ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ว่ากันว่าคนใกล้ตาย...ลืมตาเห็นโลกนี้ หลับตาเห็นโลกหน้า  (อ่าน 2316 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

สมภพ

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +5/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 485
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
โดยส่วนตัวผมเองคิดว่า หลายท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ ก็คงมีความสนใจในด้านนี้พอสมควร หรือคิดว่าท่านก็โตพอที่จะรับรู้อะไรมากมายบนโลกเน่าๆใบนี้ ด้วยวิจารณญาณหรือพุทธิปัญญา และเราคงปฏิเสธไม่ได้ว่านะครับว่าความรู้ในโลกนี้มีสองอย่าง ก็คือ รู้ว่าตัวเองรู้ และรู้ว่าตัวเองไม่รู้ นี่อาจจะเป็นปรัชญาของนักวิทยาศาสตร์เลยก็ว่าได้ ที่ต้องแสวงหาความรู้กันไม่จบไม่สิ้น อย่าเพิ่งปฏิเสธในสิ่งที่เรา คิดว่าไม่มี ไม่เคยเจอ ศาสตร์เหล่านี้แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็ไม่เคยปฏิเสธว่าไม่มี แม้แต่พระองค์เองก็ยอมรับว่ามี แต่พระองค์ไม่อยากให้ศาสนิกชนของพระองค์หมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ เพราะมันไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราจะต้องศึกษา สาเหตุง่ายๆของพระองค์ก็คือ ไม่ใช่หนทางแห่งการทำให้คนมีความทุกข์น้อยลงนั่นเอง

วันก่อนผมมีโอกาสได้พูดคุยกับ ศาสตราจารย์ ดร.โยริช มหาวิทยาลัยคริสเตียน ประเทศเบลเยี่ยม ท่านทำการวิจัยเรื่องการกลับชาติมาเกิดของคน ท่านบอกว่า เรื่องการกลับชาติมาเกิดเป็นเรื่องจริง และไม่มีศาสนาไหนที่จะให้คำตอบเรื่องเหล่านี้ได้ดีเท่ากับพระพุทธศาสนา มันน่าทึ่ง! ท่านบอกว่า คนใกล้ตาย...ลืมตาเห็นโลกนี้ หลับตาเห็นโลกหน้า ท่านได้กรุณาเล่าประสบการณ์ของตนเองให้ฟัง เมื่อตอนไปทำวิจัยที่จังหวัดอุบลราชธานีและเชียงใหม่ให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ท่านได้เดินทางไปเชียงใหม่พร้อมล่าม เดินทางไปเยี่ยมครอบครัวหนึ่ง ชื่อนายสอน ป่วยหนักมาก นายสอนเล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนมีคนมาหาแก แต่ละคนแต่งตัวแปลกๆ เหมือนใส่ชุดลิเก แต่ละคนหน้ากลัว และคนเต็มบ้านไปหมดเลย แต่ละคนแกไม่รู้จัก และเมียแกก็เล่าให้ฟังว่า เมื่อคืนนายสอนไม่ได้นอนทั้งคืน ได้แต่เพ้อว่ายังไม่อยากไป ลูกยังเรียนไม่จบ ผมยังไม่อยากไป

ในวันรุ่งขึ้นเวลาประมาณ 5.00 กว่า นายสอนก็เสียชีวิต อีกกรณีหนึ่งเกิดขึ้นที่อุบลราชธานี แต่กรณีนี้แปลกก็คือ นางคำใส เป็นมารดาของนายบุญรอด ก่อนที่นายบุญรอดจะเสีย คืนนั้นนางคำใสฝันว่า มีผู้ชายแต่งชุดแปลกๆ มาถามหานายบุญรอด บอกว่าจะมารับกลับไปบ้าน จากการพูดคุยนางคำใสก็เล่าให้ฟังว่า ด้วยความที่ตัวเองไม่รู้ ก็เลยชี้ไปในบ้านบอกว่า บุญรอดก็อยู่ในบ้าน พอตอนเช้า บุญรอดก็เสียชีวิต ผมก็เล่าให้ท่านฟังว่าผมก็มีประสบการณ์เรื่องพวกนี้เหมือนกัน เป็นประสบการณ์ตรงเลยหล่ะ เมื่อประมาณ ปี 2533 ตอนนั้นผมอาศัยอยู่กับปู่เป็นบ้านไม้ชั้นเดียว แต่ยกเสาสูง มีอยู่คืนหนึ่ง เวลาประมาณ ตี 2 กว่า ๆ ก่อนที่ปู่ผมจะเสีย ท่านเป็นอะไรไม่รู้ เอาสนเท้ากระทุ้งกับพื้น จนเป็นเหตุทำให้ผมตกใจตื่น และรีบลุกขึ้นมาเปิดไฟ

ภาพ ที่ผมเห็นก็คือเห็นปู่กำลังเอามือตัวเองบีบคอ น้ำลายเต็มปาก เหมือนฟองสบู่ประมาณนั้น ตาเหลือก แกก็บอกให้ผมเอาพระบนหิ้งพระมาคล้องคอให้แก ทันใดนั้น แกก็บอกให้ผมไปเรียกป้ามา ผมก็ไป บ้านผมกับป้าห่างกันประมาณเกือบ 500 เมตร แต่ต้องเดินผ่านป่ากล้วย ก่อนที่จะถึงบันไดบ้านป้าประมาณสัก 20 เมตรได้ ผมเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ผมยาว ใส่เสื้อผ้าเหมือนคนโบราณ ยืนอยู่ตรงบันได ตอนนั้นผมรู้สึกได้ว่าเส้นผมมันตั้งขึ้น ขาขยับไม่ได้ ประมาณสัก 1 -2 นาที หลังจากนั้นผมก็ได้สติ ตะโกนเรียกป้า คนที่อยู่เบื้องหน้าก็หายไปกับตา มันเป็นสิ่งเหลือเชื่อ แต่ผมเจอมาด้วยตนเอง ทุกวันนี้ ภาพเหตุการณ์ในวันนั้น มันไม่ได้หนีไปไหน มันอยู่ในความทรงจำ เพียงแค่ผมหลับตาและนึกถึงมัน มันจะมาเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ก่อนที่ปู่ผมจะเสีย ท่านเล่าให้ลูกหลานทุกคนที่มาที่บ้านฟัง ว่าเกิดอะไรขึ้น มีผู้หญิงมารับท่านไปอยู่ด้วย ท่านไม่ยอมไป เพราะห่วงผม ผมเป็นหลานคนเดียว ซึ่งแกรักมาก ผู้หญิงคนนั้นโกรธแกมาก มานั่งทับหน้าอกแกและเอามือมากดที่ตรงคอ และผู้หญิงที่ท่านพูดถึง มีลักษณะคล้ายๆ กับคนที่ผมเห็นที่บันไดบ้านป้า ประมาณ8.00 น. ปู่ผมก็เสียในขณะที่ผมกับหลานอีกคนหนึ่งไปวิ่งไล่จับแมลง

เพราะความ ที่ผมยังเด็กเกินไป เลยไม่ได้ดูใจปู่ก่อนเสีย เรื่องที่สอง ประมาณปี 2534 ขณะนั้นผมได้มีโอกาสบวชสามเณรภาคฤดูร้อน มีโยมมานิมนต์พระเณร 5 รูปไปรับสังฆทานที่โรงพยาบาล เป็นคำขอร้องของผู้ป่วย ผู้ป่วยบอกว่าเป็นคำแนะนำของคนที่มาหาแกอีกทีหนึ่ง แกเล่าให้ผมฟังว่า เมื่อวานมีคนแต่งชุดแปลกๆมาหา บอกว่า สุทัศน์ ไปได้หรือยัง (แกบอกว่าเสียงก้องมากและน่ากลัวด้วย) ห่วงอะไรอยู่หรือเปล่า มีเวลาอีกไม่มากแล้วนะ ทำบุญเสียก่อนนะ ญาติที่มาเฝ้าก็นึกว่าแกเพ้อ แกบอกผมในตอนนั้นว่า ผมไม่ได้เพ้อนะ ตอนนี้เขาก็ยืนอยู่ในห้องนี้ ผมอยากทำบุญถวายสังฆทานให้ตัวเอง อยากได้ยินเสียงพระสวดมนต์ หลังจากที่ทำบุญเสร็จแล้วในช่วงเช้า ประมาณสัก 5 โมงเย็นวันเดียวกัน ทางบ้านของโยมสุทัศน์ก็มายืมของที่วัด เพื่อจะตั้งศพสวดอภิธรรมคุณโยมสุทัศน์ เรื่องสุดท้าย(แต่ผมยังมีอีกหลายเรื่องเกรงกระทู้จะยาวไป) เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่นานกับผม ประมาณเดือนกันยายนปี 2550 น้องของแม่ ซึ่งปกติผมจะเรียกว่าน้า เสียชีวิต

คืนก่อนที่แกจะเสีย ตอนนั้นผมอยู่ กทม. แต่น้าอยู่ต่างจังหวัด น้าอยากคุยกับผมมาก ให้แม่ผมต่อโทรศัพท์คุยด้วย แกคุยไป บางช่วงแกก็เงียบไป ผมก็มักจะถามเสมอว่า ฟังอยู่หรือเปล่า แกก็บอกว่าฟังอยู่ แต่แกเหนื่อย แกก็เล่าให้ฟังว่า พรุ่งนี้แกจะไปตายที่บ้านนะ แกไม่อยากตายที่นี้ เพราะที่นี้มีแต่คนไม่รู้จัก เมื่อวานคนเต็มห้องไปหมดเลย และมีผู้ชายใส่ชุดคล้ายลิเก มารอน้าอยู่นานแล้ว น้าฝากหลานด้วยนะ แม่ผมบอกว่าเมื่อคืนทุกคนในห้องนี้ ไม่มีใครได้หลับเลย น้าพูดคนเดียวทั้งคืน แต่น้าบอกว่า น้าไม่ได้เพ้อและไม่ได้พูดคุยเดียว แกกำลังพูดคุยกับคนที่มาเยี่ยมแก หลังจากรถโรงพยาบาลนำน้าออกจากโรงบาลได้ประมาณ 10 นาที น้าผมก็เสีย! ผมไม่รู้ว่าเมื่อคุณอ่านจบ คุณคิดอะไร อีกใจหนึ่งไม่เชื่อ เพราะเราไม่เคยเห็น ไม่เคยเจอ หรืออีกใจหนึ่งเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างแล้ว แต่ก็เฉยๆ เราเคยคงได้ยิน เด็กและคนใกล้ตาย เขามักจะไม่โกหก ดั่งคำโบราณที่ว่าไว้ คนใกล้ตาย...ลืมตาเห็นโลกนี้ หลับตาเห็นโลกหน้า

http://talk.mthai.com/topic/118184
fwd mail
บันทึกการเข้า