1. การเตรียมตัว-เตรียมใจเพื่อเข้าถึงสมาธิ
เราตั้งไว้ว่าจะนั่งสมาธิให้เกิดสมาธิให้ได้ซัก 30 นาที
เราก็ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ในมือถือก็ได้ว่า จะให้ปลุกหลังจากนี้ไปอีก 30 นาที
แล้วก็ตั้งเจตนามั่นเป็นปณิธานว่า
จะนั่งไม่ลุกไปไหน ไม่เปลี่ยนท่า
แม้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม จะไม่ลุกจากการนั่งในครั้งนี้เด็ดขาด
จะเกิดไปรู้อารมณ์ความรู้สึกยังไง ก็จะไม่ลุกขึ้นจากที่นี้เด็ดขาด
แม้จะต้องตายก็ช่างมัน กายมันจะเป็นยังไงก็ช่างมัน
จะไม่ห่วง ไม่ติดในรูปขันธ์ คือกายนี้อีก
จนกว่าจะได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งปลุกไว้
แนวทางเบื้องต้น ในการพิจารณาเพื่อปล่อยวางให้เข้าสมาธิจิตได้ง่ายขึ้น
- คนที่มีความสุขกายและใจมาก ให้พิจารณารู้เห็นตามจริงว่าไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้แน่นอน
คนที่มีความสุขมากนี้..เพราะมีพร้อมทุกอย่างอยู่แล้วจึงมักจะคิดว่า สิ่งที่ตนมีนี้มันเพรียบพร้อมอยู่แล้ว เป็นสุขอยู่แล้ว ไม่ต้องไปไขว่คว้าหากทางพ้นทุกข์ใดๆอีก เพราะที่มีก็ดีพร้อมอยู่แล้ว จึงเป็นเหตุให้ยากต่อการจะตัด ความติดใจ ความพอใจยินดี ความยึดมั่น-ถือมั่น ในสิ่งที่ตนมี-ที่ตนได้เสพย์เสวยรู้อารมณ์ใดๆนี้อยู่นั้นได้ยาก
สมาธิของคนที่มีความสุขมากนี้..จะสามารถเข้าสมาธิได้ง่ายด้วยเพราะมีความสุขกายสบายใจอยู่แล้วจึงมีความกัลวลใจน้อย คิดน้อย เป็นเหตุให้สมาธิตั้งมั่นได้ง่ายและเร็ว เรียกว่าสุขสร้างสมาธิ
ด้วยเหตุนี้..คนที่มีความสุขจะเห็นจริงในทุกข์ทั้งปวงและเข้าถึงทางพ้นทุกข์ได้นั้น จึงต้องพิจารณาให้เห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยง-มีความไม่คงอยู่-มีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดาจะไม่ล่วงพ้นสิ่งนี้ไปได้ สิ่งไม่เที่ยงทั้งหลายเหล่านี้คือ ทุกข์ เมื่อรู้ว่าเข้าไปยึดในทุกข์แล้ว จิตย่อมน้อมมาสู่ทางเจริญปฏิบัติเพื่อพ้นกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้มากขึ้น จนเห็นชัดใน อริยะสัจ๔
- คนที่มีความสุขและทุกข์คละเคล้ากันไป ให้พิจารณาเห็นถึงความไม่มีตัวตน-สิ่งใด-บุคคลใด ทั้งสิ่งที่เราพอใจยินดีและไม่พอใจยินดี ว่าเป็นสิ่งที่ไม่น่าปารถนาใคร่ได้ยินดี สิ่งเหล่านี้มันหาประโยชน์สุขใดๆไม่ได้
คนที่มีความสุขและทุกข์คละเคล้ากันไปนี้..จะได้รับรู้ทั้งความสุขและความทุกข์ทั้งหมด เห็นเหตุให้ตั้งเอาจิตเข้าไปยึดมั่น-ถือมั่นว่า สิ่งนี้ๆคือสุข และ สิ่งนี้ๆคือทุกข์ เป็นเหตุให้มีทั้ง ความพอใจยินดีใคร่ได้ และ ไม่พอใจยินดีใคร่ได้อยู่มาก จนยากที่จะดับในความยึดมั่น-ถือมั่นนี้ๆไปได้
สมาธิของคนที่มีความสุขและทุกข์คละเคล้ากันไปนี้..จะสามารถเข้าสมาธิได้ยากบ้าง ง่ายบ้าง ตามแต่สภาวะจิตที่ติดข้องใจใดๆ ตรึกถึง นึกถึง ตรองถึง คำนึงถึงอยู่นั้น ด้วยเพราะมีความสุขและทุกข์กาย-ใจอยู่คละเคล้ากัน จึงมีความกัลวลใจ และ ความคิด มากบ้าง-น้อยบ้าง ตามแต่สภาวะจิตที่ได้เสพย์เสวยรู้อารมณ์อยู่ในขณะนั้นๆ
ด้วยเหตุนี้..คนที่มีทั้งสุขและทุกข์คละเคล้ากันไปนี้ จะสามารถละความติดข้องใจใดๆทั้งพอใจยินดีและไม่พอใจยินดีได้นั้น ต้องพิจารณาเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีตัวตนอันใดที่เราจะไปสั่งบังคับ-จับต้อง-ยื้อยึด-ฉุดรั้งให้มันเป็นไปดั่งใจเราได้ มันมีความเกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไปเป็นธรรมดา หาประโยชน์สุขใดๆไม่ได้นอกจากทุกข์
ยิ่งปารถนาใคร่ได้ที่จะเสพย์เสวยอารมณ์ในสิ่งนี้ๆมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเป็นทุกข์มากเท่านั้น ความสุขแท้จริงที่ได้จากการได้เสพย์สมอารมณ์ในสิ่งนั้นไม่มีเลย
ให้พิจารณารู้วางใจกลางๆ ละความปารถนาใคร่ได้ยินดีนั้นๆไปเสีย จนเข้าถึงความว่างไม่หยิบจับเอาความพอใจยินดีและความไม่พอใจยินดีมาตั้งเป็นอารมณ์ของจิต จะทำให้เข้าถึงสมาธิจิตได้ง่ายขึ้น แล้วพิจารณาในสภาวะธรรมใดๆจนแจ้งใน อริยะสัจ๔
- คนที่มีความทุกข์มาก ย่อมรู้เห็นในทุกข์เป็นเบื้องต้นแล้ว ให้พิจารณารู้เห็นตามจริงในสัจธรรม และ ธรรมทั้งปวง ให้พิจารณาเห็นในอริยะสัจ๔ อันประเสริฐ จนเห็นว่า สิ่งนี้ๆไม่ใช่เรา สิ่งนี้ๆไม่ใช่ของเรา
คนที่มีความทุกข์มากนี้..จะได้รับความทุกข์อย่างมาก มองไปทางใดๆก็มีแต่ทุกข์ จนมองหาสุขใดๆไม่ได้เลย ทำให้ไปยึดมั่น-ถือมั่นด้วยอนุมานในใจว่าหากเรามีสิ่งนี้ หากเราได้อย่างนี้ หากเราไม่สูญเสียอย่างนี้ หากเราทำได้อย่างนี้เราจะเป็นสุขโดยแท้ จะไม่ทุกข์อีกเลย ทำให้ใจเข้ายึดยึดถือว่า สิ่งนี้เป็นเรา สิ่งนี้เป็นของเรา สิ่งนี้เราควรจะได้ ก่อเกิดเป็นความปารถนาใคร่ได้ที่จะเสพย์ ทะยานอยากที่จะมี-จะเป็น ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น หลุดพ้นจากทุกข์ไม่ได้ด้วยความไม่เห็นตามจริงในสัจธรรมทั้งปวง
สมาธิของคนที่มีความทุกข์มากนี้..จะเข้าสมาธิได้ยากมาก เพราะใจมีแต่ความปารถนาใคร่ได้ยินดี ทะยานอยากที่จะได้มาก จนไม่เป็นสมาธิเพราะความเข้าไปยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานมีมากเกินไป
ด้วยเหตุนี้..คนที่มีความทุกข์มากต้องมีความเข้าใจและเห็นจริงในสัจธรรมเป็นเบื้องต้น เช่น รู้ว่าความปารถนาเป็นทุกข์ ความว่าคนเรามีความพรัดพรากเป็นที่สุด รู้ว่าคนเรามีแต่ทุกข์ที่เกิดและดับ มองเห็นในเหตุแห่งทุกข์ที่เกิดแก่ตน มองเห็นทางพ้นทุกข์อันประเสริญคือ มรรคมีองค์๘ เข้าถึงความพ้นทุกข์ จนเห็นความไม่เที่ยง รู้ความไม่มีตัวตน ไม่มีสิ่งที่เป็นเรา ไม่มีสิ่งที่เป็นของเรา
เมื่อเห็นจริงในสัจธรรมทั้งปวง และ อริยะสัจ๔ จนถึงความไม่ใช่เรา-ไม่มีเรา ไม่ใช่ของเรา-ไม่มีของเรา เป็นหลักนี้ จิตจะยังลงสู่ความปล่อยวางในอุปาทานใดๆมากขึ้นจนเข้าสู่สมาธิได้ง่าย เห็นแจ้งใน สมุทัย มากขึ้นและเจริญเข้าสู่ มรรคมีองค์๘ ได้ง่ายขึ้น จะเห็นความถึงแห่ง นิโรธ ว่าไม่มีสิ่งใดสุขประเสริฐยิ่งกว่านี้แล้ว
แต่หากท่านใด..สามารถเข้าสมาธิจิตได้โดยปราศจากความยึดมั่นอุปาทานนี้ได้แล้ว ก็สามารถข้ามไปเจริญปฏิบัติในข้อที่ 2 ได้ทันทีครับ เพราะแนวทางข้างต้นนี้สำหรับคนที่ยังยึดมั่นถือมั่นมากอยู่เป็นแนวทางเบื้องในอีกหลายล้านแนวทางที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ดีแล้วครับ