ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ลูกยอดกตัญญู ทิ้งทุกอย่างกลับบ้าน ปรนนิบัติพ่อก่อนวาระสุดท้าย  (อ่าน 1427 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

หมิว

  • ศิษย์ตรง
  • มีเหตุมีผล
  • *****
  • ผลบุญ: +3/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 398
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
เอเยนซีจีน - ได้แต่รอจนกว่าจะถึงวาระสุดท้ายของพ่อ โดยมิอาจทำอะไรได้มากไปกว่าการปรนนิบัติ น้ำตาลูกผู้ชายที่ไหลอยู่ในหัวใจ “ไม่เคยหยุดเลย” เงินก้อนสุดท้ายที่เก็บไว้เรียน ขอนำมาซื้อโลงศพให้พ่อก่อน...เพื่อทดแทนพระคุณ
       
       
       
        เรื่องจริงดังนิยาย ของครอบครัวตระกูลเฉิง
       
       “ผมชื่อเฉิง จี้ไหล แม่ของผมสิ้นลมไปหลายปีด้วยโรคมะเร็ง ปล่อยให้พ่อเฉิง อี้ซิง ทำงานหนักในนาเลี้ยงดูลูก 3 คน กระทั่งพี่สาว 2 คนเป็นฝั่งเป็นฝา ผมก็สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้สำเร็จ ต่อมาพ่อเฉิงก็สามารถหาคนดูแลได้ เป็นสตรีหม้ายที่มีอายุมากกว่าพ่อ 10 ปี พวกเรา 3 คน ก็คิดว่าพ่อน่าจะมีความสุขในบั้นปลายชีวิตแล้ว”
       
       “แต่ด้วยภาระงานที่หนักหน่วงตลอดมา ทำให้พ่อเฉิงมีอาการทรุดลงจากความเหนื่อยล้า แทบไม่น่าเชื่อว่าอาการทรุดของพ่อเฉิงจะทำให้พ่อถึงแก่ชีวิต ประกาศิตของหมอบาดลึกเข้าไปในหัวใจบอกว่า “ให้พ่อเฉิงรอวันตาย”
       
        “ผมซึ่งเป็นลูกชายที่กำลังเรียนชั้นปี 2 จึงตัดสินใจทิ้งทุกอย่างเพื่อกลับมาดูแลพ่อ จนกว่าจะถึงลมหายใจเฮือกสุดท้าย...”
       
       
       
       “ผมใช้เงินค่าเรียน 3,000 หยวนที่ทำงานเก็บเล็กผสมน้อยมาซื้อโลงศพสีดำไว้ให้พ่อ และจากนั้นก็รวบรวมเงินเท่าที่จะหาได้มาเป็นค่าใช้จ่ายในการดูแล”
       
       “แล้วต่อไปจะทำอย่างไร ผมยังไม่ได้คิดหาคำตอบใด ๆ ทั้งนั้น”
       
       เรื่องราวชีวิตชายหนุ่มวัย 24 คนนี้กับบิดาของเขา ก็คล้ายกับชาวจีนอีกนับไม่ถ้วนที่ตกอยู่ในสภาวะยากจนข้นแค้น ต้องสู้ชีวิตอย่างหัวหกก้นขวิด แต่ได้ค่าตอบแทนน้อยนิดและไม่เคยได้รับความสนใจจากสังคม
       
        “หัวใจของพ่อผมอาจจะหยุดเต้นได้ทุกเมื่อ เวลาที่เหลือนี้ไม่รู้จะสักกี่อีกนาที กี่วินาที..” เฉิงน้ำตาไหล... “ผมเคยฝันว่าพ่อผมจะฟื้นขึ้นจากความตาย แต่มันคงเป็นเพียงฝันลม ๆ แล้ง ๆ ดังนั้นสิ่งที่ผมจะทำได้ดีที่สุดก็คืออยู่กับพ่อที่รักจนวินาทีสุดท้าย”
       
       เฉิงกล่าวไปพลาง จุดกระดาษไปพลาง เงาของเขาทอดกระทบโลงศพสีดำที่เตรียมไว้บรรจุร่างไร้วิญญาณของบิดาทางด้านหลัง และเจ้าโลงศพนี้ก็คือน้ำพักน้ำแรงที่เฉิงทำงานพิเศษในระหว่างศึกษาเล่าเรียน
       
       
       
       ครอบครัวตระกูลเฉิง บ้านเดิมอยู่ที่หมู่บ้านอิงเซิ่ง ชานเมืองจังจย่า อำเภอเจิ้นอาน มณฑลซานซี เมื่อปี 2553 เฉิงซึ่งเป็นลูกชายคนสุดท้อง สอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ 492 คะแนน เนื่องด้วยเหตุผลด้านสถานภาพทางการเงินของครอบครัวแร้นแค้น เขาไม่สามารถจ่ายค่าเทอมที่แพงลิบได้ ท้ายที่สุดเฉิงตัดสินใจเรียนมหาวิทยาลัยการบินซีอาน โดยหยิบยืมกองทุนค่าเล่าเรียน 6,000 หยวนเพื่อเข้าศึกษาฯ
       
       เฉิงมีพี่สาว 2 คน แม่เสียชีวิตไปตั้งแต่ปี 2543 ด้วยโรคมะเร็งขณะที่เขาเพิ่งจะ 12 ขวบ ในช่วงหลายปีมานี้ ผู้เป็นพ่อต้องทำหน้าที่ทั้งพ่อทั้งแม่ ปากกัดตีนถีบดูแลลูก ๆ ทั้งสามคน พี่สาว 2 คนจบการศึกษาแค่ประถมฯ ต่อมาแต่จะคนก็แยกย้ายกันแต่งงานมีครอบครัว
       
        ความฝันสูงสุดของพ่อคืออยากเห็นลูกชายคนสุดท้องเรียนมหาวิทยาลัย และนำชื่อเสียงเกียรติยศมาสู่วงศ์ตระกูล เพื่อให้บรรพบุรุษที่ล่วงลับได้ชื่นชมยินดี และเฉิงก็ทำสำเร็จ...
       
       
       
        เฉิง อี้ซิง ผู้บิดาวัย 56 ปี ได้แต่นอนหมดสิ้นเรี่ยวแรง
       
       “ก่อนนี้ ไม่ว่าอากาศจะร้อนสักเพียงใด ก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับพ่อ พ่อจะลุกขึ้นสู้งานได้เสมอ แต่ขณะนี้พ่อทำไม่ได้แล้ว”
       
       “เมื่อผมเข้าเรียนมัธยมฯ ในโรงเรียนประจำอำเภอ ซึ่งห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร ก็ไม่สามารถดูแลพ่อได้ มีเพียงช่วงปิดภาคฤดูร้อนและวันหยุดหน้าหนาวเท่านั้น ที่จะกลับมาช่วยงานในนาได้”
       
       “พ่อไม่อยากเห็นลูกเหนื่อย จึงเพียงให้ทำงานเล็ก ๆ น้อย ๆ ทุกครั้งที่เห็นพ่อหายใจเหนื่อยหอบ เหงื่อเม็ดโตผุดพรายขึ้นมากลางหน้าผากขณะลงจอบขุดดิน หัวใจผู้เป็นลูกยิ่งปวดร้าว”
       
       เฉิงและพี่สาวคิดว่า พ่อควรจะมีครอบครัวใหม่ แต่พ่อบอกว่า ตอนนี้ก็อายุ 50 กว่าแล้ว พ่อขอเพียงให้ลูก ๆ มีอนาคตที่สดใส เท่านี้พ่อก็เป็นสุข
       
       
       
        เฉิง จี้ไหล เห็นผู้เฒ่าหลายคนแวะเวียนมาถามไถ่เรื่องพ่อของเขา และท้ายที่สุดก็มีหญิงหม้ายคนหนึ่งเป็นคนทำไม้ขีดไฟ มาถามถึงพ่อ และสุดท้ายพ่อเฉิงก็ได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับแม่เฒ่าที่มีอายุมากกว่าถึง 10 ปี เมื่อเดือน 12 (จันทรคติ) ปี 2551 สามีเก่าของเธอเสียชีวิตไปหลายปีแล้วและเธอไม่มีลูกติด หลังจากแต่งงานในช่วงปลายชีวิต สองผู้เฒ่าใช้ชีวิตช่วยเหลือกัน ลูก ๆ ก็คลายความห่วงใยลงได้บ้าง
       
       
       
        แต่สิ่งดี ๆ มักจะอยู่ไม่นาน...
       
       ท้ายที่สุดพ่อเฉิงก็ประสบปัญหาทางสุขภาพ เขาไม่ต้องการใช้เงินที่หามาได้ไปเป็นค่าหมอค่ายาที่โรงพยาบาล เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองป่วยเป็นอะไร
       
       รอกระทั่งปี 2554 เทศกาลตรุษจีน เฉิงจึงพาพ่อไปหาหมอ ในเขตฉังอาน เมืองซีอาน หมอวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งลำไส้ตรง ให้รีบรักษาโดยด่วน
       
       แต่ออกจากโรงหมอแล้ว พ่อเฉิงได้แต่เก็บใบตรวจโรคไว้คนเดียว และไม่บอกเรื่องนี้กับลูก ๆ บอกเพียงว่าพักผ่อนนิดหน่อยก็หาย .. แต่แท้จริงแล้วพ่อเฉิงรู้อาการตัวเองดีเสมอมา และต้องการรอให้พ้นฤดูเก็บเกี่ยวข้าวสาลีไปก่อน
       
       แต่หลังจากเก็บเกี่ยวแล้ว ห้องครัวในบ้านกลับพังครืนลงมา ต้องยืมเงินจากเพื่อนบ้านมา 6,000 หยวนเพื่อซ่อมแซมใหม่
       
       หลังจากอยู่บ้านพักหนึ่งจนกระทั่งสิ้นปีที่ผ่านมา พ่อเฉิงก็ล้มหมอนนอนเสื่อ วันที่ 14 ธ.ค. 2553 ลูกสาวรีบพาตัวพ่อส่งโรงพยาบาลฉังอาน แพทย์ต่อว่าพวกเขาว่า  “พาพ่อมาช้าเกินไป”
       
       
       
       เมื่อแพทย์ผู้รักษารู้สถานการณ์ทางการเงินของครอบครัว ก็ได้แต่บอกว่าเซลล์มะเร็งขณะนี้ได้ลุกลามไปทั่วแล้ว การรักษาขณะนี้เพียงยื้อเวลาไว้ได้ชั่วคราวเท่านั้น และความเป็นไปได้ที่จะรักษาต่อไปก็ต้องใช้เงินค่ารักษาแพงมาก
       
        พ่อเฉิงเข้าใจทันทีว่าแพทย์หมายถึงอะไร
       
       วันที่ 30 ม.ค. เฉิง อี้ซิงกลับบ้านที่อำเภอเจิ้นอาน หลังจากอยู่โรงพยาบาลมาเป็นเวลา 45 วัน
       
       
       
       3 วันให้หลัง ผู้เฒ่าผู้แก่ในหมู่บ้านก็แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนพ่อ ทุกคนส่ายหน้า บอกให้รีบเตรียมโลงศพไว้เถิด
       
        เฉิงไปตลาดและรู้ว่าโลงศพราคาสูงถึง 3,800 หยวนอย่างต่ำ พี่สาวคนโตจึงรีบกลับบ้านไปหาพ่อตาที่นอนป่วยอยู่บนเตียงอาหารหนักเช่นเดียวกับพ่อเฉิง ก็บอกว่าจะขอซื้อโลงศพพ่อตามาก่อน พ่อตาก็ตกลงขายให้ในในราคา 3,000 หยวน
       
       
       
       เฉิง จี้ไหล เริ่มทำงานหาเงินมาตั้งแต่เข้าเรียนมัธยม ขณะที่เขาเรียนในมหาวิทยาลัย ค่าครองชีพในแต่ละเดือนอย่างต่ำก็ 500 หยวน พ่อและพี่สาวรวมเงินกันเข้าได้ 200-300 หยวนทุกเดือน และเขาเองต้องหาส่วนที่เหลือเอง
       
        ไม่กี่ปีมานี้ เฉิงตัดสินใจไปทำงานในเขตก่อสร้าง ทำงานเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย หรือแม้แต่หาบเร่ตามท้องถนน ทำให้สามารถออมเงินได้กว่า 4,000 หยวน เฉิงจะต้องใช้เงินจำนวนนี้จ่ายค่าเล่าเรียน
       
        แต่.. เขาก็ต้องซื้อโลงศพให้กับพ่อ
       
       เฉิงเลือกอย่างหลัง เพราะพ่อคือผู้เลี้ยงดูเขามาแต่เล็กแต่น้อย ไม่มีพ่อก็ไม่มีนายเฉิง จี้ไหลในวันนี้ เฉิงต้องเพิ่มเงินค่าขนส่งโลงศพอีก 100 หยวน ทำให้ขณะนี้เขาใช้เงินไปแล้ว 3,100 หยวน
       
       
       
        ในระหว่างการขนส่ง ภาพวาดฝาโลงบางส่วนไม่ทันระวังก็หลุดลอกออกไป เฉิงโกรธมาก โทษตัวเองว่าเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ดูแลให้ดีที่สุดไม่ได้ และก็ต้องใช้เงินเพิ่ม ความจริงแล้ว เฉิงรู้สึกละอายอย่างที่สุด ที่ต้องซื้อโลงศพที่มีตำหนิให้กับบิดา
       
       
       
       เปิดภาคเรียนใหม่แล้ว เฉิงไม่สามารถไปเรียนได้ ต้องออกจากมหาวิทยาลัยชั่วคราว กลับมาดูแลพ่อที่บ้าน
       
       เมื่อพ่อออกจากโรงพยาบาลแล้ว หมอได้เขียนใบสั่งยาให้ ยาที่ต้องสั่งมาให้พ่อกินนั้นแพงแสนแพง พี่สาวคนรองที่ทำงานอยู่ในซีอาน ก็รีบไปตลาดขายส่งยาและเวชภัณฑ์ เพื่อซื้อยาในราคาที่ถูกลง
       
        ทุกครั้งที่ต้องซื้อยา พวกเขาต้องโบกรถไปและกลับ (ในภาพถ่ายเมื่อ 21 มี.ค. อำเภอเจิ้นอาน มณฑลซานซี ขณะที่เฉินกำลังหาซื้อยาระงับปวดให้กับบิดา)
       
       
       
       เฉิงต้องกลายเป็นหมอดูแลบิดา ทุกวันต้องตื่นมาทำความอะอาดบาดแผลกดทับและเปลี่ยนยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่ต้องเสียบไว้ที่ทวารหนักต้องเปลี่ยนวันละ 1 ถึง 2 ครั้ง ราคายาที่สวนทวารถูกสุดหลอดละ 7 หยวน ขณะที่คุณภาพดีขึ้นมาหน่อยก็อยู่ที่ 22.9 หยวน
       
        เฉิงต้องใช้สำลีพันก้านฆ่าเชื้อในการทำความสะอาด เฉิงระมัดระวังโดยใช้กระดาษทิชชูทำความสะอาดบาดแผลของผู้เป็นพ่อทุกครั้ง ของเสียที่พ่อขับถ่ายออกมาแต่ละครั้งนั้นต้องใช้ทิชชูจำนวนมากในการทำความสะอาด อย่างน้อยก็ 2 ม้วนต่อวัน
       
       
       
        ทุกครั้งที่เปลี่ยนยา พ่อจะรู้สึกเจ็บปวดสุดขีด พ่อขบฟันแน่นร้องว่า “ขอให้ฉันตายเถอะ ลูกๆ จะได้พ้นทุกข์พ้นโศกเสียที”
       
       ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงพ่อ เฉิงไม่อาจห้ามน้ำตาไว้ได้ ปล่อยให้ไหลลงกระทบร่างกายของพ่อที่ผอมแห้งเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก
       
        “พวกเราไม่มีเงินพอซื้อยาระงับปวด และยาระงับที่ได้มามีฤทธิ์อ่อนใช้ไม่ได้ผลอีกแล้ว ดังนั้นพวกเราได้แต่ดูพ่อเจ็บปวดโดยทำอะไรไม่ได้เลย” เฉิงกล่าวทั้งน้ำตา
       
       
       
       สมัยเรียน มีสาวหลายคนพึงพอใจเฉิง แต่เขาไม่กล้ารับรักใครทั้งสิ้น ผู้หญิงเหล่านั้นต้องการเงิน ซึ่งเขาไม่มีเงินพอจะซื้อแม้กระทั่งขนมเพื่อพิชิตใจพวกเธอ
       
        เฉิงสูงเมตรกับอีก 73 ซ.ม. และหนักเพียง 50 กว่ากิโล ส่วนพ่อที่นอนอยู่บนเตียงนั้นนับวันจะยิ่งซูบซีด น้ำหนักพอ ๆ กับถุงเส้นแป้งเท่านั้น แต่ที่น้ำหนักยังพอมีอยู่บ้าง ก็เพราะว่าขาทั้งสองข้างนั้นบวมเต่งขึ้นมา
       
       
       
        วันที่ 21 มี.ค. ขณะที่พ่อเฉิงอาการหนัก เฉิง จี้ไหลและพี่สาวเดินทางมายังศูนย์การแพทย์ในอำเภอถึง 5 ครั้ง เพื่อสอบถามถึงเงินสงเคราะห์จากรัฐบาล ที่พ่อพึงจะได้รับ เพราะขณะนี้ร้อนเงินมาก ต้องรีบซื้อยา
       
       
       
        เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้ นายโข่ว เจิ้งผิง หัวหน้าศูนย์การแพทย์ก็ทำการเบิกจ่ายค่ายาให้กับครอบครัวของเฉิงในเบื้องต้นก่อน
       
       
       
        เงินช่วยเหลือนี้สามารถเบิกได้เพียง 41 เปอร์เซ็นต์ ส่วนยานอกบัญชียาหลักกว่า 10,000 หยวนนั้นก็ไม่สามารถเบิกได้ เงินค่ารักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลจำนวน 12,020 หยวนนั้น ท้ายที่สุดแล้วเบิกได้เพียง 4,326 หยวนเท่านั้น
       
       
       
        เฉิน จี้ไหล รับเงินค่ารักษาพยาบาลสงเคราะห์จำนวน 4,326 หยวน และลงชื่อกำกับ
       
       
       
        สำหรับครอบครัวของเฉิงแล้ว เงินจำนวนที่เหลืออยู่นั้นสำคัญและจำเป็นยิ่ง เฉิงใช้เงิน 630 หยวน เพื่อซื้อเสื้อผ้าในพิธีฝังศพ และให้หญิงในหมู่บ้านคนหนึ่งทำรองเท้าผ้าสวมให้กับพ่อของเขา ซึ่งขณะนี้เท้าบวมใหญ่มาก
       
       
       
        ณ ร้านขายส่งเสื้อผ้า เฉิงเดินวนเวียนอยู่หน้าร้านหลายรอบ กว่าจะตัดสินใจเข้าไป ทันใดนั้นก็เหลือบไปเห็นป้ายลดราคาขายเสื้อผ้าบางชิ้นอยู่ที่เพียง 20 หยวน
       
       
       
        จากนั้นเฉิงก็พุ่งเข้าไปยังเสื้อผ้าลดราคา หลังจากต่อรองแล้ว ก็ซื้อเสื้อถักชุดหนึ่งให้พ่อราคา 40 หยวน เฉิงหวังว่าพ่อจะได้สวมในขณะที่ยังมีชีวิต
       
       
       
        หลังจากนั้น เฉิงก็มาตลาดสด ใช้เงิน 19 หยวนซื้อปลา เขากล่าวว่าโดยปรกติแล้วพ่อชอบกินซุปปลาตุ๋น แต่หลังจากล้มป่วยพ่อเพิ่งจะได้กินซุปเพียงครั้งเดียวตอนอยู่ในโรงพยาบาลที่ซีอาน
       
       
       
        เช้าวันถัดมา เฉิงป้อนซุปปลาตุ๋นให้พ่อ แต่พ่อกลืนลงไปได้เพียง 2 ช้อน ที่เหลือกินไม่ได้อีกแล้ว
       
       
       
        ครอบครัวของเฉิงใช้เงินที่มีอยู่ทั้งหมดเพื่อรักษาพ่อ บ้านเฉิงมีหมู 2 ตัว เฉิงตัดสินใจขายตัวเล็กซึ่งยังโตไม่เต็มวัยไปตอนที่พ่อเข้าโรงพยาบาล และต่อมาตัดสินใจขายแม่หมู่อีกตัวที่เหลือ แต่พ่อห้ามไว้โดยบอกว่า จากนี้อีกเดือน แม่หมูจะออกลูก ขายไปตอนนี้เสียดาย
       
       เฉิงกล่าวอย่างน้อยเนื้อต่ำใจว่า “ผมมันไร้ค่า ยืมเงินจากญาติทั้งหมดแล้วเพิ่งจะหาได้แค่ 20,000 หยวน ไม่พอรักษาพ่อ”
       
       
       
       ครอบครัวของเฉิงยากจนเข็ญใจ ตัวบ้านสร้างด้วยดินโคลน แล้วใครเล่าจะกล้าเสี่ยงให้ยืมเงิน อย่างไรก็ดี อาของเขาสัญญาว่าจะให้เงิน 5,000 หยวนหลังจากพ่อเฉิงเสียชีวิต
       
        อาวัย 38 ปีของเฉิงยังไม่ได้แต่งงานคนนี้สัญญาว่า “อย่างไรเสียคนตายแล้วก็ต้องทำศพ ส่วนเงิน 5,000 หยวนที่เก็บมาเพื่อจะแต่งเมียก็ให้พี่ไปเถิด”
       
       
       
        ก่อนหน้านี้มีผู้เฒ่าในหมู่บ้านเสียชีวิตไป 2 คน เฉิง จี้ไหลได้เงินบริจาคจากการจัดพิธีศพมารวมแล้ว 300 หยวน
       
       
       
        เมื่อเห็นว่า วันเวลาบนโลกใบนี้เหลือน้อยลงไปทุกวัน เฉิงจึงได้แต่เตรียมพิธีศพให้กับพ่อ
       
       
       
       
       
        เฉิงนอนห้องเดียวกับพ่อเสมอ นอนข้าง ๆ พ่อของเขา เขาไม่รู้ว่าพ่อจะไปเมื่อไร
       
        กระทั่งตี 1 ของวันที่ 10 มี.ค. พ่อที่นอนไม่ขยับกลับสามารถค่อย ๆ ลุกขึ้นเดินไปยังเล้าหมูได้ หน้าต่างห้องยังเปิดอยู่ พ่อเฉิงหยิบขวดยาเคมีเกษตรขึ้นมา เปิดฝาขวดออก...
       
        กลิ่นฉุนของสารเคมีกระทบจมูกของลูกชาย ทำให้สะดุ้งตื่นขื้นมา พลันเห็นพ่อกำลังจะดื่มยาพิษ ก็พุ่งสุดตัวออกจากเตียงยื้อยาพิษออกจากพ่อได้ และเสียงดังของทั้งสองก็ระเบิดขึ้นฟังไม่ได้ศัพท์
       
        เฉิงบอกว่าเขาไม่ได้ต่อว่าพ่อ และพ่อก็สัญญาว่าจะไม่ทำเช่นนี้อีก ที่พ่อทำไปเช่นนั้นเพราะรู้สึกเจ็บปวดมากและไม่มีเงินพอซื้อยาระงับปวด พ่อจึงตัดสินใจจบชีวิต ไม่ต้องการให้ลูก ๆ ลำบากในการดูแล
       
       เฉิงได้แต่โทษตัวเองว่า ยังเด็กเกินไปไม่สามารถหาเงินได้ ไม่สามารถทำให้พ่อคลายความเจ็บปวดลงได้
       
       
       
        เย็นของวันที่ 21 มี.ค. เฉิง อี้ซิงรู้ว่าเวลามาถึงแล้ว ชีวิตนี้ งานหนักที่แบกรับไว้ ชายคนนี้ที่ไม่เคยเกียจคร้าน ยังคงรู้สึกห่วงหาลูกชาย เขาเรียกลูกเฉิงไปหา บอกว่า “ค่าซ่อมครัว 6,000 หยวนยังไม่ได้คืนเจ้าของเลย เจ้าต้องหามาคืนเขา และต้องดูแลแม่เลี้ยงของเจ้าด้วย และที่สำคัญลูกต้องตั้งใจเรียน”
       
       เฉิงระงับน้ำตาไว้ ได้แต่พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เขารู้ว่านี่คือคำสั่งเสียของพ่อ
       
       
       
        กระทั่งวันที่ 27 มี.ค. 2555 เวลา 21.30 น. นายเฉิง อี้ซิงก็จากไป

http://www.manager.co.th/China/ViewNews.aspx?NewsID=9550000052514
บันทึกการเข้า
ใจดี น่ารัก และ ไม่ชอบคนที่กวน...ใจ
แสงพระธรรม นำทาง นำสู่ใจ ได้รับแสงสว่าง
แสงสว่างใดเสมอด้วยปัญญาไม่มี