ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
หน้า: [1] 2 3 ... 10
 1 
 เมื่อ: กันยายน 20, 2024, 03:55:43 pm 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้

 2 
 เมื่อ: กันยายน 20, 2024, 01:08:11 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 3 
 เมื่อ: กันยายน 20, 2024, 10:47:45 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 4 
 เมื่อ: กันยายน 20, 2024, 06:38:24 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



๙. ปาปวรรค หมวดบาป

ในวรรคนี้ ทรงสอนให้รู้จักบุญและบาป รวมทั้งผลของบุญและบาปว่ามีความแตกต่างกัน ให้พยายามรีบเร่งทำบุญละเว้นบาป บุญต้องหาบ บาปต้องละ ถ้าทำบุญช้า บาปมักจะเข้ามาแทนที่ ดังที่ตรัสไว้ว่า

อภิตฺถเรถ กลฺยาเณ    ปาปา จิตฺตํ นิวารเย
ทนฺธํ หิ กรโต ปุญฺญํ    ปาปสฺมึ รมตี มโน

บุคคลควรรีบเร่งทำบุญ ควรห้ามจิตจากบาป
เพราะเมื่อทำบุญช้าไป ใจจะยินดีในบาป

มีผู้แต่งเป็นกลอนไว้ดังนี้

พึงเร่งทำ กรรมดี แก่ชีวิต   พึงห้ามจิต จากชั่ว ความมัวหมอง
เพราะถ้าทำ ดีเนิ่น เพลินลำพอง   ใจย่อมปอง ในชั่ว กลั้วมลทิน


@@@@@@@

อนึ่ง ทรงสอนให้ทำบุญบ่อย ๆ เพราะการสั่งสมบุญนำสุขมาให้ แต่เป็นธรรมดาที่คนเราอาจทำผิดพลาดได้ ในทำนองเห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นความชั่วเป็นความดี เช่น

ครั้งหนึ่ง อนาถบิณฑิกเศรษฐีทำบุญจนกลายเป็นคนยากจน เทวดาผู้รักษาประตูขอร้องให้ท่านเลิกทำ ท่านเศรษฐีก็ไม่ยอมเลิกทำบุญ ซ้ำยังขับไล่เทวดาให้ออกจากบ้านท่าน เทวดาสำนึกผิด จึงไถ่โทษด้วยการหาขุมทรัพย์ใต้ดินที่ไร้เจ้าของมาให้ท่าน ทำให้ท่านกลับมาร่ำรวยอีกครั้งหนึ่ง เหตุการณ์นี้ทำให้พระพุทธองค์ตรัสธรรมบทเป็นการสอนให้เห็นผลกรรมว่า

ปาโปปิ ปสฺสตี ภทฺรํ
ยาว ปาปํ น ปจฺจติ
ยทา จ ปจฺจติ ปาปํ    
อถ (ปาโป) ปาปานิ ปสฺสติ ฯ เป ฯ

ตราบใดที่บาปยังไม่ให้ผล
ตราบนั้น คนชั่วจะเห็นบาปว่าดี
แต่เมื่อใด บาปให้ผล
เมื่อนั้น คนชั่วจะเห็นบาปว่าชั่วแท้

ตราบใดที่กรรมดียังไม่ให้ผล
ตราบนั้น คนดีจะเห็นกรรมดีว่าชั่ว
แต่เมื่อใด กรรมดีให้ผล
เมื่อนั้น คนดีจะเห็นกรรมดีว่าดีแท้

@@@@@@@

หลักคำสอนที่สำคัญบทหนึ่ง คือ ทรงสอนไม่ให้ดูหมิ่นบาปหรือบุญว่ามีเพียงเล็กน้อย ดังที่ตรัสไว้ว่า

มาวมญฺเญถ ปาปสฺส    น มตฺตํ อาคมิสฺสติ
อุทพินฺทุนิปาเตน    อุทกุมฺโภปิ ปูรติ ฯเปฯ
     
บุคคลอย่าสำคัญว่า บาปเล็กน้อยคงจักมาไม่ถึง
แม้หม้อน้ำยังเต็มด้วยน้ำที่ตกลงมาทีละหยาด ๆ ได้ ฉันใด
คนพาลเมื่อสั่งสมบาปทีละเล็กละน้อย เต็มด้วยบาปได้ ฉันนั้น

ทำบาปแล้วหนีไม่พ้น ผู้ทำบาปแล้วไม่ว่าจะหลบไปอยู่ในที่ใด ๆ ก็ไม่พ้นบาป ได้ ดังที่ตรัสไว้ว่า

น อนฺตลิกฺเข น สมุทฺทมชฺเฌ
น ปพฺพตานํ วิวรํ ปวีสํ ฯ เป ฯ

คนทำบาปถึงจะเหาะขึ้นไปในอากาศ ก็ไม่พ้นจากบาปกรรม
ถึงจะดำลงไปกลางทะเล ก็ไม่พ้นจากบาปกรรม
ถึงจะเข้าไปหลบตัวในซอกเขา ก็ไม่พ้นจากบาปกรรม
เพราะไม่มีแผ่นดินสักส่วนหนึ่งที่คนทำบาปยืนอยู่แล้ว จะพ้นจากบาปกรรมได้

มีผู้แต่งเป็นกลอนไว้ว่า

จะซ่อนกาย ในกลีบเมฆ กลางเวหา   ซ่อนกายา กลางสมุทร สุดวิสัย
จะซ่อนตัว กลางป่าเขา ลำเนาไพร   ณ ถิ่นใด พ้นบาปนี้ ไม่มีเลย


@@@@@@@

คติภพของคนทำบาปหรือทำบุญ คนเราจะเกิดในภพใดคติไหน ขึ้นอยู่กับบุญที่เราทำกรรมที่เราสร้าง พระองค์ตรัสคติภพของสัตว์ไว้อย่างชัดเจนว่า

สัตว์พวกหนึ่ง ย่อมเกิดในครรภ์
พวกที่ทำบาปกรรม ย่อมไปนรก
พวกที่ทำความดี ย่อมไปสวรรค์
ส่วนผู้ที่ไม่มีอาสวะ ย่อมนิพพาน






ขอขอบคุณ :-
ภาพจาก : https://ca.pinterest.com/
บทความ : พุทธวิธีในการสอนตามแนวธรรมบท , พระมหาสุเทพ อคฺคเมธี "เก็บเพชรจากคัมภีร์พระไตรปิฎก"  โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กรุงเทพมหานคร 2542 ,หน้า 165 - 196
website : http://oldweb.mcu.ac.th/mcutrai/menu2/Article/article_11.htm

 5 
 เมื่อ: กันยายน 20, 2024, 06:14:27 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



เมื่อขนบธรรมเนียม ปล่อยสัตว์ กลายเป็นเรื่องไม่ชวนพิสมัย
Cultures  | April 19, 2017 by NGThai



 :96: :96: :96: :96:

เมื่อขนบธรรมเนียม ปล่อยสัตว์ กลายเป็นเรื่องไม่ชวนพิสมัย

ณ วัดแห่งหนึ่งบนภูเขาเทียนไถ ทางตะวันออกของจีน เคลาว์เดีย เหอหยุน เป็นประจักษ์พยานต่ออุบัติการณ์ที่รบกวนจิตใจเธออย่างยิ่ง มันคือธรรมเนียมการ ปล่อยสัตว์ ภาพฝูงชนกำลังหย่อนเต่าขนาดเท่าคอมพิวเตอร์พกพาลงในคูน้ำรอบ ๆ วัด ในขณะที่พระสงฆ์ยืนอยู่ตรงนั้นและสวดพึมพำอะไรบางอย่าง เธอคิดว่าอาจเป็นการสวดอวยพรให้กับเต่าเหล่านั้น

“มันอาจจะเป็นเต่าทะเลค่ะ และมันอาจจะตาย” เหอหยุนบอก เธอเป็นหัวหน้าโครงการในสหพันธ์ศาสนาและการอนุรักษ์ มีพันธกิจหลักด้านศาสนาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม “ฉันว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตลอดเวลา เรามาอยู่ตรงนี้แค่ชั่วโมงกว่า ๆ เอง”

ฝูงชนที่อยู่ตรงหน้าเรากำลังปฏิบัติสิ่งที่เรียกว่า “ทำบุญ” จารีตโบราณของชาวพุทธที่เชื่อเรื่องการปล่อยสัตว์ที่ถูกกักขัง เพื่อแสดงความเมตตา และเชื่อว่าการกระทำเช่นนี้จะนำมาซึ่งกรรมดี ในประเทศจีนมีพุทธศาสนิกชนราว 245 ล้านคน พิธีกรรมนี้เริ่มขึ้นมาพันกว่าปีแล้ว โดยเริ่มจากผู้นำทางศาสนาเห็นชาวประมงในภูมิภาคเทียนไถกำลังกระทำกรรมชั่วด้วยการพรากชีวิตของปลาที่พวกเขาจับมาได้ จึงแนะนำให้พวกเขาปล่อยปลาลงในบ่อน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น

เหอหยุนและผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ กล่าวว่า การกระทำที่เกิดขึ้นโดยไม่ตั้งใจที่จะทำร้ายสัตว์ของพุทธศาสนิกชนเหล่านั้น ได้กลายมาเป็นกิจกรรมเชิงพานิชย์ มีการจำหน่ายสัตว์ให้คนที่นำไปทำบุญโดยเฉพาะ ซึ่งมันหมายถึงความบาดเจ็บที่เกิดแก่สัตว์หรือบางครั้งนี่คือการจบชีวิตสัตว์เคราะห์ร้ายเหล่านั้น

กิจกรรมทำบุญลักษณะนี้ “สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในธุรกิจค้าสัตว์เป็นอย่างมาก โดยใช้ความมีเมตตาของชาวพุทธเป็นจุดขาย” รีฟา ฉี ประธานสมาพันธ์ชาวพุทธเชื้อสายอเมริกันในนิวยอร์ก กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Humane Society International

พุทธศาสนิกชนจากทั่วทุกมุมโลกหรือแม้กระทั่งคนที่ไม่ใช่ชาวพุทธก็ตาม โดยเฉพาะในประเทศจีน ต่างก็เคยทำการปล่อยสัตว์ หรือในภาษาจีนเรียกว่า ฟ่างเชิง นอกจากนี้ ในแต่ละปีมีสัตว์อีกกว่าร้อยล้านตัวที่ต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของจารีตนี้ โดยพบชนิดพันธุ์ตั้งแต่เต่าไปจนถึงลิง ซึ่งตามวัฒนธรรมจีนเชื่อว่า การช่วยเหลือสัตว์เหล่านี้จะส่งผลให้พวกเขามีอายุยืนยาว

“ถ้าคุณโกหกภรรยาของคุณหรือยักยอกเงินของบริษัท คุณอาจจะคิดว่า คุณไปปล่อยสัตว์ประมาณหนึ่งพันตัวเพื่อเป็นการสร้างกรรมดีของคุณให้เพิ่มขึ้น” มาร์ติน พาลเมอร์ หนึ่งในสมาชิกสหพันธ์ศาสนาและการอนุรัษ์ กล่าว “ยิ่งคุณทำกรรมใหญ่ คุณก็ยิ่งจำเป็นต้องปล่อยสัตว์มากขึ้น เพื่อที่จะเป็นการสร้างกรรมดี”





เสรีภาพหรือจุดจบ

ปัญหาของการทำบุญปล่อยสัตว์คือ การเพิ่มขึ้นของจำนวนร้านค้าที่นำสัตว์มาขาย เนื่องจากพุทธศาสนิกชนที่ต้องการจะนำสัตว์ไปปล่อยจำนวนมาก สถาบันศาสนาเริ่มมีการออกมาต่อต้านการกระทำที่ไร้ความผิดชอบเช่นนี้ และปัจจุบันในกรุงปักกิ่งรวมถึงไต้หวันได้ออกกฎหมายเพื่อเอาผิดผู้ที่นำสัตว์ไปปล่อยตามวัดหรือตามชายหาด แต่ทว่า ในความเป็นจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น เมื่อหลายเดือนที่ผ่านมา นักผจญเพลิงได้เข้าช่วยชีวิตงูเหลือม เต่า และสัตว์ที่ถูกขัง พวกมันถูกปล่อยทิ้งที่ริมชายหาดแห่งหนึ่งในจังหวัดไห่หนาน ประเทศจีน เนื่องจากผู้ลักลอบค้าสัตว์กลัวความผิด

“มีคนจำนวนมากที่ทั้งรู้และไม่รู้ว่า การทำบุญปล่อยสัตว์จริง ๆ แล้วเป็นการทำร้ายสัตว์ทางหนึ่ง” เหอหยุน บอก

หนึ่งในเรื่องที่น่ากังวลคือ สัตว์ที่นำมาขายถูกดักจับมาและเขาสู่กระบวนการค้าอย่างผิดกฎหมาย เช่นกรณีของตลาดบาดาจูในนครปักกิ่ง แหล่งค้านกผิดกฎหมายที่ดำเนินการค้าให้แก่บรรดาผู้ที่ต้องการทำ ฟ่างเชิง

อีกเรื่องหนึ่งคือ “สัตว์เหล่านั้นมักถูกจับมาและอาศัยอยู่ในที่ที่ไม่เหมาะสม ถูกนำไปปล่อย และถูกจับอีกครั้ง” พาลเมอร์กล่าว ความตอนหนึ่งจากบทความในวารสาร Contemporary Buddhism อธิบายถึงองค์การทางศาสนาได้สั่งซื้อนกจำนวนมากจากผู้ค้าและนำพวกมันไปปล่อย หลังจากนั้นเหล่าผู้ค้าทั้งหลายรอคอยที่จะจับพวกมันกลับมาอีกครั้ง วนเป็นวงจรเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พาลเมอร์บอกว่า มันเป็นรูปแบบของธุรกิจ พระสงฆ์บางรูปได้ส่วนแบ่งจากการค้าสัตว์ที่ถูกนำไปปล่อย

นอกจากนี้ มีสัตว์จำนวนไม่น้อยที่จบชีวิตลงระหว่างการขนย้ายก่อนถึงมือผู้ซื้อ เนื่องจากพวกมันได้รับบาดเจ็บหรืออยู่ในที่อาศัยที่ไม่เหมาะสม หรือแม้แต่การปล่อยสัตว์ต่างถิ่นเข้าสู่พื้นที่ ความไม่ตั้งใจของผู้ใจบุญอาจสร้างความเสียหายต่อระบบนิเวศท้องถิ่นได้ “การทำบุญปล่อยสัตว์กำลังเป็นปัญหาครับ” คริส ฮาร์เลย์ นักนิเวศวิทยาประจำมหาวิทยาลัยบริทิชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา กล่าวในนิตยสาร อูดูบอง เมื่อปี 2014

เมื่อเดือนพฤษภาคม ปี 2015 สวนคาดูรีและสวนพฤกษศาสตร์ที่เป็นศูนย์คุ้มครองสัตว์ในฮ่องกงกล่าวว่า พวกเขาได้รับเต่าต่างถิ่นสองตัวที่ถูกปล่อยลงในอ่างเก็บน้ำ “สัตว์ต่างถิ่นเป็นสาเหตุหลักที่คุกคามระบบนิเวศของชนิดพันธุ์ท้องถิ่น” ทางศูนย์อธิบาย และในเดือนตุลาคม เจ้าหน้าที่ได้พยายามขัดขวางคนจำนวนหนึ่ง ที่กำลังจะปล่อยเต่าบราซิลจำนวนห้าร้อยตัวในมหาวิทยาลัยเพ็กกิง นครปักกิ่ง


@@@@@@@

ความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

องค์กรของเหอหยุนได้ทำงานร่วมกับผู้นำทางศาสนาในประเทศจีน เพื่อสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการทำบุญปล่อยสัตว์ และเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับผู้คนที่ต้องการประพฤติจารีตนี้ หนึ่งในทางเลือกคือ การให้ชาวพุทธถือศีลกินเจและร่วมกันต่อต้านการค้าสัตว์ที่ผิดกฎหมาย “เราต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม” พาลเมอร์บอก ถ้าเป็นเช่นนั้น ชาวพุทธจะได้รับกรรมดีจากการช่วยชีวิตสัตว์จริง ๆ

พุทธศาสนิกชนจากวัดแห่งหนึ่งในย่านไชน่าทาวน์ เขตแมนฮัตตัน ได้ร่วมทำกิจกรรมโดยการรับบริจาคเงินและนำไปช่วยเหลือการปล่อยสัตว์คืนสู่ป่า เมื่อหลายปีที่ผ่านมา พวกเขาเป็นตัวแทนของรัฐนิวยอร์กในการปล่อยนกบริเวณสวนสาธารณะเซนทรัลปาร์ก และพวกเขาตั้งชื่อกิจกรรมนี้ว่า “การปล่อยสัตว์ด้วยความเห็นอกเห็นใจ”







Thank to : https://ngthai.com/featured/864/release-animals-tradition-is-bad/
เรื่อง เจนี แอกท์แมน

 6 
 เมื่อ: กันยายน 20, 2024, 06:06:20 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ฤๅ “บางระจัน” เป็นเพียงวาทกรรมประดิษฐ์สนองแนวคิด “ชาตินิยม”

ชาวบ้าน “บางระจัน” ผู้รวมตัวกันต่อสู้กับกองทัพพม่า ท่ามกลางสภาวการณ์ที่ กรุงศรีอยุธยา กำลังประสบปัญหารุมเร้าทางการเมือง และอยู่ในสถานะสุ่มเสี่ยงต่อการล่มสลาย คนเหล่านี้จับดาบและอาวุธเท่าที่หาได้ลุกขึ้นต่อสู้กับศัตรู เพื่อปกป้องมาตุภูมิด้วยความหาญกล้า ทำให้ได้รับการยกย่องว่า นี่คือ “วีรกรรม” ปกป้องชาติบ้านเมือง ที่มีเกียรติและน่าภาคภูมิใจ

คำถาม คือ สิ่งที่ชาวบ้านบางระจันกำลังปกป้องคืออะไรกันแน่ พวกเขาเข้าใจสิ่งที่เรียกว่าว่า “ชาติ” จริงหรือ หรือกำลังทำเพื่อรักษาชีวิตและทรัพย์สินตนเองเท่านั้น.?



อนุสาวรีย์วีรชนค่ายบางระจัน ภายในอุทยานวีรชนค่ายบางระจัน จังหวัดสิงห์บุรี


“ศิลปวัฒนธรรม” ร่วมกับ “สมฤทธิ์ ลือชัย” ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมภูมิภาคอุษาคเนย์ ชวนตั้งคำถามอย่างสร้างสรรค์กับทุกประเด็นที่ผู้สนใจประวัติศาสตร์ตั้งข้อสงสัย โดยเลือกหยิบยกวีรกรรมของบรรพชนไทยในอดีต อย่างประเด็นเรื่อง “‘บางระจัน’ วาทกรรมประดิษฐ์เรื่อง ‘ชาตินิยม’” มาวิเคราะห์อย่างตรงไปตรงมา ไขความกระจ่าง ตีแผ่ความจริง พร้อมการถ่ายทอดอย่างน่าสนใจ ชวนติดตาม และย่อยง่าย

อาจารย์สมฤทธิ์ อธิบายว่า แท้จริงแล้วหมู่บ้านบางระจัน ไม่ได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาเพื่อ “ชาติ” แต่เกิดมาเพื่อความอยู่รอดของตนเอง และถูกใช้เป็นเครื่องมือในการหล่อหลอมความคิด “ชาตินิยม” ในช่วงรัฐบาล จอมพล ป. พิบูลสงคราม

“การรวมกลุ่มกันอย่างนี้ไม่ใช่เฉพาะที่ ‘บางระจัน’ ผมไปค้นในเอกสารแล้วก็ไปสำรวจตรวจสอบมา ในเส้นทางเดินออกจากนครศรีอยุธยาของพระเจ้ากรุงธนบุรี ท่านหนีออกจากอยุธยา เจอทัพพม่าแค่ 3 ครั้ง แต่เจอกลุ่ม-ก๊ก ของพวกเรากันเองถึง 7 ก๊ก…

ถ้าเรามองอย่างนี้ จะมีก๊กแบบบ้านบางระจันเต็มไปหมด พูดง่าย ๆ คือ ถ้าคุณไม่รวมกลุ่มกัน มันมีทางรอดอยู่ 2 ทาง คือ ไปเข้ากับพม่า หรือหนีเข้าป่า อาจเป็นกลุ่มเล็ก ๆ พอจะรอดได้ แต่ถ้าอยู่นาน ๆ จะเอาที่ไหนมากิน ลำบากอีก แต่ถ้าจะอยู่ ต้องรวมกลุ่มกันเหมือนบ้านบางระจัน …”

@@@@@@@

สำหรับพระเจ้าตากฯ ณ เวลานั้นไม่ใช่แค่พม่าที่เป็นศัตรู แต่ก๊กของคนไทยเองก็เป็นปัญหาเช่นกัน เพราะมีหลายกลุ่มก๊กตามรายทางที่พระองค์ต้องจัดการ เช่น ขุนรามหมื่นซ่องที่บ้านประแสร์, พระยาจันทบุรี, จีนเจียม นายสำเภาใหญ่ที่ทุ่งใหญ่ เมืองตราด ล้วนอยู่นอกบทเรียนเรียนประวัติศาสตร์ ซึ่งระบุว่า มีก๊กเจ้าพระฝาง ก๊กพิษณุโลก ก๊กพิมาย ก๊กเมืองนครศรีธรรมราช แต่เหล่านี้คือกลุ่มท้าย ๆ ที่ไม่ยอมสลายตัวหรือสวามิภักดิ์กับพระเจ้าตากฯ

อาจารย์สมฤทธิ์ ยังกล่าวด้วยว่า “ก่อนอยุธยาจะแตก บ้านเมืองระส่ำระสาย… บ้านบางระจันที่เขารวมกลุ่มกัน เพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของเขาเอง นี่คือเป้าหมายใหญ่มาก ทำไมเขาถึงมีความมั่นใจ? เพราะเขาได้ขวัญและกำลังใจจากพระอาจารย์ธรรมโชติ ศาสนามารับใช้สังคมตรงนี้…”

การรวมกลุ่มเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของชาวบ้านบางระจันนั้น จะหนักแน่นขึ้นเมื่อเราเทียบกับข้อมูลที่ว่า แท้จริงแล้วความคิด ชาตินิยม ยังไม่เกิดขึ้นในสมัย กรุงศรีอยุธยา คือยังไม่มี “ชาติ” นั่นแหละ และในเมื่อไม่มีชาติ พวกเขาจะต่อสู้เพื่อชาติได้อย่างไร เพราะชาติเพิ่งเกิดขึ้นสมัยรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 ก่อนจะเข้มแข็งเป็นแนวคิดชาตินิยมในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม

เช่นนั้นความวิจิตรพิสดารของ วีรกรรม “บ้านบางระจัน” ถูกผลิตซ้ำเพราะอะไร? มีเหตุผลหรือเป้าหมายใดซุกซ่อนอยู่ในการนำเสนออันทรงพลังเหล่านี้…


ติดตามได้ใน PODCAST นี้ : https://youtu.be/paLDRUGJXZQ

อ่านเพิ่มเติม :-

    • สอบหลักฐานไทย-พม่า ชาวบ้าน ‘บางระจัน’ สู้เพื่อใคร?
    • “ลิลิตดั้นสดุดีบ้านบางระจัน” เปลี่ยนขนบวรรณกรรม จากสดุดีกษัตริย์ มาสดุดีสามัญชน







ขอขอบคุณ :-
ผู้เขียน : กองบรรณาธิการศิลปวัฒนธรรม
เผยแพร่ : วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ.2567
เผยแพร่ในระบบออนไลน์ครั้งแรก : เมื่อ 21 สิงหาคม 2566
website : https://www.silpa-mag.com/history/article_115437

 7 
 เมื่อ: กันยายน 19, 2024, 08:58:18 pm 
เริ่มโดย aventure1 - กระทู้ล่าสุด โดย aventure1
ดันกระทู้

 8 
 เมื่อ: กันยายน 19, 2024, 01:01:10 pm 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 9 
 เมื่อ: กันยายน 19, 2024, 09:59:29 am 
เริ่มโดย todaytimepost11 - กระทู้ล่าสุด โดย todaytimepost11
ขออนุญาต อัพเดทกระทู้

 10 
 เมื่อ: กันยายน 19, 2024, 08:44:20 am 
เริ่มโดย raponsan - กระทู้ล่าสุด โดย raponsan
.



ธรรมะ บางมุมที่คนรุ่นใหม่ไม่เคยได้ยิน

เรื่องราวของการนำเสนอธรรมะ ในรูปแบบต่างๆ ที่ผ่านสื่อออนไลน์ในวันนี้บาง Content ดูเหมือนจะเป็นที่ได้รับความสนใจแล้วมีการ Comment ทั้งมุมบวกมุมลบต่างๆนานากันมากมาย

บางหัวข้อ ได้ยินได้ฟังแล้ว ก็ไม่เคยตื่นเต้นอะไรเพราะเมื่อในอดีต Content เหล่านั้นก็เคยมีหลวงปู่, หลวงพ่อที่มีชื่อเสียงเคยนำเสนอ และการนำเสนอในครั้งนั้น ก็ไม่เคยเห็นมีผู้ใดออกมาคัดค้าน ในยุคนั้นๆ กลับกัน Content ที่คล้ายกัน กับเมื่อในอดีตในวันนี้ พอมีใครมาพูดถึง กลับมีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างรุนแรง ซึ่งจะขอยกตัวอย่าง ให้ได้ลองพิจารณา

พระธรรมโกศาจารย์ หรือ หลวงพ่อพุทธทาส ท่านเคยเทศนาสอนผู้คนมากมายหลายเรื่อง อย่างที่เคยได้ยินเมื่อเกือบ 45 ปีก่อนโน้น ก็ทำเอาใครหลายคนฉงนใจตามๆ กัน แต่ไม่เคยมีการกล่าวโทษท่าน ไม่เคยตำหนิท่าน หลวงพ่อพุทธทาสเป็นผู้ที่ กล่าวได้ว่าเป็นบุคคลสำคัญของโลกอีกท่านหนึ่ง จากองค์การยูเนสโก เด็กรุ่นหลังๆ อาจไม่เคยรู้

    "กราบพระพุทธระวังโดนทองเหลือง
     กราบพระธรรม ระวังโดนใบลาน
     กราบพระสงฆ์ ระวังโดนลูกชาวบ้าน"


ถือว่าเป็นบทความที่ค่อนข้างแรงในยุคนั้น ถ้ามองแบบคนด้อยสติปัญญา ในความรู้ทางธรรม หรือมองแบบโลกๆ ศึกษาธรรมะแค่เปลือก ก็อาจจะกล่าวจากช่วงว่า เป็นคำสอนที่ไม่เข้าท่า เป็นคำสอนที่ไม่ได้เรื่อง แต่สิ่งที่หลวงพ่อพุทธทาสสอนนั้น ท่านไม่ได้สอนโลกียธรรมแต่ท่านสอนโลกุตตรธรรม เป็นความคิดที่สวนกระแสกับทางโลก

@@@@@@@

กราบพระพุทธระวังโดนทองเหลือง ท่านหมายความว่า สักแต่จะกราบไปอย่างนั้น หรือไม่ก็บนบานศาลกล่าว ไม่ได้กราบด้วยความระลึกนึกถึง พระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้า ที่ทรงเสียสละลำบากกาย มาปฏิบัติจนพบธรรมะอันยิ่ง ท่านจึงบอกว่าพวกที่กราบแล้วร้องขอ ระวังโดนทองเหลือง

กราบพระธรรมระวังโดนใบลาน ท่านหมายความว่า เรียนรู้ธรรมะท่องเป็นนกแก้วนกขุนทอง เอามาเทศน์มาอ่าน แต่ไม่เคยน้อมนำเอามาปฏิบัติ กลับไปหวังเพียงแต่ว่าจะได้บุญ แต่ถ้านำเอามาปฏิบัติ จะได้ผลยิ่งกว่า ท่านจึงว่า คนที่ท่องที่รู้เป็นนกแก้วนกขุนทอง กราบพระธรรมเหมือนกราบใบลาน

กราบพระสงฆ์ระวังโดนลูกชาวบ้าน ท่านหมายความว่า คำว่าพระสงฆ์ เป็นคำที่ยิ่งใหญ่ เราต้องกราบด้วยความเคารพอ่อนน้อม และเป็นขวัญกำลังใจ สนับสนุนส่งเสริมให้ท่านได้ศึกษาธรรมะ ทั้งด้านปริยัติและปฏิบัติ ซึ่งพระแบบนี้คู่ควรแก่การกราบไหว้ แต่ถ้าไปไหว้พระอย่างอื่นระวังจะไปโดนลูกชาวบ้านที่บวชเข้ามา เพื่ออยู่ฟรีกินฟรี มีชีวิตไปวันๆ

เราจะเห็นได้ว่า แนวความคิดการสอนของหลวงพ่อพุทธทาส จะแฝงด้วยปรัชญาไปในทางโลกุตตรธรรม ใครที่เรียนรู้อ่านหนังสือผลงานของท่าน ต้องใช้สติปัญญา ในการขบคิดด้วย เพราะถ้าได้ยินได้ฟังหรือได้อ่านแล้วคิดแบบโลกๆ ก็อาจจะมองว่าหลวงพ่อพุทธทาสสอนธรรมะผิด


@@@@@@@

ในปัจจุบันพระบางรูป ท่านมักพูดว่าไม่ควรกราบพระพุทธรูป ซึ่งถ้าคนมีสติปัญญาและเข้าใจอย่างแก่นแท้ ก็จะมองเห็นว่าพระพุทธรูปเป็นแค่โลหะบ้าง หินบ้าง สร้างขึ้นมา เพื่อเตือนสติ ชาวพุทธ แต่ไม่ใช่สร้างขึ้นมาเพื่อให้กราบร้องขออ้อนวอนอย่างที่กระทำกัน อีกอย่างหนึ่งไม่ได้มีในบัญญัติ ว่าทรงอนุญาตให้สร้างพระพุทธรูป เป็นตัวแทนพระองค์ท่าน ดังนั้น ถ้ามีพระสักรูปหนึ่ง พูดออกมาดังๆ ว่าไม่ควรกราบพระพุทธรูป นั่นก็เป็นแนวคิดที่ออกไปทางปัญญา ในทางโลกุตตรธรรม แต่ถ้าคนปัญญาน้อยมองแบบโลกิยธรรม คำพูดนี้ดูเหมือนจะเป็นปัญหา

ถ้าคำพูดที่ว่าไม่ควรกราบพระพุทธรูปเป็นปัญหา แล้วสมัย ที่หลวงพ่อพุทธทาสกล่าวนั้นทำไมไม่มีผู้ใดหรือองค์กรพระเข้าไปตักเตือนแต่ประการใด ก็เป็นเพราะ เข้าใจได้ดีว่าหลวงพ่อพุทธทาสประกาศธรรม ด้วยโลกุตตรธรรม

หลวงพ่อพุทธทาสเคยกล่าวว่า พระไตรปิฎก ค่อนข้างฟุ่มเฟือย พระอภิธรรม ซึ่งเป็นหนึ่งในพระไตรปิฎกควรฉีกทิ้งออกให้หมด นี่ก็เป็นธรรมะที่ค่อนข้างแรงในยุคสมัยนั้น แต่ก็ไม่มีผู้ใด ใครไปร้องเรียนตำหนิติจริงท่าน เพราะท่านมีเหตุผลในการอธิบายได้อย่างลึกซึ้งและชัดเจน พระผู้ใหญ่มหาเถระในยุคนั้นก็ไม่มีใครคัดค้านหลวงพ่อพุทธทาสแม้แต่รูปเดียว

พอมายุคนี้ มีพระบางรูปบอกว่า พระไตรปิฎกถูกต้อง 80% อีก 20% ไม่ถูกต้อง ก็มีหลายผู้หลายท่าน ออกอาการชักดิ้นชักงอ อยากเอาเรื่องเอาความ และมองว่าเป็นการเผยแพร่ธรรมที่ผิด อยากหาเรื่องเอาราว แต่ถ้าเกิดได้เรียนรู้ ถึงการเผยแพร่ของหลวงพ่อพุทธทาสในอดีต ก็จะมองเห็นอะไรบางสิ่ง ที่มันเป็นความจริง ตามที่ท่านได้กล่าวมาข้างต้น

@@@@@@@

แต่คนที่ประกาศว่าตนเป็นนักธรรม นักปฏิบัติธรรม ไม่ว่าอยู่ในสภาพของฆราวาส หรือจะเป็นนักบวชถ้ามีสติปัญญาน้อย ก็จะตกอกตกใจกับการนำเสนอคำในรูปแบบลักษณะนี้ และมองว่าบิดเบือน แต่ทั้งที่เจตนาเขาต้องการมุ่งเน้นไปทางโลกุตตรธรรม แต่ตนเองนั้นมองเป็นโลกียธรรมและเรื่องประเพณี จึงทำให้เกิดทัศนคติ มุมมอง ต่อผู้ที่เผยแพร่ลักษณะแบบนี้ ว่าเป็นการเผยแพร่ที่ผิด

การกราบไหว้พระพุทธรูปไม่ใช่เรื่องที่ถูกหรือเรื่องที่ผิด แต่มันคือประเพณีที่ถูกสร้างขึ้นมา และรักษาสืบต่อกันมาเนิ่นนานในครั้งพุทธกาล คราวหนึ่งพระพุทธเจ้าไม่อยู่ ก็มีผู้นำไม้แก่นจันทน์มาสร้างเป็นรูปพระพุทธองค์ ครั้นพอพระพุทธองค์กลับมา มีพระดำริว่า ให้นำเอาพระพุทธรูปนี้ ไปทำลายเสีย นี่เขาเรียกว่าตำนานพระพุทธรูปแก่นจันทน์ ซึ่งบางคนอาจจะไม่เคยได้ยิน และนี่เป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้ ว่าพระพุทธเจ้าไม่พึงประสงค์ให้สร้าง พระพุทธรูปขึ้นแต่ประการใด

ดังนั้น เวลามีพระสงฆ์องค์เณร เผยแพร่ทำอะไรแปลกๆ เราอย่าเพิ่ง เอาสติปัญญาแบบโลกียธรรมของเราเข้าไปจับใจความนั้นๆ ควรนำเอาสติปัญญาแบบโลกุตระธรรมเข้าไปวิเคราะห์ เข้าไปเรียนรู้ แล้วเราจะมองเห็น บางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในภูเขา จงเรียนรู้ธรรมะด้วยใจเปิดกว้าง ก่อนที่จะไปวิพากษ์วิจารณ์หลวงปู่, หลวงพ่อ, ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย เราควรหันกลับมามีสติ แล้วถามตนเองว่าเรามีองค์ความรู้มากพอเทียบเท่าท่านต่างๆ นั้น แล้วหรือยัง

ถ้าความรู้ของเราอย่างน้อยนิดแล้วก็ไม่รู้ด้วยว่าสิ่งเหล่านั้นถูกต้องแล้วหรือยัง ก็อย่าเพิ่งไปกล่าวหาบุคคลอื่นเขา มันจะเป็นบาปเป็นกรรม ไฟจะติดปากอยู่ในนรก หลายร้อยปีดีดัก

ถ้าเข้าใจกันตามนี้การเผยแพร่ธรรม ด้วย Content แรงๆ แปลกๆ ก็ไม่น่ามีปัญหาอะไร เว้นเสียแต่บางผู้บางคน ที่สติปัญญาน้อยนิด มองอะไรเพียงมุมเดียว ในเชิงของโลกียธรรม แล้วกลับไปกล่าวหา ต่างๆนานา ได้แต่เตือนเอาไว้ว่า ถ้าไม่รู้จริง ไม่ควรวิพากษ์วิจารณ์ เพราะนรกมีอยู่จริง






Thank to : https://www.thansettakij.com/blogs/lifestyle/horoscope/607040
คอลัมน์ ทำมาธรรมะ โดย ราชรามัญ | 19 ก.ย. 2567 | 03:30 น.

หน้า: [1] 2 3 ... 10