ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 10
 61 
 เมื่อ: เมษายน 21, 2024, 06:10:17 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



วัดดังสมุทรสงครามไอเดียเก๋ให้ชาวบ้านนำขยะมาแลกไข่ไก่-ผักสด อย่างคึกคัก

คณะสงฆ์วัดอินทาราม แม่กลอง จ.สมุทรสงคราม ร่วมกับผู้นำท้องที่ท้องถิ่น จัดโครงการพลังบวรเปลี่ยนขยะแลกผักปันสุขพัฒนาสิ่งแวดล้อม โดยพระเมธีวัชรประชาทร ที่ปรึกษาเจ้าคณะภาค 15 เจ้าอาวาสวัดอินทาราม เป็นประธานบรรยายธรรมถึงอานิสงค์ของการให้

จากนั้นชาวบ้านที่มารับมอบได้ตั้งเป็น 2 แถว เดินเข้ารับผักปันสุขที่วัดอินทารามแจกทุกวันเสาร์ มาเป็นปีที่ 4 กันเป็นระเบียบเรียบร้อย

หลังจากชาวบ้านรับผักเรียบร้อยแล้ว สำหรับผู้ที่นำขวดน้ำ จะนำมาแลกไข่ในอัตราขวดใหญ่ 10 ใบแลกได้ไข่ 2 ฟอง ขวดธรรมดา 15 ใบ แลกไข่ได้ 2 ฟอง กระป๋องอลูมิเนียม 5 ใบแลกไข่ได้ 2 ฟอง โดยขวดที่ได้จะนำไปขาย เพื่อนำเงินมาซื้ออาหาร เลี้ยงไก่ในสวนพุทธเกษตร โคกหนองนาวัดอินทารามต่อไป โดยมีชาวบ้านนำขวดน้ำมาแลกไข่กันอย่างคึกคัก ในจำนวนนี้มีคุณยายปทุม มิร่อน อายุ 78 ปี ที่ขับรถจักรยานไฟฟ้าลากรถซาเล้งบรรทุกขวดน้ำจำนวน 405:ใบ ได้ไข่ไก่ได้ 27 ฟอง








คุณยายปทุม บอกว่า พอทราบว่าขวดน้ำแลกไข่ได้ก็ไปเก็บขวดน้ำตามสถานที่ต่างๆมาแลกไข่ซึ่งตนชอบมาก ดีกว่าเอาขวดน้ำไปขาย แต่นำมาแลกไข่ไก่ได้เยอะกว่า จึงไปเก็บชวดมาแลกไข่เป็นประจำ

พระเมธีวัชรประชาทร กล่าวว่า โครงการพลังบวรเปลี่ยนขยะแลกผักปันสุขพัฒนาสิ่งแวดล้อม เป็นการต่อยอดโครงการแจกผักที่วัดอินทารามดำเนินการมาตั้งแต่ ปี 2563 เป็นการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด19 มาถึงปัจจุบันเข้าสู่ปีที่ 4 แล้ว โดยวัดอินทารามได้เลี้ยงไก่ ในสวนพุทธเกษตร โคกหนองนาวัดอินทาราม มีไข่ไก่จำนวนมาก จึงนำมาเป็นวัตถุดิบในการสนับสนุนโครงการ

ซึ่งมีวัตถุประสงค์หลายประการ คือ อิ่มบุญที่ได้ฟังธรรมจากพระสงฆ์ อิ่มท้องคือได้รับผักหลากหลายชนิด และไข่ไก่ไปทำอาหาร รวมทั้งยังได้ช่วยกัน ลดปัญหาขยะล้นเมือง ส่งเสริมให้ประชาชนคัดแยกขยะ รักษาสิ่งแวดล้อม ในระยะแรกเริ่มจากการรับขวดน้ำ ขวดอลูมิเนียม ก่อน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเรียนรู้การคัดแยกขยะ จากนั้นจะเริ่มขยายเป็นลังกระดาษ และขยะรีไซเคิลอื่นๆ ต่อไป

อย่างไรก็ตามในอนาคต จะส่งเสริมให้ชาวบ้านปลูกผักกินเองในครัวเรือน โดยวัดอินทาราม ร่วมกับภาคราชการ จะสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ผัก ซึ่งจะติดตามการปลูกผัก หากประสบความสำเร็จ วัดอินทารามจะมีรางวัลให้ด้วย













ขอบคุณ : https://www.matichon.co.th/region/news_4535121
วันที่ 20 เมษายน 2567 - 18:50 น

 62 
 เมื่อ: เมษายน 21, 2024, 05:51:01 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



5 วิธีสร้างรายได้บนโลกออนไลน์ด้วย AI ในปี 2024

เผยแนวทางการสร้างรายได้ และอาชีพบนโลกออนไลน์ด้วย Generative AI ของคนรุ่นใหม่ในปี 2024 นี้

AI ปัญญาประดิษฐ์ หนึ่งในเทคโนโลยีที่เข้ามาปรับพฤติกรรมของมนุษย์ และพลิกโฉมการใช้ชีวิต และการทำงานของเราในเกือบทุกด้าน ตั้งแต่การสื่อสารทางการทำงาน และธุรกิจที่เป็นลายลักษณ์อักษร การดำเนินการทางการตลาด การบริการลูกค้า การเป็นเจ้าภาพการประชุม การพัฒนาผลิตภัณฑ์ และการดำเนินการวิจัยตลาด AI ที่ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามามีอิทธิพลอย่างแท้จริง

สิ่งที่น่าสนใจที่สุดเกี่ยวกับ Generative AI คือ มีการนำ AI มาใช้กันอย่างรวดเร็ว แถมยังมากไปด้วยศักยภาพ แม้ว่าจะมีความรู้ทางเทคโนโลยีที่จำกัดก็ตาม แต่ก็สามารถนำอาชีพมาประยุกต์ใช้กับ AI ได้อย่างลงตัว จนมีการพัฒนา และเพิ่มรายได้อย่างมีนัยสำคัญ

Generative AI มีความสามารถที่เกือบจะเหมือนมนุษย์ ที่ทำให้สามารถทำงานต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ในเวลาอันสั้นกว่าปกติ และ ลดระยะเวลาแถมยังประหยัดเงินได้ในขณะเดียวกัน




ปัจจุบันมี Generative AI ที่มีความสามารถที่หลากหลาย และเฉพาะตัว ทำให้เกิดการนำไปสร้างรายได้ เริ่มสิ่งใหม่ๆ เช่น การเริ่มต้นธุรกิจใหม่ทั้งหมดนั้นไม่เพียงเป็นไปได้เท่านั้น แต่ยังง่ายกว่าเดิมมากขึ้นอีกด้วยในโลกออนไลน์

AI ช่วยให้คุณสร้างรายได้ออนไลน์ได้ ที่ผู้คนนิยมใช้กันเลย คือ การใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ เพื่อรับรายได้ทางที่สอง เช่น หากคุณเป็นบล็อกเกอร์อยู่แล้ว ก็จะสามารถใช้เครื่องมือ AI เพื่อช่วยในสร้างไอเดียเนื้อหาใหม่ๆ และแนะนำวิธีการใหม่ๆ ในการขยายการเข้าถึงไปยังผู้ชมในวงกว้างขึ้น ปรับปรุง SEO และการจัดอันดับบน Google หรือ สามารถนำ AI ไปสร้างแหล่งรายได้ใหม่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการหาไอเดียแนวคิดการเริ่มต้นธุรกิจ และแผนธุรกิจที่ครบครัน

ทั้งหมดที่กล่าวมาเป็นเพียงแค่ประโยชน์เล็กๆ ของ Generative AI เท่านั้นซึ่งสามารถใช้นำมาต่อยอดเพื่อเป็นประโยชน์ในการสร้างรายได้ในอนาคตที่เพิ่มมากขึ้น ตามข้อดังกล่าวด้านล่างต่อไปนี้




    • สร้าง AI Chatbot

หนึ่งในทักษะสำคัญสำหรับการสร้างรายได้บนโลกออนไลน์ หากมีทักษะการเขียนโปรแกรม และการเขียนโค้ดที่ดี ก็อาจสามารถสร้างรายได้ผ่านความเชี่ยวชาญในการพัฒนาแชตบอตที่ออกแบบตามความต้องการสำหรับธุรกิจ เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการภายใน เช่น สำหรับการแบ่งปันความรู้สำหรับพนักงาน

นอกจากนี้สำหรับการขาย และการบริการลูกค้า ผู้ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ AI Chatbot นี้ก็สามารถเป็นตัวช่วยในการสรรหาคำต่างๆ เพื่อมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มยอดการขาย และกำไรได้

    • ใช้ AI เพื่อสร้างหลักสูตร

การพัฒนาหลักสูตรออนไลน์ เป็นวิธีที่ดีในการสร้างรายได้เป็นงานเสริม แต่จะดียิ่งขึ้นไปอีกเมื่อใช้ AI เพื่อช่วยเร่งกระบวนการหลักสูตรได้เช่นกัน โดยอัลกอริทึมต่างๆ จาก AI จะสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้ ในกระบวนการที่ต้องใช้เวลานานอย่างเช่น ขั้นตอนการวิจัยตลาดในการพัฒนาเนื้อหาของหลักสูตร

นอกจากนี้เครื่องมือ AI เชิงสร้างสรรค์ บางอย่างยังสามารถช่วยวางแผนโครงร่าง และโครงสร้างทั้งหมดของเนื้อหา พร้อมด้วยคำถามและกิจกรรมการอภิปราย และยังสามารถใช้เครื่องมือ AI เพื่อสร้างการประเมินหลักสูตรได้ภายในไม่กี่นาที โดยที่ไม่ต้องสร้างแบบทดสอบ และแบบทดสอบด้วยตนเอง




    • ใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์

ปัจจุบันการใช้ AI เพื่อประเมิน และพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของตัวเองเป็นสิ่งที่นิยมทำกันมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการสร้างรายได้โดยการนำ AI มาพัฒนา เพิ่มทางเลือก และแก้ไขสินค้า ให้ตรงความต้องการของตลาดเพื่อปิดการขาย นอกจากนี้ยังสามารถนำ AI ไปออกแบบผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับกลุ่มลูกค้า ธีมของสินค้า เป็นต้น

    • การให้คำปรึกษาด้าน AI

AI เป็นเทคโนโลยีนี้ค่อนข้างใหม่ จึงยังคงมีธุรกิจต่างๆ ที่กำลังต้องการการแนะนำ รู้ผู้ที่มีความรู้เพื่อนำมาบูรณาการ และนำปัญญาประดิษฐ์ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง หากตนเองมีประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญในการใช้ AI มาบ้าง ก็จะสามารถนำไปต่อยอด ที่นอกจากการทำการตลาดด้วย AI ของตัวเองแล้ว ยังสามารถนำความรู้ที่มีไปเป็นอาวุธเสริมในฐานะที่ปรึกษา AI ที่เข้าไปช่วยปรับแต่งบริการ และเพิ่มทางเลือกในการบูรณาการ ปรับใช้ AI ให้ตรงกับความต้องการเฉพาะของบริษัทนั้นๆ ได้ เพื่อเป็นหนึ่งในอาชีพเสริมที่ใข้ประสบการณ์ได้อีกทางหนึ่ง

    • ใช้ AI บนงานกราฟิก

หนึ่งในสิ่งที่ AI สามารถช่วยออกแบบไอเดีย หรือแนวคิดเกี่ยวกับเรื่องภาพ และกราฟิกในเวลาที่เร่งรีบ เพื่องานการตลาดดิจิทัล หรือโซเชียลมีเดีย AI นี้เองสามารถช่วยคุณออกแบบกราฟิกสำหรับโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์ และโฆษณาได้อย่างทันท่วงที นอกจากนี้หากทำงานเกี่ยวกับศิลปะ ก็สามารถนำมายึดเป็นแนวทาง และแรงบันดาลใจได้ไวมากยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ AI ลดกระบวนการรวบรวมข้อมูล ซึ่งจะทำให้ระยะการทำงานนั้นสั้นลง และเกิดกระบวนการสร้างสรรค์ที่ง่ายมากขึ้น เพื่อที่จะนำชิ้นงานต่างๆ ไปต่อยอด เพื่อสร้างกำไรได้ในลำดับถัดไป





Thank to : https://www.thairath.co.th/lifestyle/life/2779484
19 เม.ย. 2567 18:22 น. | ไลฟ์สไตล์ > ไลฟ์ > ไทยรัฐออนไลน์
ข้อมูล : forbes | ภาพ : istock

 63 
 เมื่อ: เมษายน 21, 2024, 05:26:54 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



5 เพชรคำสอน...2 มหาบุรุษ...1 ครูผู้ถ่อมตน.!

เชื่อ คิด และทำอย่างวิทยาศาสตร์ กับ 5 คำสอนดั่งเพชรในชีวิต จาก 2 มหาบุรุษ และ 1 ครูผู้ถ่อมตน

นับตั้งแต่การกำเนิดของมนุษย์ยุคใหม่โฮโมเซเปียนส์คนแรกๆ ตามทฤษฎีแม่อีฟ เมื่อประมาณสอง-สามแสนปีมาแล้วในแอฟริกา ถึงวันนี้ มนุษย์โฮโมเซเปียนส์กำเนิดขึ้นมาแล้วประมาณหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นเจ็ดพันล้านคน...

แต่มีมนุษย์เพียงไม่กี่คน ที่ได้รับการยกย่องเป็น “มหาบุรุษ” และก็มีมนุษย์อีกจำนวนหนึ่งมากกว่ามหาบุรุษ ที่ได้รับการยกย่องเป็น “ครู”  แต่ก็ลดจำนวนลงไปอีก เมื่อจำเพาะลงไปที่ “ครูผู้ถ่อมตน”

“เชื่อ คิด และทำอย่างวิทยาศาสตร์” วันนี้ ขอนำท่านผู้อ่านไปสัมผัสกับ “5 เพชรคำสอน” ของ “มหาบุรุษ” และ “ครูผู้ถ่อมตน” เพียง 3 คน...




2 คนเป็นมหาบุรุษ คือ พระเยซูคริสต์ และ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อีก 1 คนเป็นครู คือ ขงจื๊อ

เชื่อว่าหลายท่านที่เห็นชื่อ 2 มหาบุรุษ และ 1 ครูผู้ถ่อมตน ก็จะนึกถึงเรื่องของศาสนาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ซึ่งส่วนหนึ่งก็ไม่ผิด เพราะบุคคลทั้งสามที่ผู้เขียนยกมากล่าวถึง ทั้งพระเยซูคริสต์และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นศาสดาของศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธ ส่วนขงจื๊อก็ได้รับการกล่าวถึงในฐานะเป็นศาสดาของศาสนาขงจื๊อ...

ผู้เขียนจึงขอรีบเรียนท่านผู้อ่านว่า เรื่องของเราวันนี้ มิใช่เรื่องการลงลึกถึงหลักศาสนาอย่างเป็นกิจจะลักษณะ เพราะผู้เขียนไม่มีความรู้มากพอที่จะให้กับท่านผู้อ่านได้...แต่ที่เป็นความตั้งใจของผู้เขียน คือ แบ่งปันสิ่งที่ผู้เขียนได้เก็บเกี่ยว และได้อาศัยเป็นเข็มทิศวิเศษนำทางชีวิตตลอดมา

@@@@@@@

2 เพชรคำสอนของพระเยซูคริสต์

ผู้เขียนมิใช่ชาวคริสต์โดยกำเนิดและการประกาศตน แต่ผู้เขียนโชคดีที่มีเพื่อนชาวคริสต์หลายคน ทั้งที่เป็นชาวคริสต์ตั้งแต่เกิด คนไทยที่หันมานับถือศาสนาคริสต์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในช่วงเวลาประมาณเจ็ดปีครึ่ง (ระหว่างปี ค.ศ. 1962-1970) ที่มหาวิทยาลัยโมนาช กรุงเมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย และประมาณสี่เดือนเศษ (ระหว่างเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1973-มกราคม ค.ศ. 1974) ที่มหาวิทยาลัยอุปซาลา (Uppsala University) เมืองอุปซาลา ประเทศสวีเดน ซึ่งทำให้ผู้เขียนได้มีโอกาสทั้งเรียนรู้ และแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดกับนักศึกษา, อาจารย์ และบาทหลวง ลงลึกในเรื่องของศาสนาคริสต์ (และเรื่องของศาสนาพุทธเปรียบเทียบกับศาสนาคริสต์และศาสนาอื่นๆ ของโลก)

คริสต์ศักราช หรือ ค.ศ. เริ่มต้นจากปีประสูติของพระเยซูคริสต์ ถึงปัจจุบันก็เป็น ค.ศ. 2024 แต่รากเหง้าของศาสนาคริสต์ย้อนหลังไปถึงศาสนายิวกับผู้นำคนสำคัญ ดังเช่น โมเสส ผู้ได้รับบัญญัติ 10 ประการ สลักบนแผ่นหินสองแผ่น จากพระเจ้าบนเขาซีนาย เมื่อประมาณ 1,440 ปีก่อน ค.ศ. เพื่อให้ “ลูกหลานอิสราเอล” ยึดปฏิบัติให้พ้นวิถีแห่งบาป

น่าสนใจว่า ในบัญญัติ 10 ประการนั้น มีบัญญัติ 6 ข้อที่ตรงกับ “ศีล 5” ของศาสนาพุทธ คือ :-
    *ห้ามฆ่าคน
    *ห้ามผิดประเวณี (แยกละเอียดเป็น 2 ใน 10 ข้อ)
    *ห้ามลักขโมย
    *ห้ามพูดเท็จใส่ร้ายผู้อื่น
    *ห้ามโลภในทรัพย์สินของผู้อื่น
แต่ที่มีอยู่ในศีล 5 โดยไม่มีในบัญญัติ 10 ประการ คือ ศีลข้อ 5 : ห้ามดื่มสุรายาเมา

ศาสนาคริสต์ในปัจจุบัน เป็นศาสนาที่มีผู้นับถือมากเป็นอันดับหนึ่งของโลก คือ ประมาณ 31% ตามด้วยอันดับสอง ศาสนาอิสลาม ประมาณ 25% กลุ่มผู้ไม่ประกาศตนว่านับถือศาสนาอะไร ประมาณ 16% ศาสนาฮินดู ประมาณ 15% และศาสนาพุทธเป็นอันดับห้า มีผู้นับถือทั่วโลกประมาณ 7%

ถึงแม้ศาสนาคริสต์ในปัจจุบัน จะแบ่งเป็นนิกายต่างๆ หลายนิกาย แต่หลักใหญ่ของศาสนาคริสต์ล้วนตรงกัน กล่าวคือ ศาสนาคริสต์เป็นศาสนาแห่งความรัก...

ความรักที่ยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าเฉพาะความรักระหว่างชายกับหญิง และเพชรเม็ดงามแห่งคำสอนของพระเยซูคริสต์ ที่ผู้เขียนตกผลึกจากการเรียนรู้กับเพื่อนๆช าวคริสต์ ก็เป็นคำสอนเกี่ยวกับความรัก





เพชรเม็ดที่หนึ่ง : พระเจ้าจะอยู่กับทุกคนที่เชื่อในพระองค์

เพชรเม็ดแรกแห่งคำสอนของพระเยซูคริสต์นี้ ผู้เขียนได้มีโอกาสสัมผัสมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก (ที่โคราช เมืองย่าโม) เพราะชอบไปร่วมในกิจกรรมเผยแผ่ศาสนาคริสต์ที่โบสถ์ศาสนาคริสต์ ที่จัดบ่อยหรือแทบเป็นประจำในวันอาทิตย์ โดยมีเด็กๆ และผู้ปกครอง รวมทั้งคนวัยหนุ่มสาวไปร่วมจำนวนมาก

ที่ผู้เขียนชอบไป มิใช่เป็นเพราะสนใจอยากเปลี่ยนไปนับถือศาสนาคริสต์ แต่เป็นเพราะบรรยากาศที่สนุกสนาน มีสีสัน มีการร้องเพลง มีการเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ โดยไม่มีการชักชวนให้นับถือศาสนาคริสต์อย่างตรงๆ

ผู้เขียนชอบฟังเรื่องราวที่เหมือนกับ “นิทาน” อยู่แล้ว และในงานก็มี “ของกินมากมาย” แล้วก็ที่สำคัญและที่ผู้เขียนชอบมากเป็นพิเศษก็คือ การ์ดเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ แบบเดียวกับการ์ดคริสต์มาส เป็นภาพเขียนสวยงาม

จากการไปร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับศาสนาคริสต์ตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก นอกเหนือไปจากเรื่องราวเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ส่วนหนึ่งที่ผู้เขียนรู้สึกติดอยู่ในสมองตั้งแต่นั้นมาก็คือ คำสอน...แบบเป็นคำกล่าวเล่าเรื่อง...ว่า พระเจ้าศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าอยู่ทุกหนแห่ง และอยู่กับทุกคนที่เชื่อในพระเจ้า

อย่างไรก็ตาม คำสอนนี้สำหรับผู้เขียนก็ไม่ “ติดใจ” อะไรมากมายนักในช่วงวัยเด็ก และเป็นวัยรุ่น เพราะคิดว่าก็เป็นเพียงวิธีการชักชวนให้คนนับถือพระเจ้าของศาสนาคริสต์

ต่อๆ มา เมื่อผู้เขียนได้มีโอกาสศึกษาศาสนาคริสต์อย่างจริงจังมากขึ้น จนกระทั่งถึงวันนี้ ผู้เขียนจึงคิดว่าพอจะเข้าใจและนำมาแบ่งปันกับท่านผู้อ่านในวันนี้

ที่มาจริงๆ ของคำสอนนี้ เป็นหลักสำคัญของศาสนาคริสต์ ซึ่งกล่าวถึงความหมายและความสำคัญของ “พระเจ้า” ในฐานะเป็นพระเจ้าองค์เดียว จากพระเจ้า (พระบิดา), พระบุตร (พระเยซู) และพระจิต ตามหลักตรีเอกานุภาพ หรือ Trinity ของศาสนาคริสต์ (แตกต่างจากเทพเจ้าสามพระองค์ หรือ Trinity ของศาสนาพราหมณ์ หรือศาสนาฮินดู) ซึ่งรวมเป็น “พระเจ้าองค์เดียว” ของศาสนาคริสต์ และเป็น “พระเจ้าองค์เดียว” ที่รัก “ทุกคน” และจะอยู่กับ “ทุกคน” ที่เชื่อและรักพระองค์

ความวิเศษของคำสอนนี้สำหรับผู้เขียน คือ หลักคิดที่ “ทรงพลัง” อย่างที่สุดของมนุษย์ทุกคน ที่จะช่วยให้สามารถดำรงชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรี และเผชิญกับปัญหาความทุกข์ยากทุกอย่างได้อย่างไม่ต้องโดดเดี่ยว เพียงขอให้ยึดมั่นหลักการดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง ถูกทาง ไม่ทุจริต ไม่คิดร้ายใคร เพราะพระเจ้าจะ “ทราบ” และจะช่วยให้ผ่านความทุกข์ยากทุกอย่างได้อย่างมีศักดิ์ศรี ในขณะเดียวกัน คนที่คิดร้าย คิดในทางทุจริต พระเจ้าก็จะทราบและจะถูกลงโทษเสมอ

อย่างเป็นรูปธรรม ตามความคิดของผู้เขียน คำสอนนี้บอกว่า “ความลับไม่มีในโลก ทุกคนรู้ตัวดีเสมอว่ากำลังคิด และทำอะไรอยู่ ยกเว้นคนเสียสติ หรือคนบ้า”





เพชรเม็ดที่สอง : ผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มอีกข้างให้เขาด้วย

เพชรเม็ดที่สองที่เป็นคำสอนของมหาบุรุษคือ พระเยซูคริสต์ มีที่มาชัดเจน เป็นพระวรสารบันทึกโดยมัทธิว (ข้อที่ 39 บทที่ 5 คือ มัทธิว 5:39) หนึ่งใน 12 สาวกผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ และเป็นหนึ่งในสี่ของผู้ที่พระเยซูคริสต์ทรงเลือกให้เป็นผู้บันทึกคำสอนของพระองค์

มัทธิวเป็นชาวยิว ทำงานเป็นผู้เก็บภาษีชาวยิว ส่งให้จักรวรรดิโรมันมาก่อน ทำให้เขาเป็นที่เกลียดชังของชนชาวยิว วันหนึ่ง พระเยซูคริสต์ทรงเดินผ่านมา และก็ทรงเรียกมัทธิวให้ตามพระองค์ไป มัทธิวก็ลุกขึ้นออกจากโต๊ะที่กำลังทำงานเก็บภาษีอยู่ แล้วก็ตามพระเยซูคริสต์ไป ทำให้ชาวยิวไม่พอใจพระเยซูคริสต์ด้วย

คำสอนของพระเยซูคริสต์ข้อนี้ ผู้เขียนก็ได้ยินมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็ก จากการเข้าร่วมกิจกรรมวันอาทิตย์ที่โบสถ์คริสต์ แต่ก็ไม่ “ลึกซึ้ง” อะไรเลย จริงๆ แล้ว กลับรู้สึกหัวเราะ หึหึ ในใจ...

จนกระทั่งเมื่อเป็นผู้ใหญ่ ใช้ชีวิตและทำงานอย่างเต็มตัว ได้พบผู้คนหลากหลายอุปนิสัยและพฤติกรรม ความเป็นเพชรของคำสอนที่สองนี้จึงเด่นชัดขึ้น...

และมาตกผลึกเป็นหนึ่งใน “12 ข้อคิดเพื่อร่างกายกับจิตใจ” เป็นบทสรุปสุดท้าย ข้อที่ 8 (เมตตาให้คนคิดร้าย) ในหนังสือ “ผ่ามิติจินตนาการ” ของผู้เขียน (ผ่ามิติจินตนาการ, ชัยวัฒน์ คุประตกุล, พาบุญมา, 2553 : รางวัลหนังสือดีเด่นประเภทสารคดีประจำปี พ.ศ. 2554 จากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่รู้จักเรียกกันเป็น รางวัลหนังสืองานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ)

คำสอนของพระเยซูคริสต์ เพชรเม็ดที่สองนี้ สะท้อนความเป็น “ศาสนาแห่งความรัก” ของศาสนาคริสต์อย่างลึกซึ้ง และเพราะ “เมื่อเราถูกยั่วยุให้โกรธ ถ้าเราตอบโต้อย่าง...ตาต่อตา...ฟันต่อฟัน...ความเป็นสันติแห่งชีวิตก็จะหายไป แต่ถ้าเราตอบโต้ด้วย...ความรัก...ความมีเมตตา...การให้อภัย สมองและชีวิตของเราก็จะปลอดโปร่ง สามารถมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างแท้จริงได้"

@@@@@@@

2 เพชรคำสอนของพระพุทธเจ้า

ผู้เขียนก็เช่นเดียวกับชาวพุทธทุกคน ที่เห็นเพชรมากมายในคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่สำหรับการค้นหาเพชรคำสอนของพระพุทธเจ้าเพียงสองคำสอน ผู้เขียนยอมรับว่า ก็เป็นความมหัศจรรย์ที่เกิดกับผู้เขียนเอง ที่มองเห็นเพชรงามที่สุดสองเม็ดในสายตาของผู้เขียนอย่างไม่ยากเย็นเลย

ทำไม.? เพชรคำสอนสองเม็ดขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ผู้เขียนได้พบ คืออะไร.?





เพชรเม็ดที่สาม : ตน...เป็นที่พึ่งแห่งตน

ผู้เขียนพบเพชรเม็ดที่สามเร็วพอๆ กับที่ได้ยินได้ฟังเรื่องของเพชรเม็ดที่หนึ่งและที่สอง แต่ไม่ต้องรอนาน จึงเห็นคุณค่าของเพชรเม็ดที่สาม

จริงๆ แล้ว ที่มาของการพบเพชรเม็ดที่สาม คือ การที่ผู้เขียนไม่สามารถจะหาซื้อหนังสือได้ตามใจชอบในช่วงสมัยเป็นเด็ก (ดู “ตามล่า...หาขุมทรัพย์ทางปัญญา”, เชื่อ คิด และทำอย่างวิทยาศาสตร์, ไทยรัฐออนไลน์, วันเสาร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2566) ผู้เขียนจึง “อ่านแหลก” หนังสือในห้องสมุดและที่อื่นๆ รวมทั้งร้านกาแฟ และ “จดแหลก” ข้อมูลความรู้และความคิดดีๆ ของปราชญ์ และนักคิดชั้นยอดของโลก

เพชรเม็ดที่สามเป็นเพชรที่ชาวพุทธทุกคนรู้จักกันดี เพราะเป็นพุทธวจน “อัตตา หิ อัตตโน นาโถ” แปลว่า “ตนแล เป็นที่พึ่งแห่งตน” ที่คุ้นเคยกันดี แต่สำหรับผู้เขียน จำได้ว่า ตั้งแต่วันแรกๆ ที่ได้ “พบ” และ “จด” พุทธวจนนี้ ก็รู้สึกว่าเป็นคำสอนที่ยิ่งใหญ่ ที่มีคุณค่า และผู้เขียนก็ได้พยายาม “ยึด” ตามพุทธวจนนี้...

และยิ่งเวลาผ่านไป ก็ยิ่งรู้สึกว่าเป็น “เข็มทิศวิเศษ” นำทางชีวิต ให้สามารถมีชีวิตอย่างมีศักดิ์ศรีและภาคภูมิใจได้จริง

อย่างแน่นอน การดำเนินชีวิตของมนุษย์แต่ละคน ล้วนต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่น การยึดมั่นในพุทธวจน อัตตา หิ อัตตโน นาโถ มิได้หมายความว่า มนุษย์ทุกคนจะสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งคนอื่นเลย เพราะอย่างน้อย ทุกคนก็ต้องพึ่งพาคุณพ่อคุณแม่ตั้งแต่เกิด จนกระทั่งถึงวันเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ต้อง “รับผิดชอบตนเอง” เต็มที่...

แต่หมายความว่า ต้องมุ่งดำเนินชีวิตโดย “พึ่งตนเอง” เป็นหลัก ไม่แสวงหาผลประโยชน์ ความก้าวหน้าของหน้าที่การงาน โดยหวังพึ่งคนอื่น





เพชรเม็ดที่สี่ : การเป็นหนี้ เป็นทุกข์อย่างยิ่ง

เพชรเม็ดที่สี่ที่ผู้เขียนนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านวันนี้ ก็คล้ายกับเพชรเม็ดที่สาม คือ เป็นพุทธวจน “อิณา ทานัง ทุกขัง โลเก” แปลตรงๆ คือ “การเป็นหนี้  เป็นทุกข์ในโลก” ที่ผู้เขียน “จด” จนขึ้นใจเป็น “การเป็นหนี้ เป็นทุกข์อย่างยิ่ง”

ที่มาของการค้นพบเพชรเม็ดนี้ สำหรับผู้เขียน ก็คล้ายกับกรณีของเพชรเม็ดที่สาม คือ พบตั้งแต่วัยเด็กที่ “อ่านแหลก” และ “จดแหลก” แล้วก็สะดุด (ชอบ) เมื่อพบพุทธวจนนี้

แต่ที่แตกต่างไปจากเพชรเม็ดที่สาม คือ ในขณะที่ความตระหนักในความเป็นเพชรของเม็ดที่สามค่อยๆ ชัดเจนขึ้น ความเป็นเพชรของเม็ดที่สี่ “สว่างวาบ” ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว และก็ไม่เคยลดความสว่างเลยถึงทุกวันนี้

อย่างตรงๆ เพชรเม็ดที่สี่ เป็นคำสอนที่ผู้เขียนยึดอย่างจริงจัง ตั้งแต่เด็ก...จนกระทั่งถึงทุกวันนี้ อย่างไร.? เช่น :-
    *ไม่มี (เงิน) ก็ไม่ซื้อ (ทุกอย่าง)
    *ไม่มี (เงิน) ก็ไม่กิน (แล้วอยู่ได้หรือ? ผู้เขียนตอบได้เลยว่า อยู่ได้!)
    *ไม่อยากได้ อยากมี สิ่งที่ไม่ควรได้ ไม่ควรมี
    *ไม่รับของขวัญจากชาวกรีก (ดู “ระวัง...ของขวัญจากชาวกรีก!”, เชื่อ คิด และทำอย่างวิทยาศาสตร์, ไทยรัฐออนไลน์, วันเสาร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2566)

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยอมรับว่า คำสอนอันเป็นเพชรเม็ดที่สี่นี้ ก็มีขีดจำกัดสำหรับการใช้ประโยชน์อย่างน้อยหนึ่งกรณี คือ นักธุรกิจ รวมทั้งนักลงทุน เพราะตามหลักธุรกิจและการลงทุน ย่อมจำเป็นจะต้องมีการระดมทุนหรือหาเงินทุน ซึ่งโดยปกติก็จำเป็นจะต้อง “กู้” (เป็นหนี้) ธนาคาร...

แต่สำหรับหลายอาชีพ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการ ที่ทุ่มเทให้กับงานราชการอย่างสุจริต ถึงแม้จะไม่ร่ำรวยเป็นระดับเศรษฐีร้อยล้าน...พันล้าน...ได้ แต่ถ้าใช้ชีวิตอย่างเหมาะสม ดังเช่นการยึดมั่นในคำสอนที่เป็นเพชรเม็ดที่สี่นี้ ผู้เขียนก็บอกอย่างมั่นใจได้ว่า...“จะไม่ร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี แต่ก็จะไม่จน!”





เพชรเม็ดที่ห้า : ปัญญาเหมือนน้ำของขงจื๊อ

ขงจื๊อ เป็นหนึ่งในสองของ “ครู” หรือ “ปราชญ์” คนสำคัญของจีน คู่กับเหลาจื๊อ เป็น “เจ้า” ลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋าตามลำดับ

ขงจื๊อ มีประวัติชีวิตและคำสอนบันทึกชัดเจน ลัทธิหรือศาสนาขงจื๊อ เน้นความสัมพันธ์อันดีงามของทุกภาคส่วนของสังคม (ชนชั้นผู้ปกครอง, ประชาชน, ...) ที่จะต้องอยู่บนพื้นฐานของความยุติธรรม จารีตประเพณีอันดีงาม และการเคารพนับถือบรรพบุรุษ...

ส่วนเหลาจื๊อ มีประวัติที่บันทึกไว้จริงๆ น้อย แต่ชัดเจนในหลักของลัทธิหรือศาสนาเต๋า เน้นความสำคัญของการดำรงชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติ ตาม “วิถีแห่งธรรมชาติ” (เต๋า หรือ Tao เป็นภาษาจีน แปลว่า วิถี หรือ way)

ขงจื๊อกับเหลาจื๊อ มีชีวิตร่วมสมัยกับองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยขงจื๊อเกิด 8 ปีก่อนการเสด็จสู่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ส่วนเหลาจื๊อมีอายุมากกว่าขงจื้อประมาณ 50 ปี

ขงจื๊อและเหลาจื๊อพบกันหนึ่งครั้ง โดยขงจื๊อเป็นฝ่ายเดินทางไปหาเหลาจื๊อ ขณะที่ขงจื๊อมีอายุประมาณ 35 ปี และเป็นอาจารย์ที่เริ่มมีชื่อเสียง มีสำนัก มีลูกศิษย์มากมาย

เพชรเม็ดที่ห้าที่ผู้เขียนคัดมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านเป็นคำตอบของขงจื๊อที่ตอบลูกศิษย์คนหนึ่ง ที่ถามว่า “อาจารย์เป็นครูมีชื่อเสียง มีความรู้ที่คนทั่วแผ่นดินยกย่อง แล้วทำไมอาจารย์จึงต้องเดินทางไกลไปหาเหลาจื๊ออีก?”

คำตอบของขงจื๊อคือ “สายน้ำที่ใสสะอาดก็เพราะน้ำไม่เคยหยุดไหล ถ้าน้ำหยุดนิ่ง น้ำใสก็จะกลายเป็นน้ำขุ่น นานๆ เข้าก็จะเน่าเสีย ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่ว”

เป็นคำตอบที่แสดงอย่างชัดเจนของคนมีความรู้ระดับคนเป็นครู เป็นปราชญ์ มีลูกศิษย์มากมาย แต่ก็ยัง “ถ่อมตน” ในความรู้ที่ตนมี และยังต้องแสวงหาความรู้ใหม่อยู่เสมอ

สำหรับผู้เขียน คำตอบของขงจื๊อต่อลูกศิษย์เป็นคำตอบที่ “เตือนสติ” ของผู้ใฝ่รู้ว่า ความรู้ไม่มีหยุดนิ่ง ถ้าไม่มุ่งหาความรู้ใหม่เสมอ ความรู้ที่มีอยู่ก็จะไร้ประโยชน์ เหมือนน้ำนิ่งที่กลายเป็นน้ำเสีย!

@@@@@@@

5 เพชรคำสอนของมหาบุรุษและครูผู้ถ่อมตนที่ผู้เขียนนำมาเล่าสู่ท่านผู้อ่านวันนี้ มีเพชรเม็ดใดตรงกับของท่านผู้อ่านบ้างครับ...และตัวท่านผู้อ่านเอง มีเพชรคำสอนของ “ใคร” “อย่างไร” บ้างครับ?





ขอขอบคุณ :-
บทความโดย : ชัยวัฒน์ คุประตกุล  นักสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ , เชื่อ คิดและทำ อย่างวิทยาศาสตร์
URL : https://www.thairath.co.th/scoop/world/2779139
20 เม.ย. 2567 09:03 น. | สกู๊ปไทยรัฐ > WORLD > ไทยรัฐออนไลน์

 64 
 เมื่อ: เมษายน 20, 2024, 07:36:59 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 65 
 เมื่อ: เมษายน 20, 2024, 04:27:23 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 66 
 เมื่อ: เมษายน 20, 2024, 01:57:31 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 67 
 เมื่อ: เมษายน 20, 2024, 01:33:44 pm 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้ 

 68 
 เมื่อ: เมษายน 20, 2024, 11:18:00 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 69 
 เมื่อ: เมษายน 20, 2024, 09:37:04 am 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้ 

 70 
 เมื่อ: เมษายน 20, 2024, 08:29:48 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



การสวดมนต์ไหว้พระ

การสวดมนต์ไหว้พระเป็นการสร้างมนต์ชีวิตไว้ประจําตัว เป็นการดํารงชีวิตอยู่อย่างไม่ประมาทและสร้างพลังจิต ยังความมั่นคงให้เกิดขึ้นกับตนเองในการดํารงชีวิตประจําวันให้มีสติระลึกอยู่เสมอในการที่จะประพฤติชอบ ในกรอบของศีลธรรม อันเป็นการนําความสุขความเจริญมาสู่ตนเอง เป็นชีวิต ที่มั่นคง และจักส่งผลให้เกิดความมั่นคงทั้งต่อตนเองและประเทศชาติ

ประเภทของการสวดมนต์

การสวดมนต์มีอยู่ ๒ แบบ คือ

    ๑. การสวดมนต์เป็นบทๆ เป็นคําๆ เรียกว่า แบบบทภาณะ เช่น แบบที่พระสงฆ์สวดกันอยู่ทั่วไปในวัดหรือในงานพิธีต่าง ๆ

    ๒. การสวดแบบใช้เสียงตามทํานองของบทประพันธ์ ฉันทลักษณ์ต่างๆ เรียกว่า แบบสรภาณะ เช่น แบบที่พระสงฆ์สวดในงานพิธีรับเทศน์หรือ ในเทศกาลพิเศษ เช่น การสวดในวันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา เป็นต้น วิธีสวดแบบ สรภาณะ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “สรภัญญะ” (อ่านว่า สะ-ระ-พัน-ยะ) และ ต่อมาได้วิวัฒนาการให้พระสงฆ์เทศน์เป็นทํานองแหล่ขึ้น ในบททํานองร่ายยาว เช่น ในเรื่องพระเวสสันดรชาดกจนถึงปัจจุบัน

    การสวดมนต์ทํานองสรภัญญะด้วยภาษาบาลี มีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล ส่วนการสวดมนต์สรรเสริญพระรัตนตรัย ทํานองสรภัญญะ ที่เป็นภาษาไทย สันนิษฐานว่า น่าจะมีขึ้นประมาณรัชกาลที่ ๕ ด้วยเหตุผลว่า คําประพันธ์ สวดมนต์สรรเสริญพระรัตนตรัยที่เป็นภาษาไทย (คือ องค์ใดพระสัมพุทธ ฯลฯ ญ ภาพนั้นนิรันดร, ธรรมะคือคุณากร ฯลฯ ด้วยจิตและกายวาจา และสงฆ์ใด สาวกศาสดา ฯลฯ จึงดับและกลับเสื่อมสูญ) ที่เป็นบทฉันทลักษณ์ต่างๆ ซึ่งใช้สวดในปัจจุบันนี้ พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) เป็นผู้ประพันธ์


อานิสงส์ของการสวดมนต์

    ๑. ขจัดนิวรณ์ อันเป็นอุปสรรคต่อการทําความดี ก่อให้เกิด ความสดชื่นแจ่มใส จิตใจเบิกบาน
    ๒. ได้ศึกษาคําสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตามหลักไตรสิกขา เพราะในขณะสวดมนต์มีกาย วาจาปกติ (มีศีล) มีใจจดจ่อแน่วแน่อยู่กับ บทสวดมนต์ (มีสมาธิ) ได้รู้คุณความดีของพระรัตนตรัยตามคําแปลของบทสวด (มีปัญญา)
    ๓. ตัดรากเหง้าแห่งความเห็นแก่ตัว เพราะขณะสวดมนต์จิตจดจ่อ
อยู่ที่บทสวด ไม่คิดถึงตัวเอง ความโลภ ความโกรธ ความหลง จึงไม่ได้โอกาส เข้ามาแทรกในจิตได้
    ๔. จิตไม่ขุ่นมัว เกิดสมาธิมั่นคง เพราะขณะสวดมนต์ผู้สวดจะต้อง สํารวมใจแน่วแน่ ด้วยเกรงว่าจะสวดผิด จิตจึงเป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิ ความสงบเยือกเย็นย่อมเกิดขึ้น
    ๕. ได้เสริมส่งปัญญาบารมี การสวดมนต์ได้รู้คําแปล รู้ความหมาย ย่อมทําให้ผู้สวดได้ปัญญาบารมี ทําให้คําสอนมั่นคง ไม่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม
    6. สืบสานความดีสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา เพราะการสวดมนต์ ผู้สวดย่อมได้รู้แนวทางปฏิบัติในการดําเนินชีวิตที่ดี เมื่อปฏิบัติตามย่อมได้รับผล เป็นความสะอาด สว่าง สงบของจิตใจ นั่นคือพระพุทธศาสนามั่นคงอยู่กับผู้สวดมนต์ และถือได้ว่าได้ปฏิบัติบูชาสืบต่ออายุพระพุทธศาสนาให้ยืนยาวต่อไปโดยแท้จริง
    ๗. ทําหน้าที่ของอุบาสกอุบาสิกาให้สมบูรณ์ ผู้สวดมนต์ย่อมได้ชื่อว่า ได้ทําหน้าที่ของอุบาสกอุบาสิกาให้สมบูรณ์ เป็นแบบอย่างให้ผู้อื่นปฏิบัติตาม เกิดความสามัคคีในสังคมและหมู่คณะ



ขอบคุณที่มา : หนังสือแบบฝึกสวดมนต์หมู่สรรเสริญพระรัตนตรัย



 :25: :25: :25:

สรภัญญะ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สรภัญญะ (คำอ่านภาษาไทย: /สะระพันยะ/ หรือ /สอระพันยะ/) คือ ทำนองสำหรับสวดฉันท์ เป็นทำนองแบบสังโยค คือ สวดเป็นจังหวะหยุดตามรูปประโยคฉันทลักษณ์ มักใช้สวดบูชาพระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนา

การสวดฉันท์ทำนองสรภัญญะมีมานานตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ก่อนหน้านั้นนิยมสวดฉันท์ภาษาบาลี มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และผู้สวดส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์ ทำนองสรภัญญะไม่แพร่หลายนัก ต่อมา พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ป.ธ.8 องคมนตรีและเจ้ากรมพระอาลักษณ์ในรัชกาลที่ 5 แปลบทสรรเสริญคุณต่าง ๆ เป็นฉันท์ภาษาไทย เรียก "คำนมัสการคุณานุคุณ" มี 5 ตอน คือ

    - บทสรรเสริญพระพุทธคุณ
    - บทสรรเสริญพระธรรมคุณ
    - บทสรรเสริญพระสังฆคุณ
    - บทสรรเสริญมาตาปิตุคุณ และ
    - บทสรรเสริญอาจาริยคุณ ตามลำดับ

บทประพันธ์นี้ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ใช้สวดกันโดยทั่วไป และเนื่องจากบาทแรกเริ่มว่า "องค์ใดพระสัมพุทธ" จึงมักเรียว่า "บทสวดองค์ใดพระสัมพุทธ"

นอกจากบทสรรเสริญพระรัตนตรัยแล้ว ทำนองสรภัญญะยังใช้สวดคาถาบทอื่นอีก เช่น บทแปลคาถาพาหุงซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเริ่มว่า "ปางเมื่อพระองค์ปรมพุทธ"




ขอบคุณที่มา : https://th.wikipedia.org/wiki/สรภัญญะ


.



ขับร้องสรภัญญะ

ความเป็นมา (ภูมิหลัง/ความเชื่อ)

สรภัญญ์ คือ ทำนองสำหรับสวดฉันท์ เป็นทำนองแบบสังโยค คือ สวดเป็นจังหวะหยุดตามรูปประโยคฉันทลักษณ์ มักใช้สวดบูชาพระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนา การสวดฉันท์ทำนองสรภัญญะมีมานานตั้งแต่สมัยรัชการที่ ๔ ก่อนหน้านั้นนิยมสวดฉันท์ภาษาบาลี มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา และผู้สวดส่วนใหญ่เป็นพระสงฆ์ทำนองสรภัญญะไม่แพร่หลายนัก

ต่อมา พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) ป.ธ.๘ องคมนตรีและเจ้ากรมพระอาลักษณ์ในรัชการที่ ๕ แปลบทสรรเสริญคุณต่าง ๆ เป็นฉันท์ภาษาไทย เรียก "คำนมัสการคุณานุคุณ" มี ๕ ตอน คือ บทสรรเสริญพระพุทธคุณ บทสรรเสริญพระธรรมคุณ บทสรรเสริญพระสังฆคุณ บทสรรเสริญมาตาปิตุคุณ และบทสรรเสริญอาจาริยคุณตามลำดับ บทประพันธ์นี้ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน ใช้สวดกันโดยทั่วกัน และเนื่องจากบาทแรกเริ่มว่า "องค์ใดพระสัมพุทธ" จึงมักเรียกว่า บทสวดองค์ใดพระสัมพุทธ"

ประวัติสรภัญญ์ เป็นทำนองสวดทำนองหนึ่ง มีจุดกำเนิดมาจากการสวดทางพุทธศาสนา เป็นทำนองเทศน์ในตอนแรก เทศน์โปรดพุทธศาสนิกชน ต่อมาจึงฝึกให้ฆารวาสร้อง การร้องในภาคอีสาน มีกันแพร่หลายในเทศกาลเข้าพรรษา ซึ่งเป็นช่วงที่ชาวบ้านว่างจากการทำงาน และรอช่วงการเก็บเกี่ยวมาถึง ชาวบ้านใช้เวลานี้ไปร่วมทำบุญที่วัด เช่น จัดทำดอกไม้ ในสมัยก่อนจัดทำน้ำมันพืช เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงจุดให้มีแสงสว่างพอที่พระสงฆ์จะใช้เวลากลางคืน

นอกจากนี้มีสตรีจับกลุ่มกันร้องสรภัญญ์โดยมีรุ่นเก่าเป็นครูฝึก ในช่วงเทศกาลเข้าพรรษาหมู่บ้านต่าง ๆ จะมีประเพณีทอดเทียน ทอดสาด หมู่บ้านที่เป็นเจ้าภาพจะเชิญหมู่บ้านต่าง ๆ ส่งคณะสรภัญญ์เข้าประกวดกันจะประกอบด้วยสตรีอายุประมาณ ๑๕ ปี ขึ้นไป จำนวน ๑๐-๒๐ คน คนที่มีเสียงไพเราะที่สุดจะเป็นหัวหน้า และจากผลดังกล่าวชาวบ้านเกิดความรักความสามัคคีกันในหมู่คณะและเป็นการอนุรักษ์วัฒนธรรมประเพณีด้วย เพื่อให้คงอยู่คู่ชุมชนตราบนานเท่านาน

บทร้องสรภัญญ์ จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องราวทางพระพุทธศาสนา สรรเสริญบูชาพระรัตนตรัย เล่าเรื่องพุทธประวัติ บทสวดคุณของบิดามารดา บทสวดไหว้ครู

 



ขอบคุณ : https://www2.m-culture.go.th/sisaket/ewt_news.php?nid=973&filename=index
วันที่ 24 พ.ย. 2560

หน้า: 1 ... 5 6 [7] 8 9 10