ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ชุมชนเริ่มแรกในไทย  (อ่าน 238 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28456
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ชุมชนเริ่มแรกในไทย
« เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2024, 07:45:50 am »
0
.



ชุมชนเริ่มแรกในไทย

คนหลายชาติพันธุ์ล้วน “ไม่ไทย” ในชุมชนเริ่มแรกตั้งแต่ก่อนเกษตรกรรมจนเข้าสู่หลังเกษตรกรรมหลายพันปีมาแล้ว แต่คนเหล่านั้นเป็นบรรพชนคนไทยซึ่งรู้ได้จากการศึกษาพิจารณาจากหลักฐานวัฒนธรรม โดยเฉพาะพิธีกรรมหลังความตายที่คนยังทำต่อเนื่องถึงปัจจุบัน

ก่อนเกษตรกรรม หมายถึง ก่อนการตั้งถิ่นฐานเป็นชุมชนผู้คนร่อนเร่แสวงหาอาหารตามแหล่งธรรมชาติของหุบเขาลำเนาไพรห้วยหนองคลองบึงบุ่งทาม และตามชายฝั่งถึงท้องทะเล

หลังเกษตรกรรม หมายถึง ผู้คนรู้จักสะสมอาหารไว้กินทั้งปี ด้วยการปลูกข้าวตลอดจนเลี้ยงสัตว์จากการสังเกตและลองผิดลองถูกตามธรรมชาติ จึงตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ติดที่ร่วมกันเป็นชุมชน

เริ่มจากปลูกเพิงอยู่อาศัยอย่างง่ายๆ ด้วยไม้ไผ่ และมุงด้วยใบไม้ทั่วไป หลังจากนั้นก็ทำให้แข็งแรงเป็นกระท่อมหรือทับ บริเวณที่มีแหล่งน้ำ โดยมีบุคคลสำคัญเป็นหัวหน้า มีที่ฝังศพหัวหน้าเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วมีพิธีฝังศพหรือพิธีกรรมหลังความตาย

แต่คนไม่ได้หยุดร่อนเร่พเนจรพร้อมกันทั้งหมด ฉะนั้น จึงมีบางพวกบางกลุ่มยังคงร่อนเร่แสวงหาอาหารตามธรรมชาติต่อไปอีก

หลายพันปีมาแล้วมีชุมชนเริ่มแรกกระจายห่างๆ ทั่วภูมิภาคอุษาคเนย์และทั่วดินแดนประเทศไทย บางแห่งเป็นชุมชนราว 5,00 ปีมาแล้ว แต่ส่วนมากเป็นชุมชนราว 3,000 ปีมาแล้ว ล้วนมีวัฒนธรรมร่วมกัน หรือเป็นวัฒนธรรมร่วม



ต้นข้าวเป็นแถวเหมือนนาดำ หรือทำนาทดน้ำ ราว 2,500 ปีมาแล้ว หรือเรือน พ.ศ.1 มีรูปแสดงความหมายต่างๆ เช่น มือแดง, ขวัญ, คน, วัวควาย (ลายเส้นคัดลอกโดยกรมศิลปากร จากภาพเขียนที่ผาหมอนน้อย อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี)


ทำนาปลูกข้าว

มี 2 แบบหลัก ได้แก่
    (1.) ทำไร่หมุนเวียนบนที่สูง เรียก “เฮ็ดไฮ่” หรือ ดราย์ ไรซ์ (dry rice) และ
    (2.) ทำนาทดน้ำในที่ลุ่ม เรียก “เฮ็ดนา” หรือ เวต ไรซ์ (wet rice) มี 2 แบบย่อย ดังนี้

นาหว่าน ด้วยการหว่านเมล็ดข้าวลงในนาที่มีน้ำท่วมถึง แล้วปล่อยให้ข้าวงอกงามตามธรรมชาติ

นาดำ ด้วยการเพาะต้นกล้าของข้าวไว้ก่อน แล้วถอนต้นกล้าไปปลูกในนาจริงที่เตรียมพื้นที่ไว้ (ดำ เป็นคำกริยา แปลว่ามุดลงไป ดังนั้น นาดำหมายถึงการดำนาโดยใช้นิ้วหัวแม่มือกดโคนต้นกล้าที่มีรากติดอยู่ให้ปักลึกมุดดินโคลนเลนซึ่งเป็นพื้นที่เตรียมไว้แล้ว)

การทำนาดำต้องรู้เทคโนโลยีก้าวหน้า คือการทดน้ำเพื่อหล่อเลี้ยงต้นข้าว และระบายน้ำเพื่อควบคุมปริมาณตามต้องการ


@@@@@@@

กินข้าวเป็นอาหารหลัก

ข้าวเหนียว (เมล็ดป้อม) เป็นอาหารหลักของคนส่วนมาก
ข้าวเจ้า (เมล็ดเรียว) มีบ้าง แต่ไม่มากเท่าข้าวเหนียว

[ทางภาคใต้ของไทยปัจจุบันกินข้าวเจ้า แต่พิธีแต่งงานเรียก “กินเหนียว” หมายถึงนึ่งข้าวเหนียวไปไหว้ผีบรรพชน ย่อมเป็นพยานว่าบรรพชนคนภาคใต้นานมาแล้วกินข้าวเหนียวในชีวิตประจำวัน]

กับข้าว “เน่าแล้วอร่อย” ของกินพร้อมข้าว เรียก “กับข้าว” หลายพันปีมาแล้วบางอย่างถูกทำให้ “เน่าแล้วอร่อย” เป็นที่นิยมสูงสุดและกว้างขวางสุดในอุษาคเนย์ ได้แก่ ปลาแดก, ปลาร้า, กะปิ, น้ำปลา, น้ำบูดู ฯลฯ รวมถึง “น้ำพริก” ประเภทต่างๆ

การทำให้ “เน่าแล้วอร่อย” คือวิธีถนอมอาหารไว้กินนานๆ เป็นเทคโนโลยีดั้งเดิมร่วมกันของคนในอุษาคเนย์



เรือนเสาสูง มีใต้ถุน ในชุมชน 2,500 ปีมาแล้ว [ลายเส้นสลักบนหน้ากลองทอง (มโหระทึก) พบที่เวียดนาม]


เรือนเสาสูง

เรือนเสาสูงเป็นที่อยู่อาศัยทั้งบริเวณหุบเขาและทุ่งราบ ตั้งแต่ตอนใต้ของจีนจนถึงหมู่เกาะ

เสาสูง หมายถึง เรือนมีต้นเสาและมีหลังคาตั้งบนต้นเสา แล้วยกพื้นสูงอยู่ใต้หลังคาคลุม ส่วนใต้พื้นเรือนถึงพื้นดิน เรียกใต้ถุน (ถุน เป็นคำดั้งเดิม แปลว่า ข้างใต้, ข้างล่าง)

ใต้ถุน หมายถึง บริเวณใต้พื้นเรือนถึงพื้นดิน เป็นพื้นที่ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันของคนในชุมชนตลอดวันตั้งแต่เช้าถึงค่ำ (ก่อนขึ้นไปนอนบนเรือนเพื่อป้องกันสัตว์ร้าย) กิจกรรมประจำวัน เช่น หุงหาอาหาร, ตีหม้อ, ทอผ้า, เลี้ยงเด็กที่เป็นลูกหลานในชุมชน, คอกวัวคอกควายเลี้ยงสัตว์ ฯลฯ

ใต้ถุนไม่ได้มีไว้หนีน้ำท่วม (ตามที่บอกกันต่อๆ มาจนปัจจุบัน) เพราะเรือนของคนบนที่สูงในหุบเขาซึ่งน้ำไม่เคยท่วมก็ล้วนใต้ถุนสูง มีไว้ทำกิจกรรมชีวิตประจำวัน

ส่วนบริเวณที่ราบลุ่มน้ำท่วมย่อมมีน้ำท่วมถึงใต้ถุน แล้วคนหนีน้ำท่วมขึ้นไปอยู่บนเรือน โดยไม่ได้มีเจตนาตั้งแต่แรกทำใต้ถุนสูงไว้หนีน้ำ

ไม้ไขว้กันบนหลังคาเรือน เป็นเทคโนโลยีค้ำยันด้วยไม้ไผ่สองลำไม่ให้หลังคายุบลง ซึ่งคนบางกลุ่มเรียกไม้ไขว้กันอย่างนี้ว่า “กาแล” พบในทุกเผ่าพันธุ์ แต่บางกลุ่มใช้ส่วนไขว้กันเป็นที่แขวนหัวสัตว์เพื่อเซ่นผี เช่น หัวควาย เป็นต้น

บ้าน หมายถึง เรือนหลายหลังอยู่รวมกันเป็นชุมชน ตรงกับปัจจุบันว่าหมู่บ้าน หรือตรงกับภาษาอังกฤษว่า village

เรือน หมายถึงที่อยู่อาศัยเป็นหลังๆ ตรงกับภาษาอังกฤษว่า house (ปัจจุบันมักเรียกบ้าน)

สองคำนี้ต่อมาใช้ปนกันและบางทีใช้รวมกันว่า “บ้านเรือน” ตรงกับ house แล้ว ผูกคำใหม่ว่า “หมู่บ้าน” ให้ตรงกับ village


@@@@@@@

นับถือศาสนาผี ไม่มีเวียนว่ายตายเกิด และเชื่อว่าปรากฏการณ์ทุกอย่างทั้งหมดไม่ว่าดีหรือร้ายเกิดจากการกระทำของผีทั้งนั้น โดยผีกับคนติดต่อสื่อสารกันได้ด้วยการเข้าทรงผ่านร่างทรงซึ่งเป็นหญิง

ผีใหญ่สุดอยู่บนฟ้าเรียกผีฟ้า ต่อมาเรียกอีกชื่อว่า แถน (เป็นคำกลายที่รับจากจีนว่า “เทียน” แปลว่า ฟ้า)

เชื่อเรื่องขวัญ (ไม่มีวิญญาณ) ว่าขวัญมีในคน, สัตว์, พืช, สิ่งของ, เครื่องมือเครื่องใช้, อาคารสถานที่ ฯลฯ เชื่อว่าคนตาย ส่วนขวัญของคนไม่ตาย ยังมีวิถีปกติ (เหมือนเมื่อมีชีวิต) แต่อยู่ต่างมิติที่จับต้องไม่ได้ มองไม่เห็น เคลื่อนไหวได้ จึงมีพิธีทำขวัญเพื่อป้องกันเหตุไม่ดี

หญิงเป็นใหญ่ในพิธีกรรมทางศาสนาผี และเป็นหัวหน้าเผ่าพันธุ์ รวบอำนาจรวมศูนย์ด้วยการอ้างผี จึงมีอำนาจเหนือชาย

สืบตระกูลทางฝ่ายหญิง เพราะหญิงเป็นแม่ให้กำเนิดลูก

หญิงมีอำนาจเหนือชาย เพราะหญิงเป็นเจ้าของบ้านและที่ดิน ในพิธีแต่งงานหญิงเป็น “นาย” เรียก เจ้าสาว ส่วนชายเป็น “ขี้ข้า” เรียก เจ้าบ่าว ต้องไปอยู่รับใช้บ้านของฝ่ายหญิง

@@@@@@@

ยกย่องสัตว์มีพลังเหนือธรรมชาติ ได้แก่ หมา, กบ, งู, จระเข้, ตะกวด เป็นต้น

หมา เป็นสัตว์นำทางส่งขวัญของชนชั้นนำของเผ่าพันธุ์ขึ้นฟ้ารวมพลังกับผีฟ้า

กบ เป็นสัตว์นำน้ำฝนสู่ชุมชนให้คนทำนาทำไร่อุดมสมบูรณ์

งู เป็นผู้คุ้มครองน้ำและดิน เช่นเดียวกับจระเข้ และตะกวด


 



ขอขอบคุณ :-
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 2-8 กุมภาพันธ์ 2567
คอลัมน์ : สุจิตต์ วงษ์เทศ
เผยแพร่ : วันอาทิตย์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2567
URL : https://www.matichonweekly.com/column/article_743810
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 13, 2024, 07:48:29 am โดย raponsan »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ