แสดงกระทู้
|
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. |
Messages - ชมพู่
|
หน้า: [1] 2 3
|
8
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ชนชั้นวรรณะในสังคมไทย
|
เมื่อ: กันยายน 26, 2016, 02:00:10 pm
|
( ปล. เห็นพระอาจารย์บอกว่า ถ้าคอมเม้นต์ เป็นประโยชน์บ้าง ก็จะสมารถเข้าอ่านห้องศิษย์สายตรงได้ คะ ขอหให้เพื่อน ที่ยังไม่มีสิทธิ์เข้าอ่านได้ นั้น คอมเม้นต์ แทนแสดงธรรมได้ เราก็ยังเข้าอ่านไม่ได้ ไม่รู้ว่า ต้องคอมเม้นต์ กี่ครั้ง ) ขอบคุณที่บอกคะ
|
|
|
17
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อาณาจักรโบราณในภาคต่างๆในดินแดนประเทศไทย ( เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาหรือไม่ )
|
เมื่อ: เมษายน 27, 2012, 07:24:41 am
|
อาณาจักรโบราณในภาคต่างๆในดินแดนประเทศไทย เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา หรือไม่ อยากให้พวกเราศึกษาข้อมูลลำดับจากประวัติศาสตร์ กันใหดี คะ
อาณาจักรโบราณในภาคกลาง 1) อาณาจักรทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) เป็นอาณาจักรสมัยประวัติศาสตร์ที่มีหลักฐานแน่นนอนแห่งแรกบนผืนแผ่นดินไทย เรื่องราวของทวารวดีปรากฏอยู่ในบันทึกการเดินทางของหลวงจีนอี้จิง ที่เรียกชื่อในบันทึกว่า “โถ-โล-โป-ตี้” ตั้งอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาและอาจมีศูนย์กลางอยู่ที่จังหวัดนครปฐม เพราะพบเหรียญที่นครปฐมมีจารึกภาษาสันสกฤตว่า “ศรีทวารวตีศวรปุณย” แปลว่า “การบุญของผู้ใหญ่ศรีทวารวดี” ในการขุดค้นทางโบราญคดีที่เมืองนครชัยศรี (นครปฐม) ได้พบหลักฐานสมัยทวารวดีจำนวนมาก เช่น ธรรมจักรศิลา พระพุทธรูปศิลาขนาดใหญ่ประทับนั่งห้อยพระบาทปางแสดงธรรมรวมถึงโบราญสถานขนาดใหญ่ นอกจากนี้ยังมีการค้นพบจารึกโบราณที่เขียนด้วยภาษามอญได้รับอิทธิพลพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ศิลปวัฒนธรรมตลอดจนแบบแผนในการปกครองจากอินเดีย เกิดการผสมผสานจนเป็นอารยธรรมทวารวดีที่แพร่หลายไปยังภูมิภาคต่างๆของไทย ทางด้านศาสนาได้รับอิทธิพลจากพุทธศาสนาโดยเฉพาะนิกายเถรวาทจนทำให้ทวารวดีกลายเป็นอาณาจักรของชาวพุทธให้ความสำคัญต่อการทำบุญ ทั้งสถาปัตยกรรมทางพระพุทธศาสนาที่สำคัญในสมัยทวารวดีและยังปรากฏให้เห็นจนปัจจุบัน คือ พระปฐมเจดีย์(องค์เก่า) ที่จังหวัดนครปฐม 2) อาณาจักรละโว้(พุทธศตวรรษที่12-18) ศูนย์กลางอยู่ที่เมืองละโว้หรือลพบุรีในปัจจุบัน ละโว้เป็นเมืองสำคัญหนึ่งในสมัยทวารวดี ตั้งอยู่ในบริเวณที่มีแม่น้ำสำคัญ 3 สายไหลผ่านคือ แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรีทำให้มีความอุดมสมบูรณ์ และมีเส้นทางติดต่อกับเมืองในลุ่มแม่น้ำป่าสัก ที่ราบสูงโคราช และเขตติดต่อกับทะเลสาบเขมร เป็นศูนย์กลางการติดต่อระหว่างชุมชนโดยรอบ ส่งผลให้ละโว้กลายเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่มีเศรษฐกิจดี เมื่อพวกขอมหรือเขมรขยายอิทธิพลเข้ามาในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ละโว้ได้กลายเป็นเมืองประเทศราชของขอมและได้รับอารยธรรมของขอมด้วย ด้านเศรษฐกิจ อาชีพสำคัญของชาวละโว้คือการเกษตร เพรามีพื้นที่อุดมสมบูรณ์และมีการติดต่อค้าขายกับชุมชนต่างถิ่น เช่น จีน อินเดีย หลักฐานที่แสดงถึงการติดต่อค้าขาย เช่น เครื่องถ้วยจีน และละโว้ยังได้ส่งทูตไปยังเมืองจีน โดยจดหมายเหตุจีนในพุทธศตวรรษที่17-19 เรียกละโว้ว่า “เมืองหลอหู” ละว้าภายใต้อิทธิพลขอม พระพุทธศาสนานิกายมหายานและศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ได้เข้ามามีบทบาทในละโว้แทนพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท โดยเฉพาะในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (พ.ศ.1724-1861) มีการสร้างสถาปัตยกรรม และประติมากรรมตามความเชื่อในศาสนาเหล่านี้ เช่น พระปรางค์สามยอด ปรางค์แขก เทวรูปพระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวร ------------------------------
อาณาจักรโบราณในภาคเหนือ
1) อาณาจักรโยนกเชียงแสน(พุทธศตวรรษที่ 12-19) มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองเชียงแสน (อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย) เรื่องราวของอาณาจักรโยนกเชียงแสน ปรากฏอยู่ในตำนานสิงหนวัติกุมารและตำนานลวจังกราช กล่าวถึงเจ้าชายสิงหนวัติกุมาร ผู้สืบเชื้อสายเจ้านายไท จากมณฑลยูนนานทางตอนใต้ของจีน ได้อพยพผู้คนลงมาประมาณพุทธศตวรรษที่ 13 มาก่อตั้งเมืองที่เชียงแสน ชื่ออาณาจักรโยนกเชียงแสน ต่อมาพวกขอมเข้ายึดครองอาณาจักรโยนกเชียงแสน และขับไล่ผู้ปกครองเดิมออกไป พระเจ้าพรหมกุมารเชื้อสายของกษัตริย์โยนกเชียงแสนสามารถกอบกู้เอกราช และสร้างเมืองใหม่ขึ้นที่เวียงชัยปราการ แต่หลังพระเจ้าพรหม พวกขอมที่เมืองสะเทินในพม่ายกทัพมารุกราน พระเจ้าไชยสิริโอรสของพระเจ้าพรหมจึงพาผู้คนอพยพหนีมาสร้างเมืองใหม่ที่กำแพงเพชร จนกระทั่งในพุทธศตวรรษที่ 19 อาณาจักรโยนกเชียงแสนจึงถูกรวมเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรล้านนา 2) อาณาจักรหริกุญชัย (พุทธศตวรรษที่ 13-19) ตั้งอยู่ที่เมืองหริกุญชัยหรือจังหวัดลำพูนในปัจจุบัน ตำนานจามเทวีวงค์หรือตำนานเมืองหริกุญชัยกล่าวว่า ฤาษีวาสุเทพเป็นผู้สร้างเมืองหริกุญชัย และขอให้กษัตริย์ละโว้ส่งเชื้อสายพระวงศ์มาปกครอง ละโว้จึงส่งพระนางจามเทวีผู้เป็นพระราชธิดามาเป็นปฐมกษัตริย์แห่งหริกุญชัย จนถึงปลายพุทธศตวรรษที่ 17 พระอาทิตยราชได้ปกครองหริกุญชัย และได้สร้างความเจริญรุ่งเรืองโดยเฉพาะการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ทรงสร้างพระธาตุหริกุญชัย สร้างวัดทำให้บ้านเมืองมีความสงบสุข 3) อาณาจักรล้านนา(พุทธศตวรรษที่ 19-25) มีศูนย์อยู่ที่เมืองนพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่(จังหวัดชียงใหม่) ผู้ก่อตังอาณาจักรล้านนา คือ พระยามังรายมหาราช(พ.ศ. 1804-1854) ซึ่งเดิมปกครองเมืองเชียงแสน ขณะนั้นในภาคเหนือมีอาณาจักรน้อยใหญ่หลายแห่ง เช่น หริกุญชัย เขลางค์ (ลำปาง) โยนกเชียงแสน พระยามังรายมหาราชสามารถปราบปรามและรวบรวมแว่นแค้วนต่างๆ ในภาคเหนือเข้าด้วยกันเป็นอาณาจักรล้านนาและตั้งราชธานีแห่งใหม่ขึ้นที่เวียงกุมกาม แต่ประทับอยู่ไม่นานก็ย้ายเมืองอยู่ที่เชียงใหม่ใน พ.ศ.1839 อาณาจักรล้านนามีความเจริญรุ่งเรืองหลายด้าน ที่สำคัญดังนี้ 3.1) ด้านภาษา ล้านนามีตัวอักษรใช้สามแบบ คือ อักษรธรรมล้านนาหรืออักษรตัวเมือง อักษรฝักขามที่ดัดแปลงมาจากตัวอักษรของพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และอักษรขอมเมืองหรืออักษรไทยนิเทศ 3.2) ด้านการปกครอง สามารถขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวางโดยรวบรวมหัวเมืองต่างๆเข้าเป็นส่วน หนึ่งของอาณาจักรล้านนาซึ่งปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มีกฎหมายที่ใช้ปกครองเรียกว่า “มังรายศาสตร์” 3.3) ด้านศาสนา พระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์จากสุโขทัยและพม่ามีการสังคายนาพระไตรปิฎกใน พ.ศ.2020 เป็นครั้งที่ 8 มีการสร้างวัดหลายแห่ง เช่น วัดเจดีย์หลวง วัดโพธารามมหาวิหาร(วัดเจดีย์เจ็ดยอด) เป็นต้น ----------------------
อาณาจักรโบราณในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
1) อาณาจักรโคตรบูรณ์(พุทธศตวรรษที่ 12-16) มีศูนย์กลางอยู่ที่นครพนมมีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ภาคตะวะนออกเฉียงเหนือ ตลอดจนดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขง เรื่องราวของอาณาจักรโคตรบูรณ์ปรากฏอยู่ใน “ตำนานอุรังคธาตุ”ที่กล่าวถึงความเป็นมาของชุมชนในอาณาจักร และประวัติการสร้างพระธาตุพนม อาณาจักรโคตลบูรณ์ได้รับอิทธิพลจากอินเดียมีการปกครองโดยกษัตริย์นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาทตามแบบทวารวดีและมีความเชื่อพื้นเมืองเรื่องการนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์และการบูชาพญานาคศาสนสถานที่สำคัญของอาณาจักร คือ พระธาตุพนม 2) อาณาจักรอิศานปุระ(พุทธศตวรรษที่ 12-18) หรืออาณาจักรขอมรุ่งเรืองขึ้นในสมัยพระเจ้าอิศานวรมัน เรื่องราวของอาณาจักรอิศานปุระหรือเจนละ ปรากฏอยู่ในจดหมายเหตุจีนราชวงศ์ต่างๆและในยันทึกของราชทูตจีน ชื่อ โจว ต้ากวน เขียนบันทึกเรื่องราวของอาณาจักรเจนละไว้ในชื่อ “บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจนละ” สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นยุคที่อาณาจักรขอมเป็นปึกแผ่นและเจริญรุ่งเรืองทางด้านศิลปะวิทยาการสูงสุด มีการสร้าง ศาสนสถานเป็นปราสาทหินขนาดใหญ่ขึ้นหลายแห่ง เช่น ปราสาทนครธม ปราสาทตาพรหม ปราสาทหินพิมายจังหวัดนครราชสีมา ปราสาทหินพนมรุ้ง ปราสาทเมืองต่ำ จังหวัดบุรีรัมย์ ปราสาทศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี ปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น อาณาขอมได้เผยแพร่อารยธรรมไปยังรัฐที่อยู่ใกล้เคียงหลายด้าน ทั้งด้านการปกครอง ได้แก่ การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ความเป็นสมมติเทพของกษัตริย์ ระบบขุนนางการปกครองแบบจตุสดมภ์ และกฎหมายพระธรรมศาสตร์ ด้านศาสนาและความเชื่อได้แก่ ศาสนาพราหมณ์-ฮินดู พระพุทธศาสนานิกายอาจริยวาทหรือมหายาน ดังจะเห็นได้จากโบราณสถานและโบราณวัตถุ เช่น ปราสาทหิน เทวรูปพระโพธิ์สัตว์ ศิวลึงค์ พระพุทธรูปปางนาคปรก ความเชื่อเรื่องพญานาค เป็นต้น -------------------
อาณาจักรโบราณในภาคใต้
1) อาณาจักรลังกาสุกะ (พุทธศตวรรษที่ 7-14) มีอาณาเขตควบคลุมพื้นที่ในจังหวัดปัตตานีและจังหวัดยะลา มีศูนย์กลางอยู่ที่อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี พัฒนาขึ้นมาจากการเป็นเมืองท่าสำคัญที่มีการติดต่อกับต่างชาติโดยเฉพีจนและ อินเดียแต่มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีนมากกว่าโดยส่งทูตไปเมืองจีนถึง 6 ครั้ง เป็นศูนย์กลางสำคัญของพระพุทธศาสนานิกายมหายาน จากการขุดค้นทางโบราณคดีที่อำเภอยะรังจังหวัดปัตตานี พบประติมากรรมสำริดพระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวร และสถูปจำลองรูปทรงต่างๆจำนวนมาก 2) อาณาจักรตามพรลิงค์ (พุทธศตวรรษที่ 13-18) มีศูนย์กลางอยู่ที่นครศรีธรรมราช มีหลักฐานที่กล่าวถึงตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ 8 โดยเอกสารอินเดียโบราณกล่าวถึงอาณาจักรตามพรลิงค์ในชื่อ “ตมลิง” “ตัมพลิงค์” เอกสารจีนสมัยราชวงศ์ถัง เรียกว่า “ถ่ามเหร่ง”สมัยราชวงศ์ซ่งเรียกว่า “ต่านหม่าลิ่ง” ต่อมาเรียกว่า “อาณาจักรนครศรีธรรมราช” ด้านศาสนา พุทธศตวรรษที่ 18 พระเจ้าจันทรภานุศรีธรรมาโศกราชทรงยกทัพไปโจมตีลังกา 2 ครั้ง เพื่อแย่งชิงพระทันตธาตุจากลังกา ทำให้อิทธิพลของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ลัทธิลังวงศ์และศิลปะแบบลังกาเข้ามาเผยแผ่และฝังรากลึกอยู่ในอาณาจักรนครศรีธรรมราช ศาสนวัตถุที่สำคัญ คือ พระบรมธาตุ จังหวัดนครศรีธรรมราชพระพุทธรูปประทับยืนสำริดปางประธานธรรม ทำให้นครศรีธรรมราชกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนไทย ซึ่งพระสงฆ์จากนครศรีธรรมราชได้นำพระพุทธศาสนาลัทธิลังกาวงศ์ไปเผยแผ่ยังกรุงสุโขทัยตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช 3) อาณาจักรศรีวิชัย(พุทธศตวรรษที่ 13-19) มีศูนย์กลางอยู่ที่เมืองปาเล็มบังบนเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย มีอิทธิพลครอบคลุมตั้งแต่เกาะชวาในอินโดนีเซีย ขึ้นมาถึงอำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี อนึ่ง มีนักวิชาการบางท่านเชื่อว่าศูนย์กลางของอาณาจักรศรีวิชัยอยู่ที่อำเภอไชยา ด้านศาสนา ในระยะแรกอาณาจักรศรีวิชัยที่ไชยานับถือศาสนาพราหมณ์-ฮินดูและพระพุทธศาสนานิการมหายาน ต่อมานับถือพระพุทธศาสนานิการเถรวาทจากทวารวดี และพระพุทธศาสนา ลัทธิลังกาวงศ์จากนครศรีธรรมราชดังปรากฏศาสนสถานและศาสนาวัตถุในศาสนาต่างๆ เช่น พระบรมธาตุไชยา อำเภอไชยา พระพุทธรูปปางนาคปรกสำริด ที่วัดหัวเวียงอำเภอไชยา เทวรูปพระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวร วัดศาลาทึง อำเภอไชยา
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: พัฒนาการของอาณาจักรโบราณในภาคต่างๆ
|
|
|
23
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / พระวัดถ้ำสองพี่น้องไม่ลงรอยกันยิงดับคาที่ 24-1-55
|
เมื่อ: มกราคม 24, 2012, 10:15:45 am
|
ร.ต.อ.สุริยา ลากุล ร้อยเวรสอบสวน สภ.กลางดง อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา รับแจ้งมีเหตุพระยิงกันตายที่วัดถ้ำสองพี่น้อง หมู่ที่ 10 ต.พญาเย็น อ.ปากช่อง ที่เกิดเหตุ บริเวณหน้าบันไดทางขึ้นวัด พบร่างของพระไทยศิริ หรือพระดำ ศิริลาภ ฉายา เตชปัญโญ อายุ 43 ปี บ้านเดิมเลขที่ 9 หมู่ที่ 9 ต.สองคอน อ.โพธิไทร จ.อุบลราชธานี มรณภาพในสภาพนอนคว่ำหน้า ตะแคงขวา ไม่สวมอังสะ แต่สวมสบง เลือดไหลนองพื้น พบมีรอยถูกยิงด้วยอาวุธปืนบริเวณเหนือราวนมซ้าย 1 นัด แขนซ้าย 2 นัด สะโพกขวาทะลุหลัง 1 นัด และพบหัวกระสุนขนาด 9 มม. ตกที่พื้น รวมถูกยิงจำนวน 4 นัด และยังมีรอยเลือดกระจายไปทั่วบริเวณ พบปลอกกระสุนขนาด 9 มม.ตกอยู่ข้างศพ 1 ปลอก อยู่บนขั้นบันไดอีก 3 ปลอก ส่วนผู้ก่อเหตุ เป็นพระวัดเดียวกัน ชื่อ พระสมควร หรือพระอ๊อด บุญปลอด อายุ 32 ปี มาจาก วัดนิมิตมงคล อ.โคกสำโรง จ.ลพบุรี มาอยู่จำพรรษาได้ 1 พรรษา หลังเกิดเหตุได้วิ่งหลบหนีไปทางถนนมิตรภาพพร้อมอาวุธปืน ขณะที่มีผู้พบเห็นว่าขึ้นรถตู้โดยสารหลบหนี ไป จากการสอบสวน นายปวรุตม์ ศิริลาภ อายุ 53 ปี พี่ชาย พระไทยศิริ หรือ พระดำ ที่ถูกยิงมรณภาพ กล่าวว่า ตนมีอาชีพรับเหมาก่อสร้าง ทั่วไป รวมทั้งมาก่อสร้างกุฏิภายวัดด้วย จึงเข้าออกภายในวัดเป็นประจำ ก่อนเกิดเหตุขับรถตู้ ยี่ห้ออีซูซุ สีน้ำเงิน ทะเบียน อว.8382 กทม.มาจอดหน้าบันไดทางขึ้นกุฏิวัด เพื่อจะเข้าไปเอาเครื่องมือช่างที่เก็บไว้ในห้องขึ้นรถ จากนั้นก็เห็น พระสมควร เดินออกมาจากกุฏิ พร้อมตะโกนคุยกันกับตน พร้อมถามว่าจะหาซื้อปืนได้ที่ไหน จึงตอบไปว่า" เป็นพระเป็นสงฆ์ ถามหาซื้อปืนได้ยังไง" จากนั้นจึงหันหลังกลับเดินไปที่กุฏิพร้อมพูดออกมาว่า" เดี๋ยวจะยิงคนปากเสียซักหน่วย" และเดินมาอีกครั้งพร้อมด้วยอาวุธปืน จากนั้นได้หันปากกระบอกไปใส่ตนพร้อมลั่นกระสุนใส่ 1 นัด แต่ตนเห็นก่อนจึงหลีกหนีได้ทัน ขณะเดียวกันนั้น พระไทยศิริ หรือพระดำ ก็กำลังนั่งพูดคุยกับญาติโยม อยู่กุฏิข้างที่เกิดเหตุ ได้ยินและเห็นเหตุการณ์จึงตะโกนพูดกลับไปว่า แค่นี้ถึงกับจะยิงกันเลยเหรอ จึงรีบคว้ามีดตัดไม้ เดินลงจากกุฏิมาเพื่อขวาง พระสมควร ที่กำลังถือปืนอาละวาด ทำให้ พระสมควร ไม่พอใจและลั่นกระสุนใส่ พระไทยศิริ ถึง 4 นัด และร่วงจากบันไดมรณภาพทันที จากนั้น พระสมควร ได้วิ่งไล่ยิงตัวเองแต่ไม่ถูก จากนั้นพระสมควร ก็รีบวิ่งหลบหนีไป นายปวรุตม์ กล่าวอีกว่า พอเห็นว่า พระสมควร วิ่งหลบหนีไป ตัวเองจึงวิ่งไปหา พระจรูญ อชิปัญโญ เจ้าอาวาส ที่กำลังทำความสะอาดอยู่หน้าพระอุโบสถกับพระลูกวัด เล่าถึงเหตุการณ์ด้วยความรีบร้อน จากนั้นได้วิ่งหนีเข้าป่าข้างวัดเกรงว่าพระสมควร จะตามมายิงอีก พร้อมแจ้งตำรวจ มายังที่เกิดเหตุ จากการสอบสวน พระสมควร รับสารภาพว่า พระลูกวัดและญาติโยมที่มาถือศีลอยู่ในวัดต่างทราบดีว่า นายสมควร หรือพระสมควร ไม่ค่อยถูกกับพระรูปอื่น ชอบนินทา ทำตัวเป็นผู้กว้างขวางในวัด อีกทั้งไม่ค่อยออกบิณฑบาต ซึ่งเป็นกิจของสงฆ์ แต่เมื่อพระรูปอื่นบิณฑบาตกลับมาก็จะมาฉันท์อาหารรวมด้วย ทำให้พระรูปอื่นไม่ค่อยพอใจ มีปากมีเสียงกันเป็นประจำ และเมื่อคืนที่ผ่านมาก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด แต่ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นคนยิง จนมาก่อเหตุยิงพระด้วยกันมรณภาพดังกล่าวhttp://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=549524
|
|
|
25
|
เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ทำไม การยังสงฆ์ ให้แยกแตกจากกันเป็นอนันตริยกรรม คะ
|
เมื่อ: มกราคม 10, 2012, 09:27:37 am
|
ทำไม การยังสงฆ์ ให้แยกแตกจากกันเป็นอนันตริยกรรม คะ คือไม่เข้าใจ คะ การฆ่าบิดา ฆ่ามารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำร้ายพระพุทธเจ้า นี้มองเห็นว่า มีการประทุษร้าย ทางกาย แน่นอน แต่การทำสงฆ์ ให้แยกแตกจากกัน นี้ ไม่ได้ทำร้าย ทำไม จัดเป็น อนันตริยกรรม คะ ที่สำคัญ กรณี อย่าง พระสงฆ์ มหานิกาย และ ธรรมยุต ในเมืองไทยเรา ๆ นับถือ ฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง อย่างนี้ หรือ เรานับถือ พระสงฆ์ เฉพาะในประเทศไทย เท่านั้น อย่างนี้จัดเป็นการทำ อนันตริยกรรม หรือ ไม่คะ ดังนั้น คือ ที่จะสอบถาม เราต้องยึดถือ พระสงฆ์ ตรงไหนเป็นกลุ่มหลัก จึงถูกต้องใช่หรือไม่คะ
|
|
|
26
|
เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / โหรฟันธง 55 ปีมังกรคะนองน้ำ ภัยพิบัติจะรุนแรง (ไทยโพสต์)
|
เมื่อ: มกราคม 04, 2012, 11:00:09 am
|
โหรฟันธง 55 ปีมังกรคะนองน้ำ ภัยพิบัติจะรุนแรง (ไทยโพสต์)
3 โหรชื่อดังทำนายปี 2555 เป็นปี "มังกรคะนองน้ำ" เป็นปีน้ำดีชะล้างน้ำเสีย หมดยุคนักการเมืองรุ่นไดโนเสาร์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่ได้อีกไม่นาน หลังดวงทหาร-ศาลมีฤทธิ์เข้มแข็ง คนทำผิดต่อบ้านเมืองจะถูกลงโทษทันตาเห็น ส่วนภัยพิบัติจะรุนแรง ทั้งน้ำท่วม แผ่นดินไหว คนตายเป็นเบือ
ใกล้ช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2555 ซึ่งเป็นปีมะโรงหรืองูใหญ่ มีอาจารย์ทางด้านโหราศาสตร์ได้ออกมาทำนายสถานการณ์บ้านเมืองในอนาคต เริ่มจากนายภาณุวัฒน์ พันธุ์วิชาติกุล ซินแสชื่อดัง กล่าวว่า ปีนักษัตรมะโรงถือเป็นธาตุน้ำ เป็นปีมังกรคะนองน้ำ เพราะพญามังกรเป็นจ้าวแห่งห้วงน้ำมหาสมุทรและอากาศ เป็นสัญลักษณ์แห่งความโชคดี มีคุณธรรม เป็นปีแห่งการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นจะมีการปรับตัวครั้งใหญ่ทางเศรษฐกิจ เพราะทุกคนจะลงทุนขยับขยายธุรกิจการงานอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภาคการเกษตรของไทยจะมีโอกาสก้าวไปสู่เวทีโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ แต่ต้องระวังความผันผวนของดิน ฟ้า อากาศ ที่จะยังคงมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ทั้งภัยแล้งและอุทกภัย ถ้าไม่มีการเตรียมพร้อมตั้งรับให้ดี มีโอกาสเดือดร้อนจนหมดเนื้อหมดตัวได้
นายภาณุวัฒน์กล่าวว่า ด้านการเมืองจะเริ่มมีคนรุ่นใหม่ไฟแรงมาสร้างมิติใหม่ให้ดูว่ามีอนาคตสดใส จะมาสร้างแนวทางใหม่ให้ดีกว่ายุคหลายปีที่ผ่านมา ที่ทุกคนต่างถือเป็นอดีตที่น่าจะเป็นบทเรียน เป็นน้ำดีที่จะเข้ามาชะล้างน้ำเสียให้เจือจางลงไปบ้าง ก็ขอให้ทุกคนมีส่วนร่วมรับใช้บ้านเมืองด้วยความจริงใจ อย่าปล่อยให้น้ำเน่าน้ำเสียที่เป็นคนรุ่นเก่า เป็นไดโนเสาร์เต่าล้านปีที่ตกรุ่นไปแล้วต้องมาทำให้น้ำดีกลายเป็นน้ำเสียที่ แย่ลงกว่าเดิมในอนาคต
"ใครที่ทำไม่ดีไว้กับบ้านเมืองในอดีตที่ผ่านมา จนทำให้เศรษฐกิจพังยับเยิน ทำให้ต้องสูญเสียชีวิตของผู้คนจากสงครามในการช่วงชิงอำนาจทางการเมือง ไม่ว่าไฟใต้ สงคราม ยาเสพติด ม็อบต่าง ๆ เป็นช่วงที่ต้องมีการรับกรรมจากการกระทำไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ไม่ว่าจะเป็นตัวเอง ครอบครัว หรือแม้กระทั่งลูกหลาน บุคคลในครอบครัวที่ได้เคยเสวยสุขจากอำนาจที่ไม่ชอบธรรมเหล่านั้นในช่วงที่ ผ่านมา ไม่ว่าใครก็ตาม ทุกคนหนีไม่พ้นกฎแห่งฟ้าที่ทรงไว้ด้วยความยุติธรรมได้" ซินแสภาณุวัฒน์กล่าว
นายกรหริศ บัวสรวง สถาบันสอนการพยากรณ์องค์รวม กล่าวว่า ปีนี้พระเสาร์จะมีการโคจรที่ส่งผลกระทบกระเทือนไปทั้งโลก ปีมะโรงถือเป็นสัญลักษณ์ของพญานาค เป็นปีนักษัตรที่ 5 ตรงกับดาวพฤหัสบดีที่โคจรวิกลคติ และยังบังเอิญไปสอดคล้องกับปี ค.ศ.2012 ซึ่งรวมแล้วได้ 5 จึงเป็นรหัสประจำปีที่น่าจะส่งผลดี แต่กับนำเรื่องร้ายแรงมาสู่ชาวไทยและชาวโลก ในปีนี้จะได้เห็นปรากฏการณ์ที่ทำให้ประเทศชาติและประชาชนเผชิญกับความ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ และเป็นปีแห่งความท้าทายไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
"นับจากวันที่ 4 มกราคม 2555 ดาวพฤหัสบดีจ้าวแห่งเวหาจะมาเปิดผืนฟ้าให้สดใส ขับไล่อัปมงคลออกไป รัฐบาลชุดนี้อายุสั้นอยู่ได้ไม่นาน ปัจจุบันดวงเมืองต้องการให้มีใครสักคนที่เข้มแข็ง มีความสามารถ รักษาชาติเอาไว้ให้อยู่รอด และแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้จริง แต่ในช่วง 3 ปี คือ 2555-2557 จะเกิดพิบัติภัยหลายประการ ทั้งภัยจากคนการเมือง ภัยธรรมชาติจากน้ำ ภัยจากความแห้งแล้ง แผ่นดินไหว ส่งผลให้คนไทยตายไม่น้อยกว่าแสนคน" นายกรหริศกล่าว
สำหรับภัยจากคนการเมืองที่ต้องการล้มล้างเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง จะเกิดเหตุการณ์นองเลือด ภัยธรรมชาติ ทางภาคเหนือจะเจออุทกภัย ประเทศไทยจะเกิดพายุรุนแรงโจมตีอย่างพายุเกย์ ภัยจากความแห้งแล้งจะเกิดใน ช่วงเวลาระหว่างกันยายน-ตุลาคม เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ที่โรงแรมสูง จากการโคจรของดาวอังคาร มฤตยู และดาวพฤหัสฯ จะทำให้เกิดแผ่นดินไหว สตอร์มเซิร์จ แผ่นดินยุบถล่ม ส่วนด้านเศรษฐกิจจะร่อแร่ เพราะผลกระทบจากการบริหารประเทศและการทุจริตคอรัปชั่นของนักการเมือง
ด้านนายเก่งกาจ จงใจพระ โหรอิสระ ทำนายไว้ว่า ในปี 2555 มีดาวใหญ่ย้ายราศีถึงสามดวง มีดาวเสาร์เดินถอยหลังเดินหน้าในราศีกันย์กับราศีตุล ทำให้เกิดแผ่นดินไหวในหลายประเทศทั่วโลก ส่วนประเทศไทยจะเกิดภัยแล้ง 8 เดือน ตั้งแต่มกราคม-สิงหาคม และฝนจะเริ่มตกหนักเดือนกันยายน-พฤศจิกายน น้ำจะท่วมใหญ่ไปเกิดในภาคใต้ อำเภอหาดใหญ่อาจจะถูกน้ำท่วมใหญ่อีกครั้ง จึงควรตั้งรับให้ดี ส่วนเศรษฐกิจจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี
"ส่วนการเมืองไทยยังคงวุ่นวาย มีการขัดแย้งและฟ้องร้องกันเป็นรายวันและรายเดือน ตามอิทธิพลดาวที่ทำมุมให้โทษ และอาจจะมีการยุบสภาสูง เพราะดวงวันที่สภาโหวตเลือกนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ลัคนาอยู่ในราศีกันย์ นายกฯ จะเจอศึกอภิปรายจากฝ่ายค้าน ช่วงที่ดาวเสาร์ถอยกลับเข้ามาทับราศีกันย์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะล้มคว่ำจากการเดินสะดุดขาตัวเอง คือถูกยุบพรรคอีกเป็นครั้งที่ 3 ส่วนทหารเริ่มมีบทบาทและกล้าแข็งถ้าได้รับผลกระทบจากทางการเมือง นักการเมืองจึงต้องระวังอย่าไปแหย่รังแตน ขณะที่ศาลจะมีฤทธิ์ ผู้ที่ถูกกล่าวมีคดีขึ้นศาลจะถูกตัดสินทางการเมืองอย่างเฉียบขาด" นายเก่งกาจกล่าวสรุป
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
|
|
|
33
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นั่งสมาธิ ได้ไม่เกิน 20 นาที เอาดีทางนี้ไม่ได้ เลยเปลี่ยนเป็นทำบุญอย่างอื่นแทน
|
เมื่อ: ตุลาคม 26, 2011, 09:13:19 am
|
เคยอ่านเจอเกี่ยวกับหลวงพ่อเกษม เขมโก ที่ท่านนั่งสมาธิตากแดด ตากฝน ทนหนาว ที่ป่าช้าก็รู้สึกทึ่ง
ตั้งแต่ ผมเจอความเย็นที่ผมเคยสัมผัสได้ ถึงจะช่วงเวลาสั้นๆ ก็รู้ว่าต่อให้นั่งสมาธิที่ไหนคงจะทำได้จริงอย่างแน่นนอน บางคนคงจะทำได้โดยที่ไม่ต้อง รอจนเจ็บปวดขนาดนี้
การที่ผมได้สัมผัส สิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนั้นทำให้ผมรู้ซึ้ง อีกมากมายว่า ตั้งแต่จำความได้ไม่มีครั้งไหนที่จะไม่คิดเรื่องราวต่างๆ สมองทำงานตลอด
การ นั่งสมาธิวันนั้นเป็นครั้งแรกที่สมองว่างเปล่า รู้สึกถึงความสบาย เดินก็สบาย ไปนั่งคิดทบทวนก็สบาย นี้คงเป็นความสุขที่แท้จริง ใช่ไหมครับ พระที่ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ท่านถึงฝากชีวิตไว้ในผ้าเหลืองตลอดชีวิต ขนาดผมสัมผัสแค่นิดเดียวอีกยังมีความสุขขนาดนี้
จนตื่นเช้ามาทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิมทำงานอย่างรีบเร่ง คิดเรื่องงานเรื่องการตลอด
ชีวิตคนเรามันก็เท่านี้ละครับ
แต่ ผมจะไม่หยุดที่จะปฎิบัติต่อไปแม้ช่วงชีวิตที่เหลืออาจจะไม่ได้สัมผัสอีกแล้ว ก็ตาม แต่ไม่เป็นไรเรารู้อยู่แก่ใจว่ามีจริง เป็นจริง ทำได้จริง สัมผัสได้จริง....
จากคุณ : นุ๊กตูน
|
|
|
34
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: นั่งสมาธิ ได้ไม่เกิน 20 นาที เอาดีทางนี้ไม่ได้ เลยเปลี่ยนเป็นทำบุญอย่างอื่นแทน
|
เมื่อ: ตุลาคม 26, 2011, 09:11:44 am
|
ผมสนใจเรื่องนั่งสมาธิมานาน โดยการศึกษาเองแบบไม่เคยไปเรียนวิธีการนั่งที่ถูกทำว่าทำอย่างไร ก็แค่พุทโธ ปกติธรมดา แต่จะมีรูปพระที่เราเคารพวางตรงหน้าเพื่อเวลาจิตจะไม่เป็นสมาธิก็ลืมตามา จ้องรูป
เรื่องก็คือ ผมนั่งสมาธินานกว่าปกติจนปวดหลัง ปวดขามาก ไม่รู้ว่านั่งไปนานแค่ไหน ปวดจนเหงื่อท่วมตัว ปวดจนคอแห้งแทบจะรู้ว่ารูขุมขนมีน้ำออกมาทุกรู ปกติจะไม่นั่งนานขนาดนี้
แต่ ผมคิดให้ใจว่า สู้ตาย ตายเป็นตาย ทนปวด ทนเจ็บ ปวดหัวมาก อากาศก็ไม่ร้อน ทน ทน ทน จิตไม่เป็นสามธิแล้วเพราะปวดมาก แต่อยู่ดีๆ เหมือนคนเปิดสวิทซ์ไฟในตัวผม หายปวดทันที หายเจ็บทันที ตัวเบารู้สึกเบาๆผิดปกติ แต่เหงื่อยังท่วมอยู่
ตัวรู้สึกถึงความเย็น มากๆ จนผมตกใจสุดขีดตอนนั้นคิดอย่างเดียวกลัวตาย (ไม่รู้ว่าคิดแบบนั้นได้อย่างไร) จึงรีบเรียกสติกลับมา ลืมตาเหงื่องี้ท่วมเลย ทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติแต่สิ่งที่ได้หลังจากนั่งสมาธิครั้งนั้นเสร็จคือ ความสบายตัว เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าเราเดินออกจากห้องพระแบบให้หัวว่างเปล่า มันมีความสุขจริงๆนะครับ
อย่างนี้พระที่ท่านนั่งสมาธิได้นานๆแสดงว่าท่านนั่งจนตัวเบาแบบนี้ได้ทั้งวันเลยหรือครับ
หรืออาจจะเป็นทางวิทยาศาสตร์ว่าผมเจ็บจนตัวชา แต่ถ้าตัวชาลืมตาก็ไม่น่าหายชานะครับ
ผมเสียดายไม่หน้าตกใจเลยจริงๆอยากรู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป ว่าจะเบาแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนและจะเกิดอะไรขึ้นอีกเสียดายมากเลย
ผม ว่าผมคงนั่งสมาธิให้เป็นแบบนั้นไม่ได้แล้ว เพราะในเมื่อเรามีความอยากก็ถือว่าเป็นกิเลสที่อยากไปถึงจุดๆนั้นอีก มันอดไม่ได้ที่จะคิดอยากทำให้ได้อีก ท่านใดนั่งแล้วเคยเป็นแบบนี้บ้างไหมครับ หรือว่าเป็นเรื่องปกติที่ผู้ปฎิบัติกันเจอกันอยู่ทุกวันครับ
จากคุณ : นุ๊กตูน
|
|
|
39
|
กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / อยากให้ห้องกรรมฐาน ช่วยตอบให้ด้วยครับ เรื่อง อานาปานสติ คะ
|
เมื่อ: กันยายน 23, 2011, 09:44:39 am
|
คือ ผมนั่งภาวนาด้วยอานาปานสติแล้วมีคำถามดังนี้ึครับ ตอน เราตามรู้ลมหายใจนี้ หากเราตามรู้โดยไม่ใช่คำภาวนาเลย (แบบให้รู้ว่า เข้่าหรือออก จากปลายจมูก) กับ ใช้คำภาวนา เช่น พุท (ขณะที่ลมเข้า) และ โธ (ขณะลมหายใจออก)
มันมีข้อเสียในระยะยาวไหมครับ เพราะว่า กังวลว่าจะติดคำว่า พุทโธ ไปเรื่อยๆ ทั้งๆที่บางที ลมหายใจอาจจะแผ่วเบามากกกก จนไม่รู้สึก แต่เนื่องจากทำมานาน กลัวว่าจะติด ขนาดจะล้มตัวนอน ยังติดคำ พุทโธ ไปซะเนี่ย (กลายเป็นฝั่งกมลสันดานไป)
ผม ลองเปลี่ยนวิธีโดยตามรู้แทน แล้วไม่มีคำใดภาวนาช่วยเลย... จะบอกว่ามันทรมานมาก เพราะว่า จิตใจไม่เคยหยุดนิ่งเลยซักทีเดียว ความฟุ้งซ่านมันเข้ามารบกวนตลอดเวลา (จิตใจเรามันช่างร้ายกาจ ไม่เคยหยุดพักการคิด ปรุงแต่งเลยสักทีเดียว) หาความสงบเป็นสมถ ไม่ได้เลย... ขั้นจะพัฒนาตัวเองไปสู่การวิปัสสนาเลยนั้น คงทำไม่ได้เพราะว่า จิตใจไม่สงบเลย (หากไม่มีคำ ภาวนามาช่วยนะคับ เช่น พุทโธ หรือ เข้า-ออก)
คำ ถามที่สอง_: ณ ขณะที่สงบอยู่นั้น แสงส่ว่าง สีต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในจิตใจ ก็ให้รู้แค่นั้นใช่ไหมคับ เช่น ตอนนี้สีเขียว ตอนนี้สีส้ม ตอนนี้สีเหลือง ตอนนี้ม่วง ตอนนี้ ไปเรื่อยๆๆ ใช่ไหมครับ ไม่ต้องสนใจอะไรทั้งนั้น...(ถูกต้องไหมครับ?) แล้วต้องเอาจิตใจเราไปตามลม เหมือนเดิม (ผมมองว่ามันเหมือน เรามีการตามอยู่อย่างน้อยสองอย่าง คือ สีทีเห็น และ ลมที่ผ่านจมูก) มันจะสงบจริงๆตอนไหนคับผม หรือว่า ทำไปอย่างนั้นแหละ.. บางทีอาจจะมี เจ็บตรงนั้นที คันที่ตรงนี้ กลายเป๋็นรู้สึกมากไปกว่าสองแล้่ว...ความสงบจะเกิดได้ยากไหมครับ
พี่ๆ เพื่อนๆ มีเทคนิคอย่างไร ขอความรู้แนะนำผมด้วย เพื่อให้มีการพัฒนายิ่งๆขึ้นไป (ตอนนี้ผมแค่อนุบาล แต่กำลังพยายามทำให้ดีที่สุดครับ) ขอบคุณครับ
จากคุณ : surinkrub
|
|
|
|