ตบะ คืออะไร.? ในพุทธศาสนาสูตรสำเร็จในชีวิต (40) : ตบะ (1)สูตรสำเร็จข้อที่ 31 ได้แก่ ตโป แปลกันว่า ตบะ แปลก็เหมือนไม่ได้แปล เพราะยังเป็นคำพระคำเจ้าอยู่ ถ้าจะแปลไทยเป็นไทยอีกทีก็น่าจะได้แก่ สิ่งขจัดความชั่วออกจากใจนั้น แหละครับ
ความชั่วของคนมีมากมายเรียกรวมๆ ว่า “กิเลส” (ความเศร้าหมองใจ) หรือ “อาสวะ” (สิ่งหมักดองใจ) ถึงจะมีมากมายอย่างไรก็สรุปลงได้ 3 ประเภท คือ กิเลสฝ่ายโลภ (คิดแต่จะได้จะเอาไม่รู้จักพอ) กิเลสฝ่ายโกรธ (ขุ่นเคือง เคียดแค้น พยาบาท) และกิเลสฝ่ายหลง (งมงาย หมกมุ่น ตกเป็นทาสของโลกและชีวิต)
พูดให้ทันสมัยก็ว่า สังกัดอยู่พรรคใหญ่ๆ 3 พรรค คือพรรคโลภ มี ฯพณฯ งกเป็นหัวหน้า พรรคโกรธ มี ฯพณฯ ขี้ยัวะ เป็นหัวหน้า และพรรคหลง มี ฯพณฯ ซื่อบื้อ เป็นหัวหน้า
สิ่งกำจัดโลภ โกรธ หลงให้หมดไปหรืออย่างน้อยก็เบาบางลงไป เรียกว่าตบะทั้งนั้น เช่น ขันติ (ความอดทน) ศีล (การรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย) การรักษาอุโบสถศีล การตั้งใจศึกษาเล่าเรียนพระพุทธวจนะแล้วปฏิบัติตาม การถือธุดงค์ การสำรวมอินทรีย์ (คือสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ) และวิริยะ (ความพากเพียร)
ทั้งหมดนี้พระอรรถกถาจารย์ท่านว่าเป็นตบะ เครื่องเผากิเลส หรือเครื่องขจัดกิเลสทั้งหมด
@@@@@@@
แต่ในที่นี้ดูเหมือนท่านจะมุ่งเอาความพากเพียรมากกว่าอื่น ความเพียรชนิดที่เรียกว่า “ปธานะ” (ความตั้งมั่นบากบั่นไม่ท้อถอย) 4 ลักษณะ คือ
- เพียรระวังมิให้ความชั่วน้อยใหญ่เกิดขึ้นมามีอิทธิพลเหนือจิตใจ,
- เพียร ลด ละ เลิก ความชั่วที่เกิดขึ้นแล้ว,
- เพียรบำเพ็ญความดีที่ยังไม่มี และ
- เพียรรักษาความดีที่มีอยู่แล้วให้คงอยู่และพัฒนาต่อไป
ใครมีความเพียรครบ 4 ประการนี้ รับประกันได้ว่า มีชีวิตประสบความสำเร็จก้าวหน้าแน่นอน
สรรพกิจย่อมเสร็จด้วย ความเพียร
ไป่เกลื่อนกล่นอาเกียรณ์ ทอดไว้
กิจหลายไป่เสถียร ด้วยสัก นึกฤๅ
นึกบ่ทำบ่ได้ เสร็จสิ้นสมประสงค์
พูดง่ายๆ อยากได้อะไรอยากให้อะไรสำเร็จก็ต้องพากเพียรทำเอาเอง มิใช่นั่งนึกเอา
@@@@@@@
พระพุทธเจ้าของเราบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอันได้แสนยาก ก็ด้วยความพากเพียรบำเพ็ญบารมีมาตลอดระยะเวลายาวนานจนนับไม่ถ้วน ท้ายที่สุดทรงตั้งปณิธานแน่วแน่ว่า ถ้าไม่บรรลุจะไม่ยอมลุกจากที่นั่ง แม้ว่าเลือดเนื้อจะเหือดแห้งไปเหลือแต่หนังหุ้มกระดูกก็ตาม แล้วก็ได้บรรลุจริงๆ นี่แหละครับผลแห่งความพากเพียร ไม่ท้อถอยเลิกรา
นิทานเล่าว่า สองคนเพื่อนกันได้รับพยากรณ์จากหมอดูว่า คนหนึ่งจะสบายนั่งกินนอนกิน อีกคนจะลำบาก คนที่หมอบอกว่าจะสบายก็เกิดความประมาท ไม่ทำงานทำการ นึกว่าเป็นยังไงๆ ดวงก็ดีอยู่แล้ว ในที่สุดก็ได้ “นั่งกินนอนกิน” จริงๆ คือกลายเป็นขอทานนั่งกินนอนกินข้างถนน
ส่วนอีกคนกลัวชีวิตจะลำบาก ตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินด้วยความพากเพียรจนกลายเป็นเศรษฐี ชีวิตเขาลำบากจริงตามหมอว่า เพราะต้องทำงานไม่ค่อยได้หยุด
ท่านล่ะครับจะเลือกชีวิตแบบไหน นั่งกินนอนกินแบบขอทาน หรือลำบากอย่างเศรษฐี
ที่มา : มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 4-10 ธันวาคม 2563
คอลัมน์ : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
ผู้เขียน : เสฐียรพงษ์ วรรณปก
เผยแพร่ : วันพฤหัสที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2563
ขอบคุณ :
https://www.matichonweekly.com/column/article_378176ขอบคุณภาพจาก :
https://www.manasikul.com/