ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ใคร...คือ แม่ผู้สร้างโลก  (อ่าน 1451 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28555
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
ใคร...คือ แม่ผู้สร้างโลก
« เมื่อ: สิงหาคม 16, 2015, 11:40:04 am »
0




ใคร...คือ แม่ผู้สร้างโลก
วิปัสสนาบนหน้าข่าว โดยมนสิกุล โอวาทเภสัชช์ เรื่อง

"อาตมามีความเสียใจอยู่อย่างหนึ่ง เสียใจอยู่อย่างยิ่งว่า สมัยเมื่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ อาตมาก็ไม่มีความรู้อะไร แม้จะบวชแล้วก็มีความรู้ธรรมะโง่ๆ เง่าๆ งูๆ ปลาๆ อย่างนั้นแหละ ถ้ามีความรู้อย่างเดี๋ยวนี้ จะช่วยแม่ได้มากให้พอใจรู้ธรรมะอย่างยิ่ง แต่แม่ชิงตายไปก่อน ก่อนที่อาตมาจะมีความรู้พอจะสอนธรรมะลึกๆ ให้แม่ได้ นี่เป็นเรื่องที่นึกแล้วก็ว้าเหว่อยู่ไม่หาย " พุทธทาสภิกขุ

เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคมที่ผ่านมา หอจดหมายเหตุพุทธทาส อินทปัญโญ กรุงเทพฯ ร่วมกับ ๓  สถานธรรมเพื่อลูกผู้หญิง ร่วมกันจัดงานภาวนา “บูชาพระคุณแม่” ณ ห้องปฏิบัติธรรม ชั้น ๒ ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าถึงห้าโมงเย็น โดยมีอุบาสิกา พญ.เสริมทรัพย์ ดำรงรัตน์ ที่ปรึกษาสวนอุศมมูลนิธิ กรุงเทพฯ กล่าวปฐมนิเทศกิจกรรมการภาวนาในยามเช้า จากนั้น ฟังปาฐกถาธรรมของพุทธทาสภิกขุ เรื่อง “พระคุณแม่” ที่ทำให้ลูกๆ กลับมาถามตนเองว่า ดูแลแม่ดีพอหรือยังในวันนี้


 :25: :25: :25: :25:

จากนั้นเป็นเสวนาเรื่อง “แม่คือผู้สร้างโลก” โดยอาจารย์สมจิตรา สุริเย ธรรมาศรมธรรมมาตา สวนโมกข์ ไชยา ทพญ.วัลภา นภาคำรณฤทธิ์ ประธานสวนอุศมมูลนิธิ กรุงเทพฯ และจิรภัทร์ บัวอิ่น ผู้ประสานงานกลุ่มมาตาภาวนา เจ้าหน้าที่ส่วนงานกิจกรรมและเผยแผ่ สวนโมกข์ กรุงเทพ

จากนั้นก็เป็นกิจกรรม “เรื่องเล่าแม่ในใจฉัน” ตามด้วยรับประทานอาหารกลางวันอย่างมีสติ แล้วเข้าสู่กิจกรรมช่วงบ่าย เริ่มต้นจาก “พักกายพักใจ”, ปฏิบัติภาวนา  และกิจกรรม "จดหมายถึงแม่" แล้วปิดท้ายรายการด้วยการสวดมนต์ แผ่เมตตา ก็เป็นอันจบการภาวนา “บูชาพระคุณแม่” อย่างอิ่มอกอิ่มใจ

 st12 st12 st12 st12

สำหรับที่มาที่ไปของงานภาวนาวันแม่ในครั้งนี้ จิรภัทร์ กล่าวว่า เพราะปีนี้ เป็นปีแรกที่สวนโมกข์ กรุงเทพฯ มาจับงานภาวนาส่งเสริมการปฏิบัติธรรมสำหรับเพศแม่ เรียกว่า “มาตาภาวนา” โดยจัดขึ้นเดือนละสองครั้ง มาวันเสาร์กลับ เช้าวันอาทิตย์ ซึ่งส่วนตัวของเธอเอง นอกจากเคยบวชเป็นสามเณรีช่วงหนึ่งแล้ว เมื่อปีก่อน ยังไปเข้าคอร์สที่ธรรมาศรมธรรมมาตา ที่สวนโมกข์ ไชยา จ.สุราษฎร์ธานี ถึง ๓ เดือน และอยู่ภาวนาเฉพาะตนอีกครึ่งเดือน

ในช่วงสามเดือนกว่าที่ผ่านมา เธอได้รับพลังและแรงบันดาลใจในการที่จะเกื้อกูลลูกผู้หญิงให้ได้พบกับความสงบได้มากขึ้น สมดังความดำริของท่านอาจารย์พุทธทาส ในการก่อตั้ง “ธรรมาศรมธรรมมาตา” ที่เป็นลายมือของท่าน ซึ่งสรุปความได้ว่า เพื่อให้โลกมีธรรมเป็นมารดา,  เพื่อเป็นการกตัญญูกตเวทีตอบแทนเพศมารดาให้สมแก่ความเหนื่อยยากลำบาก, เพื่อให้เพศแม่ได้มีโอกาสศึกษาธรรมและปฏิบัติธรรมได้เต็มที่ แล้วเผยแผ่และสืบอายุพระพุทธศาสนาได้สูงสุดในลักษณะของธรรมทูตหญิง และเพื่อเป็นการเสริมแทนภิกษุณีบริษัทที่ยังขาดอยู่ (โดยมิต้องบวชเป็นภิกษุณี)


 ans1 ans1 ans1 ans1

เมื่อเธอกลับมาทำงานที่สวนโมกข์ กรุงเทพฯ กลุ่มมาตาภาวนา จึงกำเนิดขึ้นนับแต่นั้นมา 

“การไปศึกษาธรรมะที่สวนโมกข์ไชยา ได้อยู่กับธรรมชาติมาก ตอนเช้าเรียนปริยัติ ตอนบ่ายเป็นการปฏิบัติและได้ปิดวาจา ทำให้ได้ย้อนกลับมาดูกาย ดูใจของเราอย่างเต็มที่ และค่อนข้างเข้มข้นกว่าที่เคยบวชเรียน ๕ เดือน เพราะตอนบวช เน้นการทำงานเป็นจิตอาสามาก แต่สามเดือนกว่าที่ธรรมมาตา ลงลึกในเรื่องการปฏิบัติ ส่วนสิกขาว่าด้วยเรื่องปริยัติก็เข้มข้นไม่แพ้กัน แล้ว ๑๕ วันสุดท้ายตอนอยู่เฉพาะตน เมื่อเรามีอิสระทุกอย่าง จะอยู่อย่างไร จะเปิดมือถือ จะทำอะไร มีสิทธิที่จะตัดสินใจ แล้วดำเนินการ และช่วงสุดท้ายนี้เองคือบททดสอบตัวเรา

“ในคอร์สสามเดือนแรก เราปิดวาจาไปสองเดือน และพูดกับเฉพาะผู้สอนเท่านั้น ช่วงปิดวาจา เราเห็นความโลภ ความโกรธ ความหลงภายในใจค่อนข้างชัด รู้สึกว่าผัสสะที่มากระทบในแต่ละทาง ถ้าไม่มีสติที่จะรับมือกับมัน ทุกข์ได้ง่ายๆ เลย

 st11 st11 st11 st11

“ฉะนั้น สิ่งสำคัญของการฝึกปฏิบัติก็คือ เรียนแล้วก็นำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้จริง การบวชก็คือ การบังคับตัวเองได้ มีวินัยกับตัวเองว่าเราจะศึกษาพระธรรมคำสอนจริง นั่นคือการบวชจริง ได้รับผลจริง และบอกต่อ แนะนำคนอื่นได้จริง ก็จะทำให้พระธรรมยังคงอยู่ และแผ่กว้างออกไป"

ประสบการณ์การไปภาวนาที่ธรรมาศรมธรรมมาตาทำให้เธอตระหนักถึงคุณค่าของชีวิตด้านในเป็นอย่างมาก การเดินทางแสวงหาความสงบเย็นให้กับจิตใจท่ามกลางการทำงานเพื่อสังคมที่ต้องกระทบกับผู้คน และอารมณ์ตนเอง ซึ่งเธอเคยรู้สึกว่า ทำไมทำงานดีๆ เพื่อคนอื่นก็ยังเหนื่อย เมื่อไปเข้าภาวนาครั้งนี้กลับมา เธอพบหนทางในการทำงาน และการใช้ชีวิตที่เบาสบาย ท่ามกลางงานหนักแล้ว ดังที่เธอเล่า


 st12 st12 st12 st12

“ด้วยการเรียนธรรมะของพระพุทธเจ้า ผ่านคำสอนของท่านอาจารย์พุทธทาสและของครูบาอาจารย์พระสุปฏิปันโน เช่นหลวงปู่ชา สุภัทโท หรืออย่างอุบาสิกาคุณรัญจวน อินทรกำแหง ผู้สืบทอดดำริของท่านอาจารย์พุทธทาส มาเริ่มต้นโครงการนำร่องของธรรมาศรมธรรมมาตา ในชื่อว่า “โครงการฝึกอบรมตน เพื่อความมีชีวิตพรหมจรรย์ที่หมดจดงดงาม”

“ท่านอาจารย์รัญจวน วางหลักสูตรเอาไว้ แล้วเราไปเรียนในบรรยากาศธรรมชาติในป่าแบบนั้น เรารู้สึกได้แรงบันดาลใจเป็นอย่างมาก ได้พลังกลับมาเฉพาะตนเอง และกับการทำงานทางธรรมที่ตัวเรารับผิดชอบอยู่ที่สวนโมกข์กรุงเทพฯ ด้วย ทำให้เราเห็นว่าสติ เป็นเรื่องสำคัญมาก พอกลับมาครั้งนี้ รู้สึกผ่อนคลายขึ้นเยอะ เราเห็นข้อบกพร่องของตัวเอง จุดอ่อน ของตัวเอง โดยผ่านการชี้แนะจากครูบาอาจารย์ ทำให้เห็นว่าที่ผ่านมา เราเองก็อาจมีมุมมอง และการใช้ชีวิตที่เคร่งครัดมากเกินไป กำหนด คาดหวังกับตัวเองมากเกินไป การคบหากัลยาณมิตรก็สำคัญ ทำให้เราตระหนักในการใช้ชีวิตของเรามากขึ้น การจัดสรรเวลา การทำงานที่จิตเปิดกว้าง ทำอย่างไร"   

การบวชจึงสามารถทำได้ทุกที่ เพราะมันอยู่ที่การฝึกจิตเราให้เป็นอิสระ ไม่เป็นทาสกิเลส  แล้วเราจะพบว่า แม่ คือผู้สร้างโลกนั้นคือ ธรรมะนี่เอง ที่หากได้ครองใจใครแล้ว ไม่ว่าจะเป็นลูกหญิง หรือลูกชาย ก็จะนำทางผู้นั้นไปสู่ความสงบเย็นและเป็นประโยชน์กับตนเองและผู้อื่น


ขอบคุณบทความและภาพจาก
http://www.komchadluek.net/detail/20150814/211603.html
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ