การแสดง ฤทธิ์ นั้นเป็นเรื่องทีมีมาตั้งแต่ครั้งพุทธกาล
จะกล่าวได้ว่า พระพุทธศาสนา มีเรื่อง ฤทธิ์ โดยตรงก็มีหลายตอน
เช่น พระพุทธเจ้า ทรงใช้ ฤทธิ์ในคืนตรัสรู้ เรียกว่า ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ญาณระลึกชาติได้ ครั้งที่ 1
มุญจิตุกัมมยตาญาณ
จตูปปาตญาณ อาสวักขยญาณ
โปรด พระพุทธมารดา ก็ใช้ ฤทธิ์
โปรด ชฏิล 3 พี่น้องใช้ ฤทธิ์ 2000 กว่าครั้ง ครั้งสุดท้าย เดินจงกรมรอบอาศรมเป็นกำแพงแก้ว กันน้ำที่ท่วม
โปรด องคุลีมาล ก็ใช้ฤทธิ์ เรื่องการเดิน ด้วย พุทธานุภาพ
ทรงกระทำ ยมกปาฏิหาริย์ อีก
คราวก่อนแสดง พระสูตร เรื่องพระเวสสันดร ปรารภ ฝนโบกขรพรรษ
แม้คราว ดับขันธปรินิพพาน ก็แสดงฤทธิ์ ให้ฝ่าพระบาทโผล่ออกจากห่อพระศพ ให้ พระมหากัสสปะได้กราบ
และแม้แต่ การปลงพระศพ นั้นก็มีฤทธิ์ อีกเช่น ผ้าที่ห่อภายนอกไหม้ ผ้าภายในไม่ไหม้ เป็นต้น
และแม้แต่ พระอังคารธาตุ ที่เรียกว่า พระบรมสาีรีริกธาตุ ทั้งหลายเหล่านี้ ก็ล้วนแล้วแต่ เป็นเรื่อง ฤทธิ์ทั้งหมด
ที่นี้การแสดง ฤทธิ์ มีความจำเป็น มากน้อย เพียงใด จึงมีพระดำรัสห้ามแสดง ฤทธิ์ แต่พระพุทธเจ้าก็สนับสนุนการแสดง ฤทธิ์ เช่น
พระจูฬปันภกสำเร็จเป็นพระอรหันต์ แสดง ฤทธิ์ ด้วย มโนมยิทธิ แยกกาย เป็น พัน พระพุทธองค์ก็ทรงตรัส
วิธีการ นิมนต์พระจูฬปันถกมา และให้แสดงธรรม ด้วยปฏิสัมภิทา แทนพระองค์ด้วยในวันนั้น ( อันนี้สนับสนุนอย่างชัดเจนมาก )
คราวพระภิกษุีณี พิมพา ( อดีตพระมเหสี ) กล่าวลาเข้าสู่นิพพาน พระองค์ทรงตรัสให้แสดง มหาอภิญญา ให้ ประจักษ์แก่ชนทั้งหลาย พระภิกษุณี เหาะขึ้นบนอากาศ 3 ครั้ง แล้วลงมากราบลาจึงเข้าสู่นิพพาน
( มองให้ดี สนับสนุน ให้แสดงฤทธิ์ อย่างชัดเจน )
และอีก ๆ หลาย ๆ ตอน ยังไม่ขอกล่าว
การแสดงฤทธิ์ มีผล มากกับศรัทธา
ดังนั้น ประชาชนทั้งหลาย จะแห่แหนกันไปเคารพแต่พระอภิญญา เป็นหลัก จักทำให้ ที่ไม่มีอภิญญา นั้นเดือดร้อน นี่ประการหนึ่ง
ถ้าเอะอะ ตัดสินธรรม ทุกครั้งต้องแสดงฤทธิ์ พระพุทธศาสนาก็จะหมดเร็ว เพราะพระที่สำเร็จ อภิญญานั้นมีน้อยมาก นี่ประการหนึ่ง
บุคคลที่เข้ามาปฏิบัติ จักไม่สนใจธรรม แต่จะสนใจ แต่เรื่องฤทธิ์ กันมาก
นี่เป็นข้อสันนิษฐานโดยส่วนตัว ส่วนหนึ่งเท่านั้น
ที่นี้มาดูความ จริง ในสมัยครั้งพุทธกาล คนเห็นเรื่อง ฤทธิ์เป็นเรื่องธรรมดา มาก ๆ ไม่เลอเลิศ ถึงจะศรัทธา
ยกตัวอย่างเรื่อง เศรษฐีขี้เหนียว สองผัวเมีย ทำขนมบนยอดปราสาท ไม่อยากใครให้ร่วมบริโภคด้วย จึงไป
พากันทำกินอยู่ บนปราสาทชั้นที่ 7
พระโมคคัลลานนะ ทราบข่าว จึงเหาะขึ้นไป อยู่นอกหน้าต่างพร้อมประคองบาตร ไว้ให้สองเศรษฐีเห็น
โธ่ อ่านให้ดี ท่านเหาะ ยืนบนอากาศนอกหน้าต่าง สองเศรษฐียังไม่มีความศรัทธาเลย เป็นเรา ตะลึง ตาค้าง
แล้วใช่ไหมจ๊ะ กว่าจะทำให้ใส่บาตร เสียเวลาแกล้งไป ร่วม 3 ชั่วโมงทั้งหายตัว และ เหาะ เห็นหรือป่าวว่า
คนระดับเศรษฐี ยังไม่มีศรัทธา ขนาดแสดงฤทธิ์ ขนาดนี้ ต้องทรมานเป็นชั่วโมง
สันนิษฐาน คนสมัยก่อน เรียนฤทธิ์ด้วยการร่ายเป็นอย่างมากเช่น องคุลีมาล ก็มีฤทธิ์ ยิงธนู 3 ดอกกำหนด
เวลาและจุดตกได้ วิ่งได้เร็วกว่าม้า เชื่อหรือป่าว เป็นต้น และยังมีผู้มีฤทธิ์มากมาย ที่แสดงตนไว้ อย่างเช่น
วังคีสะพราหม์ ที่เคาะกระโหลกคนตาย บอกชื่อ ตระกูล ที่ไป ที่เกิด ได้ เป็นต้น
มองให้ดี ประเทศอินเดียว ยุคปัจจุบัน ก็ยังมีพวกแสดงฤทธิ์ อยู่มากมาย เลยใช่ไหม
สรุป การแสดงฤทธิ์ ของพระโมคคัลลานะ นั้นเป็นเหตุให้ชนทั้งหลาย ศรัทธาในพระพุทธศาสนาก็มีส่วน
เจริญธรรม