ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ความอัศจรรย์ไม่เคยมี ๔ ประการ  (อ่าน 2229 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28450
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ความอัศจรรย์ไม่เคยมี ๔ ประการ
« เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 10:11:51 am »
0
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓ อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต

อัจฉริยสูตรที่ ๑

   [๑๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอัศจรรย์ไม่เคยมี ๔ ประการย่อมปรากฏเพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๔ ประการเป็นไฉนดูกรภิกษุทั้งหลาย


     เมื่อใดพระโพธิสัตว์จุติจากชั้นดุสิต มีสติสัมปชัญญะ เสด็จลงสู่ครรภ์พระมารดา เมื่อนั้น แสงสว่างอัน
โอฬารหาประมาณมิได้ ย่อมปรากฏในโลก
พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย


     แม้ในโลกันตริกนรกอันโล่งโถง ไม่มีอะไรปิดบัง มืดมิดมองไม่เห็นอะไร ซึ่งแสงสว่างแห่งพระจันทร์และพระอาทิตย์ ผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนั้นส่องไม่ถึง แต่แสงสว่างอันยิ่ง หาประมาณมิได้ ย่อมปรากฏแม้ใน
โลกันตริกนรกนั้น
ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย

     แม้พวกสัตว์ที่เกิดในนรกนั้น ย่อมจำกันและกันได้ด้วยแสงสว่างนั้นว่าท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า แม้สัตว์เหล่าอื่นผู้เกิดในที่นี้ก็มี (ไม่ใช่มีแต่เรา)
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีข้อที่ ๑ ย่อมปรากฏ เพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ



     อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระโพธิสัตว์มีสติสัมปชัญญะ ประสูติจากครรภ์พระมารดา ฯลฯ
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีข้อที่ ๒ ย่อมปรากฏ เพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ



    อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระตถาคตตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณฯลฯ
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีข้อที่ ๓ ย่อมปรากฏ เพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ



    อีกประการหนึ่ง เมื่อใด พระตถาคตประกาศอนุตรธรรมจักร เมื่อนั้นแสงสว่างอย่างยิ่งหาประมาณมิได้ ย่อมปรากฏในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลกพรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย
 
    แม้ในโลกันตริกนรกอันโล่งโถง ไม่มีอะไรปิดบัง มืดมิดมองไม่เห็นอะไร ซึ่งแสงสว่างแห่งพระจันทร์และพระอาทิตย์ผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนั้นส่องไม่ถึง แต่แสงสว่างอย่างยิ่ง หาประมาณมิได้ ย่อมปรากฏแม้ในโลกันตริกนรกนั้น ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย

    แม้พวกสัตว์ที่เกิดในนรกนั้น ย่อมจำกันและกันได้ ด้วยแสงสว่างนั้นว่า ท่านผู้เจริญ ได้ยินว่า แม้สัตว์เหล่าอื่นผู้เกิดในที่นี้ก็มี (ไม่ใช่มีแต่เรา)

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นความอัศจรรย์ไม่เคยมีข้อที่ ๔ ย่อมปรากฏ เพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความอัศจรรย์ไม่เคยมี ๔ ประการนี้ ย่อมปรากฏเพราะความปรากฏแห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ฯ

             จบสูตรที่ ๗

อ้างอิง                        
เนื้อความพระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑  บรรทัดที่ ๓๖๑๓ - ๓๖๔๕.  หน้าที่  ๑๕๕ - ๑๕๖.
http://www.84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=21&A=3613&Z=3645&pagebreak=0
ศึกษาอรรถกถานี้ ได้ที่ :-
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=21&i=127
ขอบคุณภาพจาก www.84000.org
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 21, 2011, 12:47:45 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28450
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ความอัศจรรย์ไม่เคยมี ๔ ประการ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 10:26:52 am »
0

อรรถกถา อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต ตติยปัณณาสก์ ภยวรรคที่ ๓
๗. อัจฉริยสูตรที่ ๑

               
อรรถกถาปฐมอัจฉริยสูตรที่ ๗
             
               พึงทราบวินิจฉัยในปฐมอัจฉริยสูตรที่ ๗ ดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า ปาตุภาวา คือ เพราะปรากฏขึ้น.
               ในบทว่า กุจฺฉึ โอกฺกมติ นี้ ความว่า เป็นผู้ลงสู่ครรภ์แล้ว. ความจริง เมื่อพระโพธิสัตว์นั้นลงแล้ว แสงสว่างก็เป็นอย่างนั้น เมื่อกำลังหยั่งลง แสงสว่างก็เป็นอย่างนั้น.
               บทว่า อปฺปมาโณ ได้แก่ มีประมาณเพิ่มขึ้น คือไพบูลย์กว้างขวาง.
               บทว่า อุฬาโร เป็นไวพจน์ของบทว่า อปฺปมาโณ นั่นเอง.



               ในบทว่า เทวานํ เทวานุภาวํ นี้ ได้แก่ อานุภาพอันหาประมาณมิได้ของเหล่าเทวดา รัศมีของผ้าที่นุ่งแผ่ไปได้ตลอด ๑๒ โยชน์ของสรีระก็อย่างนั้น ของวิมานก็อย่างนั้น. อธิบายว่า ล่วงเทวานุภาพแห่งเทวดานั้น.
               บทว่า โลกนฺตริกา ความว่า ที่ว่างในระหว่างสามจักรวาล จะมีโลกันตริกนรกอยู่แห่งหนึ่ง เหมือนระหว่างล้อเกวียนทั้งสามล้อที่ถึงกันแล้วหรือตั้งจดติดกันและกัน ก็มีที่ว่างตรงกลาง. ก็โลกันตริกนรกนั้น ว่าโดยประมาณได้แปดพันโยชน์.


               บทว่า อฆา คือ เปิดเป็นนิตย์.
               บทว่า อสํวุตา คือ ไม่มีฐานที่ตั้งแม้ภายใต้.
               บทว่า อนฺธการา คือ มืด.
               บทว่า อนฺธการติมิสา ความว่า ประกอบด้วยความมืด ทำให้เป็นเหมือนตาบอดเพราะห้ามการเกิดขึ้นแห่งจักษุวิญญาณ. ได้ยินว่า จักษุวิญญาณไม่เกิดในโลกันตริกนรกนั้น.

               บทว่า เอวํมหิทฺธิกานํ ความว่า ได้ยินว่า ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฏในทวีปทั้งสาม พร้อมคราวเดียวกัน จึงมีฤทธิ์มากอย่างนี้ ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ส่องแสงสว่าง กำจัดมืดได้เก้าแสนโยชน์ ในทิศแต่ละทิศจึงมีอานุภาพมากอย่างนี้.



               บทว่า อาภา นานุโภนฺติ คือ แสงสว่างไม่พอ. ได้ยินว่า ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เหล่านั้น โคจรไปท่ามกลางจักรวาลบรรพต ล่วงเลยจักรวาลบรรพตไปก็เป็นโลกันตริกนรก เพราะฉะนั้น แสงสว่างแห่งดวงจันทร์และดวงอาทิตย์เหล่านั้น จึงส่องไปไม่ถึงในที่นั้น.

               บทว่า เยปิ ตตฺถ สตฺตา ความว่า สัตว์แม้เหล่าใดเกิดแล้วในโลกันตรมหานรกนั้น.
               ถามว่า สัตว์เหล่านั้นทำกรรมอะไร จึงเกิดในโลกันตริกนรกนั้น.
               ตอบว่า สัตว์ผู้ทำกรรมหนัก ทารุณต่อมารดาบิดาและความผิดร้ายแรงต่อสมณพราหมณ์ผู้ทรงธรรม และทำกรรมสาหัสอื่นมีฆ่าสัตว์ทุกๆ วันเป็นต้น จึงไปเกิดดุจอภัยโจรและนาคโจรเป็นต้น ในตามพปัณณิทวี (ลังกา) สัตว์เหล่านั้นมีอัตภาพขนาด ๓ คาวุต มีเล็บยาวเหมือนค้างคาว เอาเล็บเกาะห้อยอยู่ที่เชิงเขาจักรวาล คล้ายค้างคาวเกาะห้อยอยู่ที่ต้นไม้ฉะนั้น

               เมื่อมือเปะปะไปถูกกันและกันเข้า ต่างก็สำคัญว่าเราได้เหยื่อแล้ว ดังนี้ แล่นไล่หมุนไปรอบๆ ก็พลัดตกไปในน้ำรองโลกคล้ายผลมะซาง เมื่อถูกลมประหารอยู่ก็ขาดตกไปในน้ำ พอตกลงไปถึงก็เปื่องย่อยไปในน้ำกรด ราวกะแป้งตกน้ำละลายไปฉะนั้น.



               บทว่า อญฺเญปิ กิร โภ สนฺติ สตฺตา ความว่า สัตว์เหล่านั้นเห็นกันในวันนั้น จึงได้รู้ว่า ได้ยินว่า สัตว์เหล่าอื่นมาเกิดในที่นี้เพื่อเสวยทุกข์นี้ เหมือนเราทั้งหลายเสวยทุกข์ใหญ่อยู่ฉะนั้น. แต่แสงสว่างนี้จะสว่างอยู่แม้เพียงดื่มยาคูอีกหนึ่งก็หามิได้ สว่างอยู่ชั่วเวลาที่สัตว์หลับแล้วตื่นขึ้นอารมณ์แจ่มใสฉะนั้น. ส่วนพระทีฆภาณกาจารย์กล่าวว่า แสงสว่างนั้นส่องเพียงพอสัตว์พูดว่านี้อะไร ก็หายไป คล้ายแสงสว่างฟ้าแลบชั่วลัดนิ้วมือเท่านั้น.

               จบอรรถกถาปฐมอัจฉริยสูตรที่ ๗



อ้างอิง
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=21&i=127
อ่าน เนื้อความในพระไตรปิฎก
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=21&A=3613&Z=3645
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

จินตนา

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 77
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ความอัศจรรย์ไม่เคยมี ๔ ประการ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: กันยายน 21, 2011, 12:13:09 pm »
0
อนุโมทนา คะ ตามอ่านอยู่ทุกวันนะคะ

  :49: :25: :25:
บันทึกการเข้า
ซื่อสัตย์ กตัญญู มีคุณธรรม