ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ถาม อยากให้ พอจ แนะนำกรรมฐาน เป็นพิเศษ ให้ด้วย ครับ  (อ่าน 1308 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

ธัมมะวังโส

  • ธัมมะวังโส
  • ผู้บริหารเว็บ
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +180/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 7250
  • Respect: +6
    • ดูรายละเอียด
    • เว็บไซต์
0
ถาม อยากให้ พอจ แนะนำกรรมฐาน เป็นพิเศษ ให้ด้วย ครับ
ตอบ ที่จริงแล้วเคล็ดวิชาการฝึก กรรมฐาน ถ่ายทอดให้หมดสิ้นแล้ว จนถึง วิปัสสนา ที่สำคัญ ( ภาษาชาวบ้าน หมายถึง ถ้าตายก็นอนตาหลับ ไม่ต้องห่วงพะวง อันทรัพย์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้า ตรัสว่า อริยธน วิชากรรมฐาน เป็นทรัพย์ที่ประเสริฐ ถึงแม้วันนี้ ยังไม่มีใครมาถึง โสดาบัน ฉัน ก็ตายตาหลับ ได้ เพราะทำหน้าที่ ค่อนข้างจะดีกว่าชาติ ก่อน ๆ แล้ว )

ตอนนี้ วิชากรรมฐาน ที่เหลือยังไม่ได้ถ่ายทอด ก็มีเพียงเรื่องเดียว คือการเข้า ปฏิจจสมุปบาท 4 ห้อง และการทำปัจจเวกขณ 90 วัน

ดังนั้น ถ้าท่านฝึกเพื่อให้ได้ สุขภาพกาย สุขภาพจิตบ้างก็ ให้ปฏิบัติตาม วิชากรรมฐาน ที่สมเด็จสุก ( ไก่เถื่อน ) ถ่ายทอดไว้
ก็ตามภาพนี้ คือ มัชฌิมา ปฏิปัตตา แต่ถ้าหากหวังคุณพิเศษ เป็น ศิษย์สายกัจจายนะ ก็ต้องว่่า ท่องจำคาถา 10 ตัว และเรียนรู้ บาทแห่งคาถา ทั้ง 10 ให้ชำนิชานาญ ในส่วนของมูลกรรมฐาน ให้เข้าใจ และทำตามขั้นตอน ซึ่งก็มีถ่ายทอดไว้ในหนังสือ วิโมกข์วิภังค์ ภาคที่ 1 เป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงท้ายเล่ม ตั้งแต่หน้า (2) พิเศษไป ไม่ได้ปกปิด หลักวิชา แต่ประการใด สำหรับพวกท่าน

สิ่งสำคัญ ถ้าต้องการเป็นพระอริยะ พ้นจากสังสารวัฏ ควรจะต้องทำวิปัสสนา ในฐานกรรมฐาน ทุกฐานจิตให้เหมาะสมไป สำหรับคำภาวนา วิปัสสนา ในฐานจิต แต่ละธาตุ ก็มีอยู่ในหนังสือ อานาปานสติ ปฏิสัมภิทามรรคอยู่แล้ว ขอให้ทุกท่าน อ่านกันให้ดี และใช้กันให้บ่อย อย่าได้ประมาท เพียงแต่เก็บไม่อ่าน เพราะตัวหลักวิชา มีอยู่ในหนังสือเล่มนี้อยู่แล้ว บุญวาสนาท่านมี อ่านเข้าใจก็ไม่ต้องมาติดตามฟังฉันมาก เพราะว่า ฉันอยู่สอนพวกท่านได้อีกไม่นาน ไม่สามารถสอนคนได้ทั้งประเทศ เพราะว่า มันต้องมีวาสนาร่วมกัน อันฉันนั้นถึงแม้ว่า จะดูเหมือนคุยในนี้ได้ง่าย แต่การพบฉันนั้นไม่ได้ทำได้ง่าย ๆ เลย คนที่พบฉัน ได้ ควรจะต้องภูมิใจ ที่สามารถมาเข้าพบ พอจ ได้ เพราะมีคนเป็น พัน มาขอพบฉัน แต่ใช่ว่า ฉันจะอนุญาต หรือ ยากจะพบ คนเหล่านั้น บางท่านติดตามกันมาเป็นสิบปี ยังไม่เคยเจอตัวจริง เลย และฉันก็ไม่ได้ ขยันออกไปหาศิษย์ ด้วย ปัจจุบันการเดินทางไปไหนมาไหน ฉันไม่ค่อยชอบการเดินทาง เพราะสุขภาพ ไม่อำนวยแบบเมื่อก่อน ดังนั้น ใครได้พบฉัน ได้ทำบุญกันตรง ๆ ต่อหน้านี่ถือว่า มีบุญวาสนาร่วมกัน เป็นอย่างสูง ดังนั้นเมื่อมีวาสนาแล้ว ก็ต้องเรียนธรรมให้สมกับโอกาสที่ได้ ด้วย อย่าประมาท

การที่จิตไปนิพพาน นั้น มันสูงเด่นกว่า การให้ทาน มีศีล ปรารถนา ความสุขสบายแบบสวรรค์ หรือการมองเห็นโทษแห่งกาม และ การดำรงตนด้วยสิกขา แล้ว มันสูงกว่า เพราะเป็นสิ่งที่ต้องมีมาก่อน มาฝึกภาวนา กรรมฐานที่เป็นปรมัตถ์
ส่วนเรื่องอุปนิสัย การให้ทาน ฟังธรรมธรรม รักษาศีล นั้นความเป็นจริง ในทางสายกัจจายนะ ไม่เน้นเรื่องพวกนี้ เพราะว่า คุณธรรมที่มาฝึกภาวนา ในสายนี้ ต้องมีมาก่อน แต่ทุกวันนี้ต้องเสียเวลามาเตือนเรื่องพื้นฐานทางจิต ของพวกท่านกัน ที่มันช้า เพราะพวกท่านทั้งหลาย มัวช้า สาระวน อยู่ใน โลกธรรม กันมากไป ไม่รู้จัก ละวาง ไม่รู้จัก การยอมรับตามความเป็นจริง คิดแต่ได้อย่างเดียว ไม่ยอมเสียประโยชน์ และที่สำคัญเวลาทุกข์เข้ามาก็บ่นนั่น บ่นนี่ กลัวเวรกรรมเก่า ตามทัน กลัวและกังวล ทำให้ อุปนิสัยทางธรรมพื้นฐานหายไป ฉันต้องมาเสียเวลา เตือนเรื่องเหล่านี้ ทั้งที่ ควรมุ่งสอนเรื่อง ปรมัตถ์ กลับกลายต้องมาสอน เรื่อง พื้นฐาน เหมือน สำนักเขาสอน ทำให้คุณค่า ทางสายกรรมฐาน ดูด้อยลงไม่ต่างจาก สำนักอื่น เลย ตรงมามุ่งเรื่อง การมีสติ สัปมชัญญะ ทั้ง ๆ ที่ตอนนี้ควรถ่าย ทอด เรื่อง ฌาน เรื่อง ญาณ และ ปรมัตถ์ หลายปีมานี้ ไม่มีศิษย์คนไหน ได้เรียน ฌาน ญาณ ปรมัตถ์ จากฉันเลย เพราะมัวแต่จม สาระวน อยู่กับ โลกธรรม กันมากไป

ทั้ง ๆ ที่ชีวิตจริงของคนเรา มีความตายเป็นที่สุด ในระหว่างมีชีวิต ก็มีทุกข์ เพราะความเจ็บ มีความหิว กระหาย ปวดหนัก ปวดเบา การประคองอัตภาพ อยู่เป็นประจำอยู่แล้ว เรื่องเหล่านี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ตรัสว่า ให้มองเห็นตามความเป็นจริง และ ยอมรับตามความเป็นจริง ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ท่านให้มองและกระทำการยอมรับว่า มันเป็น ธรรมดา ของมันอย่างนั้น

ดังนั้น เมื่อถึงครา เสีย ก็จะไม่ทุกข์ จิตไม่ตก
ถึงครา ต้อง ลำบาก มันก็จะไม่ทุกข์ จิตไม่ตก
ถึงครา ต้อง เจ็บ มันก็จะไม่ทุกข์ จิตไม่ตก
ถึงครา วิกฤติ จิตก็จะไม่ตก

เมื่อจิตไม่ตก มันสว่างไสว ด้วย ทัศศนะวิสุทธิ อย่างนี้ มันจะไม่ทิ้งธรรม จะไม่บ่น จะไม่ตัดพ้อ ต่อว่า จะไม่ทำปรามาส ต่อพระรัตนตรัยเลย สิ่งเหล่านี้เรียกว่า คุณธรรม พื้นฐาน ของพระโยคาวจร ซึ่ง พอจ. ไม่ควรจะต้องมาเสียเวลา หล่อหลอมท่านให้เป็นพระโยคาวจร ควรจะต้องสอนมุ่งท่านเป็นพระโสดาบัน ขึ้นไปมากกว่า

ดังนั้น ยามจะได้ ได้ให้เป็น ไม่เป็นทุกข์
ยามจะเป็น เป็นให้ถูก ตามวิถี
ยามสุขเป็น เห็นจะได้ ฌานลาภี
ยามจะดี คือยามเห็น จริงตามจริง
อันทุกสิ่ง วนเวียนซ้ำ มีดับเกิด
อย่าเตลิด ควรเห็นทัน ทุกข์ทั้งหลาย
ให้พอกพูน วิชชาธรรม แจ้งนามกาย
อย่าให้ปลาย ตกเลี้ยวลด บ่วงกรรม เอย
กายนี้ทุกข์ อนิจจัง เช่นนี้นะ
ถึงยามละ ควรรำลึก ไม่เที่ยงหนอ
ยามอยู่เป็น พลัดพรากจาก ไม่เคยรอ
กรรมที่ก่อ พลันตามติด ดั่งเงาตน
ยามสุขดี หากกายจิต พรั่งพร้อมมาก
ควรฉลาด ธรรมศึกษา อย่าได้เผลอ
หมั่นเติมบุญ เติมกุศล ปนใจเธอ
เมื่อยามเกลอ ละจากกาย บุญพร้อม เอย

ขอดวงตาเห็นธรรม จงมีแก่ท่าน
ขอความสำเร็จในธรรม จงมีแก่ท่าน
ขอความสวัสดี จงมีแก่ท่าน

เจริญพร
บันทึกการเข้า
เว ทา สา กุ กุ สา ทา เว ทา ยะ สา ตะ ตะ สา ยะ ทา สา สา ทิ กุ กุ ทิ สา สา กุ ตะ กุ ภู ภู กุ ตะ กุ