เป็นอนันตริยกรรม ตรง ๆ เลย ไม่มีการแปรบัญญัติเป็นอย่างอื่น
เป็นปาราชิก ถ้าเป็นผู้สั่งให้ถอด หรือลงความเห็นร่วมด้วย
กรณีของคุณกิตติศักดิ์ ลูกหลานก็สั่งถอดหมดแล้ว แต่ลุงฟื้นขึ้นมาได้ อยู่จนถึงปัจจุบัน
ดังนั้นตราบใดที่คนป่วยใกล้ตาย ยังมีลมหายใจอยู่ ชือว่ามีปานะ คือมีลมปราณชีวิต หล่อเลี้ยงอยู่ ถ้าเราถอดออกเท่ากับฆ่าเขา มีมากที่ คนป่วยนอนหลับลึกยาวบ้างก็เดือน บ้างก็ปี บ้างก็10ปี ผู้ดูแล ๆ ไม่ไหว ด้วยภาระต่างที่ตามมาจึงตัดสินใจปลดเครื่องช่วยพยุงชีวิต ถ้าหากจะไม่พยุงชีวิตไว้ก็ไม่ควรช่วยไว้ตั้งแต่แรก เป็นลูก ยิ่งต้องทำถึงที่สุด
อาม่าของอาจารย์ หมอบอกว่าตาย ลูกหลานหมดเงินค่ารักษาพยาบาลเป็นล้าน คืนละแสนกว่าบาท ที่ กทม. แต่ลูกหลานรวมกันสู้ ในที่สุดอาม่าก็สมหวัง ได้จับผ้าเหลืองลูกชายที่บวชให้ 2 คน พอลูกชายเป็นพระไปเยี่ยม อาม่าร้องไห้ ในสภาพที่นอนแบบที่ว่าไปแล้ว อาจารย์ไปเยี่ยม ก็ต้องใช้สมาธิเข้าไปสื่อสารเนื่องด้วยการหลับลึกของผู้ป่วยแบบนี้คืออาการสมองไม่ตายแต่ส่วนควบคุมประสาทตายหมดแล้ว แม้เป็นอย่างนี้ก็ต้องให้สิ้นลมเอง เพราะยังมีโอกาสฟังธรรมได้ ขึ้นอยู่กับว่าพระที่ไปโปรดคือใคร มีความสามารถทางพลังจิตมากน้อยขนาดไหน นั่นจึงเป็นสาเหตุทื่อาจารย์มักถูกตามตัวตอนกลางค่ำกลางคืนเป็นประจำและก็ไปดูคนตายอย่างนี้ ประจำในขณะที่อยู่วัด หรือแม้แต่ที่วิเวกบางครั้งก็มีโทรด่วนเข้า ตีสอง ตีสาม ก็เพราะว่าลูกหลานพี่น้องญาตต้องการให้สื่อสารกับคนหลับอยู่
ดังนั้น การปลดเครืองพยุงชีวิตทั้งหมด จัดเป็นอนันตริยกรรม ถึงจะแม้ถูกกฏหมาย ก็ตาม พ่อแม่ยินยอมให้ลูกปลดก็ตาม
เป็นอนันตริยกรรม ตามนั้น ไม่ต้องอุทธรณ์ เพราะศาลนรกไม่มีการยื่นอุทธรณ์ หรือ ฏีกา
ตามนั้น
เจริญพร