ภายหลังการประชุมของมหาเถรสมาคม ที่พุทธมณฑล เพื่อพิจารณาวาระมติของมหาเถรสมาคมเมื่อปี 2549 ในกรณีที่มหาเถรสมาคมมีมติว่าพระธัมมชโย หรือ พระเทพญาณมหามุนี เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ไม่อาบัติปาราชิก และมีการถวายคืนสมณะศักดิ์
พระพรหมเมธี กรรมการมหาเถรสมาคม โฆษกมหาเถรสมาคม เปิดเผยว่า
ที่ประชุมได้รับทราบเรื่องดังกล่าวและยืนยันว่ามติเมื่อปี 2549 ถูกต้องแล้ว
ทั้งนี้เรื่องเดิมคือในปี 2542 สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก มีพระลิขิตให้พระธัมมชโย หรือ พระเทพญาณมหามุนี เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ต้องอาบัติปาราชิก เนื่องจากยักยอกทรัพย์ของวัดพระธรรมกาย ซึ่งมหาเถรสมาคมสมัยนั้นได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง และดำเนินการให้เป็นไปตามพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชฯ แม้มีโจทย์ 2คน คือ นายสมพร เทพสิทธา และนายมานพ พรไพลิน ได้ฟ้องร้องพระธัมมชโยต่อศาล แต่ภายหลังนายมานพได้ถอนฟ้อง เนื่องจากพระธัมมชโยดำเนินการตามพระลิขิต โดยยอมคืนทรัพย์สินแก่วัดพระธรรมกายมูลค่ากว่า 900 ล้านบาท อัยการจึงยกฟ้องคดีดังกล่าว
มหาเถรสมาคมเห็นว่า พระธัมมชโย ไม่มีเจตนาขัดพระลิขิต และไม่มีเจตนาฉ้อโกง จึงถือว่าพ้นมลทิน และในปี 2549 ได้มีมติถวายคืนสมณศักดิ์ให้กับพระธัมมชโย อีกทั้งในปี 2554 ยังได้เลื่อนสมมศักดิ์จากยศพระราชภาวนาวิสุทธิ์เป็น พระเทพญาณมหามุนี
พระพรหมเมธีอธิบายว่า หลักการพิจารณาทางสงฆ์ว่าความผิดยักยอกทรัพย์สำเร็จหรือไม่นั้น จะดูที่เจตนาเป็นหลัก ซึ่งในกรณีนี้ มีที่มาของทรัพย์สินถูกต้องคือมาจากพุทธศาสนิกชน และเมื่อมีพระลิขิต ก็ได้มีการทยอยคืนทรัพย์สินแก่วัดทันที จึงถือว่ามีเจตนาไม่ฉ้อโกง
พระพรหมเมธี กล่าวด้วยว่าเรื่องนี้ผ่านมาแล้วกว่า 17 ปี และประเทศกำลังอยู่ในช่วงสร้างความปรองดอง อีกทั้งเป็นยุคที่ล่อแหลมต่อสื่อ ประเทศไทยถูกจับตามองจากต่างชาติเพราะเปลี่ยนแปลงการปกครอง จึงไม่อยากให้นำเรื่องเก่ามาพูดถึง
https://www.youtube.com/watch?v=08T8gPD7kSEท่านทั้งหลาย โปรดให้ความเคารพ พระผู้ใหญ่ ด้วยนะคะ กรุณา อย่าปรามาส นะคะ เพราะมันเป็นบาป