เวรกรรม
โดย ท.เลียงพิบูลย์
จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑
หลังจากพิธีพระราชทานน้ำสังข์แก่คู่บ่าวสาวจากองค์พระประมุขของชาติไทย ในงานสมรสที่มีเกียรติสูงผู้หนึ่ง ในเดือนพฤศจิกายน เวลาย่ำค่ำวันนั้น เจ้าภาพได้เชิญผู้ที่เคารพรักคุ้นเคย และผู้มีเกียรติมาประสาทพรแก่คู่บ่าวสาว โดยจัดห้องโถงใหญ่ในโรงแรมมีชื่อแห่งหนึ่งไว้รับรอง
เจ้าภาพผู้เป็นญาติของคู่บ่าวสาว และตัวบ่าวสาวก็เป็นผู้มีชื่อเสียงกว้างขวางในสังคม เป็นผู้ที่รู้จักทั้งชาวต่างประเทศและข้าราชการ พ่อค้าทุกสาขาทั่วไป เมื่อได้เวลาคืนนั้น ผู้มีเกียรติผู้ใหญ่พร้อมทั้งญาติมิตรสหายของเจ้าภาพและคู่บ่าวสาว ที่รับเชิญมากมายทั้งหญิงชายผู้ลงนามอวยพรให้บ่าวสาว ห้องรับรองกว้างใหญ่โตในโรงแรมก็อัดแอ ไปด้วยผู้มีเกียรติทยอยกันเข้ามาไม่ขาดสาย บรรยากาศเป็นกันเอง
แขกที่คุ้นเคยกันมาก่อนเมื่อพบก็ได้ทักทายปราศรัยดีใจ ได้สนทนากันอย่างสนุกสนาน ยืนเป็นกลุ่มเป็นหมู่ ส่วนพวกสุภาพสตรีก็ได้นั่งสนทนากันตามสะดวกสบาย หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เมื่อได้พบปะเพื่อนฝูงที่สนิทสนมที่รักใคร่ถูกอกถูกใจ เพราะการเลี้ยงคืนนั้นเป็นงานค็อกเทลปาร์ตี้
ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปในงานคืนนั้น ได้พบเพื่อนเก่าแก่หลายท่าน บางท่านไม่ได้พบหน้ากันมานับยี่สิบสามสิบปี บางท่านจำไม่ได้ เราต้องจ้องดูกันอย่างสงสัย เพื่อให้แน่ใจก่อนที่จะทักทายปราศรัยว่าไม่ผิดตัว เหตุเพราะสังขารร่างกาย ต่างก็เปลี่ยนแปลงร่วงโรยไปตามอายุ เวลา วัน เดือน ปีที่ล่วงไป เมื่อได้ทราบว่าไม่ผิดตัว เราต่างก็ดีอกดีใจ หัวเราะขำธรรมชาติที่ได้เปลี่ยนแปลงรูปร่าง เกือบจำกันไม่ได้เนื่องจากไม่ได้พบกันนาน เราจึงมีเรื่องพูดกันมาก เราจึงสนทนาถึงความหลังต่างก็ถามถึงเรื่องเก่าแก่เมื่อยังอยู่ในวัยสนุกสนาน หัวหกก้นขวิด และถามถึงคนโน้นคนนี้ที่เคยสนุกด้วยกันมา ก็ได้ทราบว่าหลายคนได้ล่วงลับไปตามอายุขัย ตามธรรมชาติกำหนดไว้ในกรรมลิขิตในโลกมนุษย์นี้มีสิ่งแน่นอนก็คือความตาย ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ใหญ่น้อยจะต้องตายทั้งสิ้น ผิดกันแต่ว่าจะเร็วหรือช้าเท่านั้น
คืนนั้น ข้าพเจ้าได้ถูกแนะนำให้รู้จักมากท่านด้วยกัน บางท่านก็จำชื่อไม่ได้และที่จำได้แม่นยำผู้หนึ่งในคืนนั้น ก็เพราะได้ยืนสนทนากันนานกว่าผู้อื่น และเป็นผู้หาเรื่องมาคุยกับข้าพเจ้าอย่างสนุกสนาน มีทั้งขบขันและเรื่องเศร้า เหมาะสมที่จะนำมาเขียนนำมาเล่าให้ท่านที่สนใจได้มีโอกาสได้รู้ได้ฟังบ้าง ท่านผู้นั้นมีอายุประมาณ ๓๕ ไม่เกิน ๔๐ เมื่อได้พบรู้จักกันแล้ว ก็รู้สึกสนิทสนมกันรวดเร็ว ข้าพเจ้าชอบนิสัยตรงไปตรงมา แม้จะอ่อนอายุกว่าข้าพเจ้า แต่เราก็เข้ากันได้ดีเหมือนคุ้นเคยกันมาแรมปี ตอนหนึ่งสหายใหม่ของข้าพเจ้าพูดขึ้นว่า “คืนนี้ผมมีความดีใจมากที่ได้รู้จักคุณอา”
ข้าพเจ้ากล่าวขอบคุณ และข้าพเจ้าก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน แล้วท่านผู้นั้นก็กล่าวต่อไป “ผมเชื่อกฎแห่งกรรม ที่คุณอาเขียน เหมาะกับคนทุกชั้นทุกยุคสมัย ถ้าได้อ่านแล้วพิจารณาดู ก็จะเห็นจริงที่คนเกิดมาเพราะกรรมหนุนนำ ใครจะทำอะไร จะเป็นบุญหรือบาปก็จะเกิดผลกรรมดีกรรมชั่วติดตามสนองไม่ช้าก็เร็ว นี่เป็นความจริงครับ ผมเชื่อ”
ข้าพเจ้าได้ฟังก็มีความรู้สึกยินดีว่า ท่านผู้นี้สนใจ เข้าใจในเรื่องกรรม ย่อมจะมีจิตใจเป็นกุศล อยู่ในขอบเขตของศีลธรรมจึงสนับสนุนความจริงใจว่า
“ผมรู้สึกมีความยินดีที่คุณเข้าใจ เรื่องกฎแห่งกรรมดี เชื่อว่าใครทำดีทำชั่วย่อมจะมีกรรมนั้นตามสนอง และเชื่อว่ามนุษย์ตายแล้วก็กลับมาเกิดตามกรรมลิขิต หากใครไม่เชื่อกรรมลิขิต ไม่เชื่อกฎแห่งกรรม ไม่เชื่อทำดีจะได้ดี ทำชั่วจะได้ชั่วและไม่เชื่อว่ามนุษย์เราตายแล้วจะต้องมาเกิดใหม่ มาใช้กรรมที่ตนทำไว้ตามกรรมลิขิต ไม่เชื่อหลักการปฏิบัติทางพุทธศาสนาสามารถจะดับทุกข์ให้หลุดพ้นจากการเวียน ว่ายตายเกิด ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก ผู้ที่ไม่เชื่อนั้นจะเป็นผู้ที่ไม่ต้องพูดถึงศาสนาต่อไป ตามที่ท่านผู้ทรงความรู้ได้เคยกล่าวไว้”
ท่านผู้นั้นนิ่งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นว่า “ผมว่าพวกที่รู้สึกอย่างคุณอาว่านั้น คงเป็นคนบาปหนามากจนพระโปรดไม่ถึง เพราะตามืดบอด มองไม่เห็นแสงสว่างของธรรม”
ข้าพเจ้าพยักหน้าแล้วพูดว่า “คงจะเป็นอย่างคุณและผมเข้าใจ และผู้มีจิตใจเป็นปกติทั่วไป ก็คงจะเข้าใจเช่นเดียวกันกับเรา นอกจากผู้ที่มีจิตใจผิดปกติเท่านั้น ที่จะมองเห็นตรงกันข้ามเห็นผิดเป็นชอบ” ท่านผู้นั้นหัวเราะ แล้วพูดว่า
“กฎแห่งกรรมที่คุณอาเขียน เป็นที่สนใจของผู้ที่ได้อ่านทุกคน ในบ้านผมติดตามอ่านหนังสือของคุณอาทุกคน ตลอดทั้งเด็กๆ ที่อ่านหนังสือออก อ่านแล้วก็เอาไปเล่าให้เพื่อนเด็กๆ ฟังจึงเป็นที่สนใจของเด็กที่ได้รู้ได้อ่าน”
เมื่อพูดแล้วก็นิ่งครู่หนึ่ง แล้วเว้นระยะ เราก็ดื่มน้ำมะเขือเทศแทนสุรา เพราะเราต่างก็ไม่นิยมดื่มสุราด้วยกัน และเลือกกินของว่างเท่าที่เขาจัดไว้สำหรับต้อนรับแขก เมื่อนิ่งไปครู่ใหญ่ ท่านผู้นั้นจึงเริ่มเอ่ยขึ้นว่า
“ผมอยากจะเล่าให้คุณอาฟังสักเรื่องหนึ่ง คิดว่าเรื่องนี้คงเข้าหลักกฎแห่งกรรม และเป็นเรื่องที่ผมได้ประสบเหตุการณ์มาด้วยตนเอง เป็นเรื่องทั้งน่าขำและเศร้ามาก คิดว่าคุณอาคงไม่รังเกียจ”
ข้าพเจ้าตอบว่า “อย่าใช้คำว่ารังเกียจเลย ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในขอบเขตของกฎแห่งกรรม หรือกรรมลิขิตทั้งนั้น ฉะนั้นผมจึงยินดีฟังทุกเรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว”
ท่านผู้นั้นยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ขอบคุณครับ ที่กรุณายอมเสียเวลาฟังผมเล่า”
วันหนึ่งผมได้เข้าไปในร้านขายเครื่องดื่มอยู่ริมถนนใหญ่ เป็นสถานที่นัดพบกับเพื่อน เห็นนาฬิกายังมีเวลาอีกนานกว่าเพื่อนจะมาตามเวลานัด ผมจึงสั่งเครื่องดื่มพร้อมทั้งขนมมานั่งกินรอเวลา และกางหนังสือพิมพ์ออกอ่าน ไม่สนใจต่อสิ่งใด มองดูในหนังสือพิมพ์รายวัน มีข่าวรถคว่ำ รถชนคนตายคนขับหนีไม่เว้นแต่ละวัน จนถือเป็นข่าวธรรมดาไม่ตื่นเต้นเหมือนข่าวนานๆ ครั้ง
ในร้านนั้นก่อนที่ผมจะเข้าไป มีคนขับรถแท็กซี่กับหญิงอีกผู้หนึ่ง เข้าใจว่าเป็นภรรยา และมีเด็กชายอายุไม่เกินสองขวบกำลังซนนั่งกินกาแฟอยู่ด้วยกัน การที่ผมรู้ว่าเป็นคนขับรถแท็กซี่ ก็เพราะเห็นหมวกแก็ปวางไว้บนโต๊ะ และอกเสื้อมีป้ายติดเป็นเลขเครื่องหมาย
ชายคนขับแท็กซี่คนนั้นคุยเสียงดังและท่าทางวางโต เพราะไม่ประหยัดคำพูด และไม่มีความเกรงใจใครจะรำคาญหรือไม่ คล้ายจะอวดความยิ่งใหญ่ในทางนักเลง แต่แล้วก็มีเด็กหนุ่มวัยรุ่นแต่งตัวแบบผู้ใหญ่ เห็นแล้วรีบห้ามลูกหลานไม่ให้เอาเยี่ยงอย่าง แต่หนุ่มวัยรุ่นคิดว่าโก้เก๋ในสายตาคนอื่น เดินเข้ามาในร้านเครื่องดื่มสองคน ได้เข้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับคนขับรถแท็กซี่ชายหนุ่มคนนี้ได้พูดถึงข่าว อุบัติเหตุบนท้องถนนหลวง แต่ผมก็สะดุ้งเมื่อได้ยินคนขับรถพูดกับชายหนุ่มวัยรุ่นกางเกงขาลีบว่า “กูอยากจะชนอ้ายพวกห่าคนข้ามถนนเดินอ้อยอิ่งให้มันตายโหงตายห่าให้หมด กูเกลียดมันจริงๆ”
เสียงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งกล่าวว่า “ก็เขาเดินข้ามถนนตามทางม้าลายล่ะลูกพี่ ไปชนเขาก็ต้องมีความผิดซิ”
เสียงคนขับรถแท็กซี่หัวเราะพูดขึ้นคล้ายกับว่า ผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่ในที่นั้นว่า “เฮ้ย มือชั้นกูแล้วลองทำอะไร ไม่มีใครจับกูได้หรอกวะ” พูดแล้วก็หัวเราะ หญิงผู้เป็นเมียก็พลอยหัวเราะชื่นชมยินดีว่าผัวเป็นคนจริงคนเก่ง ส่วนเด็กเข้าใจว่าเป็นลูกชายอายุไม่เกินสองขวบก็วิ่งเข้าออกภายในร้าน เครื่องดื่มด้วยความซุกซนไม่เดียวงสา ผู้เป็นแม่คอยเรียกและวิ่งไล่จับ และคอยดุด่าไม่หยุดปากอยู่เสมอ นั่งไม่เป็นสุข
แต่แล้วเสียงเด็กหนุ่มวัยรุ่นอีกผู้หนึ่งพูดขึ้นว่า “มึงไม่รู้หรือ ลูกพี่เคยขับรถชนเด็กตายมาแล้วไม่มีเรื่อง เพราะหนีรอดไปได้”
คนขับรถตกใจร้องด่าไปว่า “อ้ายห่า มึงเอาอะไรมาพูด ปิดปากโสโครกของมึงเสียบ้าง ปากมีหูประตูมีช่อง”
เสียงเด็กหนุ่มยังไม่ยอมหยุด พูดต่อไปว่า “เรื่องมันนานตั้งปีมาแล้ว ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันความผิดของลูกพี่ แล้วจะต้องกลัวทำไม ถึงรู้ก็ทำอะไรไม่ได้”
เสียงคนขับรถพูดอย่างไม่พอใจว่า “พอทีอ้ายห่า ถึงอย่างไรมึงก็ไม่ควรเอามาพูดในที่นี้ อ้ายนี่จะนำเอาความฉิบหายมาให้กู”
แต่แล้วการโต้ตอบก็สงบลง เด็กหนุ่มทั้งสองก็ออกจากร้านไป เสียงเมียของคนขับรถแท็กซี่พูดว่ากับผัวว่า “พี่ก็มีเรื่องอะไรชอบพูดชอบอวดกับอ้ายพวกปากสว่างดีนัก ระวังเถิด ปลาหมอจะตายเพราะปาก อ้ายพวกนี้จะไว้ใจมันได้หรือ”
เสียงผัวตอบว่า “เออ อ้ายพวกนี้บางเวลากูก็ใช้มันทำประโยชน์ได้เหมือนกัน แต่มันปากสว่างหน่อย ก็ต้องคอยระวัง ถ้ากูห้ามมันไม่เชื่อ กูจะทำโทษเล่นงานมันสะบักสะบอม พักเดียวมันก็กลัวลาน”
เสียงเมียพูดว่า “ระวังนะพี่ ตีงูพิษ ระวังมันจะแว้งมากัดเอา”
ผมนั่งเอาหนังสือพิมพ์บังหน้า ชำเลืองดูสองผัวเมียสนทนากัน หลังจากเด็กวัยหนุ่มออกจากร้านเครื่องดื่มไปแล้ว ทันใดนั้นทางนอกร้านขายเครื่องดื่ม มีผู้วิ่งผ่านหน้าร้านอย่างเกรียวกราวผิดปกติ มีเสียงโจษกันว่า รถชนคนกลางถนนทางม้าลาย เสียงภรรยาเรียกลูกมากอดไว้แน่น พลางพูดกับผัวว่า “พี่รถยนต์ชนคนอีกแล้ว ไม่ไปดูหรือ”
เสียงผัวพูดอย่างดุๆ ว่า “ช่างหัวมัน ให้มันชนกันตายโหงตายห่ายิ่งดี ขืนไปดู ประเดี๋ยวจะต้องพามันขึ้นรถกูไปโรงพยาบาลฟรี ไม่รู้จะไปเอาเงินกับใคร”
ผมเองก็ไม่สนใจในเรื่องรถชนคน เพราะมันจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยมีข่าวบ่อยๆ อยู่แล้ว จึงนั่งคอยเพื่อนอยู่ในร้านไม่ตื่นเต้น ฟังสามีภรรยานั่งคุยกันโดยทำเป็นอ่านหนังสือพิมพ์ไม่สนใจในเรื่องอื่น ไม่ช้าในร้านเครื่องดื่มก็มีโต๊ะสองผัวเมียกับลูกเล็กและคนชงกาแฟอีกคนหนึ่ง เท่านั้น นอกนั้นเขาวิ่งออกไปดูรถชนคนกันหมด
เสียงเขาถามกันหน้าร้านขายเครื่องดื่ม ได้ยินเข้ามาข้างในว่า “ตายไหม ผู้หญิงหรือผู้ชาย”
เสียงผู้ไปดูกลับมาบอกว่า “ยังไม่ตาย ถ้าอาการสาหัสยังสลบ ยังมีลมหายใจไม่รู้สึกตัว เป็นเด็กผู้หญิง โน่นแน่เขากำลังอุ้มหารถไปส่งโรงพยาบาล”
แล้วมีพลเมืองดีคนหนึ่งกดแตรรถแท็กซี่ที่จอดอยู่หน้าร้าน เสียงผัวบ่นว่า “กูละซิ กูจะต้องส่งมันไปโรงพยาบาล” เสียงเมียอ้อนวอน “โธ่พี่ไปส่งเขาหน่อยเถิดน่า นึกว่าเอาบุญ”
ผัวทำท่าทางลุกขึ้นอย่างเสียไม่ได้ แล้วบอกคนชงกาแฟว่า “เฮ้ย อ้ายโกค่ากาแฟคิดไว้ก่อนนะ แล้วกูจะนำมาเฉ่ง”
พูดแล้วก็ลุกเดินออกไปหน้าร้านเมียอุ้มลูกเดินตาม ผมก็เกิดสนใจเดินตามออกมาดูว่า คนขับรถแท็กซี่จะแสดงอาการอย่างไร แต่แล้วก็เห็นหน้าเพื่อนที่ผมนัดพบกำลังช้อนร่างของเด็กหญิงอายุราว ๗-๘ ขวบ ด้วยสองแขนแนบไว้กับอก มือเท้าของเด็กหญิงห้อยตกแกว่งไปตามจังหวะเดินของผู้อุ้ม ยังมีลมหายใจแต่ไม่รู้สึกตัว เลือดออกจากปากจมูก เลือดเปื้อนเสื้อเชิ้ตขาวตรงหน้าอกของผู้อุ้ม เพื่อได้แสดงถึงมนุษยธรรมโดยไม่มีความรังเกียจ ภาพของเด็กหญิงหมดสติอยู่ในอ้อมแขนของเพื่อนผมทำให้คนขับแท็กซี่สองผัวเมีย อ้าปากค้างตะลึก เสียงเมียร้องไห้โฮปากก็พูดออกมาว่า
“โธ่ อีหนูลูกของแม่ ลูกของแม่ไม่น่าเลย จะมาถูกรถชน ใช้ให้ไปซื้อขนมครกกับถั่วมาให้น้องกินจนลืมลูก แม่สั่งแล้วไม่ให้ลูกข้ามถนน โถ เขาโจษกันแม่ก็ไม่นึกว่าเป็นลูก”
รำพันแล้วก็ร้องไห้ ส่วนคนขับรถแท็กซี่ผู้ผัวตกใจจนหน้าซีด แล้วก็โกรธขบกรามแน่น คำรามแสดงสีหน้าใส่เพื่อนผมที่กำลังอุ้มเด็กอยู่ในมือ แกร้องตวาดเสียงดังตาลุกวาวเหมือนคนบ้าว่า
“แกขับรถชนลูกข้าหรือ” เพื่อนผมตอบอย่างสุภาพว่า “เปล่า ผมไม่มีรถขับ รถที่ชนเด็กเป็นรถแท็กซี่ เมื่อชนแล้วเขาก็รีบขับหนีไป ผมเห็นเด็กล้มกลิ้งอยู่กลางถนนก็สงสาร จึงรีบวิ่งไปอุ้มมาเพื่อหารถรีบจัดส่งโรงพยาบาลด่วนให้หมอช่วย”
เสียงเมียของคนรถแท็กซี่ร้องไห้ พลางบอกให้ผัวรีบจัดการพาลูกส่งโรงพยาบาลด่วน อย่ามามัวเสียเวลา ฉะนั้น คนขับรถแท็กซี่จึงเปิดประตูหลังให้เพื่อนผมพร้อมทั้งเมียแล้วลูกเล็กของคน ขับขึ้นไปนั่งข้างหลัง ทันใดนั้นตำรวจจราจรวิ่งมาบอกให้หยุดก่อน ตัวแกจะต้องตามไปเพื่อสอบสวนด้วย แล้วก็บอกว่า รถแท็กซี่คันที่ชนนั้นจับไม่ทัน มันหนีรอดไปได้ เพราะมันรีบขับหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว เลขเบอร์ท้ายรถตัวหน้าสองตัวสีดำก็กะเทาะออกเห็นแต่เนื้อเหล็กสังกะสี ตัวเลขเลือนลางไม่ชัด เพราะมันขับหนีห่างออกไป มองเห็นไม่ถนัดแล้วก็มองดูเลขท้ายรถคันที่คนขับกำลังจะออก พลางชี้แล้วพูดว่า
“ตัวเลขสีดำมันก็กะเทาะเหมือนรถคันนี้ไม่มีผิด นี่ต่อไปจัดการทำป้ายให้เห็นตัวเลขชัดเจน เอาหมึกดำมาเขียนเสียใหม่ ไม่เช่นนั้นจะมีความผิด เข้าใจไหม” แล้วก็เปิดประตูหน้าเข้าไปนั่งข้างคนขับ สั่งให้ไปโรงพยาบาลทันที คนขับรถแท็กซี่คันนั้นหันไปมองดูเด็กกำลังสลบ ก็ครางออกมาอย่างเจ็บแค้นซึ่งอัดอยู่ในใจว่า