@@@

3. มวยไทย : กบัจคุน

กบัจคุนเป็นชื่อเดียวกับ “มวยไทย” ตามที่ชาวเขมรเรียก ก่อนหน้านั้นจากหลักฐานบุน จันมุล (บุนจันทร์ มุล) ที่ขณะนั้นชาวเขมรโดยรวมเรียกขานตัวเองว่ากัมปูเจีย นักเขียนและนักต่อสู้แนวทางซึง งอกทันห์ ท่านนี้ยอมรับศิลปะมวยไทยแต่ไหนแต่ไร และเคยไปดู “ประฎาล” ศิลปะการต่อสู้ด้วยมือเปล่าระหว่างไทยกับเขมรราวครั้งหนึ่งที่พระตะบอง จันมุลเห็นว่ามีความสูสีกันมากและไทยขณะนั้นดูจะมีชั้นเชิงและชื่อเสียงมากกว่าเขมรนิดหน่อย โดยเฉพาะด้านเทคนิค

บุน จันมุล ลาโลกไปราว 30 ปี ประฎาลที่เขารู้จักก็ถูกยกระดับให้เป็น “กบัจคุน” กบัจคุนโบราณ คุนเขมร โบกะตอ หรือชื่ออะไรต่างๆ ดังที่รัฐกัมพูชาพยายามผลักดัน และแม้ชาวเขมรทั่วไปก็ยังติดปากเรียกประฎาล

แน่นอน วัฒนธรรมกีฬาสำหรับกัมพูชาแล้ว มิใช่แต่ความสนุก บันเทิงหรือท่องเที่ยว แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเมืองและความมั่นคงที่จำเป็นต้องปลุกเร้าให้เกิดอัตลักษณ์แห่งความเป็นชนชาติอีกด้วย เพียงแต่ว่า ตอนที่เห็นคุณค่าเช่นนั้น กัมพูชาอยู่ในช่วงอันมืดมน และใครจะไปรู้ล่ะว่า ศิลปะการต่อสู้แขนงนี้นับวันจะกลายเป็นอัตลักษณ์แห่งความเป็นชาติและอนาคต ตลอดจนมิติความเป็นสากลที่นับวันจะมีมูลค่ามหาศาล!

และเหตุนั้น กบัจคุนจึงเป็นเหมือนคู่ต่อกรตลอดกาล ตราบใดก็ตามที่ประเด็นมวยไทยถูกกล่าวขานบนเวทีนานาชาติ และความสำเร็จของมวยไทยที่ชาวโลกขานรับอย่างมากมาย แต่ตราบใดที่คำว่า “มวยไทย” ยังไม่สามารถพิสูจน์ว่าเป็น “อัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมเฉพาะตน” ไปได้ ความหมายของคำว่ามวยไทยบนเวทีนานาชาติก็ไม่อาจสง่างาม สำหรับเวทีกลางแห่งสากล

ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเดียวกันที่ว่า ทั้งโขลเรียมเกร์และระบำเขมรโบราณ ต่างเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจสำหรับไทยอย่างเห็นได้ เช่นเดียวกับกบัจคุนกับมวยไทย และความพยายามยกระดับกบัจคุนเทียบเท่ากับศิลปะการต่อสู้ที่รุ่งเรืองสมัยพระนคร-นครธมยังคงดำเนินไป เช่นเดียวกับกองทัพกัมพูชาที่บรรจุให้ศิลปะแขนงนี้เป็นนโยบายเอกแห่งการฝึกซ้อมและธำรงวินัย


@@@@@@@

4. พระแก้วมรกต : พระแก้วมรกต

มานานระยะหนึ่งแล้วที่หลักฐานเถรวาทกัมพูชาอ้างถึงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือพระแก้วมรกต ว่าเป็นรัตนสมบัติ หรือ “ปฏิกภรณ์” ของฝ่ายตนนั้น

นับไปก่อนหน้า แต่ครั้งฝรั่งเศสสร้างพระราชวังจตุรมงคลและปราสาทพระที่นั่งเทวาวินิจฉัยถวายแก่กษัตริย์นโรดม (2403-2447) ตามพระองค์ร้องขอ ซึ่งแทบจะจำลองเอาพระที่นั่งอัมรินทร์วินิจฉัยไปไว้ที่กรุงพนมเปญเสียทั้งหมด รวมทั้งวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มองความสัมพันธ์ชาวเขมรต่อพระแก้วมรกตที่ออกจะคลุมเครือนั้น

แต่ให้สงสัยว่า เหตุใดกษัตริย์เขมรจึงเจตนาสร้างพระรัตนารามเพื่อประดิษฐานพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรไว้ ณ เขตพระราชฐานด้วยฉะนี้.? แม้โดยที่จริงแล้ว ราชสำนักกัมโพชเวลานั้น(และจนบัดนี้) ไม่เคยมีหรือครอบครองพระแก้วมรกตแต่อย่างใด.? และใช่แต่พระแก้วมรกตเท่านั้นที่นักวิชาการเขมรบางฝ่ายทวงถาม แต่ยังรวมถึง 1 ใน 5 ของเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของไทย

@@@@@@@

5. พระขรรค์กัมโพช : พระขรรค์แสงชัยศรี

เล่ากันว่า พระขรรค์แสงชัยศรีในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกรัชกาลที่ 10 ซึ่งกล่าวกันว่าเป็นพระขรรค์เก่าแก่ยุคขอมโบราณสมัยรัชกาลพระบาทชัยวรมันที่ 7 เลยทีเดียว ตกทอดมาถึงไทย จากที่ชาวประมงเขมรงมพบได้ในบารายและนำไปถวายเจ้าเมืองเสียมเรียบ และถูกนำไปถวายแด่กษัตริย์ไทยในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ กระทั่งพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อ 5 พฤษภาคมของปีกลาย

ทันใดนั้น ความพยายามจะกล่าวถึงพระขรรค์ของเขมรได้เกิดขึ้นอีกครั้งในหมู่ชาวเขมรบางกลุ่มและเงียบหายไปเหมือนคลื่นกระทบฝั่ง เป็นที่ทราบว่า การสืบสันตติวงศ์แห่งระบอบกษัตริย์และสิ่งอันบ่งบอกถึงราชประเพณีได้ถูกระบอบเขมรแดงทำลายไปจนสิ้น

สำหรับเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์และพระขรรค์ประจำราชวงศ์ และพระบาทนโรดม สุระมฤทธิ์ คือองค์สุดท้ายที่ได้ทำพิธีดังกล่าวอย่างเต็มพระยศ เมื่อ 6 มีนาคม พ.ศ.2499 เช่นเดียวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก วันที่ 29 ตุลาคม 2547 โดยกษัตริย์เขมรองค์ปัจจุบัน คือพระบาทนโรดม สีหมุนี ที่เรียบง่าย ปราศจากพระขรรค์ เครื่องราชกกุธภัณฑ์และอำนาจใดๆ






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 กรกฎาคม 2563
คอลัมน์ : อัญเจียแขฺมร์
ผู้เขียน : อภิญญา ตะวันออก
เผยแพร่ : วันอังคารที่ 19 มีนาคม พ.ศ.2567
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_323091
96  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ตะลึง เปิดกุฏิหลวงปู่อำคา เกจิดังเมืองอุบลฯ พบเงินสดร่วม 10 ล้าน เร่งหาพินัยกรรม เมื่อ: มีนาคม 27, 2024, 06:51:34 am
.



ตะลึง.!! เปิดกุฏิหลวงปู่อำคา เกจิดังเมืองอุบลฯ พบเงินสดร่วม 10 ล้าน เร่งหาพินัยกรรม

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่วัดบ้านตำแย ตำบลไร่น้อย อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี คณะกรรมการวัด และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอุบลราชธานี ร่วมกันเปิดกรุกุฏิหลวงปู่อำคา อินทรสาโร หรือพระครูอินทรสารโสภณ เจ้าอาวาสวัดบ้านตำแย เพื่อตรวจสอบทรัพย์สิน หลังเจ้าอาวาสมรณภาพ เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

โดยมีตำรวจ ลูกศิษย์และชาวบ้านร่วมเป็นสักขีพยาน ปรากฏว่าทุกคนต้องตะลึง เมื่อพบเงินสด ทั้งแบงก์เก่า-ใหม่และเงินเหรียญ เกือบ 10 ล้านบาท หลังตรวจนับทรัพย์สินทั้งหมด ได้ส่งมอบให้เจ้าคณะตำบล และคณะกรรมการวัดที่รับผิดชอบ นำมาคัดแยก




ด้านสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดอุบลราชธานี ระบุว่าต้องตรวจสอบว่าเงินทั้งหมดพระครูอินทสารโสภณ เจ้าอาวาสวัดที่มรณภาพได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรหรือเขียนเป็นพินัยกรรมไว้หรือไม่ ถ้ามีพินัยกรรมก็ต้องให้ระบุตามพินัยกรรมของท่าน ถ้าในกรณีที่ท่านไม่ได้ระบุเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ทรัพย์สินที่เจอหลังจากที่มรณภาพก็จะตกเป็นของวัดที่สังกัดอยู่เป็นวัดสุดท้าย ก่อนที่ท่านจะมรณภาพ ทั้งนี้ เพื่อนำเงินมาบูรณะปฏิสังขรณ์วัดต่อไป



นางบุญฮู้ จันทร์กอง อายุ 71 ปี เปิดเผยว่า คณะกรรมการวัดตรวจสอบภายในกุฏิเจ้าอาวาสพบเงินสดแบงก์เก่า-ใหม่และเงินเหรียญ เกือบ 10 ล้านบาทเก็บไว้ในกระติกน้ำ ในกล่องพลาสติก ในถังน้ำ เก็บเงินวันแรกได้ประมาณ 6-7 ล้านบาท ต่อมาค้นภายในกุฏิก็พบอีกเป็นเงินเหรียญ ก็มีรวมแล้วประมาณ 10 ล้านบาท เงินทั้งหมดเจ้าอาวาสไม่ได้สั่งเสียไว้





ทั้งนี้ หลวงปู่อำคา อินทรสาโร หรือพระครูอินทรสารโสภณ เจ้าอาวาสวัดบ้านตำแย ตำบลไร่น้อย อำเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี ได้ละสังขารอย่างสงบที่โรงพยาบาล ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ จังหวัดอุบลราชธานี สิริอายุ 91 ปี 70 พรรษา หลวงปู่อำคา เป็นทายาทธรรมหลวงปู่บุญมี โชติปาโล




ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/region/news_4493130
วันที่ 26 มีนาคม 2567 - 13:40 น.   
97  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไขปริศนาเช็งเม้ง “สีตัวอักษรที่ฮวงซุ้ย” หมายความว่าอะไร.!? เมื่อ: มีนาคม 27, 2024, 06:38:52 am
.



ไขปริศนาเช็งเม้ง “สีตัวอักษรที่ฮวงซุ้ย” หมายความว่าอะไร.!?

เคยสังเกตไหมว่า สีตัวอักษรที่จารึกไว้ที่ฮวงซุ้ย มีทั้งสีแดง สีเขียว และบางครั้งเป็นสีทอง สีเหล่านี้หมายความว่าอะไรกันนะ

ในประเทศไทย วันเช็งเม้ง 2567 ตรงกับวันที่ 5 เมษายน จะเป็นช่วงที่มีการเดินทางไปไหว้บรรพบุรุษ ซึ่งจริง ๆ แล้วจะกำหนดไว้ที่ประมาณ 7 วัน คือตั้งแต่วันที่ 2 - 8 เมษายนของทุกปี แต่หลายครอบครัวก็เริ่มเดินทางไปไหว้บรรพบุรุษกันตั้งแต่เดือนมีนาคมแล้ว

และหากเราสังเกตที่ฮวงซุ้ย ก็จะมีตัวอักษรจีนสลักอยู่บนแผ่นหินที่ฮวงซุ้ย เรียกว่า 石碑 “เจียะปี” โดยตัวอักษรเหล่านั้น มีความหมายอยู่มากมาย รวมถึงความหมายของการใช้สีตัวอักษรด้วย



ความหมายของตัวอักษรจีนบนฮวงซุ้ย


ตัวอักษรจีนบนฮวงซุ้ย (เจียะปี) คืออะไร.?

ลูกหลานส่วนมากได้เห็นตัวอักษรจีนเหล่านี้ ก็อาจจะต้องสงสัยว่าตัวอักษรจีนมากมายขนาดนี้ แปลความหมายออกมาว่าอย่างไร วันนี้มาไขข้อสงสัยกัน

    • ตัวอักษรบนสุด ที่เขียนว่า 祖 หมายถึง บรรพชน บรรพบุรุษ
    • ตัวอักษรแถวริมขวาสุด (แถวสุดท้าย) จะเป็นการระบุที่อยู่ ภูมิลำเนาเดิมที่ประเทศจีน
    • ตัวอักษรแถวริมซ้ายสุด (แถวแรก) จะเป็นวัน เดือน ปี ที่สร้างฮวงซุ้ยนี้ขึ้น
    • ตัวอักษรแถวขวา (แถวที่สาม) เขียนว่า 考 เป็นสรรพนามคำขึ้นต้นชื่อของฝ่ายชายที่นอนอยู่ในฮวงซุ้ย แล้วตามด้วยชื่อ
    • ตัวอักษรแถวซ้าย (แถวที่สอง) เขียนว่า 妣 เป็นสรรพนามคำขึ้นต้นของฝ่ายหญิง แล้วตามด้วยชื่อ

เหตุผลที่มีทั้งชื่อฝ่ายชาย และฝ่ายหญิงอยู่ในฮวงซุ้ยเดียวกันนั้น เพราะคนจีนนิยมซื้อฮวงซุ้ยคู่

    • หลังจากสรรพนาม ชื่อ แล้วจึงตามด้วยแซ่ (นามสกุล)
    • ส่วนบรรทัดสุดท้ายของทั้งแถวขวา และซ้าย คือการแยก นาย และนาง นั่นเอง

แต่สิ่งที่ไม่สังเกตเห็นไม่ได้เลย คือทำไมต้องมีทั้งตัวอักษรสีแดง และสีเขียว.!?


@@@@@@@

สีตัวอักษรบนฮวงซุ้ย (เจียะปี) หมายถึงอะไร.?

แท้จริงแล้ว ตัวอักษรแต่ละสี บ่งบอกถึงการเสียชีวิต และการมีชีวิตอยู่ นั่นคือ

        • สีแดง หมายถึง ยังมีชีวิตอยู่
        • สีเขียว หมายถึง เสียชีวิตแล้ว

คนจีนมักสร้างฮวงซุ้ยไว้ล่วงหน้า จะมีการสลักชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว แต่มักจะใช้สีแดงไว้ก่อน หากมีการเสียชีวิต ก็จะมาเขียนทับด้วยสีเขียวนั่นเอง

แต่ในปัจจุบัน ก็มีการใช้สีทองล้วนมากขึ้น ไม่ว่าจะเสียชีวิตแล้วหรือยังมีชีวิตอยู่ก็ตาม

 




Thank to : https://www.pptvhd36.com/news/ไลฟ์สไตล์/220299
โดย PPTV Online | เผยแพร่ 26 มี.ค. 2567 ,15:12น.
ขอบคุณข้อมูล : ศูนย์ภาษาจีนฟิวเจอร์ซี, กินอยู่เป็น
98  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พิธีเปลี่ยนผ้าไตรจีวร สรีระสังขาร "หลวงพ่อจันทร์" พระเกจิดัง ร่างไม่เน่าเปื่อย เมื่อ: มีนาคม 27, 2024, 06:30:37 am
.



พิธีเปลี่ยนผ้าไตรจีวร สรีระสังขาร "หลวงพ่อจันทร์" พระเกจิดัง ร่างไม่เน่าเปื่อย

ศิษยานุศิษย์ แห่ร่วมพิธีเปลี่ยนผ้าไตรจีวร "หลวงพ่อจันทร์" พระเกจิร่างไม่เน่าเปื่อย ฮือฮา เห็นคล้ายตัวเลขที่ใบหน้าของท่าน

วันที่ 25 มี.ค.2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ วัดวังเวิน ต.หล่มเก่า อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ คณะศิษยานุศิษย์ได้จัดพิธีทำบุญสวดทักษิณาเปลี่ยนผ้าไตรจีวรอุทิศถวายแด่ พระครูพัชรกิตติญาณ หรือ หลวงพ่อจันทร์ กิตติญาโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดวังเวิน ต.หล่มเก่า อ.หล่มเก่า จ.เพชรบูรณ์ เนื่องในวันครบรอบ 11 ปี วันมรณภาพ




พิธีเริ่มในเวลา 12.09 น. พระสงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์ได้ร่วมประกอบพิธีขอขมาต่อดวงวิญญาณหลวงพ่อจันทร์กิตติญาโณ เสร็จแล้วได้นำร่างที่ไม่เน่าเปื่อยของหลวงพ่อออกมาด้านนอกโลงแก้ว พร้อมทั้งให้คณะศิษย์ได้กราบสักการะอย่างใกล้ชิด จากนั้นได้ประกอบพิธีเปลี่ยนผ้าไตรจีวรของหลวงพ่อ และได้นำร่างของท่านบรรจุไว้ในโลงแก้วเช่นเดิม



ประวัติ พระครูพัชรกิตติญาณ หรือ หลวงพ่อจันทร์ กิตติญาโณ ท่านเป็นศิษย์ หลวงพ่อทบ เกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงของชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ ท่านได้ชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งความเมตตา เมื่อครั้งยังไม่มรณภาพท่านชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยากเป็นที่พึ่งทางใจของชาวบ้านทั้งในยามเจ็บป่วยและในยามที่เดือดเนื้อร้อนใจก็จะมาให้ท่านประพรมน้ำมนต์ให้

หลวงพ่อจันทร์ กิตติญาโณ เกิดวันที่ 2 มิถุนายน 2467 และได้มรณภาพวันที่ 25 มี.ค.2556 ตรงกับวันจันทร์ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 3 ปีมะโรง เวลา 18.00 น. รวมสิริอายุ 89 ปี 68 พรรษาแต่ร่างไม่เน่าเปื่อย ผิวหนังยังคงมีสีเหลืองคล้ายคนปกติทั่วไป คณะศิษย์จึงได้บรรจุร่างของท่านไว้ในโลงแก้วเพื่อให้ผู้มีจิตศรัทธาได้กราบสักการะบูชา




ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในขณะที่นำร่างของท่านออกมาจากโลงแก้ว และให้ผู้ร่วมพิธีได้กราบสักการะอย่างใกล้ชิด ได้มีผู้สังเกตเห็นคล้ายตัวเลข 135 ที่ใบหน้าของท่าน ต่างก็บอกต่อๆ กันไปเพื่อที่จะเป็นแนวทางในการเสี่ยงโชค งวดวันที่1 เมษายน 2567

 



Thank to : https://www.amarintv.com/news/detail/211654
26 มี.ค. 67
99  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เรียนธรรมให้เข้าใจก่อน หรือเอากิเลสออกก่อน เมื่อ: มีนาคม 24, 2024, 07:31:18 am
.



เรียนธรรมให้เข้าใจก่อน หรือเอากิเลสออกก่อน
โดย อาจารย์ไชย ณ พล

Q ถาม : ท่านอาจารย์ครับ ระหว่างเรียนธรรมให้เข้าใจก่อน กับเอากิเลสออกก่อน เราควรโฟกัสอะไรก่อนครับ

A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ :-

1st เอากิเลสออกก่อน เพราะ
    ๑. สุขสบายก่อน
    ๒. บริสุทธิ์ หมดจด ปลอดภัยก่อน
    ๓. เมื่อกิเลสออกแล้วฟังธรรมก็แจ่มแจ้งทันที
เวลาคนไปฟังธรรมกับพระพุทธเจ้า ถ้ามีพวกกิเลสเบาบาง จะทรงสอนให้เอากิเลสออกทันที ออกได้ก็บรรลุธรรมทันที ดังนั้นเอากิเลสออกก่อนเสมอ ถ้ายังเหลืออีก ค่อยเข้าสู่กระบวนการปฏิบัติอื่นๆ ต่อไป


2nd เรียนธรรมเฉพาะที่จะเอากิเลสออกได้ก่อน เพราะ
    ๑. ธรรมะทั้งหมดพระพุทธองค์ทรงให้ไว้เพื่อละ สลาย เป็นอิสระจากกิเลส
    ๒. การปฏิบัติธรรมให้ได้ผล ต้องแม่นยำตรงสู่ผล ไม่มาก ไม่น้อย ไม่มั่ว จึงจะปฏิบัติง่าย สำเร็จเร็ว
    ๓. พระพุทธองค์ตรัสว่า แม้ธรรมะบทหนึ่ง ที่บุคคลประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรมดีแล้ว ก็บรรลุธรรมได้

หากเรียนธรรมะก่อนเอากิเลสออก
    ๑. เข้าใจธรรมเป็นจุด ๆ ยึดถือเป็นจุด ๆ เชื่อมโยงธรรมทั้งปวงไม่ได้
    ๒. สัญญาขันธ์จะบวม
    ๓. ฟุ้งซ่านในธรรม
    ๔. เอาธรรมะมาสร้างทิฏฐิ
    ๕. เมามันไปกับการสอบ มานะเกิดขึ้น
    ๖. เข้าสภาวะยาก
    ๗. ติดขั้นตอนเกินจำเป็น ทำให้ปฏิบัติยาก
    ๘. รู้แล้วอยากบอกให้คนอื่นรู้ ทั้ง ๆ ที่ยังไม่บรรลุธรรม
    ๙. เป็นเหมือนภิกษุใบลานเปล่า
  ๑๐. เอาตัวไม่รอด
  ๑๑. วนเวียนอยู่ในวัฏฏะดังเดิม


การเรียนธรรมที่เหมาะแก่การปฏิบัติ
คือ การปฏิบัติธรรมเป็นหลักจริงจังอย่างสายกลาง แล้วศึกษาธรรมประกอบทีละบท หรือทีละพระสูตร ศึกษาธรรมใด ก็นำมาปฏิบัติทันที จะได้วิธีปฏิบัติธรรมหลากหลายขึ้น เพิ่มโอกาสบรรลุธรรมมากขึ้น มีโอกาสสำเร็จปริญญาแท้ทางธรรมมากขึ้น คือ
    - โสดาปัตติมรรค
    - โสดาปัตติผล
    - สกทาคามิมรรค
    - สกทาคามิผล
    - อนาคามิมรรค
    - อนาคามิผล
    - อรหัตตมรรค
    - อรหัตตผล
เช่นนี้จึงชื่อว่า ศึกษาธรรมเพื่อปฏิบัติธรรม ปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุธรรมจริง ตามพระพุทธองค์

ความจริงที่ควรแจ่มแจ้ง
ธรรมปริยัติ เพื่อความเข้าใจ มุ่งสัมมาธรรม
ธรรมปฏิบัติ เพื่อสภาวะจิตและวิหารธรรมที่เลิศ มุ่งวิมุตติ
ธรรมปฏิเวธ เพื่อความบริสุทธิ์บริบูรณ์ อมตะ ว่างอย่างยิ่ง สุขอย่างยิ่ง เป็นที่พึ่งให้จักรวาลได้


     

 
ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/pin/868350371889428061/
ที่มา : https://uttayarndham.org/dhamma-sharing/6581/เรียนธรรมให้เข้าใจก่อน-หรือเอากิเลสออกก่อน
25 May 2023
100  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ‘พระพรหมบัณฑิต-พวงเพ็ชร’ เตรียมความพร้อม ไทยเป็นเจ้าภาพ ‘วิสาขบูชาโลก’ เมื่อ: มีนาคม 24, 2024, 07:14:42 am
.



‘พระพรหมบัณฑิต-พวงเพ็ชร’ เตรียมความพร้อม ไทยเป็นเจ้าภาพ ‘วิสาขบูชาโลก’

‘พระพรหมบัณฑิต – พวงเพ็ชร’ เตรียมความพร้อม ไทยเป็นเจ้าภาพ ‘วิสาขบูชาโลก’ 19-20 พ.ค. ตั้งเป้าเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนา

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม นางพวงเพ็ชร ชุนละเอียด รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้ากราบ พระพรหมบัณฑิต (ประยูร ธมฺมจิตฺโต) เจ้าอาวาสวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร กรรมการมหาเถรสมาคม ในฐานะประธานสภาสากลวันวิสาขบูชาโลก (ICDV) และประธานสมาคมมหาวิทยาลัยพระพุทธศาสนานานาชาติ (IABU) และหารือการเตรียมจัดงานวิสาขบูชาโลก ประจำปี 2567 ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ

ด้าน พระพรหมบัณฑิต เปิดเผยว่า ที่ประชุมฯ ในวันนี้ได้ร่วมกันสรุปกำหนดการการจัดงานวันวิสาขบูชาโลก และการจัดประชุมวิสาขบูชาโลกนานาชาติ “ในหัวข้อเอกภาพของการทำงานร่วมกัน” ซึ่งประเทศไทยได้รับเกียรติในการให้เป็นเจ้าภาพในปีนี้ (2567) โดยมีกำหนดจัดในระหว่างวันที่ 19 – 20 พฤษภาคมนี้ และมีการหารือกันเนื่องในโอกาสที่ปีนี้เป็นปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 72 พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงได้มีกำหนดเชิญผู้นำทางศาสนา และพุทธศาสนิกชนจากนานาประเทศมาเข้าร่วมงานถึง 73 ประเทศ




โดยจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ การเจริญพระพุทธมนต์ และกิจกรรมถวายพระพรชัยมงคล แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วย ซึ่งการจัดกิจกรรมในครั้งนี้ได้รับความร่วมมือที่ดีจากรัฐบาล ในการอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ รวมถึงงบประมาณสนับสนุน

ขณะที่ นางพวงเพ็ชร กล่าวว่า ในนามของรัฐบาล น้อมรับการทำงานให้พระพุทธศาสนาและรับใช้มหาเถร สมาคมอย่างเต็มที่ ในฐานะที่ตนกำกับดูแลสำนักงานพระพุทธศาสนาเเห่งชาติและกรมประชาสัมพันธ์ จะประสานการจัดงานให้ประสบผลสำเร็จ และสนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์อย่างเต็มที่เพื่อให้การจัดงานวิสาขบูชาโลก ที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพ ออกสู่สายตาคนทั้งโลกอย่างยิ่งใหญ่ ให้ทั่วโลกได้เห็นว่าประเทศไทยเหมาะสมที่จะเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนา

ประกอบกับปีนี้เป็นปีมหามงคลของปวงชนชาวไทย เนื่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชนร่วมเป็นเจ้าภาพที่ดี ต้อนรับคณะผู้เข้าร่วมงานวิสาขบูชาโลก และเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนา ร่วมสืบสานและน้อมนำหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวัน เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลและเป็นสิริมงคลแก่ตนเองและครอบครัว






Thank to : https://www.matichon.co.th/education/religious-cultural/news_4488619
วันที่ 23 มีนาคม 2567 - 17:42 น.
101  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / จงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง | จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง เมื่อ: มีนาคม 23, 2024, 07:36:41 am
.



ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
โดย อาจารย์ไชย ณ พล

Q ถาม : อาจารย์ครับ มีพุทธภาษิตอยู่บทหนึ่ง ที่เหมือน ๆ จะเข้าใจง่าย แต่ก็เข้าใจยาก คือ "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน แต่โลกทุกวันนี้อยู่กันแบบแบ่งงานกันทำ แบ่งความเชี่ยวชาญกันเก่ง แล้วพึ่งพาอาศัยกัน ครั้นเราจะไปทำเองทุกอย่างก็เป็นไปไม่ได้ เลยทำให้ภาพตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน มันเลือนลางไป จึงขอเรียนถามอาจารย์ว่า ขอบข่ายของ "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" มีแค่ไหนครับ

A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ : พระพุทธเจ้าไม่ตรัสอะไรเล่นๆ สิ่งที่พระองค์ตรัสเป็นสัจธรรมเสมอ

ใครเป็นที่พึ่งให้เราได้บ้าง.?

ลองดูความเป็นจริง มีใครในโลกบ้างที่เป็นที่พึ่งให้เราได้ทุกเรื่อง ทุกเวลา ทุกสถานการณ์ ทุกผลที่พึ่งได้ หากซื่อตรงต่อความจริงและตนเอง ก็จะพบว่า ไม่มี พระพุทธองค์จึงทรงให้ "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน

ขอบเขต "อัตตาหิ อัตตโน นาโถ" ที่ได้ผล

ในจักกวัตติสูตร ทรงให้ เธอจงมีตนเป็นที่พึ่ง มีตนเป็นเกาะ โดยกำหนดรู้ กายในกายภายในตน กำหนดรู้ กายในกายภายในคนอื่น เห็นความไม่เที่ยงแห่งกายนี้และกายอื่น ๆ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในกายและในโลกทั้งปวง

กำหนดรู้ เวทนาในเวทนาภายในตน กำหนดรู้ เวทนาในเวทนาภายในคนอื่น เห็นความไม่เที่ยงแห่งเวทนานี้และเวทนาอื่น ๆ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในเวทนาและในโลกทั้งปวง

กำหนดรู้ จิตปรุงแต่งในจิตภายในตน กำหนดรู้ จิตปรุงแต่งในจิตปรุงแต่งภายในคนอื่น เห็นความไม่เที่ยงแห่งจิตปรุงแต่งนี้และจิตปรุงแต่งอื่น ๆ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในจิตปรุงแต่งและในโลกทั้งปวง

กำหนดรู้ ธรรมประกอบในธรรมประกอบภายในตน กำหนดรู้ ธรรมประกอบในธรรมประกอบภายในคนอื่น เห็นความไม่เที่ยงแห่งธรรมประกอบนี้และธรรมประกอบอื่น ๆ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในธรรมประกอบและในโลกทั้งปวง

สรุป : ที่พึ่งหลักของทุกคน คือ รู้อิสระที่ไม่ถือมั่นในกาย เวทนา จิตปรุงแต่ง ธรรมประกอบ และอะไร ๆ ในโลกทั้งปวง

 




ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/pin/941533865877205173/
ที่มา : https://uttayarndham.org/dhamma-sharing/6576/ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน
19 May 2023





การมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง

[๘๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ เมืองมาตุลา แคว้นมคธ ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย” ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับสนองพระดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า
             
    “ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงมีตนเป็นเกาะ(๑-) มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง จงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่เถิด"           
    "ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ เป็นอย่างไร.?"

    คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    ๑. พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
    ๒. พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
    ๓. พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
    ๔. พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกได้
             
    "ภิกษุมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง ไม่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ เป็นอย่างนี้แล"


เชิงอรรถ :-
(๑-) มีตนเป็นเกาะ ในที่นี้หมายถึง ทำตนให้พ้นจากห้วงน้ำ คือ โอฆะ ๔ เหมือนกับเกาะกลางมหาสมุทรที่น้ำท่วมไม่ถึง (ที.ม.อ. ๑๖๕/๑๕๐, ที.ม.ฏีกา ๑๖๕/๑๘๐) , ดูเทียบ ที.ม. (แปล) ๑๐/๑๖๕/๑๑๑ , สํ.ม. (แปล) ๑๙/๓๗๙/๒๓๔






ขอขอบคุณ
ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/pin/337488565841817888/
ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๑ หน้า : ๕๙-๖๐
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๑ , พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๓ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค , ๓. จักกวัตติสูตร ว่าด้วยพระเจ้าจักรพรรดิ , การมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง
URL : https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=11&siri=3
102  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มุมน่าสะพรึงกลัวของ “พระนเรศวร” จากบันทึกวัน วลิต กับงานเขียนโต้ของคึกฤทธิ์ เมื่อ: มีนาคม 23, 2024, 07:00:47 am
.

ภาพประกอบเนื้อหา - พระนเรศ และพระเอกาทศรถ ในภาพยนตร์ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคยุทธนาวี (ภาพจากคลิป "ตัวอย่าง ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช 3 ยุทธนาวี (Official Tr.)" จาก Youtube : Sahamongkolfilm International Co.,Ltd)


มุมน่าสะพรึงกลัวของ “พระนเรศวร” จากบันทึก วัน วลิต กับงานเขียนโต้ของคึกฤทธิ์

วัน วลิต หรือ เยเรเมียส ฟาน ฟลีต (Jeremais van Vliet) เป็นพ่อค้าชาวดัตช์ ของบริษัทอินเดียตะวันออกของดัตช์ เดินทางเข้ามายังกรุงศรีอยุธยาในสมัยสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม และสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ได้เขียนบันทึกเกี่ยวกับกรุงศรีอยุธยา 3 เล่ม เล่มที่เป็นพงศาวดารเขียนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2183

วัน วลิต เขียนบันทึกจากคำบอกเล่าของผู้คนในกรุงศรีอยุธยา บันทึกของเขามีความน่าสนใจตรงที่เนื้อหามีรายละเอียดค่อนข้างมากและสามารถอธิบายได้เป็นฉาก ๆ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะเรื่องราวของสมเด็จพระนเรศวร หรือ พระนเรศวร ที่ วัน วลิต ให้ข้อมูลแตกต่างจากพงศาวดารหรือหลักฐานชิ้นอื่นแทบจะสิ้นเชิง

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช แสดงความคิดเห็นว่า วัน วลิต น่าจะได้ไต่ถามเรื่องราวจากคนที่เคยอยู่ร่วมสมัยเหตุการณ์มาประกอบการเขียน แต่โดยนิสัยของคนโบราณในการเล่าเรื่องให้ชาวต่างชาติฟังนั้น อาจต่อเติมอะไรต่อมิอะไรเข้าไปเพื่อแสดงพระบรมเดชานุภาพของสมเด็จพระนเรศวร เพื่อแสดงความเด็ดเดี่ยว และพระราชอำนาจอันน่าสะพรึงกลัว ซึ่งในมุมมองของคนโบราณเห็นว่า เป็นพระเกียรติยศ

แนวคิดของคนโบราณย่อมตรงกันข้ามกับมุมมองของคนยุคปัจจุบัน ซึ่งเรื่องราวที่ วัน วลิต บันทึกนั้น จะเอามาตำหนิติเตียนด้วยมาตรฐานของคนสมัยนี้ว่า ผิดถูกชั่วดี เห็นจะไม่ถูกต้องนัก

@@@@@@@

ถลกหนัง

“หลังจากได้ชัยชนะพระมหาอุปราชาและกองทัพพะโค พระเจ้าแผ่นดินสยามก็ทรงรวบรวมกองทัพ ประกอบด้วยทหารจำนวนมากพอสมควรยกไปโจมตีกัมพูชา โดยมีออกญาจักรีและออกญากลาโหมเป็นทัพหน้า และสมเด็จพระนเรศพระราชโอรสเป็นทัพหลัง

เมื่อยกทัพมาถึงพรมแดนกัมพูชา ออกญาจักรีก็ฉวยโอกาสเข้ายึดเมืองชายแดน โดยคิดว่าจะทำความดีถวายต่อพระเจ้าแผ่นดินและพระราชโอรส เมื่อพระนเรศเสด็จมาถึงก็ทรงพระพิโรธในการกระทำของออกญาจักรี มีรับสั่งให้ถลกหนังทั้งเป็น ทรงตรัสว่า

‘พระเจ้าแผ่นดินพระราชบิดาของเราและตัวเรา เป็นผู้สั่งเจ้ามาที่นี่ แต่ไม่ได้สั่งให้เจ้าเข้าโจมตี และเอาชีวิตทหารของเรามาเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ เจ้าพยายามจะทำความดีความชอบแข่งกับเรา เพื่อว่าเมื่อได้รับชัยชนะแล้ว ทั้งเราและเจ้าจะได้เป็นผู้มีชัยชนะเหมือนกันทั้งสองคน ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงต้องตาย'”

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ อธิบายว่า การสงครามที่ปรากฏชื่อออกญาจักรีและออกญาโหม เกิดขึ้นในคราวสงครามที่เมืองชายฝั่งด้านอ่าวเมาะตะมะ ไม่ใช่ที่เขมร ส่วนเรื่องการถลกหนังไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ การที่ถลกหนังออกญาจักรีนี้ก็ไม่ปรากฏหลักฐานในพงศาวดารหรือหลักฐานอื่นใดเลย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ชี้ว่า ศัพท์ชาวบ้านเรียกการเฆี่ยนว่า “ถลกหลัง” นั่นเพราะเมื่อผู้ใดถูกเฆี่ยนหลังแล้ว หนังก็จะขาดหรือถูกถลกออกมาตามรอยหวายที่เฆี่ยนลงบนหลัง จึงเรียกการเฆี่ยนว่า ถูกถลกหลัง

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ กล่าวว่า “บางที วัน วลิต จะไปคุยกับคนไทยได้ยินคำว่าถลกหลังแล้วฟังผิดว่า ถลกหนัง เลยเขียนความไปตามนั้นก็ได้” ดังนั้น ตามข้อสันนิษฐานนี้ การถลกหนังออกญาจักรีจึงอาจเป็นการเฆี่ยนมากกว่า


@@@@@@@

เผาทั้งเป็น

“ทรงมีกระแสรับสั่งให้เตรียมเรือ และเสด็จพร้อมทั้งขุนนางไปยังเพนียด (ซึ่งเป็นโรงช้างและสถานที่ราชาภิเษก) เพื่อประกาศสถาปนาพระองค์ขึ้นเป็นพระเจ้าแผ่นดิน และให้ขุนนางสาบานว่าจะจงรักภักดี ต่อพระองค์ตลอดไป

เมื่อเสด็จถึงเพนียด ฝีพายของพระนเรศเทียบเรือผิด พระองค์ก็ทรงเสด็จขึ้น ไม่ได้ทรงลงพระอาญาในเวลานั้น ได้ทรงราชาภิเษกถูกต้องตามราชประเพณี เมื่อพระชนมายุได้ 35 พรรษา และทรงพระนามว่า พระนเรศราชาธิราช

หลังจากพิธีราชาภิเษกแล้ว พระองค์มีรับสั่งให้เผาฝีพายเรือของพระองค์ และฝีพายเรือหลวงลำอื่น ๆ (ประมาณ 1,600 คน) เสียทั้งเป็น ณ สถานที่นั้น ทรงมีรับสั่งกับคณะขุนนางว่า พระองค์ทรงปรารถนาให้คณะขุนนางจดจำการลงพระอาญาครั้งนี้ไว้เป็นเยี่ยงอย่างการปกครองของพระองค์ และจากนั้นพระองค์ก็เสด็จกลับพระราชวัง“

เรื่องนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ตั้งข้อสังเกตว่า หากเผาฝีพายจำนวนมากเช่นนั้น แล้วสมเด็จพระนเรศวรจะเสร็จพระราชดำเนินกลับพระราชวังหลวงได้อย่างไร อีกทั้ง หากให้ขุนนางลงทำหน้าที่แทนฝีพาย พอถึงพระราชวังหลวงก็คงต้องรับพระราชอาญา เพราะจะให้พายเรือให้ดีเท่าฝีพายคงจะเป็นไปไม่ได้แน่นอน

อย่างไรก็ตาม พระราชพงศาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์ มีบันทึกเรื่องทำนองนี้ไว้ว่า “ศักราช 955 มะเสงศก… เสด็จเถลิงพระมหาปราสาท ครั้งนั้นทรงพระโกรธแก่มอญ ให้เผามอญเสียประมาณ 100”  ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ วิเคราะห์ว่า พงศาวดารมิได้กล่าวถึงต้นเหตุที่ทำให้ทรงพระพิโรธ อาจเพราะมอญเผาอิฐที่จะสร้างพระมหาปราสาทไม่ได้ขนาด หรือมอญคอยแต่นับอิฐแบบมอญว่า “หนึ่งแผ่นอิฐมอญ สองแผ่นอิฐมอญ สามแผ่นอิฐมอญ…” จนเป็นเหตุให้ล่าช้าเหลืออดเหลือทนเสียประมาณ แต่เชื่อว่าวัน วลิต น่าจะฟังเรื่องนี้มาผิดเป็นแน่

นอกจากนี้ เหตุการณ์ที่วัน วลิต บันทึก เกิดขึ้นหลังพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ซึ่งเป็นพระราชพิธีมงคล การจะเผาคนนับพันจึงไม่น่าจะเป็นไปได้



จิตรกรรมโคลงภาพพระราชพงศาวดารตอน “สงครามยุทธหัตถีระหว่างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกับสมเด็จพระมหาอุปราชา” เขียนโดย หลวงพิศณุกรรม (เล็ก) ในสมัยรัชกาลที่ ๕ (ภาพจากหนังสือ “จิตรกรรมและประติมากรรมแบบตะวันตกในราชสำนัก เล่ม ๒”)


เฉียบขาด

“เรื่องต่าง ๆ เกี่ยวกับพระองค์ และประจักษ์พยานทั้งหลายซึ่งยังมีชีวิตอยู่ ได้รายงานว่า ในระยะ 20 ปี ที่อยู่ในราชสมบัติ พระองค์ทรงฆ่าคนตามกฎหมายมากกว่า 80,000 คน ทั้งนี้ไม่รวมพวกที่เสียชีวิตในการรบ ไม่ว่าจะเป็นบนหลังช้าง หลังม้า ในเรือพาย หรือแม้ในขณะประทับ ณ พระราชบัลลังก์

ขณะที่ออกขุนนางปรากฏว่า ไม่มีครั้งใดเลยที่พระองค์จะปราศจากอาวุธ ทรงมีกระบอกลูกธนูบนพระเพลา และมีคันธนูอยู่ในพระหัตถ์ เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นผู้ใดทำผิด แม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ไม่เป็นที่สบพระทัย พระองค์จะทรงยิงธนูไปที่ผู้นั้น และรับสั่งให้ผู้นั้นนำลูกธนูมาถวาย

พระองค์จะตรัสสั่งให้เฉือนเนื้อบุคคล (แม้แต่ขุนนาง) ที่กระทำผิดแม้ว่าจะน้อยนิดเสมอ และทรงให้บุคคลผู้นั้นกินเนื้อของตนเอง เฉพาะพระพักตร์ และทรงให้บางคนกินอุจจาระของตนเองบ่อยครั้ง ที่ตรัสว่า

‘นี่เป็นวิธีที่จะปกครองพวกเจ้าชาวสยาม เพราะว่าเจ้าเป็นพวกที่มีธรรมชาติที่ดื้อดึง น่าขยะแขยง ในอาณาจักรที่แสนเลวนี้ แต่ข้าจะปฏิบัติเช่นนี้ต่อเจ้าจนกว่าจะทำให้เจ้าเป็นชนชาติที่น่านับถือได้ เจ้าเป็นเหมือนหญ้าที่ขึ้นบนท้องทุ่งที่อุดมสมบูรณ์ ถ้าตัดให้สั้นได้เท่าไร เจ้าก็จะขึ้นได้สวยงามมากเท่านั้น ข้าจะหว่านทองไว้ในท้องถนนสายต่าง ๆ เป็นเวลาหลายเดือน ใครก็ตามที่มองทองเหล่านี้ด้วยความละโมภจะต้องถูกฆ่าตาย'”

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ กล่าวว่า เรื่องการปกครองด้วยความเฉียบขาดของสมเด็จพระนเรศวรนั้นน่าจะเป็นความจริง เพราะการปกครองของกรุงศรีอยุธยาเริ่มอ่อนแอมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ เกิดการแตกสามัคคีจนต้องเสียกรุง โจรผู้ร้ายชุกชุมทั่วพระราชอาณาจักร ราษฎรหาความสุขมิได้ สมเด็จพระนเรศวรจึงต้องทรงปกครองโดยเฉียบขาด ลงโทษผู้กระทำความผิดอย่างรุนแรงเพื่อให้เป็นเยี่ยงอย่าง

สำหรับการประหารชีวิตกว่า 80,000 คน นั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เชื่อว่า อาจจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่จริงก็ได้ ส่วนเรื่องพระแสงติดพระองค์นั้น เป็นราชประเพณีโดยธรรมเนียมที่เจ้าพนักงานต้องทอดพระแสงไว้เสมอ เรื่องยิงธนู ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ อธิบายว่า นั่นมิใช่การลงพระราชอาญา ถ้าเป็นในระหว่างเสด็จออกว่าราชการ น่าจะเป็นการปลุกผู้ที่แอบงีบให้ตื่น เพราะขุนนางหมอบเฝ้า อาจก้มหน้าก้มตาแล้วหลับไปเลย

พระราชอาญาให้คนกินเนื่อของตน หรือกินอุจจาระของตนนั้น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ กล่าวว่า “ก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์เรื่องคอร์รัปชันว่ามากน้อยแค่ไหน ถ้าลงพระราชอาญาแบบนี้แก่ขุนนางตำแหน่งใหญ่ ๆ ผู้กินไม่อื่มก็น่าจะเห็นพระราชหฤทัยอีกเช่นเดียวกัน”


@@@@@@@

กลัวไม่ได้กลับบ้าน

“ขุนนางทั้งหลายรับราชการอยู่ด้วยความหวาดกลัวพระเจ้าแผ่นดินเป็นอย่างยิ่ง เมื่อมีรับสั่งให้เข้าเฝ้า ขุนนางจะจัดบ้านช่อง เหมือนกับว่าตนจะไปตาย เพราะว่าขุนนางกลัวอยู่เสมอว่าตัวจะไม่ได้กลับมาเห็นบ้านอีก”

ในเรื่องนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ กล่าวว่า “เป็นเรื่องยืนยันข้อความในพงศาวดารพม่า ที่ขุนนางพม่ากราบทูลพระเจ้าหงสาวดีว่า คนไทยกลัว พระนเรศวร ยิ่งกว่ากลัวตาย” ซึ่งทำให้เห็นว่า ในประเด็นนี้ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ เห็นพ้องตามบันทึกของวัน วลิต

ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ อธิบายสรุปว่าวัน วลิต ได้บันทึกเรื่องราวของสมเด็จพระนเรศวรอย่างชาวต่างชาติเขียน ไม่มีเหตุที่จะยกย่องพระเกียรติยศ บางครั้งก็เขียนไปในทางเสื่อมเสีย เพราะคงจะได้ฟังจากคำบอกเล่าของคนในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ซึ่งเป็นคนที่อยู่ใต้ราชวงศ์ใหม่ อาจเล่าเรื่องราวบางประการให้วัน วลิต ฟังเพื่อเป็นการลบหลู่ราชวงศ์เดิม ส่งเสริมราชวงศ์ใหม่ก็เป็นได้

อ่านเพิ่มเติม :-

   • สมเด็จพระนเรศวรฯ กับคนไทใหญ่ ความสัมพันธ์ชั้นเจ้าที่ต่างเล็งขับไล่พม่า
   • ชนไก่ กีฬาพื้นบ้านที่เล่ากันว่าสมเด็จพระนเรศวรทรงชนะพระมหาอุปราช






ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : เสมียนอารีย์
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรกเมื่อ  11 พฤศจิกายน 2563
URL : https://www.silpa-mag.com/history/article_57966

อ้างอิง :-
- พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับวัน วลิต พ.ศ. 2182. (2546). พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : มติชน.
- คึกฤทธิ์ ปราโมช, หม่อมราชวงศ์. (2533). กฤษดาภินิหาร อันบดบังมิได้. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : สยามรัฐ.
103  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พิธีบำเพ็ญกุศล พระเทพกิตติปัญญาคุณ หลังเก็บสรีระสังขารนาน 19 ปี เมื่อ: มีนาคม 23, 2024, 06:50:34 am
.



พิธีบำเพ็ญกุศล พระเทพกิตติปัญญาคุณ หลังเก็บสรีระสังขารนาน 19 ปี

พิธีบำเพ็ญกุศลและพระราชทานเพลิง พระเทพกิตติปัญญาคุณ พระนักเทศน์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ หลังเก็บสรีระสังขารนาน 19 ปี

ขอเชิญศิษยานุศิษย์ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลออกเมรุพระราชทานเพลิงศพ พระเทพกิตติปัญญาคุณ (กิตฺติวุฑฺโฒ ภิกขุ) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ พระนักเทศน์ น้ำเสียงนุ่มนวลชวนฟัง โดยเฉพาะด้านพระอภิธรรมและพระสูตรเป็นเลิศ ในยุค 2500-2525 ท่านมรณภาพ เมื่อวันที่ 21 ม.ค.2548 จนถึงบัดนี้ รวมระยะเวลา 19 ปี 1 เดือน

พระเทพกิตติปัญญาคุณ หรือ กิตฺติวุฑฺโฒ ภิกฺขุ ที่ผู้คนทั้งประเทศรู้จัก ในฐานะอดีตผู้อำนวยการจิตตภาวันวิทยาลัย จ.ชลบุรี ผู้ก่อตั้งจิตภาวันวิทยาลัย มีชื่อเสียงในฐานะวิทยาลัยเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาแห่งแรกของประเทศไทย




พระเทพกิตติปัญญาคุณ (กิตติศักดิ์ เจริญสถาพร) เกิดเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2479 ที่ต.บางไทรป่า อ.บางเลน จ.นครปฐม เป็นบุตรของนายเตียวยี่-นางเง็กเล้า เจริญสถาพร มีพี่น้องทั้งหมด 8 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 3

พระเทพกิตติปัญญาคุณ อุปสมบทเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2500 ณ วัดปากน้ำ เขตภาษีเจริญ กรุงเทพมหานคร หลังจากอุปสมบทแล้ว ท่านได้ศึกษาปริยัติธรรมจนจบนักธรรมชั้นเอกจากสำนักเรียนวัดปากน้ำ ต่อมาไปเรียนอภิธรรมที่โรงเรียนพระอภิธรรมมหาธาตุวิทยาลัย วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์




นอกจากนี้ ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นครูสอนอภิธรรม และย้ายไปอยู่วัดมหาธาตุฯ รวมถึงได้ศึกษาคัมภีร์ต่าง ๆ เช่น มูลกัจจายน์ วิสุทธิมรรค อภิธัมมัตถสังคหะ เป็นต้น กับพระเตชินทะ ธัมมาจริยะ อภิธัมมกถิกาจริยะชาวพม่า และพระครูประกาศสมาธิคุณ (สังเวียน ญาณเสวี) และเรียนวิปัสสนากับพระอาจารย์อินทวังสะ กัมมัฎฐานาจริยะชาวพม่า เป็นต้น

ด้วยการศึกษาทางธรรมอย่างจริงจัง ทำให้ ท่านมีความรู้ ในพุทธศาสนาอย่างแตกฉาน สามารถเทศนาสั่งสอนญาติโยมอันเป็นกิจหนึ่งที่สงฆ์พึงปฏิบัติได้เป็นอย่างดี เทศนาของท่านซึ่งเป็นคำสอนหนึ่งที่ยังคงได้รับการเผยแพร่มาจนถึงปัจจุบันก็คือ “ฝึกตายทุกวัน”




บทบาทสำคัญและผลงานของท่านที่ปรากฏเป็นรูปธรรม คือ การก่อตั้งวิทยาลัยการเผยแพร่พระพุทธศาสนา หรือที่รู้จักกันในชื่อ “จิตตภาวันวิทยาลัย” ตั้งอยู่ที่จังหวัดชลบุรี เพื่อใช้เป็นสถานที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา ซึ่งท่านทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการคนแรก ผลิตพระสงฆ์สามเณร พระหน่วยพัฒนาการทางจิตให้ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาทั้งในประเทศและต่างประเทศ

ซึ่งปัจจุบันหลายท่านเป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะจังหวัด เจ้าคณะอำเภอ และเจ้าคณะตำบลมากมาย และท่านได้สร้างอุโบสถกลางทะเล ซึ่งถือเป็นของใหม่ในยุคนั้น รวมทั้งการสร้างโรงพยาบาลสงฆ์จากการระดมทุนของท่าน เพื่อรักษาประชาชนที่ยากไร้

บรรดาศิษย์ยานุศิษย์ของท่านได้เก็บสรีระสังขารของท่านไว้เป็นอนุสรณ์นานถึง 19 ปี ก่อนที่จะมีหมายรับสั่งที่ 2970 โปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานเพลิงศพพระเทพฯ กิตติปัญญาคุณ เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา




ทั้งนี้ กำหนดพิธีบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรม ตั้งแต่วันที่ 21-23 มีนาคม พ.ศ.2567 เวลา 18.30 น. ณ ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร และพระราชทานเพลิงศพ ในวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม เวลา 15.00 น ณ วัดสระเกศวรมหาวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร

จึงขอเรียนเชิญศิษย์ยานุศิษย์และพุทธศาสนิกชน ร่วมพิธีบำเพ็ญกุศลออกเมรุพระราชทนเพลิงศพ พระเทพกิตติปัญญาคุณ (กิตฺติวุฑฺโฒ ภิกขุ) อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ตามวัน เวลา และสถานที่ดังกล่าว




Thank to : https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_8151429
ทุกทิศทั่วไทย | 22 มี.ค. 2567 - 14:35 น.
104  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ -ปลัดมหาดไทย ประชุมขับเคลื่อนโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข เมื่อ: มีนาคม 22, 2024, 10:06:12 am
.



สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ -ปลัดมหาดไทย ประธานประชุมขับเคลื่อนโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข พร้อมบรรยายพิเศษ “ขอพระสงฆ์เป็นหลักชัย ทำให้ญาติโยมมีดวงตาเห็นธรรม”

วันที่ 21 มี.ค. 67 เวลา 09.00 น. ที่อาคารปฏิบัติธรรมพระธรรมรัตนาภรณ์ วัดสายสุวพรรณ ต.คลองสี่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานฝ่ายสาธารณูปการของมหาเถรสมาคม เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานฝ่ายฆราวาส ในพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อขับเคลื่อนโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข พิธีมอบโล่ประกาศเกียรติคุณ พัดยศ และเกียรติบัตร วัดต้นแบบ ประจำปี 2566

โดยได้รับเมตตาจากพระมหาเถระ พระเถระ พระสังฆาธิการ ร่วมพิธี โดนมี นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม นายอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ อธิบดีกรมการปกครอง นายขจร ศรีชวโนทัย อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นายภาสกร บุญญลักษม์ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี หัวหน้าส่วนราชการ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พุทธศาสนิกชน และภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ร่วมในงานเป็นจำนวนมาก

@@@@@@@

สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กล่าวประทานโอวาทเปิดการประชุม ความว่า โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข เป็นหนึ่งในงานปฏิรูปกิจการพระพุทธศาสนาโดยมุ่งพัฒนาวัดและชุมชนให้สะอาด ร่มรื่น เรียบร้อย สวยงาม เป็นสถานที่สัปปายะ เหมาะสมกับการเรียนรู้และการพัฒนาจิตใจของประชาชน โดยโครงการนี้ได้ดำเนินงานมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นวันพิเศษอีกวันหนึ่ง ที่คณะสงฆ์จะได้มาประชุมร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนทำให้สังคมเกิดความสงบสุข ร่มเย็น และมีความสุข ซึ่งมีภาคีเครือข่ายจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคศาสนา ภาคประชาชน

โดยโครงการนี้จะขับเคลื่อนไปได้ด้วยดีเพื่อก่อให้เกิดผลสำเร็จ ทำให้สังคมเกิดความสงบสุข ผู้คนไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน เฉกเช่นเดียวกับโครงการหมู่บ้านศีลธรรมหรือหมู่บ้านรักษาศีล 5 ซึ่งคณะสงฆ์ได้มีโครงการขึ้นมาเพื่อยังผลให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศชาติ และเจริญรุ่งเรืองในพระพุทธศาสนา มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โดย

ทั้งหมดที่กล่าวนี้ล้วนเป็นงานหลักของคณะสงฆ์เพื่อตอบแทนบุญคุณพุทธศาสนิกชนที่ได้อุปถัมภ์ค้ำชูพระพุทธศาสนา ทำให้คณะสงฆ์มีที่อยู่อาศัย มีความมั่นคงทางอาหาร ยา และเครื่องนุ่งห่ม คณะสงฆ์จึงดำริโครงการเหล่านี้เพื่อทดแทนบุญคุณที่ได้อุดหนุนค้ำชูพระพุทธศาสนา ผลความสุขจะได้สืบทอดไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุขของประเทศชาติที่ทุกท่านอยู่ด้วยมิตรไมตรีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สามัคคีกัน

และเราทุกท่านมุ่งหวังในการพัฒนาชาติด้วยหลักธรรมทางศาสนา หากทุกคนปฏิบัติและยึดถือศีล 5 หรือศีล 8 ได้อย่างแท้จริง สังคมและประเทศชาติจะเกิดความเจริญ สงบสุขร่มเย็น ประเทศไทยก็จะเป็นประเทศที่น่าอยู่ของโลก โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข จึงเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนและดำเนินการมาตามลำดับร่วมกับภาคีเครือข่าย




“โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทรวงมหาดไทย ที่เข้ามาช่วยกันทำหน้าที่ในการ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” เป็นพันธกิจที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีของกระทรวงมหาดไทย ได้พระราชทานค่านิยมนี้สืบทอดต่อกันมา เช่นเดียวกับคณะสงฆ์ที่มีหน้าที่ต้องดูแลอบรมประชาชนให้ปฏิบัติตนเป็นคนดี ทุกท่านในที่นี้ก็มีหน้าที่เช่นเดียวกัน หากทุกคนทำหน้าที่ของเราอย่างสมบูรณ์ เราก็จะสร้างสังคมที่คนดีมีระเบียบวินัย เป็นที่ต้องการของสังคม และที่สำคัญกว่านั้นคือการเป็นคนดี ดังที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดำรัสที่ต้องสร้างคนดีให้เพิ่มมากขึ้น

ดังนั้น วัตถุประสงค์หลักของโครงการนี้ คือ การสร้างคนดีนำไปสู่การมีสังคมที่เจริญและสงบสุข ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสืบสาน รักษา และต่อยอด ในการทำความดี ในฐานะพสกนิกรไทยของพระองค์จึงขอฝากทุกท่านในการทำความดี หากทุกภาคส่วนร่วมกันจะผลักดันให้โครงการนี้สำเร็จเรียบร้อยด้วยความดีงาม ขอให้คณะสงฆ์ทุกท่านเป็นกำลังสำคัญในการบำรุงพระพุทธศาสนาต่อไป ขอให้ทุกท่านมุ่งมั่นดำเนินการโครงการนี้ต่อไปเพื่อบำรุงพระพุทธศาสนาในฐานะพุทธศาสนิกชนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า




โอกาสนี้ นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย บรรยายพิเศษ เรื่อง “ความร่วมมือภาครัฐกับคณะสงฆ์ในการขับเคลื่อนกิจการพระพุทธศาสนา” โดยกล่าวว่า กระทรวงมหาดไทยได้ร่วมสนองงานร่วมกับคณะสงฆ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้สนองงานร่วมกับเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานฝ่ายสาธารณูปการของมหาเถรสมาคม มาโดยตลอด

ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่พวกเราจำเป็นต้องช่วยกัน ดังที่พระคุณท่านได้ประทานโอวาทไปตอนต้นแล้วนั้น คือ การที่ทุกคนจะช่วยกัน “สืบสาน รักษา และต่อยอด” แนวพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระผู้ทรงคุณอันประเสริฐยิ่ง และสนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ดังพระปฐมบรมราชโองการในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2562 ความว่า “เราจะสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป” และพระราชดำรัส “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”

ซึ่งเป้าหมายของการทำให้ประเทศชาติมั่นคงและประชาชนมีความสุขเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นเรื่องที่เกื้อกูลกัน ปัจจุบันประเทศไทยเป็นประเทศที่มีความสุขอันดับที่ 58 ของโลก และเป็นอันดับที่ 7 ของเอเชีย ซึ่งประเทศที่มีความสูงที่สุดอันดับ 1 ของโลก คือ ประเทศฟินแลนด์ ที่ทุกพื้นที่ของประเทศมีความมั่นคงทางอาหาร มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย ประชาชนก็มีความสุข อันสอดคล้องกับแนวทางของการดำเนินโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข โดยกระทรวงมหาดไทยเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมกันขับเคลื่อนร่วมกับมหาเถรสมาคม เพราะเรามีหน้าที่ในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข ตลอด 132 ปีที่ผ่านมา มีเป้าหมายสูงสุด คือ สนองพระราชปณิธานในการทำให้ประเทศชาติมั่นคงและประชาชนมีความสุข




“กระทรวงมหาดไทยมีกลไกในระดับพื้นที่ มีผู้นำใน 76 จังหวัด 878 อำเภอ 7,849 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เราขับเคลื่อนร่วมกับผู้นำภาคศาสนาในพื้นที่ ทำให้ฝ่ายบ้านเมืองได้จับคู่กับฝ่ายศาสนาด้วยการทำให้เกิด “ผู้นำภาคศาสนาประจำอำเภอ ประจำตำบล”

โดยล่าสุด เมื่อวานนี้ (20 มี.ค. 67) มหาเถรสมาคมได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 8/2567 รับทราบโครงการหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 6 รอบ 28 กรกฎาคม 2567 โดยขอความเมตตาจากพระสังฆาธิการให้มีพระผู้รับผิดชอบประจำตำบล 1 พระ 1 ตำบล ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาให้ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน เป็น ”หมู่บ้านยั่งยืน” อันสอดคล้องกับโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุขนี้ ที่เราชาวมหาดไทยได้สนองงานร่วมกับมหาเถรสมาคม

เพื่อทำให้เกิดหมู่บ้าน 5 ส ด้วยการบริหารจัดการขยะ การจัดทำถังขยะเปียกลดโลกร้อน รวมถึงการจัดตั้งธนาคารขยะรีไซเคิล โดยให้ทุกองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นทั่วประเทศส่งเสริมให้พี่น้องประชาชนนำขยะรีไซเคิลมาขายเป็นเงินกองทุนสวัสดิการของชุมชน

ซึ่งสิ่งที่เป็นเครื่องยืนยันว่างานจะสำเร็จได้ เราต้องทำงานตามหลักการทำงานที่พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงทำให้เห็นเป็นแบบอย่าง ตาม 4 กระบวนการสำคัญ คือ ร่วมพูดคุย ร่วมคิด ร่วมทำ และร่วมรับประโยชน์ โดยใช้กลไก “บวร” บ้าน วัด ราชการ และ 7 ภาคีเครือข่าย ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันสู่พี่น้องประชาชน และทั้งหมดอยู่ในโครงการนี้” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าว




นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวต่อไปอีกว่า กระทรวงมหาดไทยน้อมนำแนวทางการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่าย ตลอดจนการขับเคลื่อนโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข โดยใช้กลไกผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ กำนันผู้ใหญ่บ้าน ภาคีเครือข่ายทั้ง 7 ภาคีเครือข่าย ซึ่งกระทรวงมหาดไทยได้ร่วมลงนามบันทึกความร่วมมือ โดยเฉพาะผู้นำด้านศาสนา 3 โครงการสำคัญ คือ
    1) โครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข ร่วมกับ สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ กรรมการมหาเถรสมาคม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณูปการของมหาเถรสมาคม
    2) บทบาทในการเกื้อหนุนระหว่างวัดและชุมชนให้มีความสุขอย่างยั่งยืน ร่วมกับสมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ประธานคณะกรรมการฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม และ
    3) โครงการสร้างความปรองดองสมานฉันท์ โดยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา “หมู่บ้านรักษาศีล 5 ขยายผลสู่ หมู่บ้านศีลธรรม” ร่วมกับสมเด็จพระมหารัชมงคลมุนี เจ้าคณะใหญ่หนกลาง กรรมการมหาเถรสมาคม ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร

ซึ่งทั้งหมดเป็นเนื้อเดียวกัน คือ “ชีวิตของพี่น้องประชาชน” จึงคาดหวังอย่างยิ่งว่าคณะสงฆ์จะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยฝ่ายบ้านเมืองอย่างจริงจัง ด้วยเมตตาทำให้เกิดพระสงฆ์ผู้รับผิดชอบประจำตำบล ในการไปร่วมมือขับเคลื่อนทำให้เกิดสิ่งที่ดีต่อสังคมและประเทศชาติได้ดียิ่งขึ้นไป ไปช่วยกันทำให้โครงการนี้ได้ขยายผลไปสู่ทุกครัวเรือนทุกหมู่บ้านเพิ่มมากยิ่งขึ้น และทำให้หมู่บ้านศีลธรรมเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม ขยายผลไปสู่การขับเคลื่อนหมู่บ้านยั่งยืน ตามพระดำริสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ตามที่มหาเถรสมาคมได้มีมติรับทราบแล้วเมื่อวานนี้




“หมู่บ้านยั่งยืน คือ มีความมั่นคงทางอาหาร มีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย บ้านเรือนมีความสะอาดเรียบร้อย ถูกสุขลักษณะ ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของฝ่ายสาธารณูปการของมหาเถรสมาคม มีการส่งเสริมให้เกิดการรวมกลุ่มช่วยเหลือผู้ยากไร้ ผู้พิการ ร่วมทำสิ่งที่ดี ด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

ซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของฝ่ายสาธารณสงเคราะห์ของมหาเถรสมาคม และสิ่งสำคัญคือการถ่ายทอดวัฒนธรรมประเพณีสิ่งดีงามไปสู่รุ่นลูกหลาน รู้จักเข้าวัดทำบุญประกอบศาสนกิจ ซึ่งสอดคล้องกับหมู่บ้านศีลธรรม และโครงการวัด ประชา รัฐ สร้างสุข

ซึ่งทั้งหมดมีเป้าหมายเดียวกันดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร คือ การทำให้เกิดคนดีมากขึ้น และการส่งเสริมให้คนดีมาเป็นผู้นำของสังคม” นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวเพิ่มเติม




นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวในช่วงท้ายว่า ประเทศชาติเรามีความหวัง ด้วยการที่คณะสงฆ์ทุกท่านมาเป็นหลักชัย ทำให้ญาติโยมมีดวงตาเห็นธรรม ผลักดันขับเคลื่อนให้ข้าราชการมีกำลังใจและภาคภูมิใจที่ได้ทำหน้าที่ข้าราชการที่ดีในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขอฝากผู้นำของกระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำเภอ ไว้กับคณะสงฆ์และพระเถระทุกท่าน และได้โปรดเมตตาในการร่วมกันแก้ไขในสิ่งผิด สนองพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการทำให้ “ประเทศชาติมั่นคง ประชาชนมีความสุข แก้ไขในสิ่งผิด สืบสานในพระราชปณิธาน ภายใต้ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง”

นอกจากนี้ ขอฝากไปยังฆราวาสทุกท่าน ช่วยกันขับเคลื่อนทำให้พระสงฆ์และฆราวาสได้ร่วมมือกันทำสิ่งที่ดี เป็นกำลังใจให้ฝ่ายบ้านเมือง ฝ่ายญาติโยม ประเทศชาติจะมีความมั่นคงและสงบสุขได้ ด้วยความรักและความสามัคคี ความตั้งใจ และที่สำคัญคือ “Passion” หรืออุดมการณ์ในการ Change for Good ทำให้เกิดสิ่งที่ดีขึ้นกับประเทศไทย ขอให้พวกเรานำเอากำลังใจและพรของเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ ไปทำให้สำเร็จและเกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างยั่งยืน





ขอบคุณที่มา : https://thebuddh.com/?p=78417
105  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ส่องมติ “มหาเถรสมาคม” ประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๖๗ เมื่อ: มีนาคม 22, 2024, 09:37:13 am
.



ส่องมติ “มหาเถรสมาคม” ประชุมครั้งที่ ๘/๒๕๖๗

วันพุธที่ ๒๐ มีนาคม ๒๕๖๗ เมื่อเวลา ๑๔.๐๐ น. ณ ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหารกรุงเทพมหานคร เจ้าพระคุณสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ทรงลาการประชุม ทรงมีพระบัญชาให้ สมเด็จพระพุฒาจารย์ เป็นประธานในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๘/๒๕๖๗ โดยมีกรรมการมหาเถรสมาคมเข้าร่วม

การนี้ นายอินทพร จั่นเอี่ยม ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กราบทูลถวายเปิดการประชุม พร้อมด้วยผู้เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุม

โดยหลังการประชุมเสร็จสิ้น นายพงศ์พล โยธินทวี รองโฆษกสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้แถลงข่าวการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๘ ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๖๗ โดยมีวาระการประชุมมหาเถรสมาคม อาทิ


@@@@@@@

๑. พิจารณาเสนอแต่งตั้งพระครูวิบูลกาญจโนภาส (สมบัติ) ฉายา ปริปุณฺโณ อายุ ๖๖ พรรษา ๔๖ วิทยฐานะ น.ธ.เอก, ป.ธ. ๔, พธ.ม., รป.ด. วัดพระแท่นดงรังวรวิหาร ตำบลพระแท่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระแท่นดงรังวรวิหาร ให้ดำรงตำแหน่งรองเจ้าอาวาสวัดพระแท่นดงรังวรวิหาร

๒. พิจารณาเสนอแต่งตั้งผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพลชนะสงคราม ตำบลบ้านใต้ อำเภอเมืองกาญจนบุรี จังหวัดกาญจนบุรี จำนวน ๓ รูป ดังนี้
    - พระมานิตย์ ฉายา ธมฺมมานิโต อายุ ๔๕ พรรษา ๒๕ วิทยฐานะ น.ธ.เอก, ประโยค ๑-๒ วัดไชยชุมพลชนะสงคราม เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพลชนะสงคราม ในหน้าที่ฝ่ายเผยแผ่
    - พระมหาเจษฎา ฉายา ญาณวิสุทฺโธ อายุ ๓๔ พรรษา ๑๔ วิทยฐานะ น.ธ.เอก, ป.ธ.๓, พธ.บ. วัดไชยชุมพลชนะสงคราม เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพลชนะ ในหน้าที่ฝ่ายปกครอง
    - พระมหาบัลลังก์ ฉายา ภูริปญฺโญ อายุ ๒๙ พรรษา ๑๐ วิทยฐานะ ป.ธ.๗ วัดไชยชุมพลชนะสงคราม เป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดไชยชุมพลชนะสงคราม ในหน้าที่ฝ่ายสาธารณูปการ

๓. รับทราบโครงการบรรพชาอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องใน โอกาสพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ ระหว่างวันที่ ๑๔ กรกฎาคม – ๓ สิงหาคม ๒๕๖๗ ผู้เข้าบรรพชาอุปสมบทเป็นบุคลากรของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน แบ่งเป็น
    - ในส่วนกลาง (กรุงเทพมหานคร) จำนวน ๗๓ คน กำหนดจัดพิธี ณ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินโครงการฯ ได้แก่ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และกรุงเทพมหานคร
   - และในส่วนภูมิภาคทุกจังหวัด ๆ ละ ๗๓ คน รวมจำนวนทั้งสิ้น ๕,๖๒๑ คน จัดพิธี ณ วัดในจังหวัดต่าง ๆ ที่กำหนด โดยมีหน่วยงานรับผิดชอบดำเนินโครงการฯ ได้แก่ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ




๔. พิจารณาขออนุมัติจัดตั้งสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดพังงา จำนวน ๒ แห่ง ดังนี้
    - สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดพังงา แห่งที่ ๗ ตั้งอยู่ที่ วัดดอน ตำบลโคกกลอย อำเภอตะกั่วทุ่ง จังหวัดพังงา
    - สำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดพังงา แห่งที่ ๘ ตั้งอยู่ที่ วัดสวนวาง ตำบลแม่นางขาว อำเภอคุระบุรี จังหวัดพังงา

๕. พิจารณาขอความเห็นชอบบูรณปฏิสังขรณ์วัดร้าง เพื่อขอยกวัดร้างขึ้นเป็นวัดมีพระภิกษุอยู่จำพรรษา จำนวน ๒ วัด ดังนี้
    - วัดพระธาตุม่อนทรายเหงา (ร้าง) จังหวัดลำปาง
    - วัดธาตุไทรงาม (ร้าง) จังหวัดอุดรธานี

๖. รับทราบโครงการหมู่บ้านยั่งยืน (Sustainable Village) เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๗ โดยขอความเมตตาจากพระสังฆาธิการให้มีพระผู้รับผิดชอบประจำตำบล ๑ พระ ๑ ตำบล ร่วมขับเคลื่อนการพัฒนาหมู่บ้านให้ทุกหมู่บ้าน/ชุมชน เป็นหมู่บ้านยั่งยืน


 



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
URL : https://thebuddh.com/?p=78390
106  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ในหลวงพระราชทานภาพวาดฝีพระหัตถ์ ธรรมนาวา “วัง” แด่..กรรมการมหาเถรสมาคม เมื่อ: มีนาคม 22, 2024, 09:28:07 am
.



ในหลวงพระราชทานภาพวาดฝีพระหัตถ์ ธรรมนาวา “วัง” แด่..กรรมการมหาเถรสมาคม

วันพุธที่ 20  มีนาคม 2567 เวลา 14.00 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานภาพวาดฝีพระหัตถ์พร้อมคติธรรม ธรรมนาวา “วัง”

ซึ่งประกอบด้วยหลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ แบบวิธีระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย และหลักอริยสัจ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ พลอากาศตรีสุพิชัย สุนทรบุระ รองเลขาธิการพระราชวัง อัญเชิญ ธรรมนาวา “วัง”  ผ้าไตร และเครื่องไทยธรรม พระราชทานถวายแด่ กรรมการมหาเถรสมาคม ตำหนักเพ็ชร วัดบวรนิเวศวิหาร เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร”

สำหรับธรรมนาวา “วัง” หลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานภาพวาดฝีพระหัตถ์พร้อมคติธรรม ธรรมนาวา “วัง” ซึ่งประกอบด้วยหลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ แบบวิธีระลึกถึงคุณพระรัตนตรัย และหลักอริยสัจ 4

















ขอขอบคุณ :-
ภาพข่าว : สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ
URL : https://thebuddh.com/?p=78373
107  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ในหลวงโปรดเกล้าฯ พระราชทาน “หลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์” ฉบับธรรมนาวา “วัง” เมื่อ: มีนาคม 22, 2024, 08:17:17 am
.



ในหลวง พระราชทาน ‘หลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์’ ฉบับธรรมนาวา ‘วัง’ แก่พสกนิกรไทย


เมื่อวันที่ 21 มีนาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชอนุสรณ์คำนึงถึงพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่ง แห่งองค์พระบรมศาสดาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในพระราชฐานะพุทธมามกะและองค์อัครศาสนูปถัมภก ได้ทรงบำเพ็ญเพียรพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ เพื่อทำนุบำรุง เจือจุน ให้พระพุทธศาสนา อันมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เป็นพระศาสดา ได้ธำรงคงอยู่ให้พุทธบริษัททั้งหลายได้รับประโยชน์

โดยการศึกษา(ปริยัติ) น้อมนำพระธรรมคำสอนลงมือทำ(ปฏิบัติ) เพื่อเข้าถึง(ปฏิเวธ) ซึ่งสาระแก่นแท้ของพระศาสนา คือ ความสิ้นทุกข์




จึงได้ทรงเล็งเห็นความสำคัญในการพระราชทานเผยแพร่หลักธรรมอันทรงคุณค่าที่พุทธศาสนิกชน ตลอดจนประชาชนพลเมืองชาติ ทุกหมู่เหล่า ให้ได้ศึกษาหลักการวิธีปฏิบัติ อันได้ชื่อว่า เป็นการปฏิบัติตามพระธรรม คำสอน

เพื่อเข้าถึงความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ที่ชื่อว่า “พุทธะ” คือสัจธรรมที่เป็นความรู้ อย่างผู้รู้แจ้งด้วยปัญญา ผ่านหลักสัจธรรมความเป็นจริงตามธรรมชาติ ที่พระพุทธองค์นำมาบอกสอน ที่ชื่อว่า “ธรรมะ” ด้วยการเป็นผู้น้อมนำประพฤติปฏิบัติจนสามารถรู้ตาม เห็นตาม ที่ชื่อว่า”สังฆะ”

อันพุทธะ ธรรมะ สังฆะนี้ เป็นสรณะที่พึงยึดเป็นพลังทางใจ พลังทางสติปัญญา อย่างแท้จริง ตามแนวทางการปฏิบัติธรรมนาวาของ พระจารุวณฺโณ ภิกฺขุ (พระอาจารย์ต้น)




จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเป็นธรรมทาน เพื่อประโยชน์สุข อันพึงจะได้รับจากพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงผ่านหลักการปฏิบัติอย่างถูกต้องตรงตามพุทธบัญญัติ แก่พุทธบริษัท และประชาชนทุกหมู่เหล่า ถวายเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา มาตาปิตุบูชา อาจริยบูชา ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ พระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ทุกๆพระองค์



โดยหลักปฏิบัติเป็นภาพฝึพระหัตถ์การ์ตูนสีสันสดใส พร้อมคำอธิบายต่างๆ อาทิ
    - การระลึกพระรัตนตรัย,
    - การทักอารมณ์,
    - แบบวิธีระลึกพระรัตนตรัยในขณะเดินจงกรม,
    - พิจารณากาย 6 ขั้นตอน,
    - การเรียนรู้ขันธ์ 5 ด้วยการกำหนดดูลักษณะขันธ์ 5 เกิด-ดับ,
    - การกำหนดขันธ์ 5 ลงสู่อริยสัจ 4,
    - ท่องบทธาตุกัมมัฏฐาน 4
















ทั้งนี้ สามารถดาวโหลด หลักปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ ได้ทางเว็บไซต์ หน่วยรายการในพระองค์  https://www.royaloffice.th/2024/03/20/ธรรมนาวา-วัง-2567/





Thank to :-
ภาพ : https://www.royaloffice.th/2024/03/20/ธรรมนาวา-วัง-2567/ 
ข่าว : https://www.matichon.co.th/court-news/news_4484243
วันที่ 21 มีนาคม 2567 - 12:37 น.   
108  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / “สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์” ประธานอัญเชิญพระพุทธปฏิมาทองสำริด ประดิษฐานหน้า มจร เมื่อ: มีนาคม 22, 2024, 07:00:37 am




“สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์” ประธานอัญเชิญพระพุทธปฏิมาทองสำริด ประดิษฐานหน้า มจร

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน เป็นประธานพิธีอัญเชิญพระพุทธปฏิมา “พระพุทธมหาจุฬาลงกรณชุตินธรบวรศาสดา” ประดิษฐานบนฐานชุกชี หน้า มจร

เมื่อวันที่ 21 มี.ค. ที่ “รมณียพุทธอุทยาน” บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร)​ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา มีพิธีอัญเชิญพระพุทธปฏิมา “พระพุทธมหาจุฬาลงกรณชุตินธรบวรศาสดา” ประดิษฐานบนฐานชุกชี

โดยมี สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน เป็นประธานในพิธี พร้อมด้วย พระพรหมวชิราธิบดี นายกสภามหาวิทยาลัย พระธรรมวัชรบัณฑิต อธิการบดี พระเทพปวรเมธี รองอธิการบดีฝ่ายบริหาร ศ.พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต ร่วมพิธี






ทั้งนี้ น.ส.เพ็ญศรี ชั้นบุญ ประธานคณะทำงานสร้าง “พระพุทธมหาจุฬาลงกรณชุตินธรบวรศาสดา” และสร้างฐานชุกชีที่ประดิษฐานพระพุทธปฏิมา ​กล่าวว่า ตามที่ มจร ได้จัดงานวันจำนงค์ ทองประเสริฐ ในวันที่ 2 พ.ค. ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันอายุวัฒนมงคลของ ศ.พิเศษ จำนงค์ ทองประเสริฐ ราชบัณฑิต คณะศิษยานุศิษย์ได้ปรารภในการสร้างพระพุทธปฏิมา เป็นอนุสรณ์ในมงคลสมัยคล้ายวันเกิดของ ศ.พิเศษ จำนงค์ ผู้เป็นปูชนียบุคคลของ มจร โดยความเห็นชอบของพระพรหมบัณฑิต อุปนายสภามหาวิทยาลัย ประธานมูลนิธิจำนงค์ ทองประเสริฐ พระธรรมวัชรบัณฑิต อธิการบดี และคณะผู้บริหาร มจร เพื่อประดิษฐานไว้ ณ รมณียพุทธอุทยาน มจร ต.ลำไทร อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา

สำหรับมงคลนาม “พระพุทธมหาจุฬาลงกรณชุตินฺธรบวรศาสดา” ได้รับความเมตตาจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ในการตั้งชื่อพระพุทธปฏิมาองค์นี้ ซึ่งมีขนาดหน้าตักความกว้าง 5 เมตร ความสูง 6 เมตร 30 เซนติเมตร มีน้ำหนัก 4.5 ตัน เป็นพระพุทธปฏิมาปางปฐมเทศนาที่หล่อด้วยทองสำริดทั้งองค์ นอกจากนี้ ยังได้รับอนุมัติงบประมาณรายได้ของ มจร เพื่อปรับปรุงภูมิทัศน์ด้านหน้า มจร และพัฒนาพื้นที่ให้เป็น “รมณียพุทธอุทยาน” ด้วย






สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ กล่าวสัมโมทนียกถาตอนหนึ่ง ว่า เราทั้งหลายที่มาร่วมกันในการอัญเชิญ “พระพุทธมหาจุฬาลงกรณชุตินธรบวรศาสดา” ครั้งนี้ ต่างเป็นพุทธมามกะ ซึ่งหากกล่าวถึงความหมายง่ายๆ หมายถึง ผู้ที่รับพระพุทธเจ้ามาเป็นของเรา หรือหากกล่าวถึงความหมายของพุทธมามกะในอีกความหมาย คือการที่พระพุทธเจ้ายอมรับเป็นสาวกของพระองค์ ซึ่งต้องประพฤติดีปฏิบัติชอบ ต้องศึกษาหลักตามไตรสิกขา จึงจะถึงความสมบูรณ์ในการเป็นพุทธมามกะ

การได้มาร่วมอัญเชิญพระพุทธรูปดังกล่าวประดิษฐานแล้ว ถือว่าเป็นพระประธานของ มจร เราทั้งหลายก็ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าของ มจร ทั้งหมด และต้องช่วยกันบริหาร มจร ให้ก้าวไปข้างหน้าด้วยดี เพราะ มจร ถือได้ว่าเป็นฐานสำคัญในการทำให้พระพุทธศาสนาเจริญก้าวหน้า และยังเป็นการประกาศถึงความเจริญมั่นคงของ มจร โดยมีพระพุทธรูปนี้เป็นสิ่งยืนยันด้วย






ขอบคุณที่มา : https://www.dailynews.co.th/news/3277707/
21 มีนาคม 2567 | 16:53 น. | การศึกษา-ศาสนา
109  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไขความลับ เมืองโบราณจมแม่น้ำโขง ปริศนา "พระเจ้าล้านตื้อ" หลังลาวพบพระล้ำค่า เมื่อ: มีนาคม 22, 2024, 06:31:50 am
.



ไขความลับ เมืองโบราณจมแม่น้ำโขง ปริศนา "พระเจ้าล้านตื้อ" หลังลาวพบพระล้ำค่า

"พระเจ้าล้านตื้อ" พระพุทธรูปโบราณที่ศรัทธาของคนไทย-ลาว สองฝั่งโขง มีตำนานจมอยู่ก้นบาดาล ล่าสุดการขุดค้นพบพระโบราณจำนวนมาก ริมฝั่งแม่น้ำโขง ณ เมืองต้นผึ้ง ตรงข้าม จ.เชียงราย เป็นจิ๊กซอว์สำคัญทางประวัติศาสตร์ล้านนา ยืนยันถึงเกาะดอนแท่น เมืองโบราณกลางลำน้ำ ก่อนจมสลายไปพร้อมพระพุทธรูปล้ำค่า ที่ยังหาไม่เจอ

เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 67 ลาวขุดพบพระพุทธรูปในแม่น้ำโขง เมืองต้นผึ้ง ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ประชาชนคนลาว แห่ชมพระพุทธรูปขนาดใหญ่ 3 องค์ ขนาดเล็กอีกจำนวนมาก หลังจากนั้นมีการขุดค้นหาต่อเนื่อง และพบพระจมอยู่ใต้แม่น้ำมาเป็นเวลานานจำนวนมาก




การขุดค้นพบพระโบราณในประเทศลาว สะท้อนถึงภาพประวัติศาสตร์ล้านนาโบราณ ที่เชื่อมโยงกับไทย โดยสันนิษฐานว่าบริเวณดังกล่าวในอดีต มีเกาะดอนแท่น ยื่นออกไปกลางลำน้ำโขง ทีมข่าวเจาะประเด็น ไทยรัฐ ออนไลน์ สอบถามไปยัง พระครูโสภณกวีวัฒน์ (ธนจรรย์ สุระมณี) ผู้ช่วยเจ้าอาวาส วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร อ.เมือง จ.เชียงใหม่ นามปากกา ส.กวีวัฒน์ ผู้ที่ศึกษาประวัติศาสตร์ล้านนา ให้ข้อมูลว่า พระที่ขุดค้นพบเป็นพระที่มีพุทธลักษณะแบบเชียงแสน เดิมสมัยโบราณ พื้นที่นี้มีเกาะดอนแท่น ที่ยื่นออกไปกลางแม่น้ำโขง มีการสร้างวัดและวังอยู่บนพื้นที่ตั้งแต่ "พญาแสนพู” ราชวงศ์มังราย



โดยมีตำนานประวัติศาสตร์เล่าว่า เมื่อกาลเวลาผ่านไป น้ำในแม่น้ำโขงไหลเชี่ยวและเปลี่ยนทิศทาง จนทำให้ เกาะดอนแท่น จมหายไปในแม่น้ำ สิ่งปลูกสร้างโบราณและพระพุทธรูปจำนวนมากจมหายไปพร้อมกัน โดยเฉพาะพระพุทธรูปสำคัญคือ “พระเจ้าล้านตื้อ” เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ มีหน้าตักกว้างกว่ารถสิบล้อจะขนได้ แม้ที่ผ่านมาเคยมีผู้นำระดับประเทศของไทย พยายามค้นหา และกู้ขึ้นมาจากแม่น้ำโขง แต่ไม่สามารถทำได้ เพราะอาจมีปัญหาในเรื่องความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน



สำหรับพุทธลักษณะของ พระเจ้าล้านตื้อ มีความงดงาม ตามแบบลักษณะสำคัญของพระพุทธรูป ศิลปะล้านนา ที่เรียกว่า พระพุทธรูปสิงห์แบบเชียงแสน ที่มีการแบ่งประเภทที่เรียกว่า "พระพุทธรูปสิงห์ 1” มีลักษณะประทับนั่งขัดสมาธิเพชร เห็นฝ่าพระบาททั้งสองข้าง พระพักตร์กลม อมยิ้ม ขมวดพระเกศาใหญ่ รัศมีดอกบัวตูม พระวรกายอวบอ้วน ชายสังฆาฏิสั้นเหนือพระถัน ซึ่งพบได้ยาก และช่างรุ่นต่อไม่ไม่นิยมทำขึ้นใหม่



“เกาะดอนแท่น ยุคสมัยพญาแสนพู ราชวงศ์มังราย เคยสร้างวังประทับที่นั่น เมื่อตอนสวรรคตก็เก็บร่างไว้อยู่นาน เพราะกลัวว่าบ้านเมืองจะปั่นป่วน พระพุทธรูปที่ค้นพบก็ยืนยันถึงศิลปะยุคเดียวกัน แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับอาณาจักรสุวรรณโคมคำ ที่อยู่ในยุคหลัง ซึ่งผสมผสานความเป็นขอม”




การขุดค้นพบพระพุทธรูปโบราณในฝั่งลาว ถือเป็นการเชื่อมโยงประวัติศาสตร์ด้านพุทธศาสนาทั้งสองประเทศ อาตมายังคาดหวังให้ไทย และลาวร่วมมือกันค้นหา พระเจ้าล้านตื้อ ที่จมอยู่ในแม่น้ำโขง เพื่อกู้ขึ้นมาเชื่อมต่อประวัติศาสตร์ร่วมกันของทั้งสองมิตรประเทศ.





Thank to : https://www.thairath.co.th/scoop/interview/2772121
20 มี.ค. 2567 18:20 น. | สกู๊ปไทยรัฐ > Interview > ไทยรัฐออนไลน์
110  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทำฌาน ๔ ประการให้มาก ย่อมน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน เมื่อ: มีนาคม 21, 2024, 07:56:59 am
.



เมื่อเจริญฌาน ๔ ประการ ทำฌาน ๔ ประการให้มาก ย่อมน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน



๙. ฌานสังยุต
๑. คังคาเปยยาลวรรค หมวดว่าด้วยคังคาเปยยาล
๑-๑๒. ฌานาทิสูตร ว่าด้วยฌาน เป็นต้น


[๙๒๓-๙๓๔] เรื่องเกิดขึ้นที่กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ฯลฯ
             
“ภิกษุทั้งหลาย ฌาน ๔ ประการนี้ ฌาน ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    ๑. สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่
    ๒. เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป บรรลุทุติยฌานมีความผ่องใสใน ภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตกไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิอยู่
    ๓. เพราะปีติจางคลายไป มีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุตติยฌานที่พระอริยทั้งหลายสรรเสริญว่า ‘ผู้มีอุเบกขา มีสติ อยู่เป็นสุข’
    ๔. เพราะละสุขและทุกข์ได้ เพราะโสมนัสและโทมนัสดับไปก่อนแล้ว บรรลุจตุตถฌาน ที่ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาอยู่
    ฌาน ๔ ประการนี้

    ภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำคงคาไหลไปสู่ทิศปราจีน บ่าไปสู่ทิศปราจีน หลากไปสู่ทิศปราจีน แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่อเจริญฌาน ๔ ประการ ทำฌาน ๔ ประการให้มาก ย่อมน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน
                                               
    ภิกษุเมื่อเจริญฌาน ๔ ประการ ทำฌาน ๔ ประการให้มาก ย่อมน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน อย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
    ๑. สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตกวิจาร ปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่
    ๒. เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ
    ๓. ... บรรลุตติยฌาน ฯลฯ
    ๔. ... บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเมื่อเจริญฌาน ๔ ประการ ทำฌาน ๔ ประการให้มาก ย่อมน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน อย่างนี้แล”

                ฌานาทิสูตรที่ ๑-๑๒ จบ


@@@@@@@

๕. โอฆวรรค หมวดว่าด้วยโอฆะ
๑-๑๐. โอฆาทิสูตร ว่าด้วยโอฆะ เป็นต้น


[๙๖๗-๙๗๖] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
“ภิกษุทั้งหลาย อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการนี้ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการ อะไรบ้าง คือ
    ๑. รูปราคะ     
    ๒. อรูปราคะ
    ๓. มานะ      
    ๔. อุทธัจจะ
    ๕. อวิชชา
อุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการนี้

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเจริญฌาน ๔ ประการ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่อละอุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการนี้

     ฌาน ๔ ประการ อะไรบ้าง คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
     ๑. สงัดจากกามและอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานที่มีวิตก วิจาร ปีติและสุขอันเกิดจากวิเวกอยู่
     ๒. เพราะวิตกวิจารสงบระงับไป บรรลุทุติยฌานที่มีความผ่องใสในภายใน มีภาวะที่จิตเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดจากสมาธิอยู่
     ๓. ... บรรลุตติยฌาน ฯลฯ
     ๔. ... บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ

ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพึงเจริญฌาน ๔ ประการนี้ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อกำหนดรู้ เพื่อความสิ้นไป เพื่อละอุทธัมภาคิยสังโยชน์ ๕ ประการนี้
             
     ข้อความที่เหลือพึงให้พิสดารอย่างนี้ (พึงเพิ่มข้อความให้พิสดารเหมือนมัคคสังยุต)

              โอฆวรรคที่ ๕ จบ





ขอขอบคุณ :-
ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๑๙ หน้า : ๔๔๘-๔๕๑
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๙ , พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค
website : https://84000.org/tipitaka/read/m_siri.php?B=19&siri=298
ภาพจาก : https://www.pinterest.ca/pin/1125968651156557/
111  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / กรมศิลปากร รับอาสาสมัคร ขุดค้นทางโบราณคดี วัดจักรวรรดิราชาวาส เมื่อ: มีนาคม 21, 2024, 06:52:31 am
.



กรมศิลปากร รับอาสาสมัคร ขุดค้นทางโบราณคดี วัดจักรวรรดิราชาวาส

กรมศิลปากร ประกาศรับอาสามัคร เข้าร่วมขุดค้นทางโบราณคดี วัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร พร้อมสำรวจชุมชนประวัติศาสตร์ย่านสัมพันธวงศ์ ถึง 12 เม.ย. 67

กรมศิลปากร กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมกับ มูลนิธิสุทธิรัตน์ อยู่วิทยา ดำเนินโครงการ ศึกษาโบราณคดีวัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร และพัฒนาการชุมชนประวัติศาสตร์ย่านสัมพันธวงศ์ ระยะแรก ระหว่างวันที่ 19 มีนาคม – 12 เมษายน 2567

นายพนมบุตร จันทรโชติ อธิบดีกรมศิลปากร กล่าวว่า การดำเนินงานระยะแรกนี้ จะเป็นการขุดค้นทางโบราณคดีภายในพื้นที่โบราณสถาน หรือเขตพุทธาวาสของวัดจักรวรรดิราชาวาส ซึ่งทางวัดเป็นฝ่ายขอให้กรมศิลปากรเข้ามาดำเนินงานโบราณคดี



กรมศิลปากร รับอาสาสมัคร ขุดค้นทางโบราณคดี วัดจักรวรรดิราชาวาส

เพื่อนำข้อมูลหลักฐานทางโบราณคดีไปใช้ในการออกแบบบูรณะโบราณสถานและการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในพื้นที่โบราณสถานวัดจักรวรรดิราชาวาส และเพื่อรักษาศาสนสมบัติและมรดกวัฒนธรรมให้ยั่งยืน

โดยรูปแบบการดำเนินงาน จะเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน และการแบ่งปันองค์ความรู้สู่สังคมในวงกว้าง เปิดโอกาสให้อาสาสมัคร ซึ่งเป็นประชาชนทั่วไป ได้เข้ามาร่วมสำรวจและขุดค้นทางโบราณคดี ส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยให้นักโบราณคดีรุ่นใหม่ได้เข้ามาฝึกฝนและเรียนรู้ประสบการณ์จริงในการทำงานภาคสนามทางโบราณคดี

ส่วนการสำรวจชุมชนประวัติศาสตร์ย่านสัมพันธวงศ์ มุ่งเน้นศึกษาความหลากหลายทางวัฒนธรรม ที่สะท้อนอัตลักษณ์ของชุมชนประวัติศาสตร์เมืองบางกอก โดยเฉพาะชุมชนชาวจีนโพ้นทะเลย่านสำเพ็ง เยาวราช และตลาดน้อย เพื่อเป็นทุนทางวัฒนธรรมและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและคุณภาพของสังคมในย่านประวัติศาสตร์อย่างยั่งยืน



กรมศิลปากร รับอาสาสมัคร ขุดค้นทางโบราณคดี วัดจักรวรรดิราชาวาส

สำหรับวัดจักรวรรดิราชาวาส วรมหาวิหาร หรือวัดสามปลื้ม เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดวรมหาวิหาร มีประวัติสร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยา และได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ทรงสถาปนาให้เป็นพระอารามหลวง เป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ควบคู่กับชุมชนบางกอกและสำเพ็งมายาวนาน มีปูชนียวัตถุสถานที่มีความสำคัญเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์หลายประการ

เช่น วิหารพระนาก พระอุโบสถ พระวิหารกลาง พระปรางค์และมณฑปประดิษฐานรอยพระพุทธบาท รวมถึงรูปเหมือนพระพุฒาจารย์มา หรือท่านเจ้ามา และรูปเหมือนเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เป็นต้น






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : กรมศิลปากร
website : https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/219850
โดย PPTV Online | เผยแพร่ 20 มี.ค. 2567 ,16:28น.
112  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แนะผู้เข้าอบรม “พระธรรมทูตสายต่างประเทศ” ยึดหลัก “สาราณียธรรม 6 ประการ” เมื่อ: มีนาคม 21, 2024, 06:45:25 am
.



แนะผู้เข้าอบรม “พระธรรมทูตสายต่างประเทศ” ยึดหลัก “สาราณียธรรม 6 ประการ”

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนฯ ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ กล่าวให้โอวาทเปิดโครงการอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุ่นที่ 30

สมเด็จพระมหาธีราจารย์ (ปสฤทธ์ เขมงฺกโร) กรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) เจ้าอาวาสวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ประธานสำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ กล่าวให้โอวาทในพิธีเปิดโครงการอบรมพระธรรมทูตสายต่างประเทศ รุ่นที่ 30 ที่อาคาร มวก. 48 พรรษา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) จ.พระนครศรีอยุธยา ว่า งานพระธรรมทูตนั้น เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า เป็นงานที่ต้องใช้ความวิริยะอุตสาหะ ความเสียสละ และความหนักแน่นอดทน เพราะเป็นงานที่ต้องปฏิบัติศาสนกิจในความหลากหลายของกฎหมาย วัฒนธรรม จารีต ประเพณี แต่ถึงอย่างไร ต้องตระหนักในพระธรรมวินัยเป็นที่สุด สมเด็จบรมบพิตรพระราชสมภารเจ้า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ พระราชทานพระราโชบายไว้เป็นแนวทางการดำเนินงานของคณะสงฆ์ว่า

“พัฒนาความรู้ และคุณภาพพระสงฆ์ ให้เป็นหลักทางใจของประชาชน ให้พระมีความสำนึก และเป็นประโยชน์ในสังคมไทย” พระราโชบายนี้ เป็นคติเตือนใจที่สำคัญมาก ที่จะต้องประพฤติตนในพระธรรมวินัยให้สมบูรณ์ เพิ่มพูนปณิธานและความเพียรอันแน่วแน่ ที่จะพัฒนาตน พัฒนาความรู้ พัฒนาจิตใจ ให้สมดุล มส.สนองพระราโชบาย ให้ความสำคัญกับงานพระธรรมทูต ส่งเสริม สนับสนุน และกำกับดูแลให้พระธรรมทูต ไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาในนานาอารยประเทศเพื่อประโยชน์เกื้อกูลและความสุขแก่มหาชนในประเทศนั้นๆ ตามพระพุทธประสงค์ ตามพระธรรมวินัย และตามหลักของบุรพาจารย์




สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กล่าวต่อไปว่า ขอปรารถสารัตถธรรมถวายคำแนะนำแนวทางในการเข้ารับการอบรมนั้น พึงตระหนักในพระพุทธพจน์ บทที่ว่า
    “สาธุ สพฺพตฺถ สํวโร พึงสำรวมในที่ทั้งปวง เป็นดี” และ
     “ธมฺมํ จเร สุจริตํ พึงทำดีให้สุจริต” ทำให้เหมาะ ทำให้ดี ทำให้ถูกต้อง

พระพุทธศาสนานั้น เป็นศาสนาที่ส่งเสริมให้บุคคลจัดการวิถีชีวิตของตนอย่างสอดคล้องกับวิถีธรรมชาติให้มากที่สุด การศึกษาและปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จัดเป็นอุปนิสัย คือปัจจัยเครื่องอาศัยของพระธรรมทูต เพราะการฝึกอบรมนั้นต้องเจริญพระกัมมัฏฐาน รักษาเสนาสนะ สมณบริขาร สถานที่ที่เกื้อกูลต่อการเจริญสมณธรรม เอื้อประโยชน์ต่อการแสวงความรู้ และความสงบสุขทางใจ การอบรมพัฒนาด้วยการภาวนาทางจิต นำพาชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ จักเป็นอุปกรณ์ให้ตั้งมั่นอยู่ในธรรม สมบูรณ์ด้วยศีล สมาธิ และปัญญา การอบรมตลอดหลักสูตร ระยะเวลา 3 เดือน

ขอน้อมนำพระพุทธศาสนี ที่หมู่คณะใดน้อมนำไปปฏิบัติแล้วจักเกิดความสามัคคีปรองดอง เกื้อกูล มีน้ำใจไมตรี เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ทะเลาะวิวาทกันนั้น ซึ่งเราทั้งหลายทราบประจักษ์อยู่แล้ว คือ หลักสาราณียธรรม 6 ประการ ประกอบด้วย
    - เมตตากายกรรม
    - เมตตาวจีกรรม
    - เมตตามโนกรรม
    - สาธารณโภคี
    - สีลสามัญญตา และ
    - ทิฐิสามัญญตา

ธรรมมทั้ง 6 ประการนี้ มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน จึงเป็นโอกาสให้ทุกรูปได้น้อมนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินการและเข้ารับการอบรมตลอดโครงการ ตามหน้าที่ของตน ให้ได้ครบถ้วนทั้ง 6 ประการ เพื่อความวัฒนาสถาพรของคณะสงฆ์และพระบวรพุทธศาสนายิ่งขึ้นไป






สมเด็จพระมหาธีราจารย์ กล่าวอีกว่า การปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐาน จะบริบาลให้ทุกรูป อุดมด้วยปสาทะ ศรัทธา และมีสัมมาปัญญา ด้วยเหตุนี้ สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาจารย์ จึงทรงนำหลักเจริญ “มหาสติปัฏฐาน 4” คือการเจริญสติไปในกาย ในเวทนา ในจิตและในธรรม นำเป็นหลักปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เพื่ออบรมสติให้บริสุทธิ์สะอาดปราศจาก “มิจฉาสติ” ไม่วิปริตบกพร่อง แต่เป็น “สัมมาสติ” ที่ถูกต้องบริสุทธิ์ จนบังเกิด “อัปปมาทธรรม” คือ ความไม่ประมาท ขึ้นใน “ปัญญา”

ปราชญ์จึงกล่าวว่า สติ คือ ความไม่ประมาท และความไม่ประมาท คือบ่อเกิดแห่ง “ปัญญา” ผู้เข้ารับการอบรมพระธรรมทูต พึงตั้งใจเจริญปัญญาให้อุดมด้วย “สัมมาปัญญา” ซึ่งตรงกับหลักวิทยาศาสตร์ สามารถยังผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ มิให้ตกไปสู่ที่ชั่วให้ได้รับผลสมกับการปฏิบัติ คือ ให้พ้นทุกข์ ประสบสันติสุขสวัสดีได้อย่างแท้จริง





ขอบคุณ : https://www.dailynews.co.th/news/3275143/
20 มีนาคม 2567 | 19:32 น. | การศึกษา-ศาสนา
113  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / จะต้องเข้าฌานสี่ก่อน แล้วจึงวิปัสสนา ใช่ไหม.? เมื่อ: มีนาคม 21, 2024, 06:32:25 am
.



จะต้องเข้าฌานสี่ก่อน แล้วจึงวิปัสสนา ใช่ไหม.?
โดย อาจารย์ไชย ณ พล

Q ถาม : ท่านอาจารย์ครับ การวิปัสสนาต้องเข้าฌานสี่ตามสามัญญผลสูตรก่อนใช่ไหมครับจึงวิปัสสนาได้

A อาจารย์ไชย ณ พล ตอบ : ขึ้นอยู่กับระดับวิปัสสนา แท้จริงแล้ว สมถะ วิปัสสนา วิราคะ จะร้อยเรียงผสานกันหมุนวนไปตลอดทางบรรลุธรรม พอเราพบกัลยาณมิตร เกิดความเข้าใจสนใจ (วิปัสสนา) ศรัทธาในธรรม (สมถะ) แรกเริ่มเกิดขึ้นแล้ว

@@@@@@@

จากนั้นวิปัสสนา สัมมาทิฏฐิ เรื่องความดีที่ไม่ดีจริง ความดีที่ดีจริง แล้วมองภาพรวมอริยสัจ วิปัสสนาเบื้องต้นบังเกิดแล้ว ถึงจะเบื้องต้น แต่สัมมาทิฎฐิเป็นประธานแห่งมรรค เพราะหากไม่มีสัมมาทิฏฐิ มรรคตัวอื่น ๆ ก็ไม่เกิดขึ้น และสัมมาทิฏฐิจะประคองการหมุนธรรมจักรให้ดำเนินไปตลอดทาง จึงเป็นประธานแห่งมรรค

จากนั้น สัมมาดำริ ตั้งใจออกจากกามและการเบียดเบียน ลดกิจกรรมบาปออกจากชีวิตมากมาย ตรงนี้ได้ทั้งศีล ชีวิตสมถะ และวิปัสสนาเลือกเฟ้น อะไรควรเก็บไว้ อะไรควรเอาออกไปจากสารบบชีวิตเด็ดขาด (วิราคะ)

จากนั้น สัมมาวาจา ทั้งให้สัญญากับตัวเอง ว่านี่เป็นมาตรฐานของเรา ทั้งประกาศให้ผู้เกี่ยวข้องรู้ เขาจะได้เคารพสิทธิ์ของเรา ทั้งขัดเกลาวาจาว่าจะไม่โกหก ไม่ส่อเสียดให้ใครเกลียดกัน ไม่หยาบคาย ไม่เพ้อเจ้อ ได้ทั้งศีล สัมปชัญญะกำกับตัวเอง วิปัสสนาเลือกเฟ้นถ้อยคำที่เหมาะสม วิราคะถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม ทำได้ก็ได้สมถะในใจ สมถะในความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์จะดีขึ้นทันตาเห็น

จากนั้น สัมมากัมมันตะ จัดมาตรฐานพฤติกรรมใหม่ ไม่ฆ่าชีวิตอื่น ไม่ลัก ไม่ยักยอก ไม่ฉกฉ้อทรัพย์ของใคร ไม่ประพฤติผิดในกาม ได้ทั้งศีล สัมปชัญญะกำกับตัวเอง วิปัสสนาเลือกเฟ้นการกระทำที่เหมาะสม กล้าปฏิเสธสิ่งที่ไม่เหมาะสม (วิราคะ) ทำได้ก็ได้สมถะในใจ สมถะในความสัมพันธ์ ชีวิตและโอกาสการงานจะดีขึ้นมาก

จากนั้น สัมมาอาชีวะ จัดมาตรฐานอาชีพเพื่อการดำรงอยู่ใหม่ อาชีพใดทำแล้วเป็นกุศล ไร้บาป จึงทำ หากมีบาปปนแม้เล็กน้อย ไม่ทำ แม้ระหว่างประกอบกิจการ ก็ใช้กลยุทธ์ที่เป็นกุศลเท่านั้น กลยุทธ์บาปไม่ทำ ตรงนี้ต้องใช้วิปัสสนามาก และอธิโมกข์กล้าตัดสินใจวิราคะจนเป็นธรรมต่อ stakeholder ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายมาก จนได้ Trust ความเชื่อถือได้ทางอาชีพสูง ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จทุกวิชาชีพ จะทำให้ทำน้อยแต่ได้ผลมาก ไม่ต้องทำมากแต่ได้ผลน้อยเหมือนเก่าก่อน ได้ธุรกิจสมถะ ทีมงานสมถะ (มีแต่คนที่ใช่) ชีวิตสมถะอีกมากโข




จากนั้น สัมมาวายามะ เมื่อสะอาดพอควรแล้วจะเริ่มเห็นผลบุญผลบาปชัด ก็เพียรชอบ
    ๑) ในการป้องกันบาปที่ยังไม่เกิดมิให้เกิดขึ้น
    ๒) เพียรขจัดบาปแม้เล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่ออกไป
    ๓) เพียรเจริญบุญที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น
    ๔) เพียรรักษาบุญที่เกิดขึ้นแล้วให้งอกงามภิญโญ เป็นการขัดใสชีวิตจิตใจในทุกระบบ ใช้ทั้งวิปัสสนา วิราคะ และสมถะยินดีในสิ่งที่ประเสริฐกว่า สัมมาวายามะนี้จะเป็นหัวหน้าระบบ Quality Control คุณภาพคุณธรรมตลอดทางแห่งมรรค

จากนั้น สัมมาสติ ปฏิบัติมาถึงตรงนี้แล้ว สติเริ่มอยู่กับเนื้อกับตัวมั่นคงมากขึ้น ก็พิจารณา (วิปัสสนา)
    ๑) กายในกายภายใน (ตน) กายในกายภายนอก (คนอื่น) จนเห็นเป็นอนิจจังไม่เที่ยงไปตลอดชีวิต จึงวิราคะ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ได้จิตที่สมถะตั้งมั่น สติเต็มอยู่ภายใน (mindfulness)
    ๒) เวทนาในเวทนาภายใน (ตน) เวทนาในเวทนาภายนอก (คนอื่น) จนเห็นเป็นอนิจจังไม่เที่ยงไปตลอดชีวิต จึงวิราคะ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ได้จิตที่สมถะตั้งมั่น สติเต็มอยู่ภายใน (mindfulness)
    ๓) จิตในจิตภายใน (ตน) จิตในจิตภายนอก (คนอื่น) จนเห็นเป็นอนิจจังไม่เที่ยงไปตลอดชีวิต จึงวิราคะ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ได้จิตที่สมถะตั้งมั่น สติเต็มอยู่ภายใน (mindfulness)
    ๔) ธรรมในธรรมภายใน (ตน) ธรรมในธรรมภายนอก (คนอื่น) จนเห็นเป็นอนิจจังไม่เที่ยงไปตลอดชีวิต จึงวิราคะ ไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ได้จิตที่สมถะตั้งมั่น สติเต็มอยู่ภายใน (mindfulness)

สัมมาสตินี้เป็นหัวหน้าในการรักษาจิต ทำหน้าที่กั้นกระแสไม่ให้ไหลไปภายนอก ป้องกันกระแสภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนภายใน ทรงสติเต็มตื่นรู้อยู่ภายใน (mindfulness) ไปตลอดทางแห่งมรรค

จากนั้น สัมมาสมาธิ เมื่อมีสติดีแล้วจึงเข้าสมาธิได้ หากสติยังไม่ดีจะเข้าสมาธิไม่ได้ ได้แค่สมากระท่อนกระแท่น เข้าได้แล้วก็ปฏิบัติการสมาธิ อันคือกระบวนการลอกขันธ์
    ก่อนเข้าฌาน ๑ ลอกกามฉันทะ พยาบาท ฟุ้งซ่าน หดหู่ ลังเลสงสัยออก
    ฌาน ๑ มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา (สติตั้งมั่นเป็นหนึ่ง)
    ฌาน ๒ ลอกวิตก วิจารออก เหลือแต่ปีติ สุข เอกัคคตา
    ฌาน ๓ ลอกปีติออก เหลือแต่สุข เอกัคคตา และอุเบกขา
    ฌาน ๔ ลอกสุขออก เหลือแต่อุเบกขา และสติบริสุทธิ์อยู่
    ธรรมชาติของสติเริ่มบริสุทธ์ตั้งแต่ฌาน ๔ เป็นต้นไป




ในฌาน ๔ นี้ พระพุทธเจ้าให้วิปัสสนาในฌานเลย ด้วยการใช้สติบริสุทธิ์กอปรอุเบกขา ส่องดูความเป็นจริงแห่งอดีตชาติ เรียก บุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้ววิปัสสนาว่า ตนมีวิวัฒนาการความเป็นมาอย่างไร แต่ละชาติเป็นอย่างไร เกิดตระกูลใด คุณสมบัติเด่นอะไร คุณสมบัติด้อยอะไร ชีวิตความเป็นอยู่เป็นอย่างไร ผลสุดท้ายก่อนตายเป็นทุกข์หรือเป็นสุข จากนั้นไปเกิดที่ไหนต่อ เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จนเห็นชัดว่าชาติไม่เที่ยง เกิดทุกชาติทุกข์ทุกชาติ แม้เกิดในชาติที่อายุขัยสูง ๆ ชีวิตแสนสุขสบาย ก็จะทุกข์เพราะโรคหิวและโรคตาย

ต่อไปทรงสอนให้วิปัสสนากลไกกรรมกำกับความเป็นไปของสัตว์โลก เรียก จุตูปปาตญาณ เราก็ตาม ใครก็ตาม ตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน ทำกรรมใดแล้วได้ผลเป็นอย่างไร ทั้งกรรมดีโดยเจตนา กรรมดีโดยไม่เจตนา กรรมชั่วด้วยเจตนาเบียดเบียน กรรมชั่วด้วยอารมณ์ฉันทราคะ กรรมชั่วด้วยอารมณ์ปฏิฆะ กรรมประมาทเลินเล่อ กรรมทั้งดีทั้งชั่วแอบแฝงปนกันอยู่ จะเห็นชัดซึ่งข่ายใยกรรมที่ครอบงำสัตว์โลกยั้วเยี้ยเหลือประมาณ เป็น matrix ทิพย์ของแท้ จนปรารถนาจะออกจากสังกะตังแห่งกรรมสู่อิสรภาพ

ต่อไปทรงสอนให้วิปัสสนาดับพลังผูกมัดไว้ใน matix กรรม และภพชาติอันเป็นไปตามกรรม เรียก อาสวักขยญาณ คือ
    ๑. ดับกามาสวะ (สายสวะผูกมัดคือกาม)
    ๒. ดับทิฏฐาสวะ (สายสวะผูกมัดคือความคิดเห็น)
    ๓. ดับภวาสวะ (สายสวะผูกมัดคือความเป็น)
    ๔. ดับอวิชชาสวะ (สายสวะผูกมัดคืออวิชชา ไม่รู้อดีต อนาคต และทั้งสอง ไม่รู้ปฏิจจสมุปบาท ไม่รู้อริยสัจ) การรู้อริยสัจตั้งแต่ในสัมมาทิฏฐิจะมาแจ่มกระจ่างแจ้งด้วยญาณนี้
    ดับอาสวะสี่พลังพันธนาการนี้ได้ ก็บรรลุธรรม สำเร็จอรหันต์เลย หากยังดับไม่สนิทสิ้นเชื้อ ไม่ถึงอรหันต์ ก็จักพึงถึงอนาคามี ก็ลอกขันธ์ต่อไป


@@@@@@@

ฌาน ๕ ลอกรูปสัญญาและนานัตตสัญญาออก เหลือแต่ธาตุว่าง เรียก อากาสานัญจายตนะ ในชั้นนี้ วิปัสสนาอนัตตา แล้ววิราคะตรง ๆ 

ฌาน ๖ ลอกอากาสานัญจายตนะออก เหลือแต่วิญญาณธาตุ เป็นธาตุธรรมชาติยิบสว่างรู้ที่ใจ เรียก วิญญาณัญจายตนะ ในชั้นนี้ วิปัสสนาอนัตตา แล้ววิราคะตรง ๆ

ฌาน ๗ ลอกวิญญาณัญจายตนะออก เหลือแต่อากิญจัญญายตนะธาตุ เป็นธาตุไร้เวิ้งว้าง เรียก อากิญจัญญายตนะ ในชั้นนี้ วิปัสสนาอนัตตา แล้ววิราคะตรง ๆ

ฌาน ๘ ลอกอากิญจัญญายตนะออก เหลือแต่เนวสัญญานาสัญญายตนะธาตุ เป็นธาตุสงัดที่แม้มีสัญญาอยู่คู่กับอทุกขมสุขเวทนาประณีต แต่ทั้งสัญญาและเวทนาสงบระงับไม่ทำงานอยู่ (สังขารระงับเพราะปัจจัยตัวปรุงสังขารทั้งสองสงบ) เรียก เนวสัญญานาสัญญายตนะ ในชั้นนี้วิปัสสนาไม่ได้ ไม่บรรลุธรรม แต่เป็นสะพานสู่สภาวะต่อไปที่บรรลุธรรมชั้นยอดได้

ฌาน ๙ ดับซากสัญญาและเวทนาแสนสงบที่เหลือหมด เข้า สัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ รู้แต่ภายใน ไม่รู้อะไรภายนอกเลย ผู้ที่จะได้ฌานนี้ต้องได้อนาคามีจิต และเป็นที่ที่พระอรหันต์นิยมพักลึกกันในสภาวะนี้ 

พระอนาคามีที่ออกจากนิโรธสมาบัติใหม่ ๆ เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์สำเร็จอรหันต์เลย เพราะทะลุปรุโปร่งนิโรธจนสุดแล้ว ท่านที่ไม่สำเร็จอรหันต์อาจเป็นเพียงเพราะติดอธิษฐานแห่งธรรมกิจอย่างใดอย่างหนึ่งไว้

ส่วนพระอนาคามีที่ไม่ได้เข้านิโรธ ส่วนใหญ่เพราะปฏิบัติเพลิน ลืมตรวจสอบสภาวะ จึงไม่รู้ว่าตนสำเร็จอนาคามีแล้ว จึงไม่ได้ใช้สิทธิ์อันควร เมื่อละสังขารก็จะไปอยู่ปฏิบัติต่อด้วยกันกับพระอนาคามีรุ่นพี่ที่สุทธาวาสพรหม และสำเร็จอรหันต์ในชั้นนั้นเลย





สรุป

สมถะ วิปัสสนา วิราคะ จะใช้ร้อยเรียงหมุนธรรมจักรไปด้วยกันตลอดทางแห่งการบรรลุธรรม ไม่มีแยกจากกัน มีแต่บริบูรณ์ขึ้น สมถะลึกขึ้น วิปัสสนาสัจจะได้ใหญ่ขึ้น วิราคะเด็ดขาดมากขึ้น บรรลุธรรมสูงขึ้น เท่านั้น

    อนึ่ง มรรคทุกขั้นมีผู้บรรลุธรรมได้หมด เช่น
    - ท่านพระอัญญาโกณทัญญะบรรลุโสดาบันในสัมมาทิฏฐิมรรค
    - พระเจ้าสุทโธทนะบรรลุโสดาบันในสัมมาดำริมรรค
    - เจ้าอาวาสท่านหนึ่งรู้มากแต่ปากไม่ดี ศิษย์หนีหมด มากราบพระพุทธเจ้า พระพุทธองค์ทรงให้เจริญสัมมาวาจาด้วยเมตตา ศิษย์หลั่งไหลมามาก ท่านก็ปฏิบัติเคร่งครัดจนบรรลุธรรมในสัมมาวาจามรรค
    - ท่านองค์คุลีมาลบรรลุโสดาบันในสัมมากัมมันตะมรรค
    - ท่านจิตตคฤหบดีบรรลุถึงอนาคามีในสัมมาอาชีวะมรรค รักษาอุโบสถเคร่งครัด ปฏิบัติธรรมต่อเนื่อง ทำธุรกิจการค้าด้วย ศึกษาธรรมด้วย แบ่งปันธรรมด้วย
    - ท่านพระราหุลบรรลุอริยผลโดยลำดับหลายปีโดยมีสัมมาวายามะมรรคเป็นแกน
    - ชาวกุรุบรรลุอริยธรรมกันหลายระดับด้วยสัมมาสติมรรค

พระอรหันต์ส่วนใหญ่สมัยพุทธกาลบรรลุอริยสภาวะธรรมด้วยวิปัสสนาและวิราคะในสัมมาสมาธิ การบรรลุอรหันตธรรมทั้งหมดไม่ว่าด้วยมรรคใด ล้วนบรรลุในสมาธิฌานใดฌานหนึ่งเป็นฐานทั้งสิ้น การบรรลุอรหัตตผลนอกฌานไม่มี (อัฏฐกนาครสูตร)


@@@@@@@

โอกาสบรรลุธรรมมีมากมายเหลือเกิน ถ้าไม่บล็อกจิตว่าการบรรลุธรรมเป็นเรื่องยาก แล้วดูโลกแห่งการบรรลุธรรมจริง จะพบว่าเป็นเรื่องง่าย

    การบรรลุธรรมยากสำหรับสองพวก คือ
    ๑) พวกที่คิดว่ายาก ต้องพลิกจิตจากความเห็นเข้าสู่ความจริงก่อน จึงจะบรรลุได้
    ๒) พวกที่ติดกรรมมหาโจรห้า ต้องแก้ไขแบบพลิกพฤติกรรมเป็นตรงข้ามแบบเอกอุก่อน จึงจะบรรลุได้

    การบรรลุธรรมเป็นไปไม่ได้สำหรับสองพวกเท่านั้น คือ
    ๑) พวกอาภัพไม่มีโอกาสได้ฟังอริยสัจเลยจนตายไปก่อน
    ๒) พวกทำอนันตริยกรรม ๕ นอกนั้นบรรลุธรรมได้หมด

พระผู้มีพระภาคทรงสอนว่า การบรรลุธรรมที่ปฏิบัติง่ายสำเร็จเร็วจะปรากฏขึ้นเมื่อบุคคลประพฤติธรรมสมควรแก่ธรรม คือ
    ๑. ปฏิบัติธรรมแม่น ตรงสู่ผล (ไม่ปฏิบัติเอามันส์ หรือเอาโชว์)
    ๒. ปฏิบัติธรรมเหมาะกับสภาวะของตน (ไม่พยายามก๊อบปี้ท่านอื่น)

รู้อริยสัจแล้ว ปฏิบัติให้ได้อริยผลกันนะ อย่าให้เสียชาติเกิดไปฟรี ๆ ใครยังไม่เข้าอริยผลเต็มตัว ชาติหน้าจะไม่ได้เจอสังคมอย่างนี้อีกแล้ว

 

 


ขอขอบคุณ :-
ภาพ : pinterest
ที่มา : https://uttayarndham.org/dhamma-sharing/6569/จะต้องเข้าฌานสี่ก่อนแล้วจึงวิปัสสนาใช่ไหม
15 May 2023
114  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระพุทธเจ้าแนะวิธีถอนคุณไสย เมื่อ: มีนาคม 21, 2024, 05:52:06 am
.



พระพุทธเจ้าแนะวิธีถอนคุณไสย

เรื่องของคุณไสยใครว่าไม่มีจริง.. คุณไสย ไม่ใช่แค่ความเชื่อแต่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงคู่โลกใบนี้.. ใครหลายคนอาจเคยได้ยินได้ฟังแบบเป็นแค่เรื่องเล่า เขาว่ากันว่าบางคนก็อาจไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าเรื่องคุณไสยสามารถให้คุณให้โทษต่อมนุษย์ได้

คุณไสย เกิดจากอำนาจพลังสมาธิชั้นสูงของผู้ที่ปฏิบัติแล้วได้ฌาน เพียงแต่ว่าผู้ปฏิบัติท่านนั้นเอาสมาธิที่ได้ใฝ่ไปทาง มิจฉาสมาธิ อันหมายถึง มิใช่สมาธิที่เพื่อจะไปต่อยอดให้เป็นสัมมาสมาธิอย่างที่พระพุทธเจ้าสอน

ดังนั้นอำนาจพลังสมาธิที่เกิดจากมิจฉาสมาธิจึงมีมากไม่แพ้ กับพลัง สมาธิแบบสัมมาสมาธิ ดังนั้นผู้ที่ฝ่ายไปทางด้านคุณไสยเมื่อปฏิบัติสมาธิได้ลึกจนถึงเข้าฌาน ก็สามารถบันดาลดลสิ่งต่างๆให้เกิดพลังงานแฝง แล้วส่งไปสู่ผู้คนได้ อาทิ ลมเพลมพัด หรือ แม้แต่เรื่องคุณไสยเสน่ห์ยาแฝด

ในยุค พ.ศ. 2460 ผู้ที่ได้ฌานระดับลึกๆ แต่เป็นมิจฉาสมาธิค่อนข้างมีมากโดยเฉพาะบุคคลที่เป็นฆราวาสเพื่อทำคุณไสย ก็ทำให้ใครหลายคน อาจจะได้รับรู้ข้อมูลผ่านภาพยนตร์เป็นต้น แม้แต่สายพระเกจิคณาจารย์ ที่ปลุกเสกเลขยันต์ นั่นก็ยังเป็นมิจฉาสมาธิรูปแบบหนึ่ง เพียงแต่พึงอาศัยพลังงานเข้าไปสถิตในวัตถุต่างๆ ที่เราเรียกว่าวัตถุมงคล นั่นก็มิใช่สัมมาสมาธิตามที่พระพุทธเจ้าสอนเช่นกัน เพียงแต่เพิ่งหวังผลลัพธ์ไปในทางที่เป็นคุณเป็นกุศล มากกว่าการเป็นลบ

@@@@@@@

พระภิกษุในครั้งพุทธกาล บางรูปก็งดงาม และทำให้สีกาทั้งหลายเห็นก็พึงปรารถนาที่จะได้มาเป็นคู่ครอง ยิ่งสังคมอินเดียสมัยก่อน ผู้หญิงจะต้องเป็นผู้ไปสู่ขอผู้ชาย เพื่อแต่งงานอยู่กินด้วยซ้ำ ดูเหมือนผู้หญิงจึงชื่นชอบผู้ใดถ้าไม่ได้เล่ห์ก็ใช้กลอยู่เสมอ

คราวหนึ่งพระภิกษุรูปงาม รูปหนึ่งป่วย เป็นไข้อย่างรุนแรง เพราะถูกเสน่ห์ยาแฝดซึ่งเป็นคุณไสยชนิดหนึ่ง ซึ่งมีผลค่อนข้างแรงมากขนาดเป็นพระภิกษุก็แทบจะเอาตัวไม่รอดเช่นเดียวกันแต่ก็ต้องเข้าใจว่าพระภิกษุธรรมดาๆ ก็คือมนุษย์ หนึ่งคนนั่นเอง ที่น้อมตัวเองเข้าไปศึกษาธรรมะ

เพื่อนพระภิกษุด้วยกันจึงไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลว่ามีพระภิกษุที่เป็นสหธรรมิก โดนคุณไสยมีอาการกระสับกระส่าย ป่วยอย่างรุนแรง พระพุทธเจ้า จึงแนะนำ วิธีการแก้คุณไสยนั้น ดังนี้

    "ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ดื่มน้ำละลายดินรอยไถติดผาล"

        ความนี้ปรากฏในพระไตรปิฏก วินัยปิฏกเล่ม ๕ มหาวรรค ภาค๒


@@@@@@@

นี่คือ วิธีการแก้คุณไสยประเภทเสน่ห์ยาแฝด คำว่าดินรอยไถติดผาล ก็คือ ดินที่อยู่ใต้รอยไถนั่นเอง ทีนี้การที่จะนำดินชนิดนี้ไปละลายน้ำดื่ม ไม่ใช่หยิบไปเป็นก้อน แต่ให้หยิบ ดินใต้รอยไถนั้น ที่ติดผาลแค่เพียงเศษๆ อาจจะหยิบมาแค่ปลายเล็บจิกก็ได้ แล้วนำเอามาละลายน้ำ ก่อนดื่มก็ให้ระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วดื่ม ทำครั้งแรกอาจดื่มแล้วยังไม่หายดี ก็ให้ดื่มหลายๆ ครั้ง แต่ไม่เกินสามครั้งดีแน่

นี่คือ วิธีที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้าและปรากฏในพระไตรปิฎก ถ้าเราคิดแบบปราชญ์ชาวบ้านนั้น แปลความได้ว่า "ผาล" เป็นตัวพลิกหน้าดินที่เดินไถไป ผาลพลิกหน้าดินก็คล้ายการพลิกชีวิตนั่นแล จากที่ไม่ดีให้ดีขึ้น

ใครที่เคารพนับถือพระพุทธเจ้า แล้วถ้าเกิดทราบว่ามีผู้ใดใครที่โดนคุณไสยในลักษณะต่างๆ ก็ลองนำเอาวิธีนี้ไปใช้ อาจจะทำให้ชีวิตของเขาพลิกเปลี่ยนดีขึ้น แต่อย่าลืมทุกครั้งที่ นำไปทำให้น้อมระลึกนึกถึงพระพุทธเจ้า เพราะนี่เป็นวิธีที่พระองค์ท่านแนะนำ






Thank to : https://www.thansettakij.com/blogs/lifestyle/horoscope/591338
21 มีนาคม 2567 | พระพุทธเจ้าแนะวิธีถอนคุณไสย | คอลัมน์ ทำมา ธรรมะ โดย ราชรามัญ
115  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เหตุให้เกิดสุขและทุกข์ เมื่อ: มีนาคม 20, 2024, 08:28:17 am
.



อะไรเป็นเหตุให้เกิดสุข อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์.?

สุขสูตรที่ ๑. ว่าด้วย : เหตุให้เกิดสุขและทุกข์
เหตุการณ์ : ปริพาชกชื่อสามัณฑกาณิถามท่านพระสารีบุตรว่า อะไรเป็นเหตุให้เกิดสุข อะไรเป็นเหตุให้เกิดทุกข์.?

พระสารีบุตรตอบปริพาชกชื่อสามัณฑกาณิว่า "การเกิดเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ การไม่เกิดเป็นเหตุให้เกิดสุข"

เมื่อมีการเกิด เป็นอันหวังได้ทุกข์นี้ คือ ความหนาว ความร้อน ความหิว ความระหาย อุจจาระ ปัสสาวะ สัมผัสไฟ สัมผัสท่อนไม้ สัมผัสศาตรา ญาติก็ดี มิตรก็ดี มาประชุมพร้อมกัน ย่อมโกรธเคืองเขา

เมื่อไม่มีการเกิด เป็นอันหวังได้สุขนี้ คือ ความไม่หนาว ความไม่ร้อน ความไม่หิว ความไม่ระหาย ไม่ต้องอุจจาระ ไม่ต้องปัสสาวะ ไม่ต้องสัมผัสไฟ ไม่ต้องสัมผัสท่อนไม้ ไม่ต้องสัมผัสศาตรา ญาติก็ดี มิตรก็ดี มาประชุมพร้อมกัน ย่อมไม่โกรธเคืองเขา

อ่านฉบับเต็ม สุขสูตร ๑





ขอบคุณ : https://uttayarndham.org/node/3738
อ้างอิง : สุขสูตร ๑ พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๔ ข้อที่ ๖๕ หน้า ๑๐๙
ภาพ : https://uttayarndham.org/dhama-daily
116  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผีนัต กับศาสนาของผู้หญิงในพม่า เมื่อ: มีนาคม 20, 2024, 07:21:34 am
.

"พระอินทร์" หัวหน้าแห่งเหล่าผีนัท ณ เจดีย์ชเวดากอง เมียนมาร์ //David Clay


ผีนัต กับศาสนาของผู้หญิงในพม่า

“นัต” คือผีที่ตายร้าย ตายโหง แล้วกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ตามศาสนาผีพื้นเมืองดั้งเดิมของพม่า

นัตจึงเป็นกึ่งเทพกึ่งผี แต่มีฐานะสูงกว่าผีทั่วไป การถือผีนัตก็เช่นเดียวกับพุทธศาสนา เป็นระบบความเชื่อที่ซับซ้อน มีพิธีกรรมการปฏิบัติ และการดูแลตั้งแต่ระดับของครัวเรือนไปจนถึงที่สาธารณะ แถมเรายังสามารถเห็นผีนัตไปโชว์ตัวอยู่ในวัดของพุทธศาสนาได้เป็นเรื่องปกติในพม่าอีกด้วย

ในทางทฤษฎีถือว่าประเพณีการนับถือผีนัตมีปรากฏอยู่เฉพาะในประเทศพม่าเท่านั้น ส่วนทางปฏิบัติทัวร์คนไทยเวลาไปเที่ยวพม่า ต่างก็นิยมพากันไปเช่าผีนัตอย่าง “เทพทันใจ” มาบูชากันจนเทพทันใจต้องมาเปิดแฟรนไชส์ในวัดไทยหลายแห่งกันเลยทีเดียว

แต่กว่าที่ผีนัตจะเข้ามาอยู่ในปริมณฑลของพระพุทธศาสนาของพม่าได้นั้น ก็ใช้เวลานานอย่างน้อยก็เฉียดๆ จะพันปีเลยทีเดียวนะครับ

เรื่องของเรื่องนั้นเริ่มมาจากครั้งที่พระเจ้าอโนรธา แห่งดินแดนเจดีย์ 5,000 องค์อย่างพุกาม จะนำศาสนาพุทธเข้ามาประดิษฐานในอาณาจักรของพระองค์ เมื่อราวๆ เรือน พ.ศ.1500 ระบบความเชื่อแบบใหม่ในพระพุทธศาสนาต้องปะทะเข้ากับระบบความเชื่อแบบเก่า คือระบบผีนัต อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเมื่อแต่ละท้องถิ่นต่างก็มีนัตประจำเป็นของตนเอง ก็ยิ่งทำให้เรื่องดูยุ่งยากขึ้น

และวิธีจัดการกับปัญหาที่ดังกล่าว ที่พระเจ้าอโนรธาทรงเลือกที่จะกระทำก็คือ “การจัดระเบียบผีนัต”


@@@@@@@

ตำนานเล่าว่า พระเจ้าอโนรธาทรงรวบรวมผีนัตในแต่ละท้องถิ่นรวมทั้งสิ้น 32 ตน จากนั้นจึงทรงแต่งตั้ง “ท้าวสักกะ” ขึ้นเป็นหัวหน้าของนัตทั้ง 32 ตนนั้น เรียกได้ว่าเป็นนัตทั้ง (32+1 รวมเป็น) 33 ตนนี้เป็น “ผี” ที่ได้การรับรอง และสถาปนาขึ้นโดยรัฐ

แต่นัตทั้ง 33 ตนที่พระเจ้าอโนรธาสถาปนาขึ้นมานี้ ก็อาจจะไม่ใช่นัตตนเดียวหรือกลุ่มเดียวกับชาวพม่านับถือในปัจจุบัน เช่นเดียวกันกับที่นัตทั้ง 33 ตนนี้ ก็อาจจะไม่ใช่ผีที่ชาวพม่าในยุคก่อนพระเจ้าอโนรธานับถือด้วยเช่นกัน

เพราะอย่างน้อยที่สุด หัวหน้าคณะผีนัตคือ “ท้าวสักกะ” ก็เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพุทธมาก่อน

ตามข้อมูลในวรรณคดีฝ่ายพุทธศาสนาเถรวาท “ท้าวสักกะ” คือชื่อหนึ่งของ “พระอินทร์” เทพเจ้าองค์สำคัญในพุทธศาสนา โดยนัยยะหนึ่ง พระเจ้าอโนรธาจึงใช้ศาสนาพุทธในการควบคุมผี เพราะนอกจากพระองค์จะทรงมอบหมายให้ ท้าวสักกะเป็นหัวหน้าของคณะผีนัตทั้งหลายแล้ว ยังเชื่อกันว่าจำนวน 33 ตนนั้น ก็ได้รับอิทธิพลมาจากแนวคิดเรื่องภพภูมิ หรือจักรวาลวิทยาจากอินเดีย เพราะสวรรค์ของพระอินทร์ คือสวรรค์ชั้นที่เรียกว่า “ดาวดึงส์” นั้นเป็นที่ประทับของพระอินทร์ และเทพเจ้าอีก 32 พระองค์ รวมเป็น 33 นั่นเอง

และก็โดยนัยยะหนึ่งอีกเช่นกัน การสถาปนานัตทั้ง 33 ตน ของพระเจ้าอโนรธา จึงเปรียบได้กับการควบคุมอำนาจของกลุ่มเมือง หรือสังคมต่างๆ ที่มีมาแต่เดิม ผ่านทางความเชื่อ เพราะแต่ละท้องถิ่นต่างก็มีนัตประจำเป็นของตนเอง

และแน่นอนด้วยว่า กระบวนการสถาปนาในครั้งนั้น ย่อมมีทั้งการคัดเลือก ตัดทอน หรือแม้กระทั่งสร้างนัตขึ้นมาใหม่ (ในทำนองเดียวกับที่ ท้าวสักกะ ไม่ใช่นัตพื้นเมืองของพม่ามาแต่เดิม)

@@@@@@@

โครงข่ายของนัตที่ต่างก็ทำหน้าที่เป็นส่วนหนึ่งของอำนาจที่ถูกสถาปนาไว้ภายใต้ท้าวสักกะทั้งหลาย จึงเปรียบได้ไม่ต่างกับปริมณฑลภายใต้อำนาจเมืองพุกาม ที่มีพระเจ้าอโนรธาเป็นผู้นำ โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึงความเชื่อในพุทธศาสนาที่ว่า พระอินทร์ หรือท้าวสักกะ คือราชาเหนือเทวดาทั้งปวงแล้ว ปริมณฑลของพระราชอำนาจในพระเจ้าอโนรธา ก็คงจะไม่ต่างไปจากอำนาจของท้าวสักกะที่มีต่อผีนัตอีกทั้ง 32 ตนเท่าไรนัก

กษัตริย์พม่าหลายพระองค์ที่ครองราชย์ต่อมาจากพระเจ้าอโนรธา นับตั้งแต่ราชวงศ์พุกามเรื่อยมาจนถึงราชวงศ์คองบอง (ราชวงศ์คองบองมีอำนาจอยู่ระหว่าง พ.ศ.2295-2428) ต่างก็ทรงพยายามจำกัดขอบเขตของความเชื่อ ความศรัทธา และพิธีกรรมบูชานัต เพื่อให้ประชาชนหันไปให้ความสำคัญกับพุทธศาสนามากขึ้นมาโดยตลอด

จึงไม่น่าประหลาดใจเท่าไหร่นัก ที่รายชื่อของนัตที่ถูกสถาปนาจะไม่ต้องตรงกันทุกสมัย เพราะปริมณฑลในเครือข่ายอำนาจสามารถปรับเปลี่ยนได้ตลอดนั่นเอง

ดังนั้น เมื่อผีนัตได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในปริมณฑลจักรวาลของพุทธศาสนาแบบพม่าอย่างนี้แล้ว ก็จึงไม่ได้รับการยอมรับอย่างเท่าเทียมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาพุทธหรอกนะครับ

ข้อมูลจากการสำรวจภาคสนามเมื่อระหว่างปี พ.ศ.2504-2505 ของนักมานุษยวิทยาชาวอเมริกันคนหนึ่งที่ชื่อ เมลฟอร์ด สไปโร (Melford Spiro, พ.ศ.2463-2556) กระทำการสำรวจความเชื่อเรื่อง “ผีนัต” ในชุมชนชนบทที่ห่างไปออกไปทางตอนเหนือราว 10 ไมล์ จากเมืองมัณฑะเลย์ ประเทศพม่า

พบสิ่งที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่งเลยว่า ในชุมชนแห่งนั้นมีผู้ชายเกือบครึ่งหนึ่งที่ไม่เชื่อผีนัต

@@@@@@@

ในขณะที่ผู้หญิงทั้งชุมชนเชื่ออย่างเอาเป็นเอาตาย ทั้งชายและหญิงต่างก็ยอมรับว่า ผู้หญิงจะเกี่ยวข้องกับการนับถือผีนัตมากกว่า กลัวมากกว่า และประกอบพิธีกรรมมากกว่าผู้ชาย

สไปโรยังพบด้วยว่า ผีนัตประจำหมู่บ้านมักจะผู้หญิงเป็นผู้ดูแล และมีผู้หญิงทั้งหมู่บ้านมาร่วมประกอบพิธีกรรม คนทรงก็เป็นผู้หญิงเกือบทั้งหมด ผู้หญิงมักมาบนบานต่อผีนัตในขณะที่ผู้ชายมักจะไม่เชื่อ

ในพิธีฉลองผีนัตทุกบ้านจะเอาของมาถวายหรือเซ่นผีนัตทั้งที่สืบสายมาทางแม่ และทางพ่อ แต่ถ้าหากพ่อแม่ถือผีนัตคนละตนกันก็มักจะเลือกสืบสายทางแม่มากกว่า

ผู้หญิงจึงมีหน้าที่ต้องจัดหาอาหารมาถวายผี ส่วนผู้ชายจะเกี่ยวข้องกับศาสนาพุทธเต็มตัวอย่างเห็นได้ชัด แถมมักจะเลิกนับถือผีนัตไปเลยกันอยู่บ่อยๆ ลักษณะอย่างนี้ของชุมชนดังกล่าว ยังสามารถเป็นภาพแสดงแทนของชุมชนชาวพม่าได้เกือบทั้งประเทศ เพราะชุมชนไหนๆ ในประเทศพม่าก็มักจะเป็นอย่างนี้นั่นเอง

พูดง่ายๆ อีกทีก็ได้ว่า สำหรับกรณีของพม่าแล้ว “ผีนัต” เป็นศาสนาของ “ผู้หญิง” ในขณะที่ “พุทธ” เป็นศาสนาของ “ผู้ชาย”

นิยามของคำว่า ศาสนา ในยุคสมัยใหม่ (modernity) ทำให้ในปัจจุบันชาวพม่าถือว่า “ผีนัต” ไม่ใช่ “ศาสนา” แต่ในความเป็นจริงผีนัตก็เป็นระบบความเชื่อหนึ่งเช่นเดียวกับศาสนาพุทธ ซ้ำยังมีความขัดแย้งกันเล็กน้อยระหว่างทั้งสองความเชื่อนี้ เพราะในขณะที่พุทธศาสนายอมรับการมีอยู่ของภูติผีปีศาจ ดังจะเห็นได้จากเรื่องเล่าในทำนองที่เป็นนิทานชาดก หรือพุทธประวัติจำนวนมาก แต่ในทางปฏิบัติกลับปฏิเสธอำนาจของผีมันเสียอย่างนั้น

@@@@@@@

ทั้งศาสนาพุทธและการนับถือผีนัตต่างก็มีอิทธิพลต่อวิถีการดำรงชีวิตของชาวพม่าอย่างลึกซึ้ง และถึงฝ่ายหนึ่งจะถูกกดให้บี้แบนเสียจนมีสถานภาพที่ไม่เท่าเทียมกัน ดังจะเห็นได้จากการที่พุทธศาสนาถูกมองว่ามีอำนาจเหนือกว่า ในขณะที่การถือผีนัตไม่ถูกนับว่าเป็นศาสนาเสียด้วยซ้ำไป พระสงฆ์ซึ่งเป็นเพศชายได้รับการยกย่อง ต่างจากคนทรงที่มักเป็นผู้หญิงจะถูกดูถูกและเหยียดหยามว่างมงายไร้สาระ สถานภาพที่สูงส่งกว่าของศาสนาพุทธ

ทำให้น่าสงสัยว่า ทำไมการถือผีนัตจึงยังเจริญอยู่ในพม่าตราบจนกระทั่งทุกวันนี้?

ที่เป็นอย่างนี้ นักมานุษยวิทยาเขาอธิบายกันไว้ว่าเป็นเพราะ การถือผีนัตอยู่ในอาณาบริเวณของการควบคุมดูแลของ “ผู้หญิง” ที่อยู่ตรงข้ามกับพื้นที่ของ “ผู้ชาย” ในพระพุทธศาสนา โดยนักมานุษยวิทยาชื่อดัง แถมยังป๊อบปูลาร์อย่าง คลิฟฟอร์ด เกียร์ซ (Clifford Geertz, พ.ศ.2469-2549) เคยอธิบายถึงกรณีอย่างนี้ในอุษาคเนย์เอาไว้ว่า

“ปิตาธิปไตย จากศาสนาที่รับจากภายนอก…ไม่สามารถเอาชนะระบบการสืบสกุลทั้งสองฝ่ายของประชากรส่วนใหญ่ในอาณาบริเวณนี้ได้ เนื่องจากศาสนาใหม่เหล่านั้น ถูกเลือกรับเข้ามาเป็นองค์ประกอบที่บรรลุเพียงความชอบธรรมในเชิงพิธีกรรม และสัญลักษณ์ท่ามกลางการถือผีที่มีปัจเจกเป็นศูนย์กลางเท่านั้น”

การถือผีและการทรงเจ้าที่มีบทบาทอย่างต่อเนื่องท่ามกลางการครอบงำของศาสนาพุทธ ฮินดู และอิสลาม ในทุกกลุ่มสังคมวัฒนธรรมของอุษาคเนย์ล้วนสนับสนุนคำอธิบายของเกียร์ซ ศาสนาดั้งเดิมจึงมีส่วนถ่วงดุลอำนาจระหว่างชายกับหญิง และเปิดช่องว่างให้มีความเป็นอิสระของบุคคลในชีวิตประจำวันนั่นเอง •


 



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 15-21 มีนาคม 2567
คอลัมน์ : On History
ผู้เขียน : ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ.2567
website : https://www.matichonweekly.com/column/article_753554
117  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การชี้นิ้วของ “นัตโบโบยี” กับพระเจ้าชี้นิ้วที่เชียงตุง เมื่อ: มีนาคม 20, 2024, 06:48:51 am
.



การชี้นิ้วของ “นัตโบโบยี” กับพระเจ้าชี้นิ้วที่เชียงตุง

การที่ดิฉันนำเรื่องราวของสองสิ่งนี้ (นัตโบโบยียืนชี้นิ้ว กับพระชี้นิ้วที่เชียงตุง) มาเปรียบเทียบกันนั้น ก็เนื่องมาจากในช่วงไม่เกิน 2 ทศวรรษที่ผ่านมา ได้เกิดปรากฏการณ์ใหม่ในวงการทัวร์พม่า ด้วยการอุปโลกน์เอาเรื่องผีเรื่องพระที่ทำสัญลักษณ์ชี้นิ้วคล้ายกัน (แต่มีที่มาต่างกัน) มาสร้างเป็น “จุดขาย” ให้คนแห่แหนเดินทางไปกราบไหว้ขอพรได้ ไม่แตกต่างกันเลย

เทรนด์ของการแห่ไปสักการะ “เทพทันใจ” หรือการไปยืนใต้เงาพระพุทธรูปสูงตระหง่านให้ศีรษะของเราตรงกับจุด “ปลายนิ้วชี้” นี้ เกิดขึ้นมาได้อย่างไร

@@@@@@@

จากนัตโบโบยี กลายเป็นเทพทันใจ

ดังที่ได้กล่าวมาแล้วในฉบับก่อนว่า “นัต” (วิญญาณที่ตายเฮี้ยน) แต่ละตนนั้นต้องมีการสร้างรูปลักษณ์หรือสัญลักษณ์ให้แตกต่างเพื่อง่ายต่อการจดจำ นัตโบโบยีก็เช่นกัน มีสัญลักษณ์พิเศษด้วยการถือไม้เท้าและ “ยืนชี้นิ้ว”

ไม้เท้า (ธารพระกร) เป็นหนึ่งในเครื่องราชกกุธภัณฑ์ สัญลักษณ์ของพระจักรพรรดิราช ซึ่งในทางธรรมก็คือ พระพุทธเจ้า นัตโบโบยีถือเป็นผู้อาวุโสที่ได้รับมอบหมายให้เฝ้าดูแล

ส่วนการชี้นิ้วก็มิใช่เพื่อประทานพรผู้คนให้ร่ำให้รวย หากแต่เป็นการชี้บอกทางไปยัง “ดอยสิงกุตตระ” สถานที่ที่จะสร้างพระมหาธาตุชเวดากองนั่นเอง เพราะพระมหาธาตุชเวดากอง เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าทั้ง 5 ในภัทรกัป โดยที่นัตโบโบยี ต้องช่วยทำหน้าที่คอยบอกทางไปสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ผู้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาทั้ง 5 ครั้ง

ดังนั้น ชาวมอญ-พม่าจึงสร้างรูปนัตตนนี้ไว้ก่อนถึงพระมหาธาตุชเวดากอง จุดนี้เองกระมังที่เมื่อนักท่องเที่ยวชาวไทยไหลหลั่งไปกราบนมัสการพระมหาธาตุชเวดากองเสร็จแล้ว ก็ต้องผ่านพบนัตโบโบยีด้วย

แทนที่จะมองนัตโบโบยีเป็นวิญญาณของ “พ่อปู่” หรือ “เสื้อวัด” กลับไปให้คำนิยามการชี้นิ้วนั้นใหม่ จากนิ้วชี้สถานที่สร้างพระมหาธาตุ กลายเป็น “นิ้วประทานพร” ให้โชคให้ลาภ ให้ร่ำให้รวยไปเสียนี่

ซ้ำยังไม่ยอมให้เรียก “นัต” ซึ่งหมายถึงวิญญาณหรือ “ผีอารักษ์” อีกด้วย แต่ใช้วิธีเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เป็น “เทพทันใจ” โดยไปหยิบเอาคำว่า “ทันใจ” มาจาก “พระเจ้าทันใจ” ของวงการพุทธศิลป์ล้านนามาผสมกันด้วยอีกชั้นหนึ่ง


ซึ่งคำว่า “พระเจ้าทันใจ” เอง ผู้คนก็ไขว้เขวกันมาเปลาะหนึ่งแล้ว คือคิดว่าสร้างขึ้นเพื่อให้คนขอพรมุ่งหวังความสำเร็จแบบปุบปับฉับพลัน ทันตาทันใจ

@@@@@@@

ทั้งๆ ที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยได้อธิบายไว้แก่ศิษยานุศิษย์อย่างละเอียดแล้วว่า การสร้างพระเจ้าทันใจก็เพื่อใช้เป็นกุศโลบาย “ทดสอบความสามัคคี” ของคนในชุมชนว่าจะสามารถทำสิ่งเล็กๆ ร่วมกันสำเร็จหรือไม่ ก่อนที่จะคิดทำการใหญ่

ครูบาเจ้าศรีวิชัยจึงกำหนดให้ช่วยกันหล่อพระพุทธรูปขึ้นองค์หนึ่ง ระหว่างพระอาทิตย์ขึ้นถึงพระอาทิตย์ตก หากหล่อสำเร็จก็สะท้อนว่า อุปสรรคแม้จักหนักหนาเพียงไรก็ไม่พ้นความพยายามของคนในชุมชนที่จะช่วยกันฟันฝ่า

ไม่ว่าใครจะนิมนต์ให้ครูบาเจ้าศรีวิชัยไปช่วยเป็นประธาน “นั่งหนัก” สร้างวัดในที่ใดก็แล้วแต่ ก่อนที่ท่านจะลงมือสร้าง ท่านมักใช้กุศโลบายทดสอบความสามัคคีของหมู่คณะด้วยการขอให้ช่วยกันทดลองสร้างพระเจ้าทันใจสัก 1-3 องค์ขึ้นก่อนเสมอ จนกระทั่งตัวท่านครูบาเจ้าศรีวิชัยเองก็ได้รับฉายาว่า “ครูบาทันใจ” ด้วยอีกนามหนึ่ง

ในเมื่อ “พระเจ้าทันใจ” ที่ครูบาเจ้าศรีวิชัยบัญญัติขึ้น มีความหมายว่า “คนขยัน รู้รักสามัคคีเท่านั้น จึงจะทำการใหญ่ได้สำเร็จ” ฉะนี้แล้ว จู่ๆ จะให้ “เทพทันใจ” ที่เพิ่งถูกอุปโลกน์กันขึ้นมาไม่เกิน 20 ปี มีความหมายว่าอย่างไรล่ะหรือ

รู้ทั้งรู้ว่า “นิ้วที่ชี้” นั้น คือสัญลักษณ์แห่งการเชื่อมโยง “พุทธันดร” ระหว่างพระพุทธเจ้าองค์ต่างๆ ในภัทรกัปเข้าไว้ด้วยกัน แต่ก็ไม่วายไปตีความว่า นิ้วของเทพทันใจนั้นหมายถึง การดลบันดาลโชคลาภ และการประทานความสำเร็จให้ผู้กราบไหว้

@@@@@@@

ปางชี้อสุภ หรือการสาปแช่ง.?

ในเชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพม่า มีหนองน้ำขนาดใหญ่กลางเมืองเรียกว่า “หนองตุง” ใกล้กับหนองตุงมีวัดแห่งหนึ่งชื่อจอมสัก ถือเป็น 1 ใน 3 จอม ที่นักท่องเที่ยวต้องไปนมัสการให้ครบ ประกอบด้วย วัดจอมมน บ้างเรียกจอมมอญ วัดนี้มีต้นไม้หมายเมืองคือต้นยางใหญ่, วัดจอมคำ และวัดจอมสัก

วัดจอมสักเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไปชมด้วยความตื่นตะลึงเพราะมี “พระเจ้าชี้นิ้ว” ดูแปลกตา ด้วยขนาดของพระพุทธรูปที่สูงใหญ่ มองเห็นโดดเด่นแต่ไกล นักท่องเที่ยวมักไปยืนอยู่ให้ศีรษะของตนอยู่ในตำแหน่งพอดีกับนิ้วมือที่ชี้ตกลงมา โดยได้ข้อมูลจากไกด์ชาวไทยมาว่า การทำเช่นนี้จะได้รับพรจากองค์พระแบบเต็มๆ

ทำให้ต่างคนต่างมะรุมมะตุ้มยืนต่อคิวกันแน่น ต่างคนต่างพยายามขยับตัวไปมาเพื่อหาจุดที่จะให้นิ้วของพระพุทธรูปชี้ลงบนหัวของตนพอดิบพอดี จากนั้นก็จะได้ยินเสียงกดชัตเตอร์จากมือถือ

ในขณะที่ไกด์พม่าไม่ค่อยชอบใจนัก อธิบายว่าแท้ที่จริงแล้วนิ้วมือที่ชี้นั้น เป็นสัญลักษณ์แห่งการสาปส่งชาวเชียงตุง (ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวไทขึน คนละชาติพันธุ์กับพม่า) ให้ตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของพม่านิรันดร์ไป

ไกด์พม่ากระซิบบอกว่า พระชี้นิ้วเป็นพระพุทธรูปที่ทหารพม่าเพิ่งสร้างขึ้นใหม่ได้ไม่กี่ปีนี้เอง นิ้วที่ชี้นั้นพุ่งเล็งเป้าไปยังโรงแรมกลางเมือง ซึ่งครั้งหนึ่ง 100 ปีก่อนเคยเป็น “หอคำ” ของเจ้าฟ้าเชียงตุงองค์สุดท้าย คือเจ้าฟ้าก้อนแก้วอินทร์แถลง หอคำหลังนี้สร้างในยุค Colonial หรือยุคล่าอาณานิคม แต่ต่อมาได้ถูกทหารพม่าเผาทำลาย แล้วสร้างเป็นโรงแรมครอบทับสถานที่เดิม เสมือนทำลายความศักดิ์สิทธิ์และย่ำยีจิตวิญญาณของชาวเชียงตุง

เมื่อเราได้พูดคุยกับชาวเชียงตุงในพื้นที่แล้ว ทุกคนบอกว่า ไม่ชอบพระเจ้าชี้นิ้วองค์นี้เลย คงหลอกขายได้เฉพาะแต่นักท่องเที่ยวชาวไทยเท่านั้น


@@@@@@@

แล้วไฉนดิฉันจึงโปรยหัวเรื่องตอนนี้ว่าเป็น “ปางชี้อสุภ” (อ่านว่า อะ-สุ-ภะ) แปลว่า สิ่งไม่งาม สิ่งที่มองแล้วชวนให้สังเวชใจ

เนื่องจากดิฉันเห็นว่าท่ายืนชี้นิ้วดังกล่าว พ้องกับพระพุทธรูปปางหนึ่ง ที่สมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส ได้ทรงบัญญัติ “มุทรา” หรือปางของพระพุทธรูปไว้ว่ามีทั้งสิ้น 66 ปาง นั่นคือ “ปางชี้อสุภ” โดยอธิบายว่า

เป็นพระอิริยาบถยืน พระกรซ้ายห้อยข้างพระวรกาย พระหัตถ์ขวายกขึ้นเสมอบั้นพระองค์ ชี้ดัชนี (นิ้วชี้) เป็นกิริยา “ชี้อสุภ” โดยมีการยกเอาพุทธประวัติตอนหนึ่งขึ้นมาประกอบว่า

    “ในกรุงราชคฤห์มีหญิงนครโสเภณีรูปงามชื่อ สิริมา เป็นน้องสาวของหมอชีวกโกมารภัจจ์ ครั้นนางได้เฝ้าพระพุทธองค์จึงเลิกอาชีพโสเภณี ฝักใฝ่ในบุญกุศล ต่อมานางเจ็บป่วยเป็นโรคปัจจุบันตอนเช้า ตายในตอนค่ำ พระพุทธองค์โปรดให้ปล่อยศพนั้นไว้ 3 วันก่อนเผา เพื่อให้ผู้คนเห็นว่า เมื่อตายเป็นศพขึ้นอืด น้ำเหลืองไหลจากทวารทั้งเก้า กลิ่นศพเหม็นคลุ้งตลบสุสาน แสดงให้เห็นถึงความไม่ยั่งยืนแห่งสังขารของสรรพสัตว์ทั้งปวง”

กล่าวโดยสรุปก็คือ เป็นปางที่พระพุทธเจ้ายืนชี้ไปที่ซากศพของหญิงงาม เพื่อให้เกิดการปลงอสุภกรรมฐาน

@@@@@@@

แล้วในเมืองไทยมีการทำพระพุทธปฏิมาปางชี้อสุภกันมากน้อยเพียงใด เท่าที่ตรวจสอบพบว่ามีน้อยมาก ไม่ใช่ปางที่นิยม ผิดกับการแสดงเรื่องราวทำนองเดียวกันนี้ด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนัง พบเห็นบ่อยครั้งกว่า

แล้วพระชี้นิ้วที่วัดจอมสัก เชียงตุง จะเรียกว่า ปางชี้อสุภ ได้หรือไม่ ในเมื่อเจตนาของผู้สร้าง (ทหารพม่า) ตั้งใจจะย่ำยีคนไทขึนเมืองเชียงตุงให้โงหัวไม่ขึ้นมิใช่หรือ?

อีกทั้งการที่เราไปยืนอยู่ใต้นิ้วชี้นั้นจะเป็นมงคลหรือไม่ ไม่ว่าจะตีความว่านี่คือปางชี้อสุภ หรือตีความว่าเป็นปางสาปแช่งชาวเชียงตุง ก็ล้วนแล้วแต่สื่อความหมายไปในทางไม่ค่อยดี

ในความเป็นจริงนั้น เราต่างก็ไม่มีใครทราบถึงเจตนาของผู้สร้างพระชี้นิ้วองค์ดังกล่าว ว่าตั้งใจจะให้เป็นปางอะไรแน่ หากต้องการให้เป็นปางชี้อสุภจริง ก็ต้องถามต่อไปอีกว่า “อสุภ” ที่ว่านั้นคือสิ่งไร อยู่ที่ไหน ในเมื่อนิ้วชี้ไปยังทิศที่เคยเป็นหอคำ ย่อมอดไม่ได้ที่จะให้ชาวไทขึนเมืองเชียงตุงหวาดระแวงเรื่องการสาปแช่งพวกเขา

เห็นได้ว่ารูปเคารพเพียงองค์เดียว สามารถให้นิยามได้หลายความหมาย ขึ้นอยู่กับการตีความของผู้คนแต่ละกลุ่ม แล้วนำมาสร้างคำอธิบายหาเหตุผลประกอบให้ผู้ฟังเกิดอาการคล้อยตาม


@@@@@@@

มุมหนึ่งก็เห็นใจคนทำงานในสายท่องเที่ยว ท่ามกลางยุคสมัยที่เศรษฐกิจตกต่ำย่ำแย่ขั้นขีดสุด จนบริษัททัวร์แทบจะปิดกิจการไปตามๆ กัน คงจำเป็นต้องหาเกร็ดแปลกๆ หามุขพิสดารใหม่ๆ ที่พอจะเห็นแววว่าขายได้แน่ๆ สำหรับคนไทย

ทั้งๆ ที่ในสายตาของชาวพม่าเจ้าของประเทศ มองนัตโบโบยีเป็นผีอารักษ์ตนหนึ่งที่มีคุณูปการในด้านการทำหน้าที่บอกทางไปพระมหาธาตุชเวดากอง พวกเขาไม่เคยรู้จักคำว่า “เทพทันใจ” ตามที่คนไทยตั้งชื่อให้มาก่อนเลย

ไม่ต่างไปจากชาวไทขึนที่มิอาจไว้วางใจในนิ้วชี้อสุภของพระปฏิมาที่หนองตุงนั่น เหตุที่สร้างโดยทหารสลอร์กของพม่า

คงมีแต่พี่ไทย (บางท่าน) ชาติเดียวกระมัง ที่ยินดีกราบไหว้ได้ทุกอย่าง โดยที่ไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามต่อสิ่งนั้นๆ






ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 18-24 ตุลาคม 2562
คอลัมน์: ปริศนาโบราณคดี
ผู้เขียน : เพ็ญสุภา สุขคตะ
เผยแพร่ : วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ.2567
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_240637
118  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ธรรมที่น่าอัศจรรย์ ๘ ประการ อันไม่เคยมีมา ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว อภิรมย์อยู่ เมื่อ: มีนาคม 19, 2024, 09:14:16 am
.



ท้าวปหาราธะจอมอสูร : ธรรมที่น่าอัศจรรย์ ๘ ประการ

เหตุการณ์ : ท้าวปหาราธะจอมอสูรสนทนาธรรมกับพระพุทธเจ้า เรื่องธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วอภิรมย์อยู่ โดยพระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบธรรมวินัยกับมหาสมุทรที่อสูรทั้งหลายเห็นแล้วอภิรมย์

ธรรมที่น่าอัศจรรย์ ๘ ประการ อันไม่เคยมีมา ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว อภิรมย์อยู่

๑. มหาสมุทรลาด ลุ่มลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษา การกระทำ การปฏิบัติ ไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตผลโดยตรง

๒. มหาสมุทรเต็มเปี่ยมอยู่เสมอ ไม่ล้นฝั่ง ฉันใด สาวกทั้งหลายของเรา ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่ล่วงสิกขาบทที่เราบัญญัติไว้แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต

๓. มหาสมุทรไม่เกลื่อนด้วยซากศพ เพราะในมหาสมุทร คลื่นย่อมซัดเอาซากศพเข้าหาฝั่งให้ขึ้นบก ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน บุคคลผู้ทุศีล มีบาปธรรม มีสมาจารไม่สะอาดน่ารังเกียจ ปกปิดกรรมชั่ว มิใช่สมณะ แต่ปฏิญญาว่าเป็นสมณะ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ แต่ปฏิญญาว่าประพฤติพรหมจรรย์ เสียใน ชุ่มด้วยราคะ เป็นเพียงดังหยากเยื่อ สงฆ์ย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลนั้น ประชุมยกวัตรเธอเสียทันที

๔. แม่น้ำสายใหญ่ๆ ไหลไปถึงมหาสมุทรแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมหมด ถึงความนับว่ามหาสมุทรนั่นเอง ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน วรรณะ ๔ เหล่านี้ คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร ออกบวชเป็นบรรพชิตแล้ว ย่อมละนามและโคตรเดิมเสีย ถึงความนับว่าสมณศากยบุตรทั้งนั้น

๕. แม่น้ำทุกสายในโลก ย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้จะพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆ ฉันใด  ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ นิพพานธาตุ ก็มิได้ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น

๖. มหาสมุทรมีรสเดียว คือ รสเค็ม ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติรส

๗. มหาสมุทรมีรัตนะมากมายหลายชนิด ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็มีรัตนะมากมายหลายชนิด รัตนะในธรรมวินัยนั้น มีดังนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ,สัมมัปปธาน ๔ ,อิทธิบาท ๔ ,อินทรีย์ ๕ ,พละ ๕ ,โพชฌงค์ ๗ ,อริยมรรคมีองค์ ๘

๘. มหาสมุทรเป็นที่พำนักอาศัยของสิ่งที่มีชีวิตใหญ่ๆ ฉันใด ฉันนั้นเหมือนกัน ธรรมวินัยนี้ก็เป็นที่พำนักอาศัยแห่งสิ่งมีชีวิตใหญ่ๆ ดังนี้ คือพระโสดาบัน ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล  พระสกทาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งสกทาคามิผล พระอนาคามี ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล พระอรหันต์ ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อความเป็นพระอรหันต์ 






ขอขอบคุณ :-
อ้างอิง : ปหาราทสูตร พระไตรปิฎกสยามรัฐ 23/109/174-180 และอรรถกถา
website : https://uttayarndham.org/node/1807
119  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทำความรู้จักตำนาน “พระสุก-พระเสริม-พระใส” พระสามพี่น้องแห่งล้านช้าง เมื่อ: มีนาคม 19, 2024, 08:59:10 am
.



ทำความรู้จักตำนาน “พระสุก-พระเสริม-พระใส” พระสามพี่น้องแห่งล้านช้าง

ชวนทำความรู้จัก! ตำนานพระสามพี่น้อง “พระสุก-พระเสริม-พระใส” พระประจำพระธิดา 3 พระองค์ของกษัตริย์ล้านช้างในอดีต ก่อนจมแม่น้ำโขง

จากกรณีการค้นพบพระพุทธรูปเก่าแก่ริมแม่น้ำโขงบริเวณเมืองต้นผึ้ง สปป.ลาว ตรงข้าม อ.เชียงแสน จ.เชียงราย จนทำให้ผู้ใช้โซเชียลมีเดียลาวพากันตั้งข้อสังเกตว่า พระโบราณที่พบริมน้ำโขง อาจเป็น “พระสุก” ที่จมแม่น้ำโขงสมัยอาณาจักรล้านช้าง

แม้การตั้งข้อสังเกตดังกล่าวยังไม่มีการยืนยันจากหน่วยงานราชการของ สปป.ลาว ว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่ก็ทำให้เรื่องราวของพระสุกกลับมาอยู่ในความสนใจของคนในสังคัมอีกครั้ง วันนี้ “พีพีทีวี” จะพาไปทำความรู้จักกับตำนานของ “พระสุก-พระเสริม-พระใส”



พระเสริม วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร

โดยตำนานพระสามพี่น้อง “พระสุก-พระเสริม-พระใส” มีตำนานเล่าว่า พระธิดา 3 พระองค์ของ เป็นธิดาของพระไชยเชษฐาธิราช กษัตริย์อาณาจักรล้านช้าง ได้หล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา และถวายนามพระพุทธรูปตามพระนามของพระธิดาแต่ละพระองค์ โดย “พระเสริม” เป็นพระประจำพระธิดาองค์ใหญ่ “พระสุก” ประจำพระธิดาองค์กลาง และ “พระใส”ประจำพระธิดาองค์เล็ก

ซึ่งแต่เดิมพระพุทธรูปทั้ง 3 องค์ ถูกประดิษฐานอยู่ที่นครเวียงจันทน์ และถือเป็นพระพุทธรูปสำคัญของอาณาจักรล้านช้าง กระทั่งต่อมาเกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ขึ้นที่เมืองเวียงจันทน์ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โปรดให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิ์พลเสพย์ ได้เป็นจอมทัพยกพลมาปราบ

เมื่อเมืองเวียงจันทน์สงบแล้ว จึงได้อัญเชิญ “พระสุก-พระเสริม-พระใส” ข้ามแม่น้ำโขงมาที่จังหวัดหนองคาย โดยมีการต่อแพข้ามแม่น้ำโขง สำหรับพระแต่ละองค์ แต่ระหว่างแพของพระสุกกำลังข้ามแม่น้ำโขง ได้บังเกิดฝนฟ้าคะนอง พระสุกได้แหกแพจมลงในน้ำ หายไป ทำให้บริเวณดังกล่าวได้ชื่อ “เวินสุก” หรือ “เวินพระสุก” ตั้งแต่นั้นมา (เวินสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย)

หลังจากพระสุกจมแม่น้ำโขงการอัญเชิญพระสามพี่น้องครั้งนี้จึงเหลือแต่ “พระเสริม” และ “พระใส” ที่สามารถอัญเชิญมาถึงหนองคาย สำหรับ “พระใส” นั้นได้อัญเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ส่วน “พระเสริม” ได้ อัญเชิญไปไว้ยังวัดหอก่อง หรือวัดประดิษฐ์ธรรมคุณ และมีการสร้างองค์จำลอง “พระสุก” ไว้ที่วัดศรีคุณเมือง ณ ปัจจุบัน



พระใส วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย

ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ขุนวรธานีและเจ้าเหม็น (ข้าหลวง) อัญเชิญ “พระเสริม” ลงไปยังกรุงเทพฯ แต่ด้วยเกิดเหตุปาฏิหาริย์ จึงสามารถอัญเชิญลงมาได้แค่ “พระเสริม” เท่านั้น ส่วน “พระใส” ยังคงประดิษฐานไว้ ณ วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย

โดยปัจจุบัน "พระใส" ยังคงประดิษฐานอยู่ที่ วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ดังเดิม ขณะที่ "พระเสริม" ประดิษฐานอยู่ที่ วัดปทุมวนาราม กรุงเทพมหานคร ส่วน "พระสุก" ที่จมหายไปไม่ปรากฏขึ้นมาอีกเลย เหลือไว้เพียงตำนานที่ถูกเล่าขานถึงของคนสองฝั่งแม่น้ำโขงเรื่อยมา

อย่างไรก็ตามแม้ยังไม่มีหลักฐานหรือการพิสูจน์จากทางการ ที่รับรองการตั้งข้อสังเกตที่ว่าพระพุทธรูปโบราณที่มีการค้นพบบริเวณเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เป็น “พระสุก” จริงหรือไม่ อีกทั้งมีการตั้งข้อสังเกตเรื่องเวินพระสุกที่อยู่ห่างไกลกับสถานที่ค้นพระพุทธรูปโบราณดังกล่าว แต่การค้นพบพระโบราณดังกล่าว ก็ทำให้ตำนานของ “พระสุก-พระเสริม-พระใส” พระสามพี่น้อง ถูกพูดถึงอีกครั้งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้






Thank to : https://www.pptvhd36.com/news/สังคม/219660 
โดย PPTV Online | เผยแพร่ 18 มี.ค. 2567 ,15:46น.
120  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ทีมวิจัย สหรัฐฯ เผยถึงวิธีที่สมองจัดการกับภาษา เพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย เมื่อ: มีนาคม 19, 2024, 08:53:54 am
.



ทีมวิจัย สหรัฐฯ เผยถึงวิธีที่สมองจัดการกับภาษา เพื่อให้เข้าถึงได้ง่าย

คนส่วนใหญ่มักพูดได้ภาษาเดียวหรือ 2 ภาษา ทว่าบางคนก็เชี่ยวชาญและพูดได้หลายภาษา บางคนสลับภาษาในระหว่างสนทนาได้คล่อง เช่น คุยกับยายเป็นภาษาอิตาเลียน แต่ก็โต้เถียงปรัชญากับเพื่อนร่วมชั้นเป็นภาษาฝรั่งเศสได้ง่ายดาย สิ่งนี้ทำให้เกิดความสงสัยถึงวิธีที่สมองจัดการกับภาษาอันเป็นวิธีหลักในการสื่อสารของมนุษย์

ล่าสุด ทีมวิจัยนำโดยนักประสาทวิทยาจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเสตต์ (เอ็มไอที) สหรัฐอเมริกา เผยงานวิจัยใหม่ที่จะให้ความกระจ่างถึงวิธีที่สมองจัดการกับภาษา หลังคัดเลือกอาสาสมัครที่พูดได้อย่างน้อย 5 ภาษามา 34 คน เป็นชาย 20 คน หญิง 14 คน มีอายุ 19-71 ปี โดย 21 คนพูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ ส่วนที่เหลือเป็นภาษาฝรั่งเศส รัสเซีย สเปน เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน ฮังการี และจีนกลาง

ทีมอธิบายว่า การพูดได้หลายภาษาจะสามารถเปรียบเทียบว่าสมองปรับเปลี่ยนการตอบสนองตามหน้าที่ของความเชี่ยวชาญได้ภายในคนคนเดียวอย่างไร นักวิจัยได้ใช้วิธี functional magnetic resonance imaging คือการตรวจเพื่อหาตำแหน่งการทำงานของสมอง โดยบันทึกความเปลี่ยนแปลงในสมองที่เกิดจากการทำงานของเซลล์ประสาท เพื่อติดตามการทำงานของสมอง

ในขณะที่อาสาสมัครร่วมฟังข้อความใน 8 ภาษาที่แตกต่างกัน มีทั้งภาษาแม่ที่เป็นภาษาหลักที่พวกเขาใช้ และภาษาอื่นอีก 3 ภาษาที่พวกเขามีความเชี่ยวชาญสูง เชี่ยวชาญปานกลาง และเชี่ยวชาญน้อยที่สุด ส่วนอีก 4 ภาษาเป็นภาษาที่พวกเขาไม่รู้จักเลย




ทีมวิจัยพบว่าแม้ว่า เครือข่ายภาษาของสมอง ที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่บางส่วนที่อยู่ในสมองส่วนหน้าและขมับ จะมีชีวิตชีวาขึ้นเมื่อประมวลผลภาษาใดก็ตาม แต่ภาษาแม่ของคนที่พูดได้หลายภาษาจะทำงานได้เข้มข้นน้อยลง สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าภาษาแม่หรือภาษาแรกของคนเราจะได้รับการเข้ารหัสหรือถูกเก็บในสมองเป็นพิเศษ นอกจากนี้ การเปิดรับภาษาที่ไม่รู้จักสามารถกระตุ้นพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินและการมองเห็นได้.






Thank to : https://www.thairath.co.th/news/foreign/2770240
14 มี.ค. 2567 09:01 น. | ข่าว>ต่างประเทศ>ไทยรัฐฉบับพิมพ์
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 557