ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
    Messages   Topics Attachments  

  Messages - udom
หน้า: 1 [2] 3
41  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: พุทโธ ใครก็ได้ช่วยผมที เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2011, 01:45:46 am
ตอนนี้ผมกำลังเป็นเท้าใหม่หัดเดินจงกรมอยู่
ที่ว่าเป็นเท้าใหม่ ก็เพราะหยุดเดินจงกรมไปตั้ง ๘-๙ ปีเลย
เพราะก่อนหน้านี้เดินแล้วไปเพ่งกายเพ่งจิต
ซึ่งเป็นการเดินที่ผิด ผิดจนเครียด ผิดจนหนักตื้อไปหมด
แม้หลังจากดูจิตเป็นแล้ว พอจะเดินจงกรมทีไร
ก็จะต้องมีอันเพ่งไปตามความเคยชินซะทุกที
ลองสังเกตมาตลอด ๘-๙ ปี จึงเพิ่งเห็นว่า
ช่วงนี้จิตเริ่มทิ้งความเคยชินที่ผิด ๆ ลงบ้างแล้ว
ก็เลยพอจะเริ่มกลับมาหัดเดินจงกรมได้กับเค้าซะที

เอาละครับ มาเริ่มเดินจงกรมกันเลยดีกว่า

ช้าก่อน...
ก่อนเริ่มเดินจงกรม สังเกตดูใจตัวเองซิว่า
มีความอยากเดินจงกรมหรือเปล่า
มีความคาดหวังว่าเดินแล้วจิตต้องสงบ
เดินแล้วจิตต้องมีกำลัง ต้องตั้งมั่น อะไรทำนองนี้หรือเปล่า
หลายคนจะมีความอยาก
มีความคาดหวังอะไรทำนองนี้ไม่มากก็น้อย

ใครรู้สึกอยากเดิน รู้สึกคาดหวังผลอะไรอยู่
ก็อย่าเพิ่งเริ่มก้าวเท้าเดิน ทั้งที่ยังอยากยังคาดหวัง
ให้หัดดูจิตที่มีความอยากก่อน ให้หัดดูจิตที่มีความคาดหวังก่อน
พอรู้สึกว่าความอยาก ความคาดหวัง เบาบางลง
หรือหายไปแล้ว จึงเริ่มเดินได้นะครับ
อันนี้เป็นเทคนิคของการเดินจงกรมที่สำคัญมาก
ถ้าพลาดไปเริ่มเดินทั้งที่มีความอยาก มีความคาดหวังครอบงำจิต
ก็จะพลาดไปติดเพ่งเอาง่าย ๆ แบบที่ผมพลาดมาแล้วนั่นเอง

ก่อนเริ่มเดินก้าวแรก...
ให้ยืนรู้สึกตัวสบาย ๆ ก่อน อย่าพรวดพราดเริ่มก้าวเท้าเดิน
ยืนรู้สึกตัวสบาย ๆ ก่อน แล้วจึงเริ่มก้าวเท้าเดิน

เดินท่าไหนดีละ?...
ให้เดินด้วยท่าทางที่สบาย ๆ
(เราจะเดินจงกรม ไม่ใช่ย่องจงกรมนะครับ)
ถ้าชอบเดินเอามือไปจับกันไว้ข้างหลัง ก็เอาไว้แบบนี้
ถ้าชอบเดินเอามือมากุมไว้ข้างหน้า ก็เอาไว้แบบนี้
ถ้าจะเดินกอดอก เดินล้วงกระเป๋า หรือเอามือไว้อย่างไร
แม้แต่จะเปลี่ยนท่าทางสลับไปมา
หรือเดินแบบไร้ท่าทางที่ตายตัว ก็ได้ตามใจชอบเลยครับ


ต้องเดินช้าหรือเร็ว?...
อันนี้ต้องทดลองดูเองครับ
ทดลองเดินช้าก่อนก็ได้ หรือจะทดลองเดินเร็วก่อนก็ได้
ถ้าเดินช้าแล้วรู้สึกอึดอัด เคร่งเครียดไป ก็เดินให้เร็วขึ้น
ถ้าเดินเร็วแล้ว รู้สึกใจจะลอยๆ ก็ให้เดินช้าลง
เดินช้า เร็ว ประมาณไหนแล้วรู้สึกได้ว่า
เดินแล้วใจสบาย ๆ ไม่เคร่งเครียด ไม่ล่อยลอยเกินไป
ก็ให้เดินช้า เร็ว ประมาณนั้นแหละครับ

ต้องเดินไปกลับ หรือเดินวนไปเรื่อย ๆ?...
อันนี้ก็แล้วแต่สถานที่จะเอื้ออำนวย
หรือจะเอาแบบที่ชอบก็ได้ครับ
แต่ถ้าเดินวนไปเรื่อย ๆ ขอแนะนำว่า
ให้มีตำแหน่งหยุดยืนเป็นระยะ ๆ
เพราะตรงที่มีการหยุดยืนนี่เอง
ที่จะเป็นจุดที่จิตจะกลับมามีสติได้ง่าย หลังจากที่เผลอไป
ส่วนการเดินไปกลับ จะมีจุดที่ต้องหยุดยืนก่อนกลับตัวอยู่แล้ว
และควรใช้ระยะทางเดินที่ไม่ยาวเกินไปนะครับ
คือถ้าตอนหัดเดินใหม่ๆ แล้วเดินเป็นระยะทางที่ยาวเกินไป
ก็จะเดินแบบไม่มีสติหรือเผลอนานเกินไป

เดินแล้วต้องดูอะไร ต้องรู้อะไร?...
ก็ให้รู้ร่างกายที่กำลังเดินซิครับ
รู้นะ ไม่ใช่เพ่งจ้องจนเคร่งเครียด
รู้แบบสบาย ๆ นุ่มนวล
แล้วก็ ไม่ฝืน ไม่บังคับจิต ถ้าจิตจะคิดก็ให้คิดได้ตามปกติ
ถ้าจิตจะเผลอ-ลืมกาย แล้วไปมอง ฟังเสียง สนใจสิ่งอื่น
ก็ให้จิตเผลอไปได้ ให้จิตลืมกายไปได้
ไม่ต้องกังวล ไม่ต้องกลัวนะว่า จะเผลอนาน
เพราะจิตที่เผลอไปนั้น จะเผลอไม่นานหรอก
และในจังหวะที่หยุดยืน จิตก็จะกลับมารู้กายได้เองไม่ยาก

ขณะเดินจงกรมก็แค่...
เดินไปรู้สึกไปสบาย ๆ ว่ามีร่างกายกำลังเดินไป
เดี๋ยวจิตก็จะเผลอไป ลืมกายไป
เผลอไปคิดบ้าง เผลอไปมองบ้าง เผลอไปฟังเสียงบ้าง
ซึ่งในขณะกำลังเผลอ จิตจะไม่รู้สึกว่ามีร่างกายกำลังเดิน
หรือถ้ารู้สึกก็ไม่ชัด รู้แบบเบลอๆ มัวๆ
พอเผลอไปเดี๋ยวก็จะ รู้ว่าเผลอไป
พอรู้ว่าเผลอไป ก็เริ่มมารู้สึกว่ามีร่างกายกำลังเดินใหม่
เดินไปรู้สึกว่ามีร่างกายกำลังเดิน สลับกับรู้ว่าเผลอไป ...เท่านี้เอง

ข้อสังเกต!...
๑. ถ้าเดินแล้วเครียด แน่น จุก อึดอัด แสดงว่า เพ่งมากไปแล้ว
ให้หยุดพักก่อน พอหายเครียด หายแน่น หายเพ่งแล้ว
ก็ค่อยกลับเริ่มต้นใหม่ อย่าฝืนเดินไปทั้งที่เพ่ง
เพราะถ้าฝืนเดินแล้วไม่หายเพ่ง ก็จะกลายเป็นเพ่งเคยชิน
แล้วจะไม่ได้ประโยชน์อะไรจากการเดินจงกรม
แย่หน่อยก็แบบผมเองที่เพ่งจนชิน
กว่าจะเลิกเพ่งก็เสียเวลาไปตั้งหลายปีทีเดียว

๒. ถ้าเดินแล้ว เกิดรู้สึกว่าร่างกายมีแค่เท้า มีแค่ขา
มีแค่ตัว หรือมีแค่ส่วนเดียว ไม่รู้สึกว่ามีส่วนอื่นๆ อยู่ด้วย
เช่นมีแต่ตัว ไม่รู้สึกว่ามีหัว ก็แสดงว่า จิตไหลไปแช่ที่จุดใดจุดหนึ่ง
ก็ให้ทราบด้วยว่า การเดินแบบนี้อาจพลิกไปเป็นสมถะได้
แต่ไม่ใช่การเดินเพื่อมีสติรู้กายรู้ใจแบบวิปัสสนา

ต้องเดินนานแค่ไหน?...
เรื่องเวลานี่ ใครจะตั้งใจเดินนานสักกี่นาที ก็ตามสบายเลยครับ
แต่อย่าตั้งเวลาไว้นานเกินไปนะครับ
เพราะถ้าเดินไม่ไหว ก็จะบั่นทอนกำลังใจตัวเองซะเปล่าๆ
หรือจะเริ่มสัก ๕ นาที ๑๐ นาที ก่อนก็ได้ครับ
ส่วนวันไหนเดินแล้วมีสติบ่อย จะเดินมากกว่าที่ตั้งเวลาไว้ก็ได้
หรือพอเดินชำนาญแล้วจะเพิ่มเป็นกี่นาทีก็ได้เลยครับ

เอ้า...ใครจะหัดเดินจงกรมแบบเท้าใหม่หัดเดิน
ก็ลงเท้าเริ่มหัดเดินกันได้เลยครับ

http://forum.02dual.com/index.php?topic=350.0
42  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: วันมาฆบูชา ๑๘-๒๐ ก.พ.๕๔ ขอเชิญร่วมงานบวชเนกขัมมะบารมี ณ ศูนย์พุทธศรัทธา เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 01:03:07 am
43  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / วันมาฆบูชา ๑๘-๒๐ ก.พ.๕๔ ขอเชิญร่วมงานบวชเนกขัมมะบารมี ณ ศูนย์พุทธศรัทธา เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 01:01:40 am
วันมาฆบูชา ๑๘-๒๐ ก.พ.๕๔ ขอเชิญร่วมงานบวชเนกขัมมะบารมี ณ ศูนย์พุทธศรัทธา    

วันศุกร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์-วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

ขอเชิญผู้มีจิตศรัทธา ร่วมบำเพ็ญมหากุศล

งานบวชเนกขัมมะบารมี ครั้งที่ ๗๑ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา เนื่องในวันมาฆบูชา

ณ ศูนย์พุทธศรัทธา สำนักปฏิบัติพระกรรมฐาน สาขาวัดท่าซุง

 

                  กำหนดการวันศุกร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
๐๙.๐๐ น. เริ่มลงทะเบียนบวช ปฐมนิเทศและทำวัตรสวดมนต์
๑๐.๓๐ น. พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และถวายภัตตาหารเพล
๑๒.๐๐ น. เริ่มพิธีบวชเนกขัมมะบารมี โดยพระเดชพระคุณพระธรรมปิฏก เจ้าคณะจังหวัดสระบุรี
วัดพระพุทธบาทราชวรมหาวิหาร เป็นองค์ประธานในพิธี
๑๔.๐๐ น. ถวายสังฆทานฟังธรรมโอวาทจากครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน วัดอ้อมแก้วมณีโชติ
๑๗.๓๐ น. เดินจงกรมและทำวัตรสวดมนต์
๑๙.๐๐ น. พิธีเวียนเทียนเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาวันมาฆบูชา
๑๙.๓๐ น. ปฏิบัติพระกรรมฐาน (มโนมยิทธิ)

                  วันเสาร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
๐๕.๐๐ น. ปฏิบัติพระกรรมฐานโดยพระมหาสายชล วัดมงคลชัยพัฒนา
๐๖.๑๕ น. ใส่บาตรพระสงฆ์-เดินจงกรม-อาหารเช้าและทำวัตรสวดมนต์
๐๙.๓๐ น. ฟังธรรมโอวาทจากพระมหาสายชล วัดมงคลชัยพัฒนา
๑๒.๐๐ น. อบรมสมาธิและฝึกมโนมยิทธิ โดย อ.คณานันท์ ทวีโภค จากเว็บพลังจิต
๑๕.๓๐ น. ฟังธรรมโอวาทจากพระมหาบุญส่ง สุภัทโท วัดแค จ.พระนครศรีอยุธยา
๑๘.๐๐ น. ทำวัตรสวดมนต์
๒๐.๐๐ น. ฟังธรรมโอวาทจากพระเดชพระคุณพระราชสุเมธี วัดภูตูมวนาราม จ.เลย

                  วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔
๐๕.๐๐ น. ปฏิบัติพระกรรมฐาน โดยพระเดชพระคุณพระราชสุเมธี วัดภูตูมวนาราม จ.เลย
๐๖.๑๕ น. ใส่บาตรพระสงฆ์-เดินจงกรม-อาหารเช้าและทำวัตรสวดมนต์
๐๙.๓๐ น. ฟังธรรมโอวาท-ตอบปัญหาธรรม โดยพระเดชพระคุณพระราชสุเมธี
๑๒.๐๐ น. พิธีทอดผ้าป่าสามัคคีและลาสิกขา โดยพระเดชพระคุณพระราชสุเมธี เป็นองค์ประธานในพิธี
๑๔.๐๐ น. นำอธิษฐานจิตและอุทิศส่วนกุศล เป็นอันเสร็จพิธี

 

ติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ :
คุณชนะ สิริไพโรจน์ ประธานศูนย์พุทธศรัทธา โทรฯ :๐๓๖-๒๐๑๖๐๐,๐๘๔-๑๐๗๖๑๐๖
อ.วิภาพร วิรัชกุล รองประธานศูนย์พุทธศรัทธา โทรฯ :๐๘๑-๙๓๗๐๒๔๔

เว็บศูนย์พุทธศรัทธา : BuddhaSattha.com
หรืออีเมล์ : info@buddhasattha.com">info@buddhasattha.com

คลิกดู : แผนที่เดินทางไปศูนย์พุทธศรัทธา
คลิกชม : ภาพงานบวชวันมาฆบูชา ปี ๒๕๕๓ ณ ศูนย์พุทธศรัทธา

ข้อมูลจากเว็บศูนย์พุทธศรัทธา : BuddhaSattha.com
44  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ น่าจะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 01:00:23 am
"มาฆบูชา" ย่อมาจาก "มาฆปุรณมีบูชา" หมายถึงการบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะ

ในครั้งพุทธกาลได้มีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น ๔ ประการด้วยกัน คือ
๑.พระสงฆ์สาวก ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมพร้อมกัน ยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย
๒.พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดล้วนเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง
๓.พระสงฆ์ทั้งหมดล้วนเป็นพระอรหันต์
๔.และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๓
ดังนั้นจึงมีคำเรียกวันนี้อีกคำหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ ๔

ในครั้งกระนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงแสดง โอวาทปาฏิโมกข์ หลักคำสอนที่เป็นหัวใจสำคัญของพระพุทธศาสนา ทรงตรัสเป็น พระคาถา รวม ๓ พระคาถาครึ่ง ดังนี้ คือ

พระคาถาที่ ๑
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ฯ

พระคาถาที่ ๒
สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธานสาสนํ ฯ

พระคาถาที่ ๓
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ

ครึ่งพระคาถา
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธานสาสนํ ฯ

สรุปความโดยย่อคือ

๑.สพฺพปาปสฺส อกรณํ
พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ละการกระทำความชั่ว(สมุทัย)ด้วยประการทั้งปวง

การ จะละอะไรให้ผลสำเร็จได้นั้น ต้องกระทำการละที่จิตของตนเองทั้งสิ้น อกุศลธรรม กรรมชั่วทั้งหลายล้วนเกิดจากจิตที่มีอวิชชาความทะยานอยาก(ตัณหา)อุปาทาน เที่ยวออกไปยึดมั่นถือมั่นในเรื่องราวต่างๆ(อารมณ์)ในโลกมาเป็นของๆตน เมื่อละชั่วได้แล้วต้อง...

๒.กุสลสฺสูปสมฺปทา
พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ ต้องกระทำความดี(เจริญสติ)ให้มาก ให้ยิ่งๆขึ้น เพื่อยังประโยชน์ตนประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม

การ จะกระทำความดี(เจริญสติ)ให้มาก ให้ยิ่งๆขึ้น ให้ถึงพร้อมได้นั้น เราต้องเจริญสติ สมาธิ ปัญญาที่ไหน ถ้าไม่ใช่เจริญสติ สมาธิ ปัญญาที่จิตของตน กรรมดีและกรรมชั่ว ล้วนเกิดขึ้นที่จิตของตน กรรมดีและกรรมชั่วทั้งหลายที่ตนได้กระทำลงไป จิตของตนต้องเป็นผู้รับผลของการกระทำกรรมดีและกรรมชั่วเหล่านั้น เมื่อเจริญสติได้แล้ว

๓.สจิตฺตปริโยทปนํ
พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ ชำระจิตของตนให้มีสติบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองด้วยกำลังสติ สมาธิ ปัญญา

อุปกิเลส เครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย ล้วนเกิดขึ้นที่จิตของตนในขณะที่เผลอสติ เหตุเพราะอวิชชา ตัณหาความทะยานอยาก อุปาทาน ณ ภายในจิตของตน เราจึงต้องเจริญสติให้มาก ให้ยิ่งๆขึ้น ให้ถึงพร้อม ด้วยการปฏิบัติสัมมาสมาธิเพื่อให้จิตมีกำลังสติ สมาธิ ปัญญาในการปล่อยวางอวิชชา ตัณหา อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในเรื่องราวอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดในโลกออกไปจาก จิตให้หมด

จะเห็นได้ว่า คำสั่งสอนของพระพุทธองค์ในโอวาทปาฏิโมกข์ ณ วันมาฆฤกษ์ พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนแต่เรื่องจิตกับอารมณ์เท่านั้น ไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนี้

พระบาลีที่ยกมาครึ่งพระคาถานั้น ก็แสดงไว้อย่างชัดเจนว่า “อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธานสาสนํ การให้จิตมีธรรมอันยิ่ง เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”

เป็น การเน้นย้ำให้เห็นว่า เรื่องจิตนั้นเป็นหัวใจสำคัญในพระพุทธศาสนา ถ้าขาดซึ่งการสั่งสอนเรื่องปฏิบัติฝึกฝนอบรม ชำระจิต ให้จิตมีสติบริสุทธิ์จากเครื่องเศร้าหมองทั้งหลายด้วยสัมมาสมาธิเสียแล้ว ศาสนาพุทธคงไม่แตกต่างไปจากศาสนาอื่นๆ

ศาสนาอื่นๆ ก็สอนเรื่องศีลธรรม จริยธรรมทั่วๆไป ให้ละการทำเรื่องชั่วช้าทั้งหลาย กระทำแต่ความดีเช่นกัน ต่างกันที่ ในศาสนาอื่นไม่มีอริยมรรคมีองค์ ๘ หรืออริยสัจ ๔ ซึ่งเป็นทางเดินของจิตที่จะนำไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้า(โลกุตตรจิต) เพราะอริยมรรคมีองค์ ๘หรือ อริยสัจ ๔นั้น มีเฉพาะแต่ในพระพุทธศาสนาของเราเท่านั้น ตราบใดที่ยังมีการปฏิบัติอริยมรรค ๘ โลกนี้จึงไม่ว่างเว้นไปจากพระอรหันต์

ในองค์แห่งอริยมรรค ๘ นั้น พระพุทธองค์ทรงเน้นย้ำในเรื่องการปฏิบัติทางจิต โดยมีสัมมาสมาธิเป็นใหญ่เป็นประธานแวดล้อมด้วยมรรคอีก ๗ องค์ และมรรคที่แวดล้อมทั้ง ๗ องค์นั้น มีสัมมาทิฐิเป็นใหญ่เป็นประธาน ดังปรากฏแสดงไว้ในมหาจัตตารีสกสูตร

และยังมีพระสูตรอื่นๆ ที่ทรงแสดงเนื่องกันไว้ ดังมีพระบาลีที่ตรัสไว้ว่า “สมา ธึ ภิกฺขเว ภาเวถ สมาหิโต ยถาภูตํ ปชานาติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด ผู้ที่มีจิตตั้งมั่น(สัมมาสมาธิ)แล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง(สัมมาทิฐิ) ดังนี้”

และพระ พุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ทรงอุบัติขึ้นในโลกนี้ ก็ล้วนทรงสั่งสอนให้ชำระจิตให้มีสติบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสเครื่องเศร้าหมอง ทั้งหลาย โดยให้ฝึกฝนอบรมจิตของตน(ไม่ใช่จิตของคนอื่น) ดังพระบาลีที่มีตรัสไว้ว่า “อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธานสาสนํ การทำให้" จิต" มีธรรมอันยิ่ง(อธิจิต เต) เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”

และมีพระพุทธพจน์กล่าวรับรองเรื่อง การชำระ “จิต” ไว้ใน "อธิจิตสิกขา เป็นไฉน?" ซึ่งความตรงกับ "สัมมาสมาธิ เป็นไฉน?" ดังนี้คือ

อธิจิตตสิกขาเป็นไฉน? (สัมมาสมาธิเป็นไฉน?)

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข อันเกิดแต่วิเวกอยู่
บรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกและวิจารสงบไป
มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เพราะปีติสิ้นไป จึงมีอุเบกขา
มีสติสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุตติยฌาน
ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
บรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์
และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
นี้ชื่อว่า อธิจิตตสิกขา (สัมมาสมาธิ)


สรุป

หัวใจพระพุทธศาสนา ก็คือ การปฏิบัติสัมมาสมาธิ
ซึ่งต้องอาศัยความเพียร (สัมมาวายามะ)
ประคองจิตให้ระลึกรู้อยู่ที่ฐานที่ตั้งสติ (สัมมาสติ)
จิตจึงจะสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ

เมื่อจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ย่อมเกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริง (สัมมาทิฐิ)
ทำให้จิตมีพลังปล่อยวางอารมณ์ที่เข้ามากระทบจิต (สัมมาสังกัปปะ)

ทำให้ไม่กระทำความชั่ว ทำแต่ความดี (สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ)

ครบอริยมรรคมีองค์ ๘ และครบตามพระโอวาทปาฏิโมกข์
45  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / เหตุให้พระศาสนาดำรงอยู่ไม่นานและนาน เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 12:54:35 am


[๗] ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิด
ขึ้นอย่างนี้ว่า พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย พระองค์ไหนไม่ดำรงอยู่นาน ของ
พระองค์ไหนดำรงอยู่นาน ดังนี้ ครั้นเวลาสายัณห์ท่านออกจากที่เร้นแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ-
ภาค ถวายบังคม นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าไปใน
ที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า พระศาสนาของพระผู้มี
พระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย พระองค์ไหนไม่ดำรงอยู่นาน ของพระองค์ไหนดำรงอยู่นาน.
พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรสารีบุตร พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี
พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน ของพระผู้มีพระภาคพระนามกกุสันธะ พระ
นามโกนาคมนะ และพระนามกัสสปะดำรงอยู่นาน.

ส. อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัย ให้พระศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี
พระนามสิขี และพระนามเวสสภู ไม่ดำรงอยู่นาน พระพุทธเจ้าข้า?

ภ. ดูกรสารีบุตร พระผู้มีพระภาคพระนามวิปัสสี พระนามสิขี และพระนามเวสสภู
ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรงแสดงธรรมโดยพิสดารแก่สาวกทั้งหลาย อนึ่ง สุตตะ เคยยะ
เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ ของพระผู้มีพระภาคทั้ง
สามพระองค์นั้นมีน้อย สิกขาบทก็มิได้ทรงบัญญัติ ปาติโมกข์ก็มิได้ทรงแสดงแก่สาวก เพราะ
อันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้า
เหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึง
ยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับพลัน ดูกรสารีบุตร ดอกไม้ต่างพรรณที่เขากองไว้บนพื้น
กระดาน ยังไม่ได้ร้อยด้วยด้าย ลมย่อมกระจาย ขจัด กำจัด ซึ่งดอกไม้เหล่านั้นได้ ข้อนั้น
เพราะเหตุอะไร เพราะเขาไม่ได้ร้อยด้วยด้าย ฉันใด เพราะอันตรธานแห่งพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
เหล่านั้น เพราะอันตรธานแห่งสาวกผู้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สาวกชั้นหลังที่ต่างชื่อกัน
ต่างโคตรกัน ต่างชาติกัน ออกบวชจากตระกูลต่างกัน จึงยังพระศาสนานั้นให้อันตรธานโดยฉับพลัน
ฉันนั้นเหมือนกัน เพราะพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น ทรงท้อพระหฤทัยเพื่อจะทรง
กำหนดจิตของสาวกด้วยพระหฤทัย แล้วทรงสั่งสอนสาวก.
46  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / คุณเคยเห็นวิญญาณ ( ผี ) กันบ้างหรือไม่ ? เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2011, 12:50:47 am
เรื่อง วิญญาณ ( ผี ) สัมภะเวสี หรือ เทวดา เป็นเรื่องที่พูดลำบากมากครับ อยากทราบว่าเพื่อนแต่ละท่าน

แต่ละคนมีประสพการณ์ในการ เห็น พบ เจอ ประสพ กับตนเองมาในรูปแบบ ใดกันบ้างครับ

มาแชร์ประสพการณ์ กันหน่อยดีไหมครับ

 :25:
47  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: ทำไมต้องฝึกสมาธิ ด้วยคะ.. เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2011, 04:16:26 am
แล้วทำไมจึงไม่อยากฝึก ละครับ ?

เป็นคำถามที่ย้อนกลับในมุมเดียวกัน ครับ

สมาธิ มีอยู่ 3 ระดับนะครับ

 1. ขณิกะสมาธิ มีอยู่ชั่วขณะแล้ว ก็หายไป

 2. อุปจาระสมาธิ มีอยู่เฉียดจะเป็นขั้นแน่วแน่

 3. อัปปนาสมาธิ มีอยู่ในขั้นแน่วแน่


 :s_hi:
48  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / วิธีระงับความโกรธที่ได้ผล พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มีอยู่ 9 วิธี เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2011, 02:39:35 am

วิธีระงับความโกรธที่ได้ผล พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้มีอยู่ 9 วิธี  แต่จะขอยกมาเล่า 7  วิธีดังนี้
1.  ให้ระลึกถึงโทษของความโกรธ - ความโกรธนั้นมีโทษด้วยประการต่างๆซ้ำยังหาค่าไม่ได้ ถ้าคนเขามาโกรธ ( ด่า ) เราแล้วเราโกรธ ( ด่า )ตอบ เราก็ได้ชื่อว่าเลวเสียยิ่งกว่าคนที่มาโกรธ ( ด่า ) เราก่อนเสียอีก  ผู้ไม่โกรธ ( ด่า )คนที่กระทำกับตนก่อน  ผู้นั้นได้ชื่อว่าชนะสงครามที่ชนะยาก
2.  ให้ระลึกถึงความดีของเขา - ธรรมดาของคนโดยทั่วไปย่อมมีทั้งส่วนดีและไม่ดีอยู่ในตัวเอง ให้เรานึกถึงแต่ในส่วนดีของเขา  แต่ถ้าหาส่วนดีของเขาไม่เจอจริงๆก็ให้นึกสงสาร  คิดเสียว่าน่าสงสาร  ต่อไปนี้คนๆนี้จะต้องประสยกับเคราะห์ร้ายต่างๆ เพราะความประพฤติไม่ดีอย่างนี้
3.  ให้ระลึกถึงความจริงว่า..ความโกรธคือการทำให้ตัวเองทุกข์ - คนที่โกรธแล้วเป้นสุขนั้นไม่มีในโลก เมื่อเราคิดได้อย่างนี้แล้วเราก็ต้องไม่โกรธเพราะเรื่องอะไรจะทำให้ตัวเอง ทุกข์จริงไหม
4.  ให้พิจารณาว่า..สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของๆตน - กรรมที่เกิดจากความโกรธนั้นจะทำให้บรรลุความหลุดพ้นก็หาไม่ จะช่วยให้ได้ทิพยสมบัติหรือมนุษย์สมบัติก็หาไม่มีแต่จะทำให้ตัวเองตกต่ำลงไป จนถึงกับต้องตกนรกหมกไหม้  เมื่อพิจารณาได้ดังนี้แล้วก็ไม่ควรให้ความโกรธเกิดขึ้นในตัวเรา
5.  ให้พิจารณาพระจริยวัตรในปางก่อนของพระพุทธเจ้า - พระพุทธเจ้าของเรานั้น  กว่าจะตรัสรู้ก็ได้ทรงบำเพ็ญบารมีมาตลอดเวลายาวนานทั้งทรงบำเพ็ญประโยชน์ แก่ผู้อื่น เสียสละแม้แต่พระชนม์ชีพของพระองค์เอง เมื่อทรงถูกกลั่นแกล้งหรือเบียดเบียนด้วยวิธีการต่างๆนานาก็ไม่ทรงแค้นเคือง ทรงเอาดีเข้าตอบถึงเขาจะตั้งตัวเป็นศัตรูขนาดพยายามปลงพระชนม์ก็ไม่ทรงมีจิต ประทุษร้าย ดังปรากฏในชาดก เช่น เรื่องมหาสีลวชาดก มหากปิชาดก  เป็นต้น
6.  ให้พิจารณาถึงความเกี่ยวข้องในวัฏสงสาร - ดังที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า..ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  สัตว์ที่ไม่เคยเป้นบิดา มารดา  พี่ชายน้องชาย พี่น้องหญิง ไม่เคยเป็นบุตรธิดาของเรามิใช่หาได้ง่าย อันนี้ก็หมายความว่า มนุษยืทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ต้องเคยเกี่ยวข้องกันมาในอดีตชาติไม่ชาติใดก็ ชาติหนึ่ง ถึงได้มาเจอกันอีก เราจึงไม่ควรโกรธหรือใจร้ายกับเขา
7.  พิจารณาอานิสงส์ของเมตตา - ความโกรธมีแต่โทษ ก่อผลร้ายมากมายเพียงใด เมตตาก็มีคุณก่อให้เกิดผลดีมากเพียงนั้น  ผู้ที่มีเมตตาย่อมสามารถเอาชนะใจคนอื่นซึ่งเป็นชัยชนะที่ชนะเด็ดขาดไม่กลับ แพ้  ผู้ที่ตั้งอยู่ในความเมตตาชื่อว่า...ทำประโยชน์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น...
( คัดมาจาก...ธรรมนิยายชุดสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม เรื่องที่ 3 - สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม บทที่ 21  หน้า 232 - 234 โดย สุทัสสา  อ่อนค้อม )
    ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าของกระทู้มีจิตมั่นคงหนักแน่นตลอดไป...ขอบุญจงรักษาท่านและขออนุโมทนาด้วยครับ


จากคุณ : จักรธรรม
49  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: เมื่อคุณยายข้างบ้าน มาขอคำปรึกษาเรื่องลูกชาย เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2011, 02:34:15 am
ก็ขอให้คุณ tcarisa ได้ไปทำหน้าที่ประสานความเข้าใจในเรื่องอานิสงค์การอุปสมบถครับ เพราะถ้าเป็นผมก็
อยากให้ลูกผู้ชายทุกคนได้อุปสมบถครับ เพราะมานึกถึงบุญในการอุปสมบถแล้วผมเองก็ยังเสียใจอยู่ทุกวันนี้
เพราะเมื่อก่อนจะเป็นลูกน้องมาลาไปบวชบ้าง คนอื่นจะบวชบ้าง ผมก็จะห้าม จะปราม พอถึงเวลาผมจะไปบวช
บ้าง ก็มีเหตุให้งานต่าง ๆ เข้ามาทำให้ผมต้องยุ่งและไม่ได้บงชสักที นี่ก็จะเข้าหลัก 50 ปีแล้วยังวุ่นวายอยู่กับ
งานอยู่เลย

 ดังนั้นผมว่า ถ้าใครจะบวช ผมก็ขออนุโมทนากับงานบุญนี้ ครับ ไม่ขวาง ไม่ขัด สนับสนุนครับ
แต่กรณีของคุณยาย ถ้าไม่เดือดร้อนเรื่องฐานะแล้ว การบวชพระลูกชาย นั้นน่าจะเป็นบุญกุศลครับ
อีกอย่างถึงคุณยาย จะอยู่ตัวคนเดียว แต่ระเบียบของพระสามารถบวชแล้ว ดูแลพ่อแม่ได้ครับแม้
กระทั่งบิณฑบาตรให้พ่อแม่ บริโภค ก็ยังไม่ผิดวินัย ผมเห็นพระกตัญญู ก็มีมากหลายรูป หลายองค์ครับ



พระถอดจีวรไปช่วยแม่ไถนา



ติดตามอ่านได้ที่นี่ครับ
http://cyberwalker.multiply.com/journal/item/155/155







มีคำกล่าวของครูอาจารย์กล่าวให้ผมฟังว่า

การได้เกิดมาเป็น มนุษย์ เป็นเรื่องยาก

ครั้นได้เกิดมาเป็น มนุษย์ แล้ว การได้ กัลยาณมิตร ก็เป็นเรื่องยาก

ครั้นได้กัลยาณมิตร แล้วการได้เกิดมา พบพระพุทธศาสนา ก็เป็นเรื่องยาก

ครั้นได้พบพระพุทธศาสนา แล้วการได้ ครูอาจารย์ ที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มาสอน ก็เป็นเรื่องยาก

ครั้นได้ครูที่เป็น สัมมาทิฏฐิ มาสอนแล้ว การได้อุปสมบถในพระพุทธศาสนา ก็เป็นเรื่องยาก

ครั้นได้ อุปสมบถ ในพระพุทธศาสนาแล้ว การได้ ดวงตาเห็นธรรม ก็ยังเป็นเรื่องยาก

เป็นต้นครับ

 :25: :25: :25:

50  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ ๑๐ ประการ) เลือกให้เหมาะสม เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2011, 04:48:00 am
ตามหลักพุทธศาสนา มีการทำบุญด้วยกัน ๑๐ วิธี เรียกว่า
 บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ (สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ ๑๐ ประการ) คือ

๑. ให้ทาน  แบ่งปันผู้อื่นด้วยสิ่งของ ไม่ว่าจะให้ใครก็เป็นบุญ (ทานมัย) การให้ทานเป็นการช่วยขัดเกลาความเห็นแก่ตัว ความตระหนี่ถี่เหนียว และความติดยึดในวัตถุ นอกจากนี้สิ่งของที่เราแบ่งปันออกไปก็จะเป็นประโยชน์กับบุคคลหรือชุมชนโดย ส่วนรวม
อย่าลืมอภัยทานด้วยนะคะ เริ่มจากรู้จักให้อภัยตัวเองและคนรอบข้าง

๒. รักษาศีล ก็เป็นบุญ (ศีลมัย) เป็นการฝึกฝนที่จะ ลด ละ เลิกความชั่ว ไม่ไปเบียดเบียนใคร มุ่งที่จะทำความดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ผู้อื่นเป็นการหล่อเลี้ยงบ่มเพาะให้เกิดความดีงามและ พัฒนาคุณภาพชีวิตไม่ให้ตกต่ำ

๓. เจริญภาวนา ก็เป็นบุญ (ภาวนามัย) การภาวนาเป็นการพัฒนาจิตใจและปัญญา ทำให้จิตสงบ ไม่มีกิเลส ไม่มีเรื่องเศร้าหมอง เห็นคุณค่าสิ่งต่าง ๆ ตามความเป็นจริง ผู้ที่ภาวนาอยู่เสมอย่อมเป็นหลักประกันว่า จิตจะมีความสงบ ชีวิตมีความสุข คุณภาพชีวิตดีขึ้น สูงขึ้น

๔. อ่อนน้อมถ่อมตน ผู้น้อยอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ ผู้ใหญ่ก็แสดงออกในความมีเมตตาต่อผู้น้อย และต่างก็อ่อนน้อมต่อผู้มีคุณธรรมรวมถึงการให้เกียรติ ให้ความเคารพในความแตกต่างซึ่งกันและกันทั้งในความคิด ความเชื่อและวิถีปฏิบัติของบุคคลและสังคมอื่น เป็นการลดความยึดมั่นถือมั่นในความเป็นตัวตน ก็เป็นบุญ (อปจายนมัย)

๕. ช่วยเหลือสังคมรอบข้าง ช่วยเหลือสละแรงกาย เพื่องานส่วนรวม หรือช่วยงานเพื่อนบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือ ก็เป็นบุญ (ไวยาวัจจมัย)

๖. เปิดโอกาสให้คนอื่นมาร่วมทำบุญกับเรา หรือในการทำงานก็เปิดโอกาสให้คนอื่นมีส่วนร่วมทำ ร่วมแสดงความคิดเห็น รวมไปถึงการอุทิศส่วนบุญให้แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้วด้วย ก็เป็นบุญ (ปัตติทานมัย)

๗. ยอมรับและยินดีในการทำความดี หรือทำบุญของผู้อื่น การชื่นชมยินดีหรืออนุโมทนาไม่อิจฉาหรือระแวงสงสัยในการกระทำความดีของผู้ อื่น ก็เป็นบุญ (ปัตตานุโมทนามัย)

๘. ฟังธรรม บ่มเพาะสติปัญญาให้สว่างไสว ฟังธรรมะ ฟังเรื่องที่ดีมีประโยชน์ต่อสติปัญญา หรือมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตที่ดี เป็นความจริง ความดี ความงาม ก็เป็นบุญ (ธรรมสวนมัย)

๙. แสดงธรรม ให้ธรรมะและข้อคิดที่ดีกับผู้อื่น แสดงธรรมนำธรรมะไปบอกกล่าว เผื่อแผ่ให้คนอื่นได้รับฟัง ให้เขาได้รู้จักวิธีการดำเนินชีวิตที่ดี เป็นเรื่องของความจริง ความดี ความงามก็เป็นบุญ (ธรรมเทศนามัย)

๑๐. ทำความเห็นให้ถูกต้องและเหมาะสม มีการปรับทิฏฐิ แก้ไขปรับปรุงพัฒนาความคิดเห็น ความเข้าใจให้ถูกต้องตามธรรม ให้เป็นสัมมาทัศนะอยู่เสมอ เป็นการพัฒนาปัญญาอย่างสำคัญ ถือเป็นบุญด้วยเช่นกัน (ทิฏฐุชุกรรม)
51  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การถวายผ้าแด่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ย่อมได้บุญ แต่การถวายผ้าห่ม แด่พระพุทธรูปได้... เมื่อ: กุมภาพันธ์ 14, 2011, 04:46:37 am
ต้องขอบคุณ คนที่หาที่มานะครับ เก่งผมหาเมื่อวานทั้งวันยังไม่ได้เลยครับ

 :25:
52  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: การดูหนังสือโป๊ และ หนังโป๊ ผิดศีลข้อสามหรือไม่คะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 02:04:56 am
ผมว่าถ้ามองเป็นเรื่อง เพศเป็นเรื่องธรรมชาติ ของทุกคน ก็ไม่น่าจะผิดนะครับ

 :93:
53  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: พระเจ้าตากสิน เป็นบ้าจริงหรือป่าวครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 13, 2011, 01:53:54 am
เรื่องราวของพระเจ้าตากสินมหาราช นี้ยิ่งติดตาม ก็ยิ่งคิดลำบากเพราะเราไม่รู้จะเชื่อข้อมูลไหนกัน

บางทีก็ปรากฏว่า พระเจ้าตากไปบวชเป็นพระอยุ่ที่ พระธาตุนครศรีธรรมราช มีขุนศึกคู่พระทัย 4 คนไปบวช

อารักขา พระองค์ท่านด้วย

ประวัติศาสตร์ ที่สำคัญน่าจะติดตาม ตอนที่ พระเจ้าตากให้ลงโทษประหารพระ ที่ต้องยืนยันศีล แบบสัจจะ
ด้วยการยืนยันในศีลของตนว่า ถ้าศีลของตนบริสุทธิ์จริง ให้สามารถดำน้ำได้สูงกว่า 15 นาที ผมเองมานึกดูแล้ว
ว่าสมัยนั้นมีพระตายไปกี่รูปกัน เพราะถ้าทำไม่ได้โผล่มาก่อน 15 นาทีก็ให้ประหาร

อันนี้ก็จำมาจากที่ใด ที่หนึ่ง ซึ่งจัดได้ว่าเป็นการฟั่นเฟือนหรือไม่

แต่ความเป็นจริง เป็นอย่างนี้จริง หรือไม่ ก็ยังข้อพิสูจน์ไม่ได้ว่าใช่หรือไม่

ประวัติส่วนไหนถูก หรือ ส่วนไหนผิด...

 :smiley_confused1:
54  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อานิสงค์ โพธิจิต เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 02:20:56 am

บทที่หนึ่ง

อานิสงส์ของโพธิจิต


โอม ขอนอบน้อมแด่สมเด็จพระผู้มีพระภาค !

1. ข้าขอนอบน้อมแด่เหล่าพระสุคตเจ้าทั้งหลาย ผู้ทรงไว้ซึ่งพระธรรมกาย
พร้อมทั้งเหล่าพระชินบุตรและพระผู้ควรแก่การบูชาทั้งปวง
ข้าฯจะแสดงซึ่งวิถีแห่งเหล่าพระชินบุตรตามที่แสดงไว้ในพระธรรม

2. ในที่นี้ไม่มีอะไรเลยที่ไม่เคยมีผู้กล่าวไว้แล้ว
และข้าฯก็ไม่มีความชำนาญในการประพันธ์
ดังนั้น ข้าฯจึงไม่มีความห่วงใยประโยชน์ของสัตว์โลกอื่นๆ
และได้แต่งบทเหล่านี้มาเพื่อประโยชน์ของจิตของข้าฯเอง

3. ด้วยเหตุนี้ พลังของศรัทธาของข้าฯจึงเพิ่มพูนขึ้นเพื่อปลูกฝังคุณธรรม
ยิ่งไปกว่านั้นหากมีใครสักคนที่มีลักษณะอาการเหมือนข้าฯ
แล้วมาตรวจสอบบทประพันธ์นี้
บทนี้ก็อาจมีความหมายแก่เขาบ้าง

4. เสรีภาพ (ในการปฏิบัติธรรม) และปัจจัยเอื้ออำนวยต่างๆ
ต่างก็ได้มาได้อย่างยากยิ่ง
และต่างก็มีผลต่อการยังประโยชน์ให้แก่โลกทั้งมวล
สองสิ่งนี้ก็ได้มาแล้ว
หากยังละเลย ไม่ฉกฉวยโอกาสอันดียิ่งนี้เอาไว้
แล้วเมื่อใดเล่าจะเกิดโอกาสเช่นนี้อีก?

5. เช่นเดียวกับแสงฟ้าแลบ ซึ่งยังความสว่างให้บังเกิดในคืนเดือนมืด
แม้เพียงชั่วขณะ
ด้วยอำนาจแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
ในบางครั้งจิตของมนุษย์ก็น้อมนำไปสู่บุญบารมี
แม้เพียงชั่วขณะเช่นกัน

6. ด้วยเหตุนี้ ธรรมฝ่ายกุศลจึงอ่อนกำลังอยู่ตลอดเวลา
หากกำลังของฝ่ายอกุศลนั้นแรงยิ่งนัก และน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก
ดังนั้น หากปราศจากโพธิจิตเสียแล้ว
จะมีกุศลกรรมใดอีกเล่าที่จะเอาชนะอกุศลกรรมเหล่านี้ได้?


7. พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ซึ่งได้ทรงพิจารณาเรื่องนี้มาเป็นเวลาหลายกัป
ทรงเห็นว่าสิ่งนี้เท่านั้นที่ทำให้ปิติพอกพูนขึ้น
และยังสัตว์โลกอันมีจำนวนสุดจะประมาณให้รอดพ้นจากสังสารวัฏ

8. ผู้ที่ปรารถนาจะเอาชนะทุกข์ทั้งหลายที่อยู่กับสังสารวัฏ
ผู้ที่ปรารถนาจะขจัดปัดเป่าความทุกข์ของเหล่าสัตว์
และผู้ที่ปรารถนาจะรับรสแห่งปิติอันไพศาล
ไม่ควรเลยที่จะละเลิกโพธิจิต

9. ทันใดที่โพธิจิตบังเกิดขึ้น
ณ บัดนั้นผู้ทุกข์ยากที่ถูกจองจำอยู่ในคุกของสังสารวัฏ
ก็เรียกว่าเป็นบุตรธิดาของพระสุคตเจ้า
ผู้นั้นจะเป็นผู้ที่ควรแก่การบูชาทั้งในเทวโลกและมนุษยโลก

10. เมื่อโพธิจิตปรากฏในสัตว์ที่ยังไม่บริสุทธิ์
สัตว์นั้นก็จะเปลี่ยนไปเป็นภาพอันหาค่ามิได้ของแก้วมณีของพระชินเจ้า
ด้วยเหตุนี้
จงยึดถือในน้ำอมฤตอันได้แก่โพธิจิตนี้
ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง

11. ผู้นำแต่เพียงผู้เดียวของโลก ผู้ซึ่งจิตของท่านลึกสุดจะประมาณได้
ก็ได้ตรวจสอบคุณค่าของโพธิจิตมาแล้ว
ท่านซึ่งน้อมนำไปในทางที่จะหนีออกจากสภาพความเป็นอยู่พื้นๆในสังสาระ
ก็ควรจะยึดเอาแก้วมณีอันได้แก่โพธิจิตนี้ไว้

12. เช่นเดียวกับต้นกล้วย ที่เหี่ยวตายลงไปเมื่อมีผลออกมา
คุณธรรมอื่นๆทั้งหมดก็เสื่อมถอยลงไปได้
แต่ต้นไม้แห่งพระโพธิจิตออกผลอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีวันเหี่ยวเฉาเสื่อมสลาย หากมีแต่จะเจริญงอกงามขึ้น

13. การปกป้องนี้เป็นการปกป้องผู้ที่มีพลัง
แม้แต่ภายหลังจากที่เขาได้กระทำบาปอันใหญ่หลวง
ด้วยเหตุแห่งการปกป้องของโพธิจิตนี้
แม้ผู้ที่ทำบาปเช่นนี้ก็ยังปราศจากความกลัว
เมื่อเป็นเช่นนี้
เหตุใดสัตว์โลกทั่วไปจึงไม่แสวงหา โพธิจิตเป็นที่พึ่งแห่งตน

14. ไฟประลัยกัลป์ที่เกิดขึ้นเมื่อเอกภพถึงกาลสิ้นสุด
เผาผลาญทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดฉันใด
ไฟอันได้แก่โพธิจิตนั้น
ก็เผาผลาญอกุศลกรรมทั้งหมดให้มอดไหม้ไปในบัดดลฉันนั้น
พระไมเตรยะพุทธเจ้า
ได้ตรัสเรื่องอานิสงส์อันประมาณไม่ได้ของโพธิจิตนี้ไว้แก่พระสุธนะ

15. กล่าวย่อๆ โพธิจิตมีสองประเภท ได้แก่
จิตที่ตั้งความมุ่งมั่นจะตรัสรู้
กับ
จิตที่กำลังเดินทางสู่การตรัสรู้

16. เช่นเดียวกับผู้ที่มองห็นความแตกต่างระหว่าง
คนที่ตั้งความปรารถนาจะเดินทาง
กับ
ผู้ที่กำลังเดินทางอยู่
บัณฑิตย่อมเห็นความแตกต่างระหว่างโพธิจิตสองแบบนี้

17. แม้ว่าอานิสงส์ของการตั้งความปรารถนาจะตรัสรู้
จะยิ่งใหญ่มหาศาลในสังสารวัฏ
อานิสงส์นี้ยังเทียบไม่ได้กับบุญบารมีอันหลั่งไหลไม่ขาดสาย
อันเกิดจากการลงมือเดินทางไปสู่การตรัสรู้

18. นับตั้งแต่เวลาที่คนผู้หนึ่งตั้งโพธิจิตมั่นคงแน่วแน่มั่นคง
เพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์อันมีจำนวนสุดที่จะประมาณ
และจะไม่มีวันเลิกล้มโพธิจิต
นั้นไม่ว่ากรณีใดๆ

19. นับตั้งแต่เวลานั้น
บุญอันยิ่งใหญ่มหาศาลดุจดังท้องฟ้า
ก็จะหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย
แม้ในขณะที่เขาหลับหรือมีจิตไม่เป็นสมาธิ

20. พระตถาคตเองก็ตรัสเรื่องนี้ไว้อย่างมีเหตุผลใน สุพาหุปฤจฉา
เพื่อประโยชน์แก่เหล่าสัตว์ที่โน้มเอียงไปในทางของหินยาน

21. บุคคลผู้มีจิตใจดี ผู้คิดว่า
"ฉันจะกำจัดโรคปวดหัวให้หมดไปจากสัตว์โลก"
จะได้บุญมหาศาล

22. แล้วบุคคลที่ปรารถนาจะกำจัดความเจ็บปวด
อันไม่มีอะไรมาเปรียบได้ของสัตว์โลกทุกๆตน
และมอบคุณสมบัติที่ดีมากจนหาประมาณมิได้เล่า
จะได้บุญมากเพียงใด?

23. ใครมีแม้แต่มารดาหรือบิดาที่มีจิตเห็นแก่ผู้อื่นเช่นนี้?
ทวยเทพ
ฤาษี
หรือ
พระพรหม
จะมีสิ่งนี้หรือไม่?

24. ถ้าหากบุคคลเหล่านี้ไม่เคยแม้แต่จะปรารถนาโพธิจิต
แม้แต่เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง
เขาจะมีโพธิจิตเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นได้อย่างไร?

25. แก้วมณีอันล้ำค่า และไม่เคยมีมาก่อนเช่นนี้
ความปรารถนาแก้วนี้เพื่อประโยชน์ของสัตว์อื่นๆ
มิได้เคยบังเกิดในผู้อื่น
แม้แต่เพื่อให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง
เกิดขึ้นมาได้อย่างไร?

26. เราจะวัดปริมาณบุญของแก้วมณีแห่งจิตนี้ได้อย่างไร
อันเป็นเมล็ดพันธุ์ของความปิติสุขในโลก
และเป็นยารักษาโรคทุกข์ของโลก?

27. ถ้าหากการเคารพบูชาพระพุทธเจ้าทั้งหลายนั้น
ยังมีที่เหนือไปกว่าได้แก่
ความปรารถนาจะยังประโยชน์แก่ผู้อื่น
แล้วความพยายามที่จะยังสัตว์โลกทั้งมวล
ให้ประสบกับความสุขอันสมบูรณ์สูงสุดเล่า
จะเหนือกว่าทั้งหมดเพียงใด?

28. เหล่าผู้ที่ปรารถนาจะหลุดพ้นจากทุกข์
ต่างก็เร่งรุดวิ่งไปหาทุกข์
ด้วยความปรารถนาจะได้มาซึ่งความสุข
พวกเขาทำลายความสุขของเขาลง
ราวกับเป็นข้าศึก
ด้วยจิตอันเปื้อนด้วยกิเลสของเขาเอง

29. เขาผู้นั้นยังความปิติทั้งหมด
และยังความพอใจให้แก่ผู้ที่หิวกระหายความสุข
เขาก็ยังกำจัดความโศกทั้งหลาย
ที่เกิดแก่ผู้ที่ถูกกิเลสรบกวน
ด้วยหนทางต่างๆ

30. เขากำจัดความเห็นผิดกับกิเลสทั้งมวล
ผู้ใจบุญเช่นนี้หาได้ที่ไหนอีก?
กัลยาณมิตรเช่นนี้จะมีได้อีกหรือ?
บุญอันมหาศาลยิ่งเช่นนี้จะมีที่ไหนอีกเล่า?

31. แม้แต่ผู้ที่ตอบแทนกรรมอันเป็นกุศล
ก็ยังได้คำชื่นชมพอสมควร
แล้วเราจะกล่าวอย่างไรกับ
พระโพธิสัตว์
ที่กรรมอันเป็นกุศลของท่านเกิดมาเองโดยมิได้ร้องขอ?

32. โลกยังยกย่องผู้ที่มอบของให้แก่คนจำนวนหนึ่งว่า
ผู้นั้นเป็นผู้ที่มีคุณธรรม
แม้ว่าจะเป็นการให้อาหารธรรมดาๆ และความช่วยเหลือเพียงครึ่งวัน
ซึ่งเป็นการให้ชั่วครั้งคราว
และให้ด้วยจิตอันดูหมิ่นดูแคลน

33.แล้วผู้ที่ให้อยู่ตลอดเวลาแก่สรรพสัตว์อันนับประมาณมิได้
ซึ่งการตอบสนองความต้องการทั้งสิ้นทั้งมวล
และเป็นความต้องการของสัตว์ทั้งหลายจำนวนนับไม่ถ้วน
อันไม่มีที่สิ้นสุดและกว้างใหญ่ไพศาลดุจท้องฟ้านภากาศเล่า?

34. สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดังนี้
"ใครที่มีจิตเป็นอกุศลในหัวใจแก่ผู้ที่ยังประโยชน์ให้แก่สัตว์อื่น
ผู้เป็นบุตรธิดาแห่งพระชินเจ้า
เขาผู้นั้นจะต้องทนทรมานในนรกเป็นเวลาหลายต่อหลายกัป
จนกว่าจิตอันเป็นอกุศลนั้นจะหมดไป"

35. แต่หากจิตของผู้นั้นมีความโน้มเอียงไปในทางกุศล
ผู้นั้นก็จะมีผลบุญมากมายเพิ่มพูนยิ่งขึ้นไปอีก
แม้ว่าจะมีอกุศลกรรมอันหนักยิ่งเกิดแก่บุตรธิดาของพระชินเจ้า
บุญบารมีของเขานั้นก็จะยังเกิดขึ้นอยู่เอง

36. ข้าฯขอกราบนมัสการกายของเหล่าูผู้ที่แก้วมณีอันหาค่ามิได้นี้ได้บังเกิดขึ้น
ข้าฯขอยึดเป็นที่พึ่งที่ระลึก ซึ่งเหล่าผู้ที่เป็นแหล่งที่มาแห่งปิติสุข
ผู้ซึ่งแม้แต่การทำร้ายก็ยังเกิดผลเป็นความสุข

จบ บทที่ 1 ค่ะ



ข้อความจากคุณ พยัคฆ์น้อยครับ

http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10210371/Y10210371.html
55  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / Re: ใครรู้สึกว่าเบื่อแล้วกับการเกิด เกิดชาตินี้ขอเป็นชาติสุดท้ายเถอะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 02:16:56 am
เราเป็นชาวพุทธเถรวาท จะคุ้นเคยกับแนวคิดแบบ "ปุั๊บแรก" ที่เมื่อมีคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือสรรพสัตว์ ความคิดแรกๆเลย ที่มัน pop-up ขึ้นมาคือ
- ถ้าช่วยสรพสัตว์แล้ว คือการเป็นพระพุทธเจ้า เอาสองเรื่องมาโยงกันค่ะ แล้วโยงกันอย่าแน่นหนา
- เส้นทางโพธิญาณ ยาก หินๆๆๆๆ สุดๆ
- ดูเหมือนจะไกลเกิน เอื้อม
- แถมยกตัวอย่างในพระไตรปิกฏ มา อ่านแล้ว เกิดความท้อใจมาก่อน กำลังใจมาที่หลัง
  จะเห็นว่าตรงนี้ถ้าอ่านของมหายานหรือวัรชยาน เรื่องราวของโพธิจิต จะเกิดแรงบันดาลใจว่า อยากจะเดินทางตามรอยเท้าพระพุทธเจ้าและพระมหาโพธิสัตว์
ส่วนเรื่องความคิดว่า การสร้างบารมียากนั้น ถ้าอ่านเรื่องราวของมหายานแล้ว ความรู้สึกนั้นจะแทบไม่เกิดขึ้นเลยค่ะ

  รู้สึกทางมหายาน เขาจะเขียนให้แรงบันดาลใจ เพื่อให้คนเดินทางใหญ่น่ะค่ะ

  พอเริ่มคุ้นเคยกับพระลามะ เมื่อท่านอธิษฐาน ขอให้การรู้ธรรมนั้นคือการ enlinghtenment แปลแบบไทย คือตรัสรู้ และช่วยสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ ก็รู้สึกเหมือนที่เรารู้สึกในแบบแรกๆที่อธิบายมาแล้วค่ะ

   แต่พอคุยหรือเห็นพระลามะบ่อยเข้า เรารู้สึกเองว่า
- เป้าหมายการปฏิบัติธรรมคือการบรรลุธรรม พ้นทุกข์ ระหว่างทางเดินนั้นจะช่วยคนอื่นให้พ้นทุกข์ไปด้วย
- ไม่ได้รู้สึกว่าสรรพสัตว์อื่นเป็นภาระ
- ไม่ได้แบ่งแยกว่าการบรรลุธรรมนั้นเรียกว่าตรัสรู้ อรหันต์ คือเรามีความรู้สึกว่า สำหรับท่านแล้ว ไม่ว่าจะเรียกอะไรก็ตาม เป้าหมายเพื่อการพ้นทุกข์ และช่วยเหลือสรรพสัตว์
- ไม่ได้มองโลก หรือสังสารวัฏ ว่ายากลำบากสำหรับการสร้างบารมี แต่สังสารวัฏน่ากลัวสำหรับการไม่รู้อะไรเลย คล้ายๆการกระโจนลงหน้าผา โดยไม่มีอุปกรณ์ช่วย
- การกระโจนลงในสังสารวัฎมีอุปกรณ์นิรภัยคือมีไตรสรณคมน์เป็นสรณ
- ที่เหนืออื่นใด ประโยชน์สุขของคนอื่น มาก่อนตนเองค่ะ
- ฯลฯ

จริงๆทิเบตก็มองเหมือนเราค่ะ มองสังสารวัฏน่าเบื่อ น่ากลัว ไม่ควรจะมาเกิด ควรจะเข้าถึงธรรมให้เร็วที่สุดเช่นกัน เพียงแนวทาง หรือแนวคิด มอง "เป้าหมาย" ผ่านเลนส์คนละสี

จากคุณ พยัคฆ์ น้อยครับ
56  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ไข่มุกถ้ำ รู้จักกันหรือป่าว ในยุคกระแสตื่นเรื่องพระธาตุ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 02:10:48 am
พระบรมสารีริกธาตุบนยอดภูเขาทอง กรุงเทพฯ ก็เป็นลักษณะกระดูกขาวๆ เหมือนที่อินเดีย เพราะรัฐบาลอินเดียทูลเกล้าถวาย ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ส่วนรูปที่ตีพิมพ์เผยแพร่ ในเอกสารของวัดสระเกตุ ที่เหมือนพลอยนั้น เป็นพระบรมสารีริกธาตุที่ขุดพบในปรางค์ประธานในวัดหลวงของพระนครศรีอยุธยา

กะโหลก ศีรษะของพระอรหันต์ที่พระพุทธเจ้านำมาให้พราหมณ์วังคีสะ เคาะแล้วท่องมนต์เพื่อจะทราบว่าเจ้าของกะโหลกไปเกิดที่ใดนั้น ก็มีลักษณะเหมือนกะโหลกของคนทั่วไป ไม่ได้ใสเป็นแก้ว ไม่อย่างนั้น พราหมณ์วังคีสะคงจะแยกแยะถึงความแตกต่างได้แล้ว

แต่การที่พระธาุตุบางองค์มีสีคล้ายพลอย มีความใสเหมือนแก้ว และมีสัีนฐานกลม ก็ไม่ทราบเช่นกันว่าเพราะอะไร

แต่ ชานหมาก นี่ดูท่าจะเริ่มมาจากศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งก็น่าแปลกประหลาดมากๆ เพราะร่างของหลวงพ่อฤาษีลิงดำยังไม่ได้รับการฌาปนกิจ และที่ผ่านมาก็ยังไม่เคยปรากฏว่า สิ่งของนอกกายที่ไม่ใช่กระดูกหรือเส้นผม จะกลายเป็นพระธาตุไปได้

ที่ร่างของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ก็มีกลุ่มละอองสีขาวจำนวนมากปกคลุมร่างกาย ศิษยานุศิษย์บอกว่าไม่ใช่เชื้่อรา แต่เป็นพระธาตุ

ผม เองก็มีพระธาตุเช่นกัน มีอยู่ 2 องค์ องค์หนึ่งเป็นหินสีขาวเหลี่ยมๆก้อนใหญ่ คล้ายหินในตู้ปลาตามตลาดนัดสวนจตุจักร เจ้าของบอกว่าเป็นพระธาตุพระโมคคัลลานะ แต่พออัญเชิญขึ้นลอยน้ำกลับลอยไม่ได้ และมีเสียงหล่นลงก้นแก้วคล้ายหินหนักๆ

ส่วน อีกองค์หนึ่งไม่ทราบว่าเป็นของท่านใด ไม่รู้ว่าเป็นพระธาตุหรือพระบรมสารีริกธาตุ แต่กลม ใส คล้ายแก้ว เม็ดเล็ก ผิวด้านหนึ่งมีรูพรุนคล้ายผิวด้านในของกระดูก ตอนได้มาเป็นสีแก้วใส แต่เปิดผอบดูแต่ละครั้งสีจะเปลี่ยนไปทุกที บางทีก็เป็นสีน้ำตาลอ่อน บางทีก็เป็นสีแดง บางทีก็เป็นสีน้ำตาลเข้ม บางทีก็เป็นสีเทา บางทีก็เป็นสีเหลือง บางทีก็เป็นสีขาวขุ่นเ้หมือนงาช้าง และบางทีก็ใสเหมือนแก้ว บางทีก็ทึบแสง

เคยทดลองอัญเชิญขึ้นลอยน้ำใน แก้ว ครั้งแรกจมน้ำลงก้นแก้ว ก็ใจเสีย แต่พอลองอัญเชิญขึ้นลอยบนผิวน้ำเป็นครั้งที่สอง ก็สามารถลอยน้ำได้สบายๆ บนผิวน้ำ

เท่าที่สังเกต ถ้าใช้นิ้วหยิบจับ พระธาตุจะเปลี่ยนสีในทันทีจากใสเหมือนแก้วแล้วเปลี่ยนเป็นขาวขุ่นเหมือนสีงา ช้าง พอปล่อยนิ้ววางลง ก็จะเปลี่ยนกลับมาใสเหมือนแก้วในทันที เป็นอย่างนี้ทุกครั้ง จนครั้งหลังๆ ไม่กล้าใช้มือเปล่าหยิบจับ ต้องใช้สำลีบริสุทธิ์

จากคุณ    : ปริญญาบ้าเกมส์

ที่มา
http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y10221234/Y10221234.html
57  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ไข่มุกถ้ำ รู้จักกันหรือป่าว ในยุคกระแสตื่นเรื่องพระธาตุ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 02:08:48 am
ลองอ่านเรื่องนี้ประกอบดูนะครับ


เมื่อพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 500 ปี พระสงฆ์ทั้งหลายที่มาไม่ทันพระพุทธเจ้าแต่ยังทันพระศาสนา ในสมัยนั้นยังมีพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรม ยึดถือพระธรรมอันเคร่งครัดอยู่เป็นจำนวนมาก พระสงฆ์เหล่านั้นต่างแยกย้ายออกหาที่สงบวิเวกปฏิบัติธรรม

.............เขา สามร้อยยอด เป็นที่สนุกสำหรับการปฏิบัติธรรมเพราะเป็นป่าหิมพานต์ชั้นหนึ่ง ผู้ที่มาพักอาศัยส่วนใหญ่เป็นพระอภิญญาเพราะท่านต้องเข้ามาบิณฑบาตข้าวใน เมือง ในกรุงเทพ เพียงครู่เดียวก็กลับไป คนใส่บาตรก็เห็นเป็นพระธรรมดา สถานที่ท่านอยู่ไม่มีคนเห็นเพราะอยู่ในป่าลึก พระสงฆ์เหล่านี้มีความขยันหมั่นเพียรปฏิบัติธรรมเคร่งครัดดังได้อยู่เฉพาะ พระพักตร์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประกอบกับมีอาจารย์ใหญ่ผู้เป็นศากยวงศ์ มาจากประเทศอินเดีย มาสอนปฏิบัติกรรมฐานให้หมดจากกิเลส ให้รีบปฏิบัติธรรมให้ทันพระพุทธเจ้าซึ่งรออยู่แล้ว พระ สงฆ์ทั้งหมดต่างปฏิบัติธรรมจนบรรลุอรหัตตผลนิพพานในถ้ำเขาสามร้อยยอดนั้น การมาปฏิบัติธรรมในที่นี้เป็นการหนีภัยอันตรายคืออันตรายจากการที่มีคนมาหา ไม่หยุดหย่อนไม่อาจจะปฏิบัติธรรมได้ ดังเช่นพระสงฆ์ในปัจจุบันนี้ไม่ห่วงการตัดกิเลส ห่วงแต่โชคลาภ

.............สังขารของพระอรหันต์ที่นิพพานในถ้ำมีเป็นจำนวนมาก ต่อมาช้านานกลายเป็นก้อนหินมีเทวดารักษา ก้อนหินนั้นมีลวดลายต่างๆ กัน พระอรหันต์ที่มีอานุภาพมากหินพระธาตุก็มีลวดลายสวยงาม พระอรหันต์ทีมีอานุภาพน้อยหินก็ไม่มีลาย พระอรหันต์แต่ละองค์จะมีฤทธิ์ไม่เหมือนกัน พระพุทธเจ้ามีฤทธิ์แบบหนึ่ง พระอานนท์มีฤทธิ์อย่างหนึ่ง พระกัสสปะมีฤทธิ์อย่างหนึ่ง พระสารีบุตรมีฤทธิ์อย่างหนึ่ง พระโมคคัลลาน์มีฤทธิ์อีกอย่างหนึ่ง บารมีที่สร้างมาเป็นอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง อารมณ์เกิดเป็นนิมิตเป็นกรรมฐานกองใดกองหนึ่ง พิจารณากรรมฐานนั้นให้ถึงอรหัตตผล ตัวอย่างเช่น ใช้กสิณไฟ กสิณน้ำ กสิณลม เอาสิ่งนั้นมาเป็นนิมิตเป็นรูปพระ พิจารณาให้กว้างและลึก ทำจนแก่กล้าขึ้น เรียนมาก รู้มากขึ้น เป็นพระอรหันต์ที่โปรดสัตว์ได้มาก พระธาตุก็มีลักษณะสวยงามมีลวดลายมาก

ที่มาเนื้อเรื่อง

http://relicsofbuddha.com/page9-3.htm
58  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: ไข่มุกถ้ำ รู้จักกันหรือป่าว ในยุคกระแสตื่นเรื่องพระธาตุ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 02:05:56 am






ที่มาภาพ
http://www.thaifossil.com/product.detail_134365_th_1280849#
59  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ไข่มุกถ้ำ รู้จักกันหรือป่าว ในยุคกระแสตื่นเรื่องพระธาตุ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 10, 2011, 01:55:50 am
พระธาตุ พระปัจเจกพระพุทธเจ้า

พบได้ในถ่ำโดยเฉพราะ เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา และหายาก
คนไทยมักจะเรียกว่า ลูกนิมิตในถ่ำ และมีความเชื่อที่ว่าเป็นลูกหินศักดิ์สิทธิ์
สามารถนำมาใช้ฝึกสมาธิได้ และผู้ที่ได้ครอบครองจะช่วยให้เป็นคนที่ใจเย็นได้

ความเป็นมาในไทยเรียกว่า พระธาตุ พระปัจเจกพระพุทธเจ้า หรือ ไข่มุกกวนอิม ไข่มุกถ้ำ ไข่หินตัน หรือพญางูเผือก แล้วแต่คนจะเรียกกัน!

ธาตุกายสิทธิ์อีกชนิดหนึ่งที่จัดได้ว่ามีความแข็งของโมล์เท่ากับ 10 โมล์คือแข็งแกร่งเท่าเพชรหรือมากกว่าเพชรและมีพลังเทียบเท่ากับธาตุ กายสิทธิ์เหล็กไหลและพระบรมสารีริกธาตุเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีลักษณะและสีสรร รูปร่างเหมือนกับพระธาตุสมเด็จองค์ปฐมเลยครับ และยัง มีอีกชิ้นที่รูปร่างเหมือนกับพระธาตุของพระธาตุของพระอรหันต์ไม่ทราบพระนาม ด้วยครับ แต่องค์ขนาดเท่าลูกปิงปองเนี่ยก็หนักและมีพลัง เกินตัวมาก ด้วยความแข็งที่เท่ากับเพชรดังนั้นจึงมีพลังมากขนาดทำลายก้อนหินขนาดที่ใหญ่ กว่าได้

แต่บางคนบอกว่าใช้หินเจียที่เขาใช้ตัดเหล็ก มาค่อยๆตัดผ่าซีกกว่าจะตัดเข้าก็ใช้เวลานานมากครับ ซึ่งคนเก่าแก่บอกว่าเขาเอาไว้ ใต้ฐานพระพุทธรูปหรือที่พระธาตุหรือเจดีย์ต่างๆครับ เพราะบางคนก็เล่าว่าข้างในไข่มุกกวนอิมนั้นเป็นลูกแก้ว 7 สี บางคนก็บอกว่ามี 12 ราศีอยู่ข้างใน บางคนก็บอกว่ามีองค์เหล็กไหลอยู่ข้างใน ไข่มุกกวนอิมมักจะมีอยู่ในถ้ำลึกที่คนเข้าถึงยาก มีอยู่ทางภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคกลางกับภาคอิสานผมไม่รู้ว่ามีหรือไม่เพราะมันไม่มีข่าวออกมา และมีที่ถ้ำในธิเบตครับ ก็ที่ลามะธิเบตใช้ทำลูกประคำแขวนคอนั่นเอง เพราะจะมีองค์เล็กๆเท่าหัวแม่โป้งก็มี

อีกความเห็นหนึ่งที่ได้มาคือ พระธาตุ พระปัจเจกพระพุทธเจ้า เหล็กไหลสีขาว ธาตุกายสิทธิ์พลังเย็น

พระธาตุ พระปัจเจกพระพุทธเจ้า จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง เป็นสิ่งที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาและหายาก พระลามะทิเบตชอบมีไว้ประจำตัว เพราะจะพบได้เฉพาะในถ้ำในภูเขาประเทศทิเบต และลึกเข้าไปในแคว้นเชียงตุงของพม่า และทางเหนือของประเทศลาว

ส่วนในประเทศไทยจะพบในถ้ำลึกกลางป่าเขาทางภาคเหนือ พระธาตุ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าชอบ อากาศหนาวจัด จึงมีพลังเย็น มีอานุภาพทางแคล้วคลาดล่องหนหายตัวได้ชั่วคราว ถูกไฟไม่ยืด แต่ถ้าใช้คาถาอาคมยืดได้ มีมายาในตัว งอกขึ้นได้เล็กลงได้ ถ้าจะนำไปสร้างพระเครื่องจะต้องใช้วิชาเล่นแร่แปรธาตุบังคับ หากพลังจิตไม่แก่กล้าพอก็ทำไม่ได้

พระธาตุ พระปัจเจกพระพุทธเจ้าสามารถรู้ล่วงหน้าได้ว่าผู้ ครอบครองจะหมดสิ้นอายุขัย มีเคราะห์ร้ายถึงตายเมื่อใด ไข่มุกกวมอิมจะถือโอกาสล่องหนอันตรธานหายไป ผู้ครอบครองคนใดเมื่อรู้ว่าไข่มุกกวมอิมของตนหายก็อย่าได้ตกใจจนขวัญเสีย มีสติปลงให้ตก ทำบุญสุนทาน แผ่เมตตา ทำสมาธิให้จิตสงบไม่ฟุ้งซ่าน เมื่อจะต้องตายไปจริงๆ จิตจะได้สู่สุคติในสัมปรายภพ

คนไทยมักจะเรียกว่า พระธาตุ พระปัจเจกพระพุทธเจ้า ไข่มุกกวมอิม เหล็กไหลสีขาว เหล็กไหลชีปะขาว เหล็กไหลน้ำหนึ่งไข่มุกถ้ำ ไข่หินตัน แล้วแต่คนจะเรียกกัน!

เกจิอาจารย์บางท่านเรียกว่า “พญางูเผือก” มีสีขาวเป็นมันเลื่อมคล้ายเกล็ดงู และมีความเชื่อที่ว่าเป็นลูกหินศักดิ์สิทธิ์ สามารถนำมาใช้ฝึกสมาธิได้ มีไว้กับตัวกับบ้านถือว่าเป้นศิริมงคลยิ่งนัก

ในทางธรณีวิทยานั้นจัดได้ว่าเป็นธาตุที่มีความแข็งของโมล์เท่ากับ 10 โมล์ เทียบเท่ากับเพชรหรือมากกว่าเพชร ทุบไม่แตก ตัดไม่ขาด และมีพลังเทียบเท่ากับธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลและพระบรมสารีริกธาตุเลยทีเดียว อีกทั้งยังมีลักษณะ สีสรร และรูปร่างเหมือนกับ"พระธาตุสมเด็จองค์ปฐม"

ถ้าองค์ขนาดเท่าลูกปิงปองจะหนักและมีพลังเกินตัวมาก ด้วยความแข็งที่เท่ากับเพชรดังนั้นจึงมีพลังมากขนาดทำลายก้อนหินขนาดที่ใหญ่ กว่าได้










ที่มาภาพและเรื่อง
http://www.spantique.com/product.detail_0_th_1385102
60  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ความหมายในพระสังฆคุณ น่าจะไม่เกี่ยวกับสตรี ใช่หรือไม่ครับ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2011, 12:07:34 am
อ่านแล้วรู้สึกน้อยใจจังเลย ว่าสตรีไม่มีบทบาท ในความเป็นพระอริยะสงฆ์

 :03:
61  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: น้องชายซึ่งเป็นพระ ได้ขอให้ผมไปลงโปรแกรมให้พระที่วัด... เมื่อ: กุมภาพันธ์ 08, 2011, 12:02:43 am
ผมอยากทำความเข้าใจกับ จขกท. ให้ชัดเจนก่อน...

เรื่องแรก แผ่นซีดีเถื่อนผิดแน่นอน...

เรื่องที่สอง ลงโปรแกรมในเครื่องต่าง โดยละเมิดลิขสิทธิ์ ก็ผิดแน่นอนครับ

เหมื่อนเราทำอะไรขึ้นมาแล้ว เพื่อเป็นเครื่องประกอบอาชีพเราแล้ว คนอื่นมาขโมยไปใช้ครับ

เจตนาคือสิ่งสำคัญที่สุดในเรื่องกรรม...

สำหรับ กรณีพระสงฆ์ ผมว่ายิ่งไม่ควรเพราะเป็นผู้ทรงศีล ครับ

 >:(
62  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ทำไม พระสงฆ์ปัจจุบัน ถึงได้ พยายามสร้าง เทวรูป ต่าง ๆ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2011, 10:26:07 pm
อันนี้ท่านชวนไปปฏิบัติธรรม นะยังดีนะครับ

แต่ของผมนี่ พูดถึงแนวการปฏิบัติ กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ ขึ้นมาว่าน่าศึกษา
เหมือนเลือดขึ้นหน้าเลยครับ กล่าวกะผมว่า กรรมฐาน ที่ทำให้ติดสุขจะไปถึงความดับทุกข์อย่างไร

โยมยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งติดสุข

แล้วทำอย่างไรครับ

ต้องสติปัฏฐานสี่ สิถึงจะทำให้พ้นทุกข์ได้ แล้วก็พรรณนาให้ผมฟังมากมาย

ถึงเวลาตอนท่านนั่งกรรมฐาน ท่านนั่งกรรมฐานหลับสัปปะหงก หงึก ๆ นั่งแต่ 15 - 20 นาทีเอง

ผมว่าพระอย่างนี้ยังมีอยู่มาก ที่สำคัญพูดจากทำให้โยมจิตตกอีก..... ทำเป็นพวก หัวรุนแรงเลย

ความรู้หรือครับ ป.ตรี ป.โท เปรียญ ผมว่าไม่น่าจะช่วยอะไรในการภาวนาเลยนะครับ

แหมชวนกัน พูดเรื่องวัด แต่ดันพาล ไปพูดเื่รื่องพระ

 จขกท. ต้องการให้ช่วยกันชี้แจงเรื่องที่พระสมัยปัจจุบัน นี้ทำไมจึงชวนให้ญาติโยมหลงงมงาย

ผมเชื่อว่า ตอนนี้มีพระปฏิบัติดีอีกมาก แต่ต้องเดือดร้อนเพราะพระเหล่านี้ครับ

  :96:
63  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ความสงสัย เรื่องการแต่งกายของเทวดา เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2011, 11:34:38 pm
คือเป็นความสงสัย ของผมตั้งแต่เด็กแล้ว ซึ่งก็สงสัยมาตลอดว่า เทวดา ก็คือผู้ที่ทำบุญแล้วไปเกิดบนสวรรค์ ตามนิยาม
ของศาสนาต่าง ๆ นั้น ผมสงสัยว่าเครื่องแต่งกายของเทวดา จริง ๆ เป็นอย่างไร และเทวดามีการแบ่งประเทศบนสวรรค์หรือ
ไม่ การสื่อสารใช้ภาษาอะไร แท้ที่จริงแล้วในพระพุทธศาสนา มีการกล่าวแสดงที่ตั้งของทวีป ทั้ง 4 ตามความเข้าใจของผมเห็น
ว่า เทวดาไม่น่าจะมีการแบ่งประเภท ตามประเทศ และ เครื่องแต่งกาย การเรียกภาษา น่าจมีหลักการอะไรที่แสดงให้เข้าใจได้ง่าย ๆ  อีกอย่างเทวดา หน้าตาเหมือนกันหรือไม่ เพราะเทวดาไม่แก่ แล้วจำแนกอายุกันอย่างไร

 ปล.อาจจะสงสัย เรื่องที่ไม่ควรสงสัย แต่ก็เผื่อท่านที่มีความรู้และเข้าใจ จะช่วยเพิ่มความเข้าใจให้ผม ได้มากขึ้น
ผมชอบเว็บนี้ เพราะมีการตอบไวดีครับ เว็บอื่น ๆ ผมไปทิ้งคำถามแล้ว จะสามสัปดาห์แล้วยังไม่ตอบเลย ชื่นชมกับสมาชิก
ที่ใจดีในที่นี้ทุกท่าน ครับ

 :25: :25: :25:
64  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / เมื่อเพื่อนคนหนึ่งมาปรึกษา....เรื่องที่จะทำให้ใจสงบ เมื่อ: มกราคม 27, 2011, 12:20:40 am
เมื่อเพื่อนคนหนึ่งมาปรึกษา....เรื่องที่จะทำให้ใจสงบ

คือว่าผมพึ่งรู้จักกับน้องผู้หญิงคนหนึ่ง หน้าตาน้องเค้าน่ารักดี น้องเค้ามาฝึกงานที่ทำงานผม หลังจากที่น้องเค้าได้มาฝึกงานมาเป็นเวลาสองเดือนแล้ว และได้พูดคุยกันบ้าง ผมก็เริ่มมีความกระวนกระวายใจยังไงบอกไม่ถูก คือมีอาการเวลานอนก็คิดถึงแต่หน้าน้อง เห็นภาพน้องมาลอยอยู่ตรงหน้าคิดว่าน้องจะชอบเราบ้างไหม รังเกียจเราหรือป่าว ตื่นมาก็ยังคิดถึงอีก วันๆก็คิดแต่เรื่องนี้ ไม่เป็นอันทำงานจะมีวิธีทำจิตใจให้สงบอย่างไรดี ขอคำแนะนำผู้ที่เคยมีประสบการณ์ หรือไม่มีประสบการณ์ก็ได้ครับแนะนำหน่อย ขอบคุณครับ

ใครพอจะให้คำปรึกษาได้บ้างครับ....

 :49:
65  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ขอเชิญร่วมสมโภชน์พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ๐-๑๙ ก.พ.๕๔ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง ชัยภูมิ เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 01:20:30 am
ขอเชิญร่วมสมโภชน์พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง
วันที่ ๑๐-๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔
ณ สำนักสงฆ์ผาผึ้ง ตำบลตลาดแร้ง อำเภอบ้านเขว้า จังหวัดชัยภูมิ

พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง



กำหนดการ

วันพฤหัสบดีที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔

เวลา ๐๙.๐๙ น. พิธีบวงสรวง

พระสงฆ์ ๙ รูป เจริญพระพุทธมนต์

พิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุปทาน

๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์

๑๘.๐๐ น. ทำวัตรเย็น

พิธีบวชเนกขัมมะ ชาย-หญิง

พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และสวดธรรมจักรกัปวัตตนสูตร

วันศุกร์ที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔

๐๕.๐๐ น. ทำวัตรเช้า

๐๗.๔๕ น. พระสงฆ์บิณฑบาต

๐๘.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์

ผู้บวชเนกขัมมะ รับประทานอาหารเช้า

ปฏิบัติภาวนา

๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์

ผู้บวชเนกขัมมะ รับประทานอาหาร

พักผ่อนตามอัธยาศัย

๑๘.๐๐ น. ทำวัตรเย็น

พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์และสวดธรรมจักรกัปวัตตนสูตร

วันเสาร์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔

ภาคเช้า

เวลา ๐๕.๐๐ น. ทำวัตรเช้า

๐๗.๔๕น. พระสงฆ์บิณฑบาต

๐๘.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์

๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพลแด่พระสงฆ์

ภาคบ่าย

เวลา ๑๒. ๓๐น. ประชาชนพร้อมกันภายในลานปะรำพิธี

พระสุวีรญาณ เจ้าคณะจังหวัดชัยภูมิ ถวายเครื่องสักการะ

พระอุดมฤกษ์ อมโร เจ้าสำนักสงฆ์ผาผึ้ง ถวายเครื่องสักการะ

พระธวัชชัย ชาครธัมโม ประธานการสร้างพระเจดีย์ ถวายเครื่องสักการะ

นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดชัยภูมิ ถวายเครื่องสักการะ

ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดชัยภูมิกล่าวรายงาน

เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัตประธานในพิธีจุดธูปเทียน

เจ้าหน้าที่อาราธนาศีล / ประธานสงฆ์ให้ศีล

เจ้าหน้าที่อาราธนาพระปริตร

พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์

คณะเจ้าภาพร่วมกันถวายจตุปัจจัยไทยธรรมและถวายของที่ระลึก

พระสงฆ์อนุโมทนา / กรวดน้ำ / รับพร

เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัตเปิดป้ายพระเจดีย์

พระมงคลวิสุทธิ์ถวายผ้าห่มพระเจดีย์

เจ้าประคุณสมเด็จพระวันรัตนำคณะสงฆ์เวียนเทียน

เสร็จพิธี

หมายเหตุ : กำหนดการนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลาที่เหมาะสม

วันที่ ๑๓ - ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔

๐๕.๐๐ น. ทำวัตรเช้า

๐๗.๔๕ น. พระสงฆ์บิณฑบาต

๐๘.๐๐ น. พระสงฆ์ฉันภัตตาหารเช้าแล้วแยกย้ายไปเจริญภาวนา

ผู้ถือบวชเนกขัมมะ รับประทานอาหารเช้าแล้วแยกย้ายไปเจริญภาวนา

๑๑.๐๐ น. พระสงฆ์ฉันภัตตาหารเพล

ผู้ถือบวชเนกขัมมะ รับประทานอาหาร

พักผ่อนตามอัธยาศัย

๑๕.๐๐ - ๑๖.๐๐ น. พระสงฆ์ฉันน้ำปานะ

ผู้ถือบวชเนกขัมมะ ดื่มน้ำปานะ

๑๘.๐๐ น. ทำวัตรเย็นและเจริญพระพุทธมนต์ สวดธรรมจักรกัปวัตตนสูตร

พิธีเวียนเทียนรอบพระเจดีย์

หมายเหตุ : สำหรับวันที่ ๑๖, ๑๗ และ ๑๘ กุมภาพันธ์ เวลา ๑๓.๐๐ – ๑๗.๐๐ น. จะมีเทศน์มหาชาติ ต่อเนื่องเป็นเวลา ๓ วัน

วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔ ( วันมาฆบูชา )

ภาคเช้า

๐๗.๐๙ น. พิธีบวงสรวง

๐๗.๔๕ น. พระสงฆ์บิณฑบาต

๐๘ .๐๐ น. ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระภิกษุสงฆ์

๑๐. ๐๐ น. พิธีเจริญพระพุทธมนต์

พิธีทอดผ้าป่าสามัคคี

๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพล

ภาคบ่าย

๑๓.๐๐ น. เทศน์มหาชาติ

๑๘.๐๐ น. ทำวัตรเย็น และเจริญพระพุทธมนต์ สวดธรรมจักรกัปวัตตนสูตร

พิธีเวียนเทียนรอบพระเจดีย์

วันที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔

๐๖. ๐๐ น. พิธีลาศีลแปดของผู้บวชเนกขัมมะ

๐๗.๔๕ น. พระสงฆ์บิณฑบาต

๐๘.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเช้าแด่พระสงฆ์

๐๙.๓๐ น. พิธีขออโหสิกรรม


พิธีถวายพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง มณฑปหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร พร้อมด้วยสิ่งก่อสร้างทั้งหมด ถวายไว้ในพระพุทธศาสนา โดยมี พระครูสุวิมลภาวนาคุณ เป็นประธานคณะสงฆ์ ในการรับมอบวิหารทาน ทั้งหมด.

****************************



รายนามพระเถรานุเถระ ซึ่งได้นิมนต์เข้าร่วมพิธีฉลองสมโภชน์พระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง วันเสาร์ที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๔

ประธานในพิธี 2 รูป ( รับนิมนต์แล้ว )

๑. สมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพฯ

๒. พระมงคลวิสุทธิ์ (หลวงปู่สุภา กฺนฺตสีโล ) วัดสิริสีลสุภาราม ภูเก็ต

พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์

๑. พระธรรมวราภรณ์ วัดเครือวัลย์ กรุงเทพฯ

๒. พระธรรมไตรโลกาจารย์ วัดราชประดิษฐ์ กรุงเทพฯ

๓. พระเทพปัญญามุนี วัดอาวุธวิกสิตาราม กรุงเทพฯ

๔. พระเทพวราลังการ วัดพระศรีมหาธาตุ กรุงเทพฯ

๕. พระเทพดิลก วัดปทุมวนาราม กรุงเทพฯ

๖. พระกวีวรญาณ วัดตรีทศเทพ กรุงเทพฯ

๗. พระอธิการสุทัศน์ โกศโล วัดกระโจมทอง กรุงเทพฯ

๘. พระสุวีรญาณ วัดศรีแก้งคร้อ ชัยภูมิ

๙.. พระครูชัยสิทธิการโกศล วัดป่าสุทธิโกศล ชัยภูมิ

๑๐. พระครูสุนทรกิตติคุณ วัดป่าบ้านพลัง ชัยภูมิ

๑๑. พระครูสุวิมลภาวนาคุณ วัดเขาตาเงาะอุดมพร ชัยภูมิ

๑๒. พระครูปภสฺสรวรพินิจ วัดห้วยมงคล ประจวบคีรีขันธ์

๑๓. พระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ วัดท่าขนุน กาญจนบุรี

๑๔. พระครูปลัดสมปอง สุธมฺมสนฺตจิตโต สำนักปฏิบัติธรรมบ้านสบายใจ อุทัยธานี

๑๕. พระครูวินัยธร วัดประยงค์กิตติวราราม กรุงเทพ ฯ

๑๖. พระครูถาวรเจติยาภิรักษ์ วัดเกาะแก้วขวัญเมือง หนองคาย

๑๗. พระครูสิริธีรคุณ วัดศรีชมชื่น หนองคาย

๑๘. พระสมมาศ คุณาธิโก วัดบางนมโค อยุธยา

๑๙. พระครูบาเหนือชัย โฆสิโต สำนักสงฆ์ถ้ำป่าอาชาทอง เชียงราย

๒๐. พระครูบาวิฑูรย์ ชินวโร สำนักปฏิบัติธรรมปรียานันท์ธรรมสถาน

๒๑. พระมหาทอง ฐานคุโณ วัดเขาสมโภชน์ ลพบุรี

๒๒. พระมหาดง ปภัสสโร วัดเกาะแก้วขวัญเมือง หนองคาย

รายละเอียดเพิ่มเติม http://thaipagoda.wordpress.com/

66  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อานิสงส์ของศีล เมื่อ: มกราคม 26, 2011, 12:38:10 am
อานิสงส์ของศีล

ใน กิมัตถิยสูตร อังคุตตรนิกาย ทสกนิบาต ข้อ ๑ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทรงแสดงอานิสงส์ของศีลที่เป็นกุศล คือ กุศลศีล ที่มีกุศลจิตเป็นสมุฏฐาน แก่ท่านพระอานนท์ไว้ ๑๐
ประการ คือ
๑. ศีลที่เป็นกุศลมีอวิปปฏิสาร คือความไม่เดือดร้อนใจเป็นผล เป็นอานิสงส์
๒. ความไม่เดือดร้อนใจมีความปราโมทย์เป็นผล เป็นอานิสงส์
๓. ความปราโมทย์มีปีติเป็นผล เป็นอานิสงส์
๔. ปีติมีปัสสัทธิ คือความสงบใจเป็นผล เป็นอานิสงส์
๕. ปัสสัทธิ มีสุข คือความสุขใจเป็นผล เป็นอานิสงส์
๖. สุขมีสมาธิเป็นผล เป็นอานิสงส์
๗. สมาธิมียถาภูตญาณทัสสนะ คือความเห็นด้วยญาณตามความเป็นจริงเป็นผล เป็นอานิสงส์
๘. ยถาภูตญาณทัสสนะ มีนิพพิทาวิราคะ คือความหน่ายความคลายเป็นผล เป็นอานิสงส์
๙. นิพพิทาวิราคะ มีวิมุตติญาณทัสสนะ คือความเห็นด้วยญาณเป็นเครื่องหลุดพ้นเป็นผล
เป็นอานิสงส์
๑๐. ศีลที่เป็นกุศลย่อมถึงอรหันต์โดยลำดับ ด้วยประการฉะนี้

เพราะฉะนั้น โลกียศีลจึงเป็นบันไดให้เข้าถึงโลกุตตรศีล เข้าถึงอธิศีลสิกขา เป็น
อริยศีลได้ในที่สุด

มนุษย์นั้นมีมากมายหลายประเภท สวยมาก สวยน้อย ดีมาก ดีน้อย บางคนทั้งสวยทั้งดี บาง
คนไม่สวยด้วยไม่ดีด้วย บางคนเรียบร้อย บางคนหยาบคาย บางคนอ่อนโยน บางคนดุร้าย บางคนมีศีล
บางคนไม่มีศีล สุดแท้แต่กรรมจะจำแนกให้เป็นไป

ในจำนวนคนมากมายหลายประเภทเหล่านี้ คนมีศีลเป็นคนประเสริฐ ยิ่งมีศีลด้วย
สวยด้วย ยิ่งประเสริฐสุด เหมือนดอกไม้ที่สวยทั้งสีและกลิ่น

ส่วนคนสวยที่ไม่มีศีลนั้น ก็เหมือนดอกไม้ที่สวยแต่สี หามีกลิ่นไม่

คนเราจะมีศีลได้ก็เพราะมีหิริ และโอตตัปปะ คือความละอายและเกรงกลัวบาป ทั้งบาปของ
ตนและคนอื่น โดยอาศัยการมีสติเตือนตนว่า "เราเป็นสาวกของพระพุทธเจ้าผู้บริสุทธิ์ ไม่ควรกระ
ทำความชั่ว" ดังนี้เป็นต้น หรือเพราะเกรงคำครหาของผู้อื่นว่า "ผู้นี้เป็นถึงสาวกของพระพุทธเจ้า
ทำไมจึงประพฤติชั่วอย่างนี้" ดังนี้เป็นต้น เมื่อมีสติคิดได้อย่างนี้ จิตใจก็อ่อนโยน ไม่กล้าทำความชั่ว
เมื่อไม่ทำความชั่วก็ไม่เดือดร้อน ศีลจึงมีความไม่เดือดร้อนเป็นผล เป็นอานิสงส์

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ในมหาปรินิพพานสูตรทีฆนิกาย มหาวรรค ว่า
ผู้มีศีลย่อมได้รับอานิสงส์ ๕ ประการ คือ
๑. ย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ เพราะความไม่ประมาทเป็นเหตุ ( ดังที่พระท่านแสดง
อานิสงส์ของศีลในเวลาให้ศีลว่า สีเลน โภคสมปทา )
๒. เกียรติศัพท์อันงามของผู้มีศีล ย่อมฟุ้งขจรไปไกล
๓. ผู้มีศีลเข้าไปสู่สมาคมใดๆ ย่อมเข้าไปอย่างองอาจไม่เก้อเขิน
๔. ผู้มีศีลย่อมไม่หลงทำกาละ ( คือไม่หลงในเวลาตาย )
๕. ผู้มีศีล ตายแล้วย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ( สีเลน สุคตึ ยนฺติ )

นอกจากนั้นพระพุทธองค์ยังทรงแสดงไว้ด้วยว่า ผู้ที่หวังได้รับความรักใคร่ สรรเสริญจากบัณฑิต
ทั้งหลาย ควรทำศีลให้บริบูรณ์

ศีลเป็นที่พึ่งของผู้ประพฤติพรหมจรรย์ในพระศาสนา
ศีลเป็นเสมือนน้ำที่ล้างมลทิน คือความชั่วของสัตว์ทั้งหลาย อันน้ำในแม่น้ำทั้งหลายไม่อาจล้างได้
ศีล ยังผู้รักษาให้สงบเย็น ไม่ร้อนรุ่มด้วยกิเลส
กลิ่นใดที่ฟุ้งไปได้ทั้งทวนลม และตามลม กลิ่นนั้นเสมอด้วยกลิ่นศีลไม่มี
บันไดที่จะขึ้นสู่สวรรค์ และบรรลุนิพพาน ( สีเลน นิพฺพุตึ ยนฺติ ) ที่จะเสมอด้วยบันได
คือศีลหามีไม่

บุคคลแม้จะงดงามด้วยเครื่องประดับอันมีค่า ก็ยังไม่งามเท่าบุคคลที่มีศีลประดับกาย วาจา ใจ

ผู้มีศีล ย่อมติเตียนตนเองไม่ได้ เมื่อพิจารณาถึงความประพฤติของตน ย่อมเกิดปีติ
ทุกเมื่อ
เพราะศีลมีอานิสงส์มากมายดังกล่าว ศีลจึงเป็นรากฐานแห่งคุณความดีทั้งหลาย และกำจัดความ
ชั่วทั้งปวง
67  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: จะพบพระอาจารย์ ต้องทำอย่างไรครับ จึงจะได้พบ เมื่อ: มกราคม 25, 2011, 12:20:23 am
อันที่จริง ผมก็อยากพบพระอาจารย์ ครับ

 :'(
68  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล จะเปลี่ยนชีวิตได้จริงหรือ เมื่อ: มกราคม 25, 2011, 12:18:57 am
ขอบคุณ ทุกความเห็น นับว่าทุกท่านมีน้ำใจ จริง ๆ ผิดคาดหมายผม นึกว่าจะไม่มีคนช่วยแสดงความเห็นครับ

ซึ้ง จริง ๆ

69  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ขอเชิญร่วมสมทบทุนบูรณะฟื้นฟู พุทธอุทยานธารน้ำไหล จ.เชียงราย เมื่อ: มกราคม 24, 2011, 01:29:34 am
ขอเชิญร่วมสมทบทุนบูรณะฟื้นฟู พุทธอุทยานธารน้ำไหล จ.เชียงราย

:b42: พุทธอุทยานธารน้ำไหล บ้านปางเกาะทราย ต.ป่าหุ่ง อ.พาน จ.เชียงราย ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยหลวง อ.พาน จ.เชียงราย ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของ พระอาจารย์ทรงวุฒิ ชวโน ซึ่งท่านมาปลีกวิเวกบำเพ็ญเพียรตามลำพัง

(ผู้ ตั้งกระทู้ - ปิยวณฺโณภิกฺขุ เคยไปบำเพ็ญเพียรและศึกษาข้อวัตรปฏิบัติตามแบบแผนพระวัดป่ากับท่านระยะหนึ่ง เห็นถึงปฏิปทาและข้อวัตรตามระเบียบแบบแผนแห่งพระป่าจริงๆ)

:b47: เนื่องจากในพรรษาที่ผ่านมา ทราบข่าวจากอุบาสกผู้ดูแลและอุปัฏฐากพระอาจารย์ ว่า พื้นที่บริเวณวัดและตลิ่งได้รับผลกระทบจากกระแสน้ำที่หลากมาจากภูเขา ที่สำคัญน้ำจากลำธารไหลมาแรงทำให้ตลิ่งถูกน้ำเซาะพังเสียหาย ไหลทะลักมาถึง โรงครัว และกุฏิ ในฐานะที่เคยไปบำเพ็ญกับท่านมาไม่รู้จะตอบแทนท่านอย่างไรเพราะเป็นบรรพชิต เช่นกัน คงจะมีทางนี้ทางเดียวที่คิดว่าเหมาะสมที่สุด และในอนาคตกำลังจะกลับไปดูแลและขอนิสสัยกับท่านด้วย

แผนงาน

1. เอาแม็คโครเข้าเก็บกู้ท่อที่ถูกน้ำพัดพาไปและปร้บพื้นที่ในส่วนที่เสียหาย
2. เทปูนทำผนังตลิ่งที่ได้ปรับพื้นที่ไว้ทั้งหมด
3. เสริมขอบบนผนังตลิ่งเพิ่มอีก ตามระยะความยาวตามผน้งตลิ่ง 50เมตร50 ซม.
(ดำเนินงานไปบ้างแล้วบางส่วน)

:b40: ท้าย นี้ด้วยอำนาจคุณพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ตลอดจนถึงบุญบารมีที่เคยทำมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จงอำนวยอวยพรให้ผู้ร่วมทางบุญทุกท่านได้รู้ธรรม เห็นธรรม และพบแสงสว่างแห่งธรรมด้วยเทอญ :b8: :b8: :b8: /ปิยวณฺโณภิกฺขุ

ร่วมสมทบทุนได้ที่

ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา อ.พาน จ.เชียงราย
บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 4010192451
ชื่อบัญชี คุณศุขเชภฐ ชอบอยู่สบาย

ติดต่อสอบถาม
คุณศุขเชภฐ ชอบอยู่สบาย
โทร. 089-5581645, email: suka_2344@yahoo.co.th

รบกวนแจ้งรายการสมทบทุนไปที่อีเมล์ หรือโทรศัพท์





70  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสมทบทุนสร้างพระพุทธรูป หน้าตัก 9 เมตร 18 ก.พ.54 เมื่อ: มกราคม 24, 2011, 01:26:23 am
ขอเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพสมทบทุนสร้างพระพุทธรูป
พระ อาจารย์ชนะราษฎร์ สิริมงฺคโล เจ้าอาวาสวัดป่ากุดชุมเจริญธรรม มีดำริสร้างพระพุทธรูปขนาดหน้าตักกว้าง 9 เมตร เพื่อเป็นศูนย์รวมใจของพุทธศาสนิกชนชาวอำเภอกุดชุม ขณะนี้การดำเนินงานเริ่มไปขั้นหนึ่งแล้วในส่วนของฐานรากที่จะทำการหล่อสร้าง ประดิษฐานองค์พระพุทธรูป ซึ่งมีนามว่า "พระพุทธรักษาศรัทธากล้ากุดชุม" (หลวงพ่อกุดชุม) จึงขอโอกาสเรียนเชิญพุทธศาสนิกชนทุกท่านร่วมบุญใหญ่ในวันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2554 ตรงกับวันมาฆบูชา
ณ วัดป่ากุดชุมเจริญธรรม ม.5 ต.กุดชุม อ.กุดชุม จ.ยโสธร หรือสมทบทุนสร้างได้ที่
บัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงไทย สาขากุดชุม
เลขที่บัญชี 336-0-22197-4
ชื่อบัญชี พระชนะราษฎร์ สิริมงฺคโล
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
พระอาจารย์ชนะราษฎร์ สิริมงฺคโล เบอร์โทร.0878173356
71  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล จะเปลี่ยนชีวิตได้จริงหรือ เมื่อ: มกราคม 24, 2011, 01:23:52 am
เห็นเพื่อน ๆ ผมช่วงนี้พอหลังจากโดนทักเรื่อง งาน เรื่องชีวิต ก็มักจะได้รับคำแนะนำว่าให้
ไปเปลี่ยนชื่อบ้าง เปลี่ยนนามสกุลบ้าง ในฐานะชาวพุทธที่นับถือพระพุทธเจ้าแล้ว พวกเพื่อน ๆ สมาชิก
มีความเห็นอย่างไร กับการเปลี่ยนชื่อ นามสกุล แล้วจะเปลี่ยนชีวิตได้จริงหรือครับ

ขอความเห็นด้วยนะครับ เพื่อน ๆ ทุกท่าน


 :c017:
72  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า เมื่อ: มกราคม 24, 2011, 01:20:46 am
73  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ปฏิบัติธรรมประจำปีขึ้น ณ วัดถ้ำแสงเพชร 3 – 6 กุมภาพันธ์ 2554 อำนาจเจริญ เมื่อ: มกราคม 24, 2011, 12:23:22 am
วัดถ้ำแสงเพชร ขอเชิญร่วมทำบุญปฏิบัติธรรม บวชชีพราหมณ์ และสมโภชพระประธาน อุโบสถเนื่องในวันกตัญณุตา                 
ด้วยวัด ถ้ำแสงเพชรร่วมกับคณะกรรมการและศรัทธาสาธุชน
ผู้ มีความเลื่อมใสในบวรพุทธ ศาสนาทั้งหลาย ได้จัดกิจกรรมงานปฏิบัติธรรมประจำปีขึ้น ณ วัดถ้ำแสงเพชร บ้านดงเจริญ ตำบลหนองมะแซว อำเภอเมือง จังหวัดอำนาจเจริญ ระหว่างวันที่ 3 – 6 กุมภาพันธ์ 2554 โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้-                  เพื่อเผยแผ่พุทธธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า-                  เปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนผู้มีความสนใจได้เข้าร่วมประพฤติปฏิบัติธรรม-                 
เพื่อทรงไว้ซึ่งข้อวัตรปฏิบัติ และสืบทอดประเพณีอันดีงามของชาวพุทธ-                 
เพื่ออบรมคุณธรรม จริยธรรม แก่ผู้ที่สนใจรวมทั้งเยาวชนลูกหลาน                   
คณะ สงฆ์ อุบาสก – อุบาสิกาวัดถ้ำแสงเพชรจึงใคร่ขอเชิญบรรดาญาติธรรมสาธุชนผู้มีความสนใจเข้า ร่วมประพฤติปฏิบัติธรรมบวชเนกะขัมมะ นุ่งขาวห่มขาว ในวัน เวลา และสถานทีดังกล่าว    วันชาติ / พิมพ์วิมล /บก.ข่าว สวท.อจ.21 มกราคม 2554
ข้อมูลจาก ::   สิทธิเดช นนทพรหม  สวท. อำนาจเจริญ  วันที่ ::  21/1/2554
74  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / Re: เรียนเชิญร่วมเป็นเจ้าภาพทอดผ้าป่า เพื่อจัดซื้อกระเบื้องปูห้องน้ำ เมื่อ: มกราคม 23, 2011, 12:46:29 am
อนุโมทนาครับ ได้เห็นบรรยากาศสถานที่ปฏิบัติภาวนาแล้ว รู้สึกเย็นใจ จริง ๆ ครับ ดู ๆ แล้วสถานที่สัปปายะมากนะครับ
มีน้ำตกด้วย อืม น่าสนใจที่จะไปภาวนาอยู่ สัก 2 คืน สามวัน ( รู้สึกจะไม่มีไฟฟ้าใช้ใช่หรือป่าวครับ )

อนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ

 :25: :25: :25:
75  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ปริวาส เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 02:09:26 am
อย่าไปสนใจเลยครับ เป็นเรื่องของพระ เราเป็นผู้หญิง รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ครับ

หน้าที่ของเราทำบุญครับ อุปัฏฐากครับ

“การประพฤติวุฏฐานวิธี” หรือ "อยู่ปริวาสกรรม" หรือ "มาชำระมลทินการละเมิดวินัยของพระ"

วุฏฐานวิธี คือ กฎระเบียบเป็นเครื่องออกจากอาบัติ หมายถึง ระเบียบวิธีปฏิบัติสำหรับภิกษุผู้จะเปลื้องตนออกจาก
ครุกาบัติสังฆาทิเสส มีทั้งหมด ๔ ขั้นตอน คือ


๑.  ปริวาส หรือ อยู่ประพฤติปริวาส หรือ อยู่กรรม (โดยสงฆ์เห็นชอบที่ ๓ ราตรี)
๒.  มานัต ประพฤติมานัต  ๖ ราตรี หรือ นับราตรี ๖ ราตรีแล้วสงฆ์สวดระงับอาบัติ
๓.  อัพภาน หรือ การเรียกเข้าหมู่ โดยพระสงฆ์  ๒๐  รูป สวดให้อัพภาน
๔.  ปฏิกัสสนา ประพฤติมูลายปฏิกัสสนา (ถ้าต้องอันตราบัติในระหว่างหรือการชักเข้าหาอาบัติเดิม)

ทั้ง  ๔  ขั้นตอนนี้รวมกันเข้าเรียกว่า “การประพฤติวุฎฐานวิธี” แปลว่าระเบียบหรือขั้นตอนปฏิบัติตน
เพื่อออกจากอาบัติ อันได้แก่ “สังฆาทิเสส”


ข้อดีคือเราได้ทำบุญ กับพระสงฆ์ ที่มาประพฤติ วัตรแสดงความบริสุทธิ์ เรียกว่ามาอยู่ใช้กรรม ที่ตนเองก่อไว้
ทั้งที่แน่ใจ และ ไม่แน่ใจ ซึ่งเป็นการละเมิดศีลวินัย จัดเป็นอาบัติที่มีโทษขั้นกลางครับ

 เช่น จับต้องกายหญิง เกี้ยวพาราสี (จีบแม่หญิง ) ชักสื่อชายหญิง ยังสงฆ์ให้แตกแยก เป็นต้น

   มี 13 ข้อ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ดีของพระที่ปฏิบัติล่วงผิดวินัย

 ที่นี้พระที่เข้าปริวาสกรรมในปัจจุบัน บางท่านก็ไม่มีอาบัติหรอก แต่อาศัยช่วงที่เปิดเข้าปริวาสนั้น ได้มาบำเพ็ญ
บุญโดยการภาวนา เข้ารับกา่รฝึกปฏิบัติ ท่องเที่ยวจาริก ในช่วงนี้ไปด้วย ดังนั้นในปัจจุบัน จึงระบุไม่ได้ว่ามี
ว่าพระภิกษุที่เข้าปริวาสนั้นต้องอาบัติ ( ละเมิดศีลข้อไหนใน 13 ข้อ มาบ้าง ) เพราะไม่มีการสอบถามเป็นข้อ
มีแต่การสอบว่า บริสุทธิ กับ ไม่บริสุทธิ เท่านั้น

76  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ทำบุญตักบาตรเป็งปุ๊ด เชียงใหม่ เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 01:53:18 am
คนชาวเหนือ มีความปรารถนา อยากทำบุญใส่บาตรพระอุปคุต เพราะมีตำนานเล่ากันสืบกันมาว่า พระอุปคุต
มักจะปลอมตัวมาเป็นสามเณรรับบาตรในเวลาเที่ยงคืน ในเดือน เพ็ญ เรียกว่า เป็งปุ๊ด การได้ใส่บาตรพระที่
เปี่ยมบารมี และมีการจำศีล ในมหาสมุทรอย่างพระอุปคุต ( พระบัวเข็ม ) นั้นมีพลานิสงค์สูง อย่างน้อย
ก็ได้สมบัติ ในปัจจุบัน แต่ส่วนตัวผมนั้นถือว่าเป็นฤกษ์ดีมงคลดี สืบสานวัฒนธรรม พ่อแม่ ตายาย ชางลานนา
ไว้ครับ และแสดงถึงความตั้งใจในการทำบุญครับ เพราะปกติเป็นเวลานอนนะครับเวลานี้ และ ก็เป็นโอกาสของ
คนทำงา่นที่จะได้ทำบุญใส่บาตรบ้างปกติ ไม่ค่้อยได้ทำเพราะไปทำงานตอนเช้า ได้พบหน้า ลูกหลาน ญาติมิตร
ที่เดินทางกันมา ในช่วงนี้

 ;)
77  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / Re: ทำบุญตักบาตรเป็งปุ๊ด เชียงใหม่ เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 01:48:27 am








ชาวพุทธถือว่าพระอุปคุตมาโปรดเมื่อเริ่มเข้าเวลาของวันพุธ คือตั้งแต่เวลา 00.00 น. ไปจนถึงก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น ผู้คนจะพากันใส่บาตเพื่อความเป็นศิริมงคล ผู้ที่จะมารับบิณฑบาตนี้จะเป็นเฉพาะสามเณรเท่านั้น ไม่มีพระภิกษุสงฆ์ เพราะสามเณรได้รับการอุปโหลกเป็นตัวแทนพระอุปคุต คติความเชื่อของชาวบ้านถือว่าพระอุปคุต บำเพ็ญตนอยู่ในเกษียณสมุทร เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า มีอิทธิฤทธิ์ปราบภัยมาร และป้องกันมิให้สิ่งชั่วร้ายมากล้ำกรายได้ ช่วยบันดาลให้สิ่งที่เลวร้ายได้บรรเทาเบาลง
78  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / Re: จับสึกแล้ว 2 รูป เณรแต่งหญิง เต้นโชว์หน้ากล้อง เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 01:02:14 am
ปัญหาถูกแก้ไม่ถูกจุด
 :banghead:
79  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / Re: ปริวาส เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 12:56:34 am
คำตอบย่อ ๆ อยู่ลิงก์นี้ครับ

http://www.madchima.org/forum/index.php?topic=2791.msg9765#msg9765

 :08:
80  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / Re: การกำหนดรู้ระงับดับความโกรธ อย่างนี้จัดเป็น วิปัสสนาหรือไม่ครับ เมื่อ: มกราคม 21, 2011, 12:19:41 am
ลองไปค้นดูในอรรถกถาก่อน ก็ได้นะครับ เดี๋ยวพรุ่งนี้ผมจะมาช่วยครับ
วันนี้ง่วงแล้ว

 :34: :bedtime2:
หน้า: 1 [2] 3