ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - ครูนภา
หน้า: 1 [2] 3 4
41  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ว.วชิรเมธี เลิกโหนกระแสเทศกาลจัดกิจกรรมหวังผลการตลาด เมื่อ: กุมภาพันธ์ 09, 2011, 09:46:29 am
ว.วชิรเมธีให้ข้อคิดหลักธรรมในเดือนแห่งความรัก ยกระดับความรักส่วนตัวเป็นความรักส่วนรวม มุ่งเข้าถึงหัวใจของศาสนาคริสต์และพุทธ แนะเปิดเวทีเผยแพร่คำสอนให้มากขึ้น เลิกโหนกระแสเทศกาลจัดกิจกรรมหวังผลการตลาด

    พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย กล่าวถึงธรรมะที่เกี่ยวเนื่องในเทศกาลวันวาเลนไทน์และวันมาฆบูชาว่า เดือนกุมภาพันธ์เป็นเดือนแห่งความรักอย่างแท้จริง เนื่องจากเป็นวันสำคัญทางศาสนา 2 ศาสนาที่เวียนมาบรรจบในเดือนเดียวกัน คือ วันวาเลนไทน์ของศาสนาคริสต์ และวันมาฆบูชาแห่งพุทธศาสนา แม้ทั้งสองศาสนาจะมีวิถีความเชื่อแตกต่างกัน แต่คำสอนมีเนื้อหาสาระเกี่ยวข้องตรงกัน คือ เรื่องความรัก หากจะมองอย่างผิวเผินก็เป็นความรักของคนหนุ่มสาว แต่ควรจะมองให้ลึกซึ้งเป็นความรักของมวลมนุษยชาติ โดยพระเยซูศาสดาของชาวคริสต์และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต่างก็มอบความ รักให้มนุษย์ด้วยการให้สอนทำความดี ละเว้นความชั่ว
    ว.วชิรเมธีบอกว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมโอวาทปาฏิโมกข์เป็นหัวใจของพุทธศาสนา แม้พระองค์ตรัสรู้แล้วก็ไม่ทอดทิ้งผู้คน หากยังมอบความรักให้ด้วยการมอบหมายให้เหล่าสาวกออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้ เข้าถึงมวลมนุษยชาติ ภายใต้ความคิดที่ว่า โลกทั้งผองล้วนเป็นพี่น้องกัน ซึ่งเป็นความรักที่สังคมไทยกำลังต้องการอย่างยิ่ง เวลานี้บ้านเมืองไม่มีความสงบสุข เพราะมีความรักให้แก่กันน้อยลง กลับเพิ่มความโกรธเกลียดชิงชังมากขึ้น ส่งผลให้สภาวะในสังคมไทยมีความแตกแยกกันอย่างรุนแรงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมา ก่อน
    "ดังนั้นเมื่อวันสำคัญทั้งสองเวียนมาถึงในเดือนกุมภาพันธ์ ควรกระตุ้นให้สังคมไทยเปิดหัวใจให้กว้าง เรียนรู้และยอมรับความแตกต่าง ปรับเปลี่ยนมุมมองโลกทัศน์ คนที่มีความคิดเห็นต่างจากเราก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นคนเลวหรือเป็นคนมี ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์น้อยกว่าเรา แม้เป็นคนที่คิดเห็นไม่เหมือนกันเราก็มอบความรักให้กันได้ ดังเช่นพระเยซูสอนว่า ควรรักเขาเท่ารักตัวเอง ส่วนพระพุทธเจ้าสอนให้เรารักผู้อื่นเหมือนความรักที่แม่มีต่อลูก"
    ในช่วงเดือนแห่งความรัก ทุกคนต้องร่วมกันเปลี่ยนสังคมแห่งความเกลียดชังให้เป็นสังคมแห่งความรัก มีหัวใจของการแบ่งปันอย่างไร้ขีดจำกัด ความรักมี 4 ระดับ คือ 1.รักตัวกลัวตาย 2.รักใคร่ปรารถนา ซึ่งเป็นความรักที่ยังไม่ประเสริฐและอิงอยู่กับสัญชาตญาณเอาตัวรอด เราควรยกระดับจิตใจให้มีความรักที่สูงขึ้น คือ 3.รักเมตตาอารี และ 4.รักมีแต่ให้ ซึ่งเป็นความรักที่ประเสริฐและนำพาสังคมไปสู่ความผาสุก
    พระนักวิชาการชื่อดังยังให้คำแนะนำแก่หน่วยงานหรือองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ที่เตรียมจัดกิจกรรมเนื่องในวันวาเลนไทน์ว่า ไม่ควรจัดงานแบบฟุ้งเฟ้อหรือฉาบฉวยเพื่อหวังผลการตลาดหรือกระตุ้นยอดขาย สินค้าของตนเอง การที่สังคมพุ่งเป้าความสนใจไปเฉพาะดอกกุหลาบถือเป็นเรื่องตื้นเขิน ต้องคิดก้าวไปให้ไกลกว่านี้ คือ ส่งเสริมให้มีความรักจากระดับบุคคลเป็นความรักต่อส่วนรวม
   "วันมาฆบูชาไม่ควรกระตุ้นให้คนเข้าวัดไปเวียนเทียนอย่างเดียวเท่านั้น เพราะเป็นเพียงพิธีกรรมที่ผู้คนอาจเข้าไม่ถึงแก่นแท้ในหลักธรรม แต่ควรเปิดเวทีเสวนาหรือปาฐกถาพูดคุยเรื่องเนื้อหาสาระของโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งเป็นการเปิดพื้นที่ทางพุทธศาสนาของจริงแท้ให้มากขึ้น โดยไม่จมปลักอยู่กับจอมขมังเวทย์ในคราบผ้าเหลืองเช่นทุกวันนี้ สรุปว่าแก่นแท้ของวันวาเลนไทน์และหัวใจในวันมาฆบูชา คือ ความรัก ความเมตตาที่เป็นสากลของคนทั่วโลก" พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี เผย
    ส่วนกรณีที่มีการเปิดเผยผลสำรวจจากสำนักโพลล์แห่งหนึ่งว่า ว.วชิรเมธีเป็นพวกเสื้อเหลืองนั้นเป็นเรื่องไร้สาระและไม่อยากตอบโต้หรือชี้ แจงใดๆ เพราะถ้าเลือกข้างใดข้างหนึ่งตามที่โพลล์ระบุ ก็คงจะไม่ดำรงอยู่ในเพศบรรพชิต แต่หันไปเล่นการเมืองดีกว่า.

ที่มา... น.สพ. ไทยโพสต์ วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554
42  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / เน็ตเข้าไม่ได้ 45 นาที ได้แจ้งพระอาจารย์ไปแล้วทางโทรศัพท์ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2011, 05:24:41 pm
เมื่อเวลา 16.30 น.โดยไม่ประมาณ เน็ตช้ามาก ตรวจสอบแล้วเป็นที่ hosting

 :smiley_confused1:
43  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 15 วิธีแก้เคราะห์ สะเดาะกรรมให้ร่ำรวย เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2011, 08:06:55 am
การ แก้กรรมสะเดาะเคราะห์เป็นการทำพิธีตามความเชื่อโบราณว่าจะสามารถส่งเสริม ดวงชะตาให้ดีขึ้น มักรวมไปถึงการต่ออายุ หรือแก้ไขสิ่งเลวร้ายให้กลายเป็นดี การเริ่มทำบุญตั้งแต่ต้นปีก็จะเพิ่มดวง เสริมสง่าราศีให้ชีวิตมีความสุข และประสบความสำเร็จตลอดทั้งปีและตลอดไปอย่างแน่นอน

1. ถือศีล 5 การ ถือศีล 5 เป็นประจำจะช่วยเสริมดวงชะตาและจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในความดีงาม การทำดีและไม่เบียดเบียนใครถือเป็นการทำบุญกุศลที่ได้อานิสงส์ เป็นผลให้เกิดความโชคดี และแก้เคราะห์ลดกรรมได้

2. การถือศีล 8 จะ ช่วยเสริมดวงและแก้เคราะห์ได้เช่นเดียวกับการถือศีล 5 แต่การถือศีล 8 นั้นปฏิบัติได้ยากยิ่ง แต่เมื่อปฏิบัติได้สำเร็จจะได้กุศลแรงนักปฏิบัติแล้วยังช่วยเสริมดวงอำนาจ บารมีได้

3. กินเจ ก็เพื่อลดละชีวิตสัตว์ ซึ่งได้อานิสงส์ผลบุญสูงและควรปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ถ้าอธิษฐานไว้ว่า 7 วัน ก็ทำให้ครบ 7 วัน อาจตั้งจิตว่าจะทำทุกวันพระและทุกเดือน หรือปฏิบัติทุกเดือน เดือนละ 3 วัน หรือ 7 วัน เป็นต้น

4. ไหว้พระและถวายดอกไม้ ธูปเทียน รวมทั้งการปิดทองคำเปลวและเครื่องหอม ผลบุญนี้จะทำให้ชีวิตรุ่งเรือง มีความเจริญก้าวหน้า

5. ถวายน้ำมันตะเกียง เพื่อ ความรุ่งโรจน์โชติช่วงของชีวิต เช่นเดียวกับความสว่างของแสงตะเกียง ทำให้พ้นจากความมืดมิดทั้งการดำเนินชีวิต รวมทั้งปัญหาและความคิดที่สว่างไสวไม่อับจนหนทาง

6. ถวายสังฆทาน เป็น การทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา โดยถวายสิ่งของจำเป็นแด่พระสงฆ์ อานิสงส์ผลบุญจะส่งให้ชีวิตหมดเคราะห์หมดโศก จะทำสิ่งใดก็ราบรื่นไม่ติดขัด พบแต่ความสำเร็จสมปรารถนา รวมทั้งมีความเป็นอยู่อุดมสมบูรณ์ ไม่ขัดสน

7. ไหว้พระ ไหว้บูชาเทพต่างๆ จะ ทำให้พบกับความสุข ความเจริญเกิดความสุขใจว่ามีที่พึ่งพิง ยึดเหนี่ยว นำมาซึ่งกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตต่อไปและรู้สึกเสมอว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คอยคุ้มครองเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง

8. ทำบุญปล่อยสัตว์ เป็น การไม่เบียดเบียนชีวิตผู้อื่น แต่ถือว่าได้บุญแรง จะต้องทำด้วยความตั้งใจจริง เช่น การไปซื้อสัตว์ที่กำลังจะถูกฆ่าไปปล่อย ไถ่ชีวิตวัวควายถวายวัดเพื่อมอบให้ชาวนานำไปใช้ประโยชน์ ซื้อปลาในตลาดที่จะถูกฆ่าไปปล่อยน้ำ ผลบุญนี้ยังผลให้หมดทุกข์ หมดภัย และพบความสุขความเจริญในชีวิต

9. ทำบุญ ให้ทาน เป็น การรู้จักเสียสละตนเองและแบ่งปันให้ผู้อื่น ซึ่งผลบุญจะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมีจิตใจยินดีในการทำบุญให้ทานด้วย ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงพุทธศาสนา หรือการให้ทานเกื้อกูลคนยากไร้ ล้วนแล้วแต่เป็นบุญส่งเสริมให้ชีวิตมีโชค มีทรัพย์ และมากด้วยบารมี

10. ทำทานแก่คนยากไร้ เป็น การทำบุญที่มาจากจิตใจอันไม่ยึดติดมีความไม่โลภ ผลบุญจึงหนุนนำให้มีแต่ความราบรื่น ยามมีเรื่องติดขัดก็จะมีผู้มาช่วยเหลือค้ำจุน ยามมีเคราะห์ภัยก็จะแคล้วคลาด เพราะแรงอนุโมทนาจิตจากผู้ยากไร้ที่ได้รับสิ่งของจากเรานั่นเอง

11. ทำบุญโลงศพ ซื้อ โลงศพบริจาคศพอนาถาไร้ญาติ จะได้อานิสงส์แรงยิ่งนัก การทำบุญเช่นนี้จะช่วยเสริมดวงชะตาให้แข็งแกร่ง สามารถต้านเคราะห์ภัยหนักต่างๆ และผ่อนหนักเป็นเบาได้

12. พิมพ์หนังสือธรรมะแจก จัด พิมพ์เองหรือร่วมบริจาคสมทบทุนการพิมพ์กับผู้อื่นก็ได้ เป็นการเสริมดวงให้มีวาสนาบารมี เพื่อให้ปัญญาสว่าง หมดทุกข์ หมดโศก ไม่มีเคราะห์ร้ายมากล้ำกราย

13. บริจาคค่าน้ำ ค่าไฟ จะช่วยให้ชีวิตราบรื่น หมดทุกข์ หมดโศก ประสบแต่ความโชคดี

14. ซื้อข้าวสารถวายวัด เลี้ยงอาหารเด็กกำพร้าตามสถานสงเคราะห์เป็นการสั่งสมบุญกุศล เพื่อให้ชีวิตมั่งคั่ง อุดมสมบูรณ์และเพียบพร้อมด้วยบารมี

15. การตักบาตรร่วมขันกับผู้อื่นหรือทำบุญร่วมกับผู้อื่น ไม่ ว่าจะทำบุญด้วยการบริจาคทรัพย์หรือโดยทางอื่น จะส่งผลให้เนื้อคู่ดูดี ดวงชะตาแข็งแกร่ง เกื้อกูลซึ่งกันและกัน และจะได้แต่เพื่อนที่ดีในชาตินี้
44  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คนจริงรู้ ของจริง เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 04:42:54 pm


ที่มา

http://www.watsanamnai.org/index.php?lay=show&ac=article&Id=539171870&Ntype=20
45  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / วาระ ๑๐๐ ปี ชาตกาล หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 04:39:45 pm
วาระ ๑๐๐ ปี ชาตกาล หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ
กำหนดการจัดงาน “เทียนธรรม นำสากล”
 วันที่ ๒๘-๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๔
ณ สวนธรรมสากล ต.ควนลัง อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา
และห้องประชุมทองจันทร์ฯ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์


ผู้ติดต่อประสานงาน: คุณจรรยา สวนธรรมสากล 074-259232  หรือ คุณขจรศรี 089-6484924

กิจกรรมในงานพิธีเปิด

ปฏิบัติบูชา ปาฐกถาธรรม ธรรมเสวนา

การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว ตามแนวทางหลวงพ่อเทียน

หนังสือธรรมะและวีซีดีธรรมเพื่อเผยแผ่  เป็นธรรมทาน

นิทรรศการ/ประวัติ/วิดีทัศน์/คำสอน/แนวทางการปฏิบัติของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

วัตถุประสงค์

๑. เพื่อเป็นอาจริยบูชาแด่บูรพาจารย์ คือ  หลวงพ่อเทียน  จิตฺตสุโภ

๒. เพื่อให้ผู้ปฏิบัติธรรมเจริญสติแบบเคลื่อนไหวได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ในการฝึกปฏิบัติ

๓. เพื่อเผยแพร่การฝึกเจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวทางหลวงพ่อให้เป็นที่รับรู้มากขึ้นในสังคมไทย

๔. เพื่อสร้างความชัดเจนในแนวทางการปฏิบัติโดยจัดอบรมการเจริญสติแบบเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง

๕. เพื่อประสานความร่วมมือและหนุนช่วยกันในการขับเคลื่อนงานวาระ ๑๐๐ ปีฯ อย่างมีพลัง

ร่างกำหนดการ

วันศุกร์ที่ ๒๘ มกราคม ๒๕๕๔ ณ ห้องประชุมทองจันทร์ฯ  คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

๐๘.๓๐-๐๙.๐๐         ลงทะเบียน

๐๙.๐๐-๐๙.๒๐          กล่าวรายงานความเป็นมาในการจัดงานอาจาริยบูชา ๑๐๐ ปี ชาตกาลหลวงพ่อเทียน

โดย รองศาสตราจารย์ปริญญา อรุณวิสุทธิ์ ผู้ช่วยอธิการบดีฝ่ายพัฒนาบุคลากร

๐๙.๒๐-๐๙.๔๕        วิดีโอทัศน์ ประวัติหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

๐๙.๔๕-๑๐.๓๐       ปาฐกถาธรรม : การบรรลุธรรมของพระพันธ์  อินทผิว (หลวงพ่อเทียน)

โดยหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ

๑๐.๓๐-๑๑.๓๐         มหัศจรรย์ ในพระธรรมดา หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

โดย คุณหมอวัฒนา สุพรหมจักร ผู้รักษาและผ่าตัดมะเร็งกระเพาะให้หลวงพ่อเป็นเวลา ๕ ปี

๑๑.๓๐-๑๓.๓๐ รับภัตตาหารเพล/เสียงธรรม

๑๓.๓๐-๑๔.๓๐ การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว เพื่อพัฒนาปัญญาที่แท้ โดย อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม

ดำเนินรายการโดย คุณสินีนาฎ  ประเสริฐภักดี ประธานชมรมเพื่อนคุณธรรม

๑๔.๐๐-๑๖.๐๐        วิกฤติพุทธศาสนาและการศึกษาหมาหางด้วน และ เจริญภาวนาร่วมกัน

บรรยายธรรมนำเจริญสติ โดย หลวงตาสุริยา  มหาปัญโญ วัดป่าโสมพนัส อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

ดำเนินรายการตลอดวันโดย อาจารย์ปฐมฤกษ์  อิงสันเทียะ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

วันเสาร์ที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๔ ณ  สวนธรรมสากล  ต.ควรลัง อ.หาดใหญ่  จ.สงขลา

๐๔.๐๐ สัญญาณระฆังปลุก

๐๔.๓๐-๐๖.๓๐ ทำวัตรเช้า /ธรรมบรรยายโดย : หลวงตาสุริยา  มหาปัญโญ วัดป่าโสมพนัส จ.สกลนคร

๐๖.๓๐-๐๗.๓๐ เจริญสติอิสระ/ธุระส่วนตัว

๐๗.๓๐-๐๘.๓๐ รับภัตตาหารเช้า

๐๘.๓๐-๐๙.๐๐        ความเป็นมาและนำอาจริยบูชา หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

โดย  อาจารย์สมเจตนา  มุนีโมไนย  ประธานจัดงานภาคใต้

๐๙.๐๐-๑๐.๐๐ ปาฐกถาธรรมหลวงพ่อเทียนที่อาตมารู้จัก

โดยหลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ

๑๐.๐๐-๑๑.๐๐ การออกจากทุกข์โดยไม่เป็นทุกข์

โดยหลวงพ่อสมบูรณ์ ฉตฺตสุวณฺโณ วัดถ้ำเขาพระ จ.กระบี่

๑๑.๐๐-๑๒.๐๐      รับภัตตาหารเพล/เสียงธรรม

๑๓.๐๐-๑๔.๐๐ การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว กับการสร้างสังคมเข้มแข็ง โดย อาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม

ดำเนินรายการโดย คุณสินีนาฎ  ประเสริฐภักดี ประธานชมรมเพื่อนคุณธรรม

๑๔.๐๐-๑๖.๐๐ แลกเปลี่ยนประสบการณ์การปฏิบัติธรรม เจริญสติแบบเคลื่อนไหวตามแนวหลวงพ่อเทียน

โดย ผศ. ทพญ. นัทธมน  วัฒนอรุณวงศ์ /คุณลุงวิโรจน์/คุณป้าสมมิตร/คุณป้าพิกุล/ คุณลุงปรีชา

ดำเนินรายการโดย  คุณภัสสรา  รู้พันธ์ กลุ่มยุวชนสร้างสรรค์  สุราษฏร์ธานี

๑๗.๐๐-๑๘.๐๐      เจริญสติอิสระ/ธุระส่วนตัว/          รับน้ำปานะ

๑๘.๐๐-๒๐.๐๐      ทำวัตรเย็น ธรรมบรรยายโดย พระอาจารย์โกศิล ปริปุณโณ วัดปลายนา จ.ปทุมธานี

วันอาทิตย์ที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๕๔ ณ  สวนธรรมสากล  ต.ควรลัง อ.หาดใหญ่  จ.สงขลา

๐๔.๐๐ สัญญาณระฆังปลุก

๐๔.๓๐-๐๖.๓๐       ทำวัตรเช้า/ธรรมบรรยายโดย : พระอาจารย์โกศิล ปริปุณโณ วัดปลายนา จ.ปทุมธานี

๐๖.๓๐-๐๗.๓๐     เจริญสติอิสระ/ธุระส่วนตัว

๐๗.๓๐-๐๘.๓๐     รับภัตตาหารเช้า

๐๘.๓๐-๐๙.๓๐    เทียนธรรม นำสากล : โดย หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ

๐๙.๓๐-๑๑.๐๐ การเจริญสติปัฎฐาน๔  หนทางแห่งการพ้นวิกฤติ ในบริบทของหลวงพ่อเทียน

โดยหลวงตาสุริยา  มหาปัญโญ วัดป่าโสมพนัส อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

๑๑.๐๐-๑๒.๐๐      รับภัตตาหารเพล/เสียงธรรม

๑๓.๐๐-๑๔.๐๐      เทียนร้อยแสง  ร่วมแรงร้อยใจ : โดยอาจารย์กำพล ทองบุญนุ่ม

๑๔.๐๐-๑๕.๐๐        ๑๐๐ ปี รวมพลังศรัทธา…สานเจตนารมณ์หลวงพ่อเทียน : นำพูดคุยโดย อาจารย์สมเจตนา  มุนีโมไนย

๑๕.๐๐-๑๕.๓๐       พิธีปิดด้วยการเจริญสติร่วมกันโดย  พระอาจารย์โสภณ ฉนฺทธมฺโม  ประธานมูลนิธิสู่ธรรมชาติ

ดำเนินรายการตลอดงานโดย  คุณปรีชา  ก้อนทอง และคุณชัชวาลย์  ทองดีเลิศ
ที่มา
http://www.achso.co.th/luangporteean/?p=310
46  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / กำหนดการจัดงานสายงานการเจริญสติ “แบบหลวงพ่อเทียน”ิ่ เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 04:38:32 pm


กำหนดการจัดงาน “เทียนธรรมรำลึก”

วันที่ ๑๗-๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๔

ณ วัดทับมิ่งขวัญ บ้านติ้ว ต.กุดป่อง อ.เมือง จ.เลย


กิจกรรมในงานพิธีเปิด

ปฏิบัติบูชา ปาฐกถาธรรม ธรรมเสวนา

การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว ตามแนวทางหลวงพ่อเทียน

การประกอบพิธีสามีจิกรรม การเวียนเทียน

หนังสือธรรมะและวีซีดีธรรมเพื่อเผยแพร่เป็นธรรมทาน

นิทรรศการ/ประวัติ/วิดีทัศน์/คำสอน/แนวทางการปฏิบัติของหลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ

เกาะพุทธธรรม วัดทับมิ่งขวัญ ตั้งอยู่บนริมฝั่งลำน้ำเลย เป็นวัดที่หลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ ได้มาก่อตั้งขึ้นเพื่อเป็นสถานที่อบรมและปฏิบัติเจริญสติ  ตั้งแต่ปี ๒๕๒๔ อยู่ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๓ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๑ ท่านก็ได้มรณภาพด้วยอาการสงบ ณ ศาลามุงแฝก บนเกาะพุทธธรรมวัดทับมิ่งขวัญแห่งนี้  (ถึงแม้ว่าท่านจะมรณะจากไปแต่คุณธรรมคำสั่งสอนของท่านคงอยู่และนับวันจะ ขยาย จำนวนผู้ปฏิบัติเพิ่มมากขึ้น) หลังจากท่านมรณะแล้ว ก็ได้เก็บสรีระของท่านไว้ ๑ ปี จนถึงวันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๒ ก็ได้ประชุมเพลิงสรีระของท่าน

ดังนั้นนั้นเมื่อถึงวันที่ 17- 24  กุมภาพันธ์ ของทุกปีซึ่งเป็นวันคล้ายวันประชุมเพลิงสรีระของท่าน คณะสงฆ์และศิษยานุศิษย์ทั้งหลาย  จึงได้ร่วมกันจัดงานอบรมปฏิบัติธรรมเจริญสติขึ้น เพื่อเป็นการรำลึกบูชาแด่พระคุณท่าน  ปีนี้เป็นปีที่ประจวบเหมาะกับวาระครบ 100 ปีอายุของท่าน  เพราะหลวงพ่อเกิดเมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ.๒๔๕๔  จึงเป็นปีที่สำคัญ ดังนั้นคณะศิษยานุศิษย์ จึงได้ปรารภที่จะจัดงานวาระ 100 ปีชาตกาลของหลวงพ่อ โดยจะจัดในรูปแบบของการอบรมปฏิบัติธรรมเจริญสติตลอดทั้งปี จัดหมุนเวียนกันไปทั้ง ๔ ภาค วัดทับมิ่งขวัญก็เป็นอีกวัดหนึ่งที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับหลวงพ่อ เทียนเป็นอย่างมาก เพราะบั้นปลายชีวิตของท่านมาอยู่และมรณภาพที่ตรงนี้ ทางคณะกรรมการโครงการอาจริยบูชา ๑๐๐ ปี ชาตกาล หลวงพ่อเทียน จึงจะมาจัดเปิดงานอบรมที่นี้  ทั้งเปิดและปิดโครงการฯ

ปีนี้วัดทับมิ่งขวัญจึงจัดงานอบรม เป็นพิเศษกว่าทุกปีที่ผ่านมา   เพราะมีสองงานมาจัดร่วมกัน คือ ๑.งานเทียนธรรมรำลึก  ๒.งานวาระ 100 ปีชาตกาลหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ เพื่อเป็นอาจริยบูชาแด่ผู้มีพระคุณ  งานจะเริ่มในวันที่ 17 – 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 รวม 7 วัน  โดยมีกำหนดกิจกรรมในงานดังนี้

วันพฤหัสบดีที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

๐๓.๓๐-๐๔.๐๐    สัญญาณระฆังปลุก /ปรารภความเพียร

๐๔.๐๐-๐๖.๐๐     ทำวัตรเช้า/บรรยายธรรมโดย พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล เจ้าอาวาสวัดทับมิ่งขวัญ

๐๖.๐๐-๐๗.๐๐     เจริญสติอิสระ /ธุระส่วนตัว

๐๗.๐๐-๐๘.๓๐    รับภัตตาหารเช้า / เสียงธรรม / วี ที อาร์

๐๘.๓๐-๑๑.๐๐    ต้อนรับญาติธรรม ที่เข้าร่วมงานอบรม / ลงทะเบียน / เตรียมที่พัก

๑๑.๐๐-๑๒.๐๐      รับภัตตาหารเพล/ เสียงธรรม / วี ที อาร์

๑๒.๐๐-๑๗.๐๐      เจริญสติอิสระ /ธุระส่วนตัว / ต้อนรับญาติธรรมจากทางไกล / ลงทะเบียน / เตรียมที่พัก

๑๗.๐๐-๑๘.๐๐      เดินจงกรมหมู่รอบเกาะพุทธธรรม / รับน้ำปานะ

๑๘.๐๐-๒๐.๐๐      ทำวัตรเย็น / บรรยายธรรมโดย หลวงพ่อบุญถม อินทวงฺโส วัดป่าธรรมแสงเทียน

บ้านชำมูลนาค อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ

วันศุกร์ที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

๐๓.๓๐-๐๔.๐๐    สัญญาณระฆังปลุก /ปรารภความเพียร

๐๔.๐๐-๐๖.๐๐    ทำวัตรเช้า/บรรยายธรรมโดย หลวงพ่อบุญธรรม อุตตมธมฺโม

วัดบ้านหนองแก อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ (ที่ปรึกษาสงฆ์สายงาน ฯ)

๐๖๐๐-๐๖.๓๐        เดินจงกรมหมู่รอบเกาะพุทธธรรมทับมิ่งขวัญ

๐๖.๓๐-๐๗.๐๐      เจริญสติอิสระ /ธุระส่วนตัว

๐๗.๐๐-๐๘.๓๐     รับภัตตาหารเช้า / เสียงธรรม/ วี ที อาร์

๐๘.๓๐-๐๙.๐๐     เจริญสติอิสระ /ธุระส่วนตัว

๙.๐๐-๑๑.๐๐          “ความเป็นมาของจัดงาน ฯ และนำพาสู่การปฏิบัติเจริญสติ”

โดย พระอาจารย์มหาดิเรก พุทธยานนฺโท วัดถ้ำแสงเทียน อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ

๑๑.๐๐-๑๒.๐๐      รับภัตตาหารเพล / เสียงธรรม / วี ที อาร์

๑๒.๐๐-๑๓.๐๐      เจริญสติอิสระ / ธุระส่วนตัว

๑๓.๐๐-๑๕.๓๐     บวชเนกขัมมะจาริณีชีพราหมณ์ สมาทานศีล 8

“ เปิดงานวาระ ๑๐๐ ปี และงานเทียนธรรมรำลึกครั้งที่ 23” โดย พระราชวีรภรณ์เจ้าคณะจังหวัดเลย

“ กล่าวถวายรายงาน ” โดยท่าน ผ.อ.สุวิบูลย์ จำรุญศิริ สำนักงานพระพุทธศาสนา  จังหวัดเลย

๑๕.๓๐-๑๗.๐๐     เจริญสติอิสระ / ธุระส่วนตัว

๑๗.๐๐-๑๘.๐๐      เดินจงกรมหมู่รอบเกาะพุทธธรรมทับมิ่งขวัญ / รับน้ำปานะ

๑๘.๐๐-๒๐.๐๐      ทำวัตรเย็น / บรรยายธรรมโดยพระอาจารย์บุญชู รกฺขิตธมฺโม เจ้าอาวาสวัดโพธิ์ศรี

บ้านดอนกลาง  ต.พังงู  อ.หนองหาน  จ.อุดรธานี

วันเสาร์ที่ ๑๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

๐๓.๓๐-๐๓.๐๐     สัญญาณระฆังปลุก / ปรารภความเพียร

๐๔.๐๐-๐๖.๐๐     ทำวัตรเช้า / บรรยายธรรมโดย หลวงพ่อมหาบัวทอง พุทธโฆสโก วัดโพนทอง บ้านหนองแก อ.แก้งคร้อ จ.

ชัยภูมิ

๐๖๐๐-๐๖.๓๐        เดินจงกรมหมู่รอบเกาะพุทธธรรมทับมิ่งขวัญ

๐๖.๓๐-๐๗.๐๐      เจริญสติอิสระ /ธุระส่วนตัว

๗.๐๐ – ๘.๓๐         รับภัตตาหารเช้า / เสียงธรรม / วี ที อาร์

๙.๐๐-๑๐.๓๐         “เทียนธรรมรำลึกและอาจริยบูชา 100 ปีชาตกาลหลวงพ่อเทียน” โดย ท่านเจ้าคุณพระราชกิตติเมธี

วัดพระนอนจักรสีห์ (เจ้าคณะจังหวัดสิงห์บุรี ประธานจัดงานอาจาริยบูชา 100 ปี ฝ่ายสงฆ์)

๑๐.๓๐-๑๑.๐๐       “ ความเป็นมา โครงการอาจาริยบูชาฯ ๑๐๐ ปี “ โดย  อาจารย์ชาญชัย ลิมปิยากร

(ประธานจัดงาน โครงการวาระ ๑๐๐ ปี ฝ่ายฆารวาส)

๑๑.๐๐-๑๒.๐๐      รับภัตตาหารเพล/เทศนาธรรมจากหลวงพ่อเทียนและสายงาน / วี ที อาร์

๑๒.๐๐-๑๓.๐๐      เจริญสติอิสระ /ธุระส่วนตัว

๑๓.๐๐-๑๖.๐๐       “ ประสบการณ์การปฎิบัติธรรมกับหลวงพ่อเทียน จากญาติธรรม ”

โดย พ่อตู้อุ่น / พ่อจ่าเจริญ / แม่จูมศรี / ป้าพิกุล /อ.กำพล ฯลฯ

ดำเนินรายการโดย ผอ.สุวิบูลย์ จำรูญศิริ สำนักงานพระพุทธศาสนา จ.เลย

๑๖.๐๐-๑๗.๐๐       เจริญสติอิสระ / ธุระส่วนตัว

๑๗.๐๐-๑๘.๐๐      เดินจงกรมหมู่รอบเกาะพุทธธรรมทับมิ่งขวัญ / รับน้ำปานะ

๑๘.๐๐-๒๐.๐๐      ทำวัตรเย็น/บรรยายธรรมโดย หลวงพ่อเจ้าคุณพระศรีวรญาณ (หลวงพ่อมหาไหล โฆษโก)

วัดป่าบ้านหนองคู อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม (ประธานสงฆ์สายงานฯ)

วันอาทิตย์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

๐๓.๓๐-๔.๐๐       สัญญาณระฆังปลุก /ปรารภความเพียร

๐๔.๐๐-๐๖.๐๐     ทำวัตรเช้า/บรรยายธรรมโดย หลวงพ่อคำเขียน สุวัณโณ วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ

๐๖๐๐-๐๖.๓๐        เดินจงกรมหมู่เจริญสติรอบเกาะพุทธธรรมทับมิ่งขวัญ

๐๖.๓๐-๐๗.๐๐      เจริญสติอิสระ /ธุระส่วนตัว

๗.๐๐ – ๘.๓๐         รับภัตตาหารเช้า / เสียงธรรม/ วี ที อาร์

๙.๐๐-๙.๓๐            กล่าวต้อนรับโดย ท่านพรศักดิ์ เจียรณัย ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย

๙.๓๐-๑๑.๐๐         ปาฐกถานำ “ การปฎิรูปประเทศไทยโดยวิถีพุทธ ”

โดย ศ.นพ ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส

ดำเนินรายการโดย..คณะวัดทับมิ่งขวัญ (กำลังประสานงาน.)

๑๑.๐๐-๑๒.๐๐      รับภัตตาหารเพล/เสียงธรรม/ วี ที อาร์

๑๒.๓๐-๑๓.๐๐     “ วี ที อาร์ อาจริยบูชา ๑๐๐ ปี ชาตกาล หลวงพ่อเทียน จิตฺตสุโภ ”

๑๓.๐๐-๑๖.๐๐       เสวนาธรรม “๑๐๐ ปี.. เหลียวหลัง แลหน้า สานศรัทธาเจตนารมย์หลวงพ่อเทียน”

ล.พ.คำเขียน / /ท่านเจ้าคุณพระราชกิตติเมธี / พระศรีวรญาณ /

พระอ.คมกริด /พระมหาวีระพันธ์

ดำเนินรายการโดย พระมหาดิเรก  พุทธยานันโท

๑๖.๐๐-๑๗.๐๐       เจริญสติอิสระ /ธุระส่วนตัว

๑๗.๐๐-๑๘.๐๐      เดินจงกรมหมู่รอบเกาะพุทธธรรมทับมิ่งขวัญ / รับน้ำปานะ

๑๘.๐๐-๑๙.๐๐       ทำวัตรเย็น/- ประกอบพิธี “สามีจิกรรมหลวงพ่อเทียน และเวียนเทียน” รอบบริเวณที่ฌาปนสถาน

๑๙.๐๐-๑๙.๐๐       “วี ดี ทัศน์ประวัติ และพิธีการฌาปนกิจหลวงพ่อเทียนแบบเรียบง่าย”

๑๙.๐๐-๒๐.๓๐      เสวนาธรรม “เทียนสว่าง ณ กลางใจ ….หลวงพ่อเทียนที่อาตมารู้จัก”โดย พระอ.ชาร์ล /

พระอ.ดา / พระอ.นิเพ็ญ / พระอาจารย์อเนก ฯลฯ ดำเนินการ โดย.พระมหาเฉลิม เตชวโร

วันจันทร์ที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

๐๓.๐๐ สัญญาณระฆังปลุก / ปรารภความเพียร

๐๔.๐๐-๐๖.๐๐     ทำวัตรเช้า/บรรยายธรรม “การเข้าถึงพุทธศาสนา” โดย พระอาจารย์อเนก  เตชวโร

วัดโมกขวนาราม อ.เมือง จ.ขอนแก่น (ประธานมูลนิธิหลวงพ่อเทียน จิตตฺสุโภ)

๐๖๐๐-๐๖.๓๐        เดินจงกรมหมู่รอบเกาะพุทธธรรมทับมิ่งขวัญ

๐๖.๓๐-๐๗.๐๐      เจริญสติอิสระ / ธุระส่วนตัว

๗.๐๐ – ๘.๓๐         รับภัตตาหารเช้า/เสียงธรรม / วี ที อาร์

๙.๐๐-๑๑.๐๐          เสวนา “การศึกษาบนฐานปัญญา พาสังคม (รอด ) พ้นวิกฤติ”

โดย ศ.ระพี สาคริก นายกสภาสถาบันอาศรมศิลป์

รศ.ประภาภัทร  นิยม รองอธิการบดีฝ่ายิชาการและวิจัย สถาบันอาศรมศิลป์

ดำเนินรายการโดย คุณชัชวาลย์  ทองดีเลิศ

๑๑.๐๐-๑๒.๐๐      รับภัตตาหารเพล/เสียงธรรม/ วี ที อาร์

๑๒.๓๐-๑๓.๐๐     วี ดี ทัศน์ การเจริญสติแบบเคลื่อนไหว

๑๓.๐๐-๑๖.๐๐       เสวนา “ ทำอย่างไรจะเผยแพร่คำสอนของหลวงพ่อเทียนอย่างมีเอกภาพ ?”

โดย พระอ.คมกริด /พระมหาวีระพันธ์/ พระอ.สุริยา/พระอ.เอนก/ท่านเจ้าคุณพระราชกิตติเมธี

ดำเนินการโดย พระอาจารย์มหาดิเรก พุทธยานันโท

๑๖.๐๐-๑๗.๐๐       เจริญสติอิสระ / ธุระส่วนตัว

๑๗.๐๐-๑๘.๐๐      เดินจงกรมหมู่รอบเกาะพุทธธรรมทับมิ่งขวัญ / รับน้ำปานะ

๑๘.๐๐-๒๐.๐๐      ทำวัตรเย็น / บรรยายธรรมโดย พระอาจารย์สุริยา  มหาปัญโญ วัดป่าโสมพนัส

อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร

วันอังคารที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

๐๓.๐๐               สัญญาณระฆังปลุก /ปรารภความเพียร

๐๔.๐๐-๐๖.๐๐   ทำวัตรเช้า/บรรยายธรรมโดย พระอาจารย์โกศิลป์ ปริปุณโณ เจ้าอาวาสวัดปลายนา

ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ประทุมธานี

๐๖๐๐-๐๖.๓๐    เดินจงกรมหมู่รอบเกาะพุทธธรรมทับมิ่งขวัญ

๐๖.๓๐-๐๗.๐๐      เจริญสติอิสระ/ ธุระส่วนตัว

๗.๐๐-๘.๓๐           รับภัตตาหารเช้า/เสียงธรรม/ วี ที อาร์

๙.๐๐-๑๐.๐๐          บรรยาย/นำปฎิบัติ โดย พระอาจารย์ดรงค์ วัดป่าเขาคงคา อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา

๑๐.๐๐-๑๑.๐๐    บรรยายธรรม/นำปฏิบัติโดย พระอาจารย์วิไล สุธมฺโม วัดเทพประทาน อ.ท่าตะเกียบ จ.ฉะเชิงเทรา

๑๑.๐๐-๑๒.๐๐      รับภัตตาหารเพล/เสียงธรรม/ วี ที อาร์

๑๒.๐๐-๑๓.๐๐      เข้าที่ปฏิบัติ/ธุระส่วนตัว

๑๓.๐๐-๑๔.๓๐     บรรยายธรรม/นำปฏิบัติโดย พระอาจารย์สุปัน สุมงฺคโล วัดบ้านโนนสูงสะอาด อ.เมือง จ.ชัยภูมิ

๑๔.๓๐-๑๖.๐๐      บรรยายธรรม/นำปฏิบัติโดย พระอาจารย์พระอาจารย์มานะ ชาคโร วัดป่าปอพาน อ.เมือง จ.ร้อยเอ็ด

๑๖.๐๐-๑๗.๐๐       เจริญสติอิสระ/ ธุระส่วนตัว

๑๗.๐๐-๑๘.๐๐      เดินจงกรมหมู่รอบเกาะพุทธธรรมทับมิ่งขวัญ / รับน้ำปานะ

๑๘.๐๐-๒๐.๐๐      ทำวัตรเย็น/บรรยายธรรมโดยหลวงพ่อสงคราม ธมฺมวโร วัดป่าแกดำ อ.แกดำ จ.มหาสารคาม

หมายเหตุ…หลังอาหารเช้า ญาติธรรมบางส่วนผู้มีจิตศรัทธาอาสาไปช่วยกันทำความสะอาดวัดบรรพตคีรีจะออก เดินทางไปยัง บ้านบุโฮม อ.เชียงคาน ถิ่นเกิดหลวงพ่อเทียน

วันพุธที่ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

๐๓.๐๐ สัญญาณระฆังปลุก /ปรารภความเพียร

๐๔.๐๐-๐๖.๐๐    ทำวัตรเช้า/บรรยายธรรมโดย หลวงพ่อสงัด ปัณฑิโต วัดธาตุทอง อ.ภูเขียว จ.ชัยภูมิ

๐๖๐๐-๐๖.๓๐        เดินจงกรมหมู่รอบเกาะพุทธธรรมทับมิ่งขวัญ

๐๖.๓๐-๐๗.๐๐      เจริญสติอิสระ/ ธุระส่วนตัว

๗.๐๐-๘.๓๐           รับภัตตาหารเช้า/เสียงธรรม/ วี ที อาร์

๙.๐๐-๑๐.๐๐          บรรยายธรรม/นำปฎิบัติ โดย พระอ.โสภณ ฉนฺทธมฺโม วัดสวนธรรมสากล อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

๑๐.๐๐-๑๑.๐๐       และ พระอาจารย์วรวิทย์ วรธมฺโม วัดป่าอู่ตะเภา บ้านทับคาง  อ.เขาย่อย จ.เพชรบุรี..

๑๑.๐๐-๑๒.๐๐      รับภัตตาหารเพล/เสียงธรรม/ วี ที อาร์

๑๒.๐๐-๑๓.๐๐      เจริญสติอิสระ/ธุระส่วนตัว

๑๓.๐๐-๑๔.๓๐     บรรยายธรรม/นำฏิบัติโดย พระอาจารย์คมกริด ญาธโร วัดแพร่แสงเทียน อ.ร่องกวาง จ.แพร่

๑๔.๓๐-๑๖.๐๐       และพระอาจารย์ดวงศิลป์ ปิยสโล วัดป่าโคกดินแดง  อ.นาเชือก จ.มหาสารคาม

๑๖.๐๐-๑๗.๐๐        เจริญสติอิสระ/ธุระส่วนตัว

๑๗.๐๐-๑๘.๐๐      เดินจงกรมหมู่รอบวัดทับมิ่งขวัญ / รับน้ำปานะ

๑๘.๐๐-๒๐.๐๐      ทำวัตรเย็น/บรรยายธรรมและสัมมนา โดยเปิดโอกาสให้ครูบาอาจารย์พระสงฆ์และ

คณะญาติธรรมจากที่ต่างได้แสดงข้อคิดความเห็นหรือเล่าประสบการณ์การปฏิบัติ ๆ

วันพฤหัสที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔

๐๓.๐๐                 สัญญาณระฆังปลุก / ปรารภความเพียร

๐๔.๐๐-๐๖.๐๐    ทำวัตรเช้า / บรรยายธรรม สรุปงานโดยพระคำไม ฐิตสีโล เจ้าอาวาสวัดทับมิ่งขวัญ อ.เมืองเลย

๐๖.๐๐-๐๗.๓๐      เก็บสัมภาระ / ทำความสะอาดวัด

๗.๓๐-๘.๓๐          รับภัตตาหารเช้า / เสียงธรรม/วี ที อาร์

๙.๐๐-๑๑.๐๐          กลับภูมิสำเนา หรือจะไปงานอบรมต่อที่อำเภอปากชม จังหวัดเลยจะมีรถรับ-ส่ง

………………………

หมายเหตุ –พิธีกรและดำเนินการตลอดงาน โดยพระมหาดิเรก พุทธยานนฺโท / พระอาจารย์คำไม ฐิตสีโล / พระมหาเฉลิม

เตชธมฺโม / พระอาจารย์มานะ ชาคโร

-นำทำวัตรสวดมนต์โดยพระครูสุทธิเขมคุณ / พระอาจารย์ประจักร ยโสธโร / พระอาจารย์ดุรงค์ฤทธิ์ มหาวีโร

– ให้การอบรมและประสานกลุ่มเยาวชนโดยพระอาจารย์ล้วน เกสโร / หลวงพ่อเกร็ด ธมฺมโยธี ฯลฯ

**** วิทยากรบางท่านอาจมีการเปลี่ยนแปลง อยู่ในระหว่างการประสานงาน ****

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่

พระ อ.คำไม โทรศัพท์ 087-220-8999 และ พระมหาเฉลิม  โทรศัพท์ 086-591-1410
47  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / แก๊งคอลเซ็นเตอร์อาละวาดหนักรับฤดูเสียภาษี-ใช้โทร. 12/14 หลักหลอกทั่วลำปาง เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 09:35:28 am

สรรพากรลำปางเตือนชาวบ้านระวังแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกโอนเงินผ่านตู้เอทีเอ็มอาละวาดหนักช่วงฤดูเสียภาษี
     
       นายพิชเย็น กองทอง สรรพากรพื้นที่ลำปาง เปิดเผยว่า ขณะนี้มีกลุ่มมิจฉาชีพหรือแก๊ง Call center แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ของกรมสรรพากร โทรศัพท์ไปยังผู้เสียภาษี และประชาชนในจังหวัดลำปาง เป็นจำนวนมาก ทั่วทั้ง 13 อำเภอ ซึ่งหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้จะเป็นหมายเลข 12 หลัก และ 14 หลัก เพื่อสอบถามข้อมูลส่วนตัวทั้งชื่อ-นามสกุล เลขบัตรประจำตัวประชาชน รวมทั้งเลขบัญชีเงินฝากธนาคาร โดยกลุ่มมิจฉาชีพจะหลอกให้ประชาชนที่หลงเชื่อไปทำรายการยังตู้เอทีเอ็ม และหลอกด้วยวิธีการต่างๆ
     
       ดังนั้น ทางสรรพากรพื้นที่ลำปางจึงขอประกาศเตือนให้ประชาชนผู้เสียภาษีได้รับทราบว่า อย่าได้หลงเชื่อการแอบอ้างใดๆ ในลักษณะดังกล่าว เพราะการคืนเงินภาษีให้กับผู้มีสิทธิขอคืนเงินภาษีนั้น ทางกรมสรรพากรจะคืนเงินให้ในรูปแบบเช็คสั่งจ่าย เพื่อเข้าบัญชีธนาคารเท่านั้น
48  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / วิธีการออกจากสมาธิ ที่ถูกต้อง เมื่อ: มกราคม 19, 2011, 07:05:54 pm
วิธีการออกจากสมาธิ ที่ถูกต้อง

  ปกติเวลาปฏิบัติไป ๆ แล้ว จิตกำลังอยู่ใน สุข สมาธิ เราจะออกจากสมาธิ ควรทำอย่างไรจึงจะเป็นวิธีการที่ถูกต้องคะควรที่จะกำหนดจิต หรือพอนาฬิกาที่เราตั้งไว้ดังแ้ล้ว เราก็เปลี่ยนท่าออกจากสมาธิเลย ทำอย่างนี้จะถูกต้องหรือไม่คะ

 :25:
49  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เจ้าลัทธิทั้ง 6 เพื่อพิจารณา ความแทรกซึมในพุทธศาสนาในปัจจุบัน เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 02:25:56 pm
ที่มา : หนังสือประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาในอินเดีย โดย พระมหาดาวสยาม วชิรปัญโญ)


๑. ลัทธิปูรณะกัสสปะ (Purana Kassapa)

ท่านนี้เป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในบรรดาครูทั้ง ๖ ในหนังสือสุมัคลวิลาสินีของพระพุทธโฆษาจารย์ปราชญ์ผู้เรืองนามราวพุทธศตวรรษ ที่ ๑๐ กล่าว่า ท่านผู้นี้เกิดในตระกูลวรรณะพราหมณ์ โตขึ้นออกบวชแบบลัทธินิยมการนุ่งลมห่มฟ้า หรือเปลือย ในวัยเด็กเป็นคนรับใช้ในตระกูลที่มีคนรับใช้ ๙๙ คน รวมบูรณะอีกคนหนึ่งเป็น ๑๐๐ พอดี แต่มีบางมติแย้งว่า คำว่าปูรณะมาจากการบรรลุโพธิญาณมากกว่า เป็นเรื่องยากที่คนวรรณะพราหมณ์จะลดตัวมาเป็นเด็กรับใช้ ท่านผู้นี้มีคำสอนที่ว่า

"วิญญาณนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ทำงานอะไร แต่ร่างกายต่างหากทำงาน วิญญาณจึงไม่ต้องรับผิดชอบต่อผลบุญและบาปที่ร่างกายทำไว้และกล่าวว่า บุญไม่มี บาปไม่มี ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว ทำเองก็ดีให้ผู้อื่นทำก็ดี ย่อมไม่มีผล สิ่งใดก็ตามที่ได้ทำลงไปแล้วดีก็ตาม ชั่วก็ตามเท่ากับว่าไม่ได้ทำไม่มีบุญหรือบาปเกิดขึ้น"

ทฤษฎี นี้เรียกว่า อกริยทิฏฐิ คือการกระทำที่ไม่มีผล หรือไม่เชื่อไม่เชื่อในผลของกรรม" ซึ่งค้านกับคำสอนของพระพุทธองค์ที่กล่าวว่า กายกับจิตเป็นสิ่งที่เนื่องถึงกัน แยกกันไม่ได้ ทำกรรมเช่นใดย่อมได้รับผลกรรมเช่นนั้น
50  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / “จุรินทร์” เผย พระสงฆ์-สามเณร ร้อยละ 55 ป่วยและเสี่ยงป่วย เมื่อ: มกราคม 14, 2011, 01:19:17 pm
“จุรินทร์” เผย พระสงฆ์-สามเณร ร้อยละ 55 ป่วยและเสี่ยงป่วย จากการดำรงชีวิตและอาหาร เร่งตรวจสุขภาพพระสงฆ์-สามเณร 3.5 แสนรูปทั่วไทย ให้ได้รับการดูแลรักษา

วันนี้ (16 ธ.ค.) ที่โรงพยาบาลสงฆ์ กรุงเทพฯ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยพระพรหมวชิรญาณ เจ้าอาวาสวัดยานนาวา กรรมการมหาเถรสมาคม และนายแพทย์เรวัติ วิศรุตเวช อธิบดีกรมการแพทย์ ผู้บริหาร เปิดโครงการ “มหกรรมการดูแลสุขภาพพระสงฆ์-สามเณร เฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา 5 ธันวาคม 2554” โดยมีพระสงฆ์ สามเณรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล จำนวน 1,000 รูป เข้าร่วมกิจกรรม และรับการคัดกรองโรคความดันโลหิต ภาวะอ้วน เบาหวาน และภาวะแทรกซ้อน สุขภาพปาก การตรวจสุขภาพทั่วไป ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจสุขภาพตา การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เอกซเรย์ปอด วัดมวลกระดูก และการให้คำแนะนำในการดูแลสุขภาพ อาหาร และการออกกำลังกาย

นายจุรินทร์ ให้สัมภาษณ์ว่า โครงการนี้เป็นโครงการดูแลสุขภาพพระภิกษุสามเณรในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในลักษณะหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ โดยทีมแพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลสงฆ์ กรมการแพทย์ จะดูแลตั้งแต่การตรวจคัดกรอง ตรวจสุขภาพ และนำถวายความรู้เรื่องการดูแลสุขภาพ และการรักษาด้วยควบคู่กันไป ซึ่งเป็นแนวทางที่กรมการแพทย์ได้ดำเนินการทั่วประเทศ ผลสำรวจสุขภาพพระสงฆ์โดยรวมล่าสุดในปี 2550 พบว่า พระภิกษุสามเณรที่มีสุขภาพดีไม่ถึงครึ่ง หรือเพียงร้อยละ 45 เท่านั้น ส่วนร้อยละ 55 เป็นทั้งผู้ป่วยและผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง โดยเป็นผู้ป่วยประมาณร้อยละ 30 และอยู่ในกลุ่มเสี่ยงร้อยละ 25 สาเหตุจากพฤติกรรมการดำรงชีวิตและการบริโภค

นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า กระทรวงสาธารณสุขได้ถวายความรู้แนวทางเดียวกับที่ให้กับประชาชนทั่วไป คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อนำไปสู่การป้องกันโรค ได้แก่ การลดหวาน มัน เค็ม และเพิ่มผักผลไม้ เพิ่มการออกกำลังกาย ลดอบายมุขโดยเฉพาะบุหรี่ รวมทั้งการทำจิตใจให้ผ่องใส ซึ่งพระภิกษุ สามเณร เป็นต้นแบบอยู่แล้ว ที่สำคัญก็คือ เน้นการออกกำลังกายกับการบริโภค ซึ่งมีข้อจำกัดเพราะต้องฉันอาหารตามที่ญาติโยมนำมาถวาย ได้ให้กรมการแพทย์ หารือกับมหาเถรสมาคม และผู้ที่เกี่ยวข้องอีกครั้ง เพื่อจัดทำคู่มือให้ความรู้การดูแลสุขภาพพระภิกษุสามเณร และเป็นแนวทางแก่พุทธศาสนิกชนทั่วไป ซึ่งมีอยู่เกือบ 50 ล้านคนทั่วประเทศ ให้เกิดความรู้ความเข้าใจ เรื่องการทำอาหารหรือซื้ออาหารถวายพระ ว่า ควรจะเป็นลักษณะใด ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขก็มีแนวทางอยู่แล้ว

นายจุรินทร์ กล่าวต่อไปว่า สำหรับในต่างจังหวัด มูลนิธิ 50 พรรษามหาวชิราลงกรณ์ภายใต้พระราชูปถัมภ์ในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ ร่วมกับกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดทำโครงการตรวจสุขภาพกับพระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ จำนวนประมาณ 350,000 รูป ขณะนี้ได้เริ่มดำเนินการแล้ว โดยได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ เสด็จพระราชดำเนิน ไปทรงเปิดโครงการที่จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ถัดจากนี้ไปภายใน 2 ปีจะดำเนินการตรวจสุขภาพพระภิกษุสามเณรครอบคลุมทั่วประเทศ เพื่อให้ได้รับการรักษาทันท่วงที พร้อมถวายความรู้การส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคควบคู่กันไปด้วย ขณะเดียวกันกระทรวงสาธารณสุข จะจัดโครงการตรวจสุขภาพให้กับอิหม่าม คอเต็บ ผู้สอนศาสนาอิสลามทั่วประเทศเพิ่มเติมอีกเช่นเดียวกัน
ที่มา:
ผู้จัดการ
51  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / มอบความสุขพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนโชว์'กวนอิมพันมือ'จากปักกิ่ง เมื่อ: มกราคม 14, 2011, 12:45:51 pm


ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเจริญพระชนมพรรษา 84 พรรษา ในวันที่ 5 ธ.ค. 2554 และโอกาสความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน ครบ 36 ปี ในปีนี้ รวมทั้งเพื่อส่งมอบความสุขให้พี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีนในเทศกาลตรุษจีน ปี 2554 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) นำสุดยอดการแสดงนาฏศิลป์จากสาธารณรัฐประชาชนจีน ที่หาชมได้ยากกับการแสดงสุดยอด “กวนอิมพันมือ” จากนครปักกิ่งมาแสดงให้ชมฟรีที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
   
นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การแสดงกวนอิมพันมือจากคณะเทียน  หลง หยวน (กำเนิดมังกรฟ้า) เป็นคณะที่มีชื่อเสียงมากของกรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นคณะที่นานาประเทศยอมรับเรื่องของความสวยงามและอลังการ สำหรับความพิเศษของการแสดงชุดนี้อยู่ที่นักแสดงชุดนี้เป็นชาวจีนที่เป็นผู้ พิการทางการได้ยิน แต่สามารถสร้างสรรค์การแสดงสุดอลังการได้อย่างสวยงามและเป็นที่น่าประทับใจ แก่ผู้ชม และเป็นโชว์ที่แสดงให้เห็นถึงความงดงามและความศรัทธาประกอบแสงสีเสียงที่ทำ ให้สวยงามสมจริง นักแสดงทุกคนต้องใช้ความอดทนในการฝึกซ้อมอย่างหนักกว่าจะออกมาเป็นการแสดง ที่สุดยอดเช่นนี้ สามารถทำได้โดยอาศัยการจับแรงจังหวะของเสียงดนตรีในการรำ และใช้ลมหายใจของแต่ละคนในการส่งสัญญาณในการซ้อนตัวและเปลี่ยนจังหวะท่ารำ
   
การแสดงชุดดังกล่าว จะมีขึ้นในวันที่ 31 ม.ค.นี้ เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป นอกจากนี้ในวันที่ 3 ก.พ.เวลา 16.00 น. ยังมีการแสดงที่น่าสนใจ อาทิ การแสดงจากระบำ 56 ชนเผ่า, การแสดงนาฏศิลป์คนพิการจีนชุด “ความฝันของฉัน”, การแสดงกายกรรมปักกิ่ง, การแสดงชุดพิเศษเปลี่ยนหน้ากาก, การ  แสดงมายากล, งิ้ว, กังฟู และการแสดง ศิลปะ-นาฏศิลป์จีนหลายแขนงจากมณฑล ต่าง ๆ เป็นต้น โดยใช้นักแสดงรวมกว่า 200 ชีวิตร่วมแสดงในครั้งนี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์.


ที่มาข่าว
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=359&contentID=115116
52  เรื่องทั่วไป / แจ้งปัญหาการใช้งานบอร์ด / เรียน คุณทินกร เว็บมาสเตอร์ ระบบค้นหาทดสอบแล้วใช้ไม่ได้คะ เมื่อ: มกราคม 10, 2011, 08:29:18 pm
เรียน คุณทินกร เว็บมาสเตอร์ ระบบค้นหาทดสอบแล้วใช้ไม่ได้คะ

ตอนนี้ใช้ระบบค้นหา ไม่สามารถพิมพ์หาได้แบบเมื่อก่อนคะ

ไม่ทราบว่าระบบค้นหา นั้นขัดข้องหรือป่าวคะ

 :08:
53  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / ชมวิวที่ศาลา ชมวิวแม่เมาะ เมื่อ: มกราคม 03, 2011, 03:28:22 pm
ศาลาชมวิวแม่เมาะ    x    
ข้อมูลทั่วไป
     จุดชมวิวโรงไฟฟ้าแม่เมาะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ ที่สวยงามแห่งหนึ่งของ จ.ลำปาง โดยเฉพาะช่วงเดือน พฤศจิกายน ถึง เดือนธันวาคม ทุ่งบัวตองอยู่ทางตะวันออกของบ่อเหมืองมีพื้นที่กว่า 500 ไร่ เกิดจากการนำดินในบ่อเหมืองแร่มาถมเป็นภูเขาเทียมสูงจากพื้นดิน 600 ฟุต ดอกบัวตองจะบานสะพรั่งเหลืองอร่ามสวยงามสะดุดตาไปทั่วพื้นที่ของทุกปี จุดนี้เป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่มีความสูงระดับเดียวกับปล่องโรงไฟฟ้าแม่เมาะ ที่ตรงนี้จะมองดูบริเวณเหมืองได้ ไกลสุดสายตา ในเวลาเช้าของฤดูหนาวจะมีทะเลหมอกปกคลุมไปทั่วน่าตื่นตาตื่นใจ

     นักท่องเที่ยวสามารถมองเห็นโรงไฟฟ้าแม่เมาะ และการทำงานของเครื่องจักร รถขดุแร่ ในโรงไฟฟ้าอยู่เบื้องล่าง บางจุดจะมองผ่านทะเลสาบกว้างใหญ่มีปล่องโรงไฟฟ้าเรียงรายอยู่ไกลสุดสายตา อย่างสวยงาม บริเวณจุดชมวิว มีศาลาชมวิว ที่ประดับประดาไปด้วย

     พันธุ์ไม้ดอก ไม้ใบนานาชนิด ที่บานสะพรั่งบนจุดชมวิวนี้ และที่สวยงามที่สุดก็คือการได้ชมพระอาทิตย์ตก ณ ที่แห่งนี้ ซึ่งจะทำให้นักท่องเที่ยวประทับใจในการมาเยือนที่แห่งนี้

การเดินทาง
รถยนต์ จากตัวเมืองลำปางไปตามทางหลวงหมาย เลข 1 สายลำปาง-เชียงราย พอถึงหลักกิโลเมตรที่ 601 เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 11 สายลำปาง-อำเภอเด่นชัย ถึงหลักกิโลเมตรที่ 10 เลี้ยวซ้ายเข้าถนนผาลาด-แม่เมาะ อีก 10 กิโลเมตร จะผ่านที่วาการอำเภอแม่เมาะ และไปอีก 6 กิโลเมตรก็จะถึงโรงไฟฟ้าแม่เมาะ












ขอบคุณที่มาเนื้อหา
http://www.lampangnha.com/lampangtravel/lampangTravel10.html
54  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / หลวงปู่ แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่ เมื่อ: มกราคม 02, 2011, 02:05:27 pm
หลวงปู่ แหวน สุจิณฺโณ ๑๔
วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่

จากหนังสือโครงการหนังสือบูรพาจารย์ เล่ม ๓

เรียบเรียงโดย รศ.ดร.ปฐม -รศ.ภัทรา นิคมานนท์
มีนาคม ๒๕๔๘

๑๕๒. หลวงปู่เริ่มเป็นที่รู้จัก

หลวงปู่แหวน สุจิณโณ มาอยู่ที่วัด ดอยแม่ปั๋ง ในปี พ.ศ.๒๕๐๕ และท่านเริ่มเป็นที่รู้จัก ประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๔

กล่าวกันว่า หลวงปู่แหวน ได้เป็นที่รู้จักภายหลังที่ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโก) วัดเทพศิรินทราวาส กรุงเทพ สิ้นชีพิตักษัย เมื่อ ๑๐ มกราคม ๒๕๑๔
ในช่วงที่ประชาชนกำลังพูดถึงเรื่องท่านเจ้าคุณนรฯ อยู่นั้นก็มีข่าวแพร่ออกมาว่า " ท่านเจ้าคุณ นรฯ กล่าวว่ามีพระอริยะอีกองค์หนึ่ง อยู่ทางภาคเหนือ"

ไม่ทราบข่าวนี้มาจากไหน และใครได้ยินท่านเจ้าคุณนรฯ พูด ทำให้หลายคนพากันเสาะหา พระอริยะองค์นั้น ต่อมาก็มีข่าวว่า “พระอริยะองค์ที่ท่านเจ้าคุณนรฯ กล่าวถึงคือ หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ แห่งดอยแม่ปั๋ง นั้นเอง"

และในปี พ.ศ.๒๕๑๔ ปีเดียวกันนั้นเอง ก็มีคณะทหารอากาศชุดของนาวาเอก เกษม งามเอก ได้มาขออนุญาตสร้างเหรียญหลวงปู่ขึ้น บางเสียงก็บอกว่าเป็นเหรียญรุ่นแรก และบางเสียงก็ว่า เป็นเหรียญรุ่นที่สองของหลวงปู่ เอาไว้ให้พวกนิยมเหรียญเขาถกเถียงกันก็แล้วกัน

ต่อจากนั้นก็มีข่าวอีกว่า “หลวงปู่แหวนลอยอยู่บนเมฆ เครื่องบินจะชน"

เรื่องเกรียวกราวกันพักใหญ่ ทำให้ชื่อเสียงหลวงปู่โด่งดังขึ้นมา จนใครต่อใคร ก็พากันแห่ไปชมบารมีหลวงปู่อย่างเนืองแน่นทุกวัน

คณะทัวร์ทุกคณะที่ไปเชียงใหม่ จะต้องมีรายการชมดอยสุเทพ พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ และก็มีวัดดอยแม่ปั๋ง อยู่ด้วยเสมอ นับเป็นสถานที่ยอดนิยมในสมัยนั้น

๑๕๓. หลวงปู่เป็นพระดังแห่งยุค

หลวงปู่แหวน ท่านท่องเที่ยวธุดงค์อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรอยู่นานกว่า ๕๐ ปี ประชาชนทั่ว ไปจึงไม่รู้จักท่าน เพิ่งจะมาได้ข่าวคราวและรู้จักหลวงปู่ ก็ประมาณปลายปี ๒๕๑๖ เมื่อหนังสือพิมพ์นำประวัติและเรื่องราวอภินิหารต่างๆ ของหลวงปู่มาเผยแพร่

ในหนังสือ พระธาตุปาฎิหาริย์ ของนิตยสารโลกทิพย์ ได้นำลงเรื่องคำบอกเล่าของ หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี เกี่ยวกับเรื่องราวของหลวงปู่แหวน ตอนที่ท่านเริ่มดัง ผู้เขียนขอคัดลอกนำมาเสนอ ดังต่อไปนี้ :-

" หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ เล่าว่า มีทหารอากาศ ขับเครื่องบินเหาะข้ามวัดดอยแม่ปั๋งไป นักบิน คนนั้นตกใจจนหูตาเหลือก เพราะพบหลวงปู่ผู้เฒ่านั่งอยู่บนก้อนเมฆขวางทางบินอยู่ ต้องรีบบังคับเครื่องหลบ ตาลีตาเหลือก ขาบินกลับก็พบหลวงปู่องค์เดิมอยู่บนก้อนเมฆอีก

เมื่อนำเครื่องบินร่อนลงสนามแล้ว นักบินนายนั้นได้ไปกราบนมัสการ เจ้าคณะเชียงใหม่ เรียนถามว่า ที่เชียงใหม่มีพระ องค์ไหนดีบ้าง ที่มีปาฎิหาริย์พิเศษ

เจ้าคณะจังหวัดบอกว่า เห็นมีอยู่องค์หนึ่ง คือหลวงปู่แหวน วัดดอยแม่ปั๋ง หรือดอยสีม่วง (ปั๋ง ภาษาเหนือแปลว่า สีม่วง) แม่ปั๋ง เพื่อที่จะพิสูจน์ดูให้เห็นกับตา เมื่อไปถึงวัดก็พบว่า มีผู้คนมากมาย จากสารทิศต่างๆ มารอพบหลวงปู่แหวน เต็มวัดไปหมด

ปกติหลวงปู่แหวน ไม่ยอมออกมาพบปะผู้ใดง่ายๆ แม้แต่งานฉลองอายุครบรอบของท่าน ที่คณะศิษย์ยานุศิษย์ตลอดจนผู้ที่เคารพเลื่อมใส จากทั่วทุกสารทิศ หลั่งไหลไปจัดงานขึ้น ผู้คนแน่นวัด มืดฟ้ามัวดิน รถราจอดเต็มดอยไปหมด หลวงปู่แหวนก็ไม่ยอมออกมาจากห้องให้สรงน้ำ หรือให้กราบสักการะ แจกของชำร่วย อย่างงานวันเกิดของพระเถระอื่นๆ

หลวงปู่แหวนยังคงเก็บตัวอยู่แต่ในห้องและหนีคนอย่างอุปนิสัยแต่เดิมของท่าน ท่านจะออกมาจากห้องเป็นปกติ ก็เฉพาะเวลาฉันจังหันเช้า และเจริญพระพุทธมนต์ค่ำเท่านั้น

ทหารอากาศนายคนนี้ไปตอนเช้า พอได้เวลาหลวงปู่แหวน อออกจากห้องมาฉันอาหารเช้า ก็จ้องมองด้วยความตะลึง จำได้ทันทีว่า พระผู้เฒ่าองค์นี้จริงๆ ที่เขาพบบนก้อนเมฆขณะขับ เครื่องบินผ่านดอยแม่ปั๋งไป

เขาจึงแหวกผู้คนเช้าไปกราบนมัสการแทบเท้าหลวงปู่แหวน ด้วยความเคารพเลื่อมใส อย่างสูงสุด น้ำตาไหล ปลาบปลื้มใจ ตื้นตันใจ ที่ตนได้มีบุญได้พบเห็นตัวจริงของหลวงปู่แหวน"

นี่แหละครับ เป็นเหตุการณ์หนึ่ง ที่ทำให้ผู้คนทั่วทุกสารทิศ หลั่งไหลมากราบหลวงปู่แหวน แห่งวัดดอยแม่ปั๋ง ทำให้ท่านเป็นพระดังแห่งยุค

อ่านต่อที่นี่คะ
http://www.dharma-gateway.com/monk/monk_biography/lp-wan/lp-wan-hist-014.htm
55  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / อุจฉังคชาดก สามีดุจผ้าห่ม พี่ชายให้ความอบอุ่น บุตรชายเหมือนความหวัง เมื่อ: มกราคม 02, 2011, 01:31:40 pm
สาเหตุที่ตรัสชาดก

:: …..สมัยพุทธกาล ณ แคว้นโกศล มีโจรกลุ่มหนึ่งปล้นสะดมชาวบ้านแล้วหนีไป ชาวบ้านจึงพากันหาโจรจนมาถึงหมู่บ้านชายแดนแห่งหนึ่ง พบชาย ๓ คนกำลังไถนาอยู่ จึงคิดว่าเป็นโจรปลอมเป็นชาวนา จึงจับกุมทุบตีแล้วคุมตัวมาถวายพระเจ้าโกศล

…..ต่อมา ได้มีหญิงวัยกลางคนคนหนึ่ง เดินร้องให้รำพันรอบๆ พระราชวัง ขอพระราชทานเครื่องนุ่งห่ม ความทราบถึงพระเจ้าโกศล พระองค์มีรับสั่งให้นำผ้าสาฎกไปมอบให้แก่นาง แต่นางกลับยิ่งร้องไห้หนักขึ้นและกล่าว

 “ขอพระราชทานเครื่องนุ่งห่ม คือสามี”

…..ราชบุรุษจึงนำนางไปเข้าเฝ้า พระเจ้าโกศลได้ทรงซักถาม นางจึงว่า

 “สามีชื่อว่าเครื่องนุ่งห่มของหญิง เมื่อไม่มีสามี แม้จะนุ่งห่มผ้าราคาตั้ง ๑,๐๐๐ กษาปณ์ ก็ชื่อว่าหญิงเปลือยอยู่นั่นเอง แม่น้ำไม่มีน้ำ ชื่อว่าเปลือย แว่นแคว้นไม่มีราชา ชื่อว่าเปลือย หญิงปราศจากสามี ถึงจะมีพี่น้องตั้ง ๑๐ คน ก็ชื่อว่าเปลือย”

…..พระเจ้าโกศลเกิดเลื่อมใสจึงตรัสคืนชายหนึ่งคนให้ นางจึงขอพี่ชายและให้เหตุผลว่า ถ้ายังมีชีวิตย่อมหาสามีใหม่และมีบุตรใหม่ได้ แต่บิดามารดาได้สิ้นชีวิตไปแล้ว ไม่อาจจะมีพี่ชายได้อีก พระเจ้าโกศลเห็นความฉลาดของนางจึงโปรดไว้ชีวิตชายทั้งสาม

…..เรื่องดังกล่าวเลื่องลือแม้กระทั่งในหมู่ภิกษุ ความทราบถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ทรงระลึกชาติหนหลังด้วยบุพเพนิวาสานุสติญาณ แล้วตรัสเล่า อุจฉังคชาดก
 ——————————————– ::
ข้อคิดจากชาดก ::

๑. ผู้ที่มีหน้าที่ปราบปราม นำคนผิดมาลงโทษ ควรพิจารณาอย่างรอบคอบ อย่าจับคนด้วยเพียงการคาดคะเน เพราะการลงโทษคนบริสุทธิ์เป็นบาปอย่างยิ่ง การปล่อยคนผิดไป ๑๐๐ คน ยังดีกว่าการลงโทษคนบริสุทธิ์เพียงคนเดียว ….
๒. คนเราควรหาโอกาส “ตอบแทนคุณ” ของผู้ที่มีพระคุณต่อเราอยู่เสมอ …..
๓. ผู้ที่รู้บุญคุณและตอบแทนบุญคุณ ย่อมไม่ถึงความตกต่ำอย่างแน่นอน …..
๔. ผู้ที่ตั้งมั่นอยู่ในหลักธรรม แม้ความตายมาถึงตัว ก็มีสติตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว สามารถเผชิญความตายโดยอาจหาญ ย่อมเป็นผู้ที่ “ประสบสุขได้แม้ในยามทุกข์” …..
๕. พี่น้องกันนั้น “ฆ่ากันไม่ตาย ขายกันไม่หมด” แม้จะมีเรื่องผิดใจกันอย่างไร แต่เมื่อมีเรื่องเดือดร้อน ย่อมพึ่งพากันได้
56  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ครูบาศรีวิชัย เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 10:38:46 am
   
ครูบาศรีวิชัย
    ครูบาศรีวิชัย ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วไปโดยเฉพาะในเขตล้านนาว่าเป็น "ตนบุญ" หรือ "นักบุญ" อันมีความหมายเชิงยกย่องว่าเป็นนักบวชที่มีคุณสมบัติพิเศษ อาจพบว่ามีการเรียกอีกว่า ครูบาเจ้าศรีวิชัย พระครูบาศรีวิชัย ครูบาศีลธรรม หรือ ทุเจ้าสิริ (อ่าน"ตุ๊เจ้าสิลิ") แต่พบว่าท่านมักเรียกตนเองเป็น พระชัยยาภิกขุ หรือ พระศรีวิชัยชนะภิกขุ เดิมชื่อเฟือนหรืออินท์เฟือนบ้างก็ว่าอ้ายฟ้าร้อง เนื่องจากในขณะที่ท่านถือกำเนิดนั้นปรากฏฝนฟ้าคะนองอย่างหนัก ส่วนอินท์เฟือนนั้น หมายถึง การเกิดกัมปนาทหวั่นไหวถึงสวรรค์หรือเมืองของพระอินทร์ ท่านเกิดในปีขาล เดือน ๙ เหนือ(เดือน ๗ของภาคกลาง) ขึ้น ๑๑ ค่ำ จ.ศ.๑๒๔๐ เวลาพลบค่ำ ตรงกับวันอังคารที่ ๑๑ เดือนมิถุนายน พ.ศ.๒๔๒๑ ที่หมู่บ้านชื่อ "บ้านปาง" ตำบลแม่ตืน อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน ท่านเป็นบุตรของนายควาย นางอุสา มีพี่น้องทั้งหมด ๕ คน มีชื่อตามลำดับ คือ ๑. นายไหว ๒. นางอวน ๓. นายอินท์เฟือน(ครูบาศรีวิชัย) ๔. นางแว่น ๕. นายทา

    ทั้งนี้นายควายบิดาของท่านได้ติดตามผู้เป็นตาคือ หมื่นปราบ (ผาบ) ซึ่งมีอาชีพเป็นหมอคล้องช้างของเจ้าหลวงดาราดิเรกฤทธิ์ไพโรจน์(เจ้าผู้ครองนครลำพูนองค์ที่ ๗ ช่วง พ.ศ.๒๔๑๔-๒๔๓๑)ไปตั้งครอบครัวบุกเบิกที่ทำกินอยู่ที่บ้านปาง บ้านเดิมของนายควายอยู่ที่บ้านสันป่ายางหลวง ทางด้านเหนือของตัวเมืองลำพูน

    ในสมัยที่ครูบาศรีวิชัยหรือนายอินท์เฟือนยังเป็นเด็กอยู่นั้น หมู่บ้านดังกล่าวยังกันดารมากมีชน กลุ่มน้อยอาศัยอยู่มากโดยเฉพาะชาว ปกาเกอญอ (กะเหรี่ยง) ในช่วงนั้นบ้านปางยังไม่มีวัดประจำหมู่บ้าน จนกระทั่งเมื่อนายอินท์เฟือนมีอายุได้ ๑๗ ปีได้มีพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ ครูบาขัติยะ (ชาวบ้านเรียกว่า ครูบาแฅ่งแฅะ เพราะท่านเดินขากะเผลก) เดินธุดงค์จากบ้านป่าซางผ่านมาถึงหมู่บ้านนั้น ชาวบ้านจึงนิมนต์ท่านให้อยู่ประจำที่บ้านปาง แล้วชาวบ้านก็ช่วยกันสร้างกุฏิชั่วคราวให้ท่านจำพรรษา ในช่วงนั้น เด็กชายอินท์เฟือนได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเมื่ออายุได้ ๑๘ ปีก็ได้บรรพชาเป็นสามเณรที่ อารามแห่งนี้โดยมีครูบาขัติยะเป็นพระอุปัชฌาย์ ๓ ปีต่อมา (พ.ศ. ๒๔๔๒) เมื่อสามเณรอินท์เฟือนมีอายุย่างเข้า ๒๑ ปี ก็ได้เข้าอุปสมบทในอุโบสถวัดบ้านโฮ่งหลวง อำเภอบ้านโฮ่งจังหวัดลำพูน โดยมีครูบาสมณะวัดบ้านโฮ่งหลวงเป็นพระอุปัชฌาย์ ได้รับนามฉายาในการอุปสมบทว่า สิริวิชโยภิกฺขุ มีนามบัญญัติว่า พระศรีวิชัย ซึ่งบางครั้งก็พบว่าเขียนเป็น สรีวิไชย สีวิไช หรือ สรีวิชัย

    เมื่ออุปสมบทแล้ว สิริวิชโยภิกขุก็กลับมาจำพรรษาที่อารามบ้านปางอีก ๑ พรรษา จากนั้นได้ไปศึกษากัมมัฏฐานและวิชาอาคมกับครูบาอุปละ วัดดอยแต อำเภอแม่ทา จังหวัดลำพูน ต่อมาได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ของครูบาวัดดอยคำอีกด้วย และอีกท่านหนึ่งที่ถือว่าเป็นครูของครูบาศรีวิชัยคือครูบาสมณะ วัดบ้านโฮ่งหลวงซึ่งเป็นพระอุปฌาย์ของท่าน

    ครู บาศรีวิชัยรับการศึกษาจากครูบาอุปละวัดดอยแตเป็นเวลา ๑ พรรษาก็กลับมาอยู่ที่อารามบ้านปางจนถึง พ.ศ. ๒๔๔๔ (อายุได้ ๒๔ ปี พรรษาที่ ๔) ครูบาขัติยะได้จาริกออกจากบ้านปางไป(บางท่านว่ามรณภาพ) ครูบาศรีวิชัยจึงรักษาการแทนในตำแหน่งเจ้าอาวาส และเมื่อครบพรรษาที่ ๕ ก็ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านปาง จากนั้นก็ได้ย้ายวัดไปยังสถานที่ที่เห็นว่าเหมาะสม คือบริเวณเนินเขาซึ่งเป็นที่ตั้งวัดบ้านปางในปัจจุบัน เพราะเป็นที่วิเวกและสามารถปฏิบัติธรรมได้เป็นอย่างดีโดยได้ให้ชื่อวัดใหม่ แห่งนี้ว่า วัดจอมสรีทรายมูลบุญเรือง แต่ชาวบ้านทั่วไปยังนิยมเรียกว่า วัดบ้านปาง ตามชื่อของหมู่บ้าน

    ครูบาศรีวิชัยเป็นผู้มีศีลาจารวัตรที่งดงามและเคร่งครัด โดยที่ท่านงดการเสพ หมาก เมี่ยง บุหรี่ โดยสิ้นเชิง ท่านงดฉันเนื้อสัตว์ตั้งแต่เมื่ออายุได้ ๒๖ ปี และฉันอาหารเพียงมื้อเดียว ซึ่งมักเป็นผักต้มใส่เกลือกับพริกไทเล็กน้อย บางทีก็ไม่ฉันข้าวทั้ง ๕ เดือน คงฉันเฉพาะลูกไม้หัวมันเท่านั้น นอกจากนี้ท่านยังงดฉันผักตามวันทั้ง ๗ คือ วันอาทิตย์ ไม่ฉันฟักแฟง, วันจันทร์ ไม่ฉันแตงโมและแตงกวา, วันอังคาร ไม่ฉันมะเขือ, วันพุธ ไม่ฉันใบแมงลัก, วันพฤหัสบดี ไม่ฉันกล้วย, วันศุกร์ ไม่ฉันเทา (อ่าน"เตา"-สาหร่ายน้ำจืดคล้ายเส้นผมสีเขียวชนิดหนึ่ง), วันเสาร์ ไม่ฉันบอน นอกจากนี้ผักที่ท่านจะไม่ฉันเลยคือ ผักบุ้ง ผักปลอด ผักเปลว ผักหมากขี้กา ผักจิก และผักเฮือด-ผักฮี้(ใบไม้เลียบอ่อน) โดยท่านให้เหตุผลว่า ถ้าพระภิกษุสามเณรรูปใดงดได้ การบำเพ็ญกัมมัฏฐานจะเจริญก้าวหน้า ผิวพรรณจะเปล่งปลั่ง ธาตุทั้ง ๔ จะเป็นปกติ ถ้าชาวบ้านงดเว้นแล้วจะทำให้การถือคาถาอาคมดีนัก

    ครู บาศรีวิชัยมีความปรารถนาที่จะบรรลุธรรมะอันสูงสุดดังปรากฏจากคำอธิษฐานบารมี ที่ท่านอธิษฐานไว้ว่า "...ตั้งปรารถนาขอหื้อได้ถึงธรรมะ ยึดเหนี่ยวเอาพระนิพพานสิ่งเดียว..." และมักจะปรากฏความปรารถนาดังกล่าวในตอนท้ายชองคัมภีร์ใบลานที่ท่านสร้างไว้ ทุกเรื่อง อีกประการหนึ่งที่ทำให้ครูบาศรีวิชัยเป็นที่รู้จักและอยู่ในความทรงจำของชาว ล้านนาคือการที่ท่านเป็นผู้นำในการสร้างทางขึ้นสู่วัดพระธาตุดอยสุเทพโดย พลังศรัทธาประชาชนเป็นจำนวนมาก ทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์ ซึ่งใช้เวลาสร้างเพียง ๕ เดือนเศษ โดยไม่ใช้งบประมาณของรัฐ แต่เรื่องที่ทำให้ครูบาศรีวิชัยเป็นที่รู้จักกันใน ระยะแรกนั้นเกิดเนื่องจากการที่ท่านต้องอธิกรณ์ ซึ่งระเบียบการปกครองสงฆ์ตามจารีตเดิมของล้านนานั้นให้ความสำคัญแก่ระบบหมวดอุโบสถ หรือ ระบบหัวหมวดวัด มากกว่า และการปกครองก็เป็นไปในระบบพระอุปัชฌาย์อาจารย์กับศิษย์ ซึ่งพระอุปัชฌาย์รูปหนึ่งจะมีวัดขึ้นอยู่ในการดูแลจำนวนหนึ่งเรียกว่าเจ้าหมวดอุโบสถ โดยคัดเลือกจากพระที่มีผู้เคารพนับถือและได้รับการยกย่องว่าเป็น ครูบา ซึ่งหมายถึงพระภิกษุที่ได้รับความยกย่องอย่างสูง ดังนั้นครูบาศรีวิชัยซึ่งมีชื่อเสียงอยู่ในขณะนั้นจึงอยู่ในตำแหน่งหัวหมวด พระอุปัชฌาย์ โดยฐานะเช่นนี้ ครูบาศรีวิชัยจึงมีสิทธิ์ตามจารีตท้องถิ่นที่จะบวชกุลบุตรได้ ทำให้ครูบาศรีวิชัยจึงมีลูกศิษย์จำนวนมาก และลูกศิษย์เหล่านี้ก็ได้เป็นฐานกำลังที่สำคัญของครูบาศรีวิชัยในการดำเนิน กิจกรรมทางศาสนาและกิจกรรมสาธารณประโยชน์ อีกทั้งยังเป็นแนวร่วมในการต่อต้านอำนาจจากกรุงเทพฯ เมื่อเกิดกรณีขัดแย้งขึ้นในเวลาต่อมา

    ส่วน สงฆ์ในล้านนาเองก็มีแนวปฏิบัติที่หลากหลาย เนื่องจากมีการจำแนกพระสงฆ์ตามจารีตท้องถิ่นออกเป็นถึง ๑๘ นิกาย และในแต่ละนิกายนี้ก็น่าจะหมายถึงกลุ่มพระที่เป็นสายพระอุปัชฌาย์สืบต่อกัน มาในแต่ละท้องที่ซึ่งมีอำนาจปกครองในสายของตนโดยผ่านความคิดระบบครูกับศิษย์ และนอกจากนี้นิกายต่าง ๆ นั้นยังเกี่ยวข้องกับชื่อของเชื้อชาติอีกด้วย เช่น นิกายเชียงใหม่ นิกายขึน (เผ่าไทขึน/เขิน) นิกายยอง (จากเมืองยอง) เป็นต้น สำหรับครูบาศรีวิชัยนั้นยึดถือปฏิบัติในแนวของนิกายเชียงใหม่ผสมกับนิกายยอง ซึ่งมีแนวปฏิบัติบางอย่างต่างจากนิกายอื่น ๆ มีธรรมเนียมที่ยึดถือคือ การนุ่งห่มที่เรียกว่า กุมผ้าแบบรัดอก สวมหมวก แขวนลูกประคำ ถือไม้เท้าและพัด ซึ่งยึดธรรมเนียมมาจากวัดดอยแตโดยอ้างว่า สืบวิธีการนี้มาจากลังกา การที่ครูบาศรีวิชัยถือว่าท่านมีสิทธิ์ที่จะบวชกุลบุตรได้ตามจารีตการถือ ปฏิบัติมาแต่เดิมนั้น ทำให้ขัดกับพระราชบัญญัติการปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ.๑๒๑(พ.ศ.๒๔๔๖) เพราะในพระราชบัญญัติดังกล่าวกำหนดว่า "พระอุปัชฌาย์ที่จะบวชกุลบุตรได้ ต้องได้รับการแต่งตั้งตามระเบียบการปกครองของสงฆ์จากส่วนกลางเท่านั้น" โดยถือเป็นหน้าที่ของเจ้าคณะแขวงนั้น ๆ เป็นผู้คัดเลือกผู้ที่ควรจะเป็นอุปัชฌาย์ได้ และเมื่อคัดเลือกได้แล้วจึงจะนำชื่อเสนอเจ้าคณะผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯเพื่อ ดำเนินการแต่งตั้งต่อไป การจัดระเบียบการปกครองใหม่ของกรุงเทพฯนี้ถือเป็นวิธีการสลายจารีตเดิมของ สงฆ์ในล้านนาอย่างได้ผล องค์กรสงฆ์ล้านนาก็เริ่มสลายตัวลงที่ละน้อยเพราะอย่างน้อยความขัดแย้งต่าง ๆ ก็เกิดขึ้นระหว่างสงฆ์ในล้านนาด้วยกันเอง ดังกรณี ความขัดแย้งระหว่างครูบาศรีวิชัยกับพระครูมหารัตนากรเจ้าคณะแขวงลี้ อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน เป็นต้น

    การ ต้องอธิกรณ์ระยะแรกของครูบาศรีวิชัยนั้นเกิดขึ้นเพราะครูบาศรีวิชัยถือ ธรรมเนียมปฏิบัติตามจารีตเดิมของล้านนา ส่วนเจ้าคณะแขวงลี้ซึ่งใช้ระเบียบวิธีปฏิบัติของกรุงเทพฯ ซึ่งเห็นว่าครูบาศรีวิชัยทำหน้าที่พระอุปัชฌาย์โดยไม่ได้รับการอนุญาตจาก เจ้าคณะแขวงลี้ จึงถือว่าเป็นความผิด เพราะตั้งตนเป็นพระอุปัชฌาย์เองและเป็นพระอุปัชฌาย์เถื่อน ครูบามหารัตนากรเจ้าคณะแขวงลี้กับหนานบุญเติง นายอำเภอลี้ได้เรียกครูบาศรีวิชัยไปสอบสวนเกี่ยวกับปัญหาที่ครูบาศรีวิชัย เป็นพระอุปัชฌาย์บวชกุลบุตรโดยมิได้รับแต่งตั้งตามพระราชบัญญัติ การจับกุมครูบาศรีวิชัยสามารถแบ่งช่วงเวลาออกเป็น ๓ ช่วงเนื่องจากเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกือบ ๓๐ ปีและแต่ละช่วงจะมีรายละเอียดของสภาพสังคมที่แตกต่างกัน

    อธิกรณ์ระยะแรก (ช่วง พ.ศ.๒๔๕๑ - ๒๔๕๓)
    การ ต้องอธิกรณ์ช่วงแรกของครูบาศรีวิชัยเป็นผลมาจากการเริ่มทดลองใช้กฎหมายของ คณะสงฆ์ฉบับแรก(พ.ศ.๒๔๔๖)และเป็นการเริ่มให้อำนาจกับสงฆ์สายกลุ่มผู้ปกครอง ในช่วงพ.ศ.๒๔๕๓ นั้น บทบาทของครูบาศรีวิชัยในหมู่ชาวบ้านและชาวเขามีลักษณะโดดเด่นเกินกว่า ตำแหน่งสงฆ์ผู้ปกครอง ดังจะเห็นว่าชาวบ้านมักนำเอาบุตรหลานมาฝากฝังให้ครูบาศรีวิชัยบวชเณรและ อุปสมบท เมื่อความทราบถึงเจ้าคณะแขวงและนายอำเภอลี้ ทางการก็เห็นว่าครูบาศรีวิชัยล่วงเกินอำนาจของตน เจ้าคณะแขวงและนายอำเภอได้พาตำรวจควบคุมครูบาศรีวิชัยไปกักไว้ที่วัดเจ้าคณะ แขวงลี้ได้ ๔ คืน จากนั้นก็ส่งครูบาศรีวิชัยไปให้พระครูบ้านยู้ เจ้าคณะจังหวัดลำพูนเพื่อรับการไต่สวน ซี่งผลก็ไม่ปรากฏครูบาศรีวิชัยมีความผิด หลังจากถูกไต่สวนครั้งแรกไม่นานนัก ครูบาศรีวิชัยก็ถูกเรียกตัวสอบอีกครั้งโดยพระครู มหาอินทร์ เจ้าคณะแขวงลี้ เนื่องจากมีหมายเรียกให้ครูบาศรีวิชัยนำลูกวัดไปประชุมเพื่อรับทราบระเบียบ กฎหมายใหม่จากนายอำเภอและเจ้าคณะแขวงลี้ แต่ครูบาศรีวิชัยไม่ได้ไปตามหมายเรียกนั้น ซึ่งส่งผลทำให้เจ้าอธิการหัววัดที่อยู่ในหมวดอุโบสถของครูบาศรีวิชัยไม่ไป ประชุมเช่นกัน เพราะเห็นว่าเจ้าหัวหมวดไม่ไปประชุม ลูกวัดก็ไม่ควรไป พระครูเจ้าคณะแขวงลี้จึงสั่งให้นายสิบตำรวจเมืองลำพูนไปควบคุมครูบาศรีวิชัย ส่งให้พระครูญาณมงคลเจ้าคณะจังหวัดลำพูนจัดการไต่สวน ครั้งนั้น ครูบา ศรีวิชัยถูกควบคุมตัวอยู่ที่วัดชัยเมืองลำพูนถึง ๒๓ วัน จึงได้รับการปล่อยตัว

    ส่วนครั้งที่๓ ใน พ.ศ.เดียวกันนี้ พระครูเจ้าคณะแขวงลี้ได้สั่งให้ครูบาศรีวิชัยนำเอาลูกวัดเจ้าอธิการหัววัดตำบลบ้านปาง ซึ่งอยู่ในหมวดอุโบสถไปประชุมที่วัดเจ้าคณะแขวงตามพระราชบัญญัติที่จะเพิ่มขึ้น ปรากฏว่าครูบาศรีวิชัยมิได้เข้าประชุมอีก มีผลให้บรรดาหัววัดไม่ไปประชุมเช่นกัน เจ้าคณะแขวงและนายอำเภอลี้จึงมีหนังสือฟ้องถึงพระครูญาณมงคล เจ้าคณะจังหวัดลำพูน ครูบาศรีวิชัยถูกควบคุมไว้ที่วัดพระธาตุหริภุญชัยเมืองลำพูนนานถึงหนึ่งปี พระครูญาณมงคลจึงได้เรียกประชุมพระครูผู้ใหญ่ในจังหวัดเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ ซึ่งในที่สุดที่ประชุมก็ได้ตัดสินให้ครูบาศรีวิชัยพ้นจากตำแหน่งหัวหมวดวัดหรือหมวดอุโบสถและมิให้เป็นพระอุปัชฌาย์อีกต่อไป พร้อมทั้งถูกควบคุมตัวต่อไปอีกหนึ่งปี

    อธิกรณ์ระยะที่สอง (พ.ศ. ๒๔๕๔ - ๒๔๖๔)

    อธิกรณ์ พระศรีวิชัยครั้งที่สองนี้มีความเข้มข้นและรุนแรงขึ้นเนื่องจากเป็นผลมาจาก การต้องอธิกรณ์ครั้งแรกถึง ๓ ครั้ง แต่การต้องอธิกรณ์กลับเป็นการเพิ่มความเลื่อมใสศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อครู บาศรีวิชัยมากยิ่งขึ้น เสียงที่เล่าลือเกี่ยวกับครูบาสรีวิชัยจึงขยายออกไป นับตั้งแต่เป็นผู้วิเศษเดินตากฝนไม่เปียกและได้รับดาบสรีกัญไชย(พระขรรค์ ชัยศรี)จากพระอินทร์ ความนับถือเลื่อมใสศรัทธาใน ตัวครูบาศรีวิชัยยิ่งแพร่ขยายออกไปอย่างไม่หยุดยั้ง คำเล่าลือดังกล่าวเมื่อทราบถึงเจ้าคณะแขวงลี้และนายอำเภอแขวงลี้ ทั้งสองจึงได้เข้าแจ้งต่อพระครูญาณมงคล เจ้าคณะจังหวัดลำพูน โดยกล่าวหาว่า "ครูบาศรีวิชัยเกลี้ยกล่อมส้องสุมคนคฤหัสถ์นักบวชเป็นก๊กเป็นเหล่า และใช้ผีและเวทมนต์" พระครูญาณมงคลจึงออกหนังสือลงวันที่ ๑๒มกราคม ๒๔๖๒ สั่งครูบาศรีวิชัยให้ออกไปพ้นเขตจังหวัดลำพูน ภายใน ๑๕ วัน พร้อมทั้งมีหนังสือห้ามพระในจังหวัดลำพูนรับครูบาศรีวิชัยไว้ในวัด เมื่อครูบาศรีวิชัยโต้แย้งและทางการไม่สามารถเอาผิดครูบาศรีวิชัยได้ ความดังกล่าวก็เลิกราไประยะหนึ่ง แต่ต่อมา ก็มีหนังสือของเจ้าจักรคำขจรศักดิ์เจ้าผู้ครองเมืองนครลำพูน เรียกครูบาศรีวิชัยพร้อมกับลูกวัดเข้าเมืองลำพูน ครั้งนั้นพวกลูกศิษย์ได้จัดขบวนแห่ครูบาศรีวิชัยเข้าสู่เมืองอย่างใหญ่โต การณ์ดังกล่าวคงจะทำให้ทางคณะสงฆ์ผู้ปกครองลำพูนตกใจอยู่มิใช่น้อย ดังจะพบว่าเมื่อครูบาศรีวิชัยพักอยู่ที่วัดมหาวันได้คืนหนึ่ง อุปราชเทศามณฑลพายัพจึงได้สั่งย้ายครูบาศรีวิชัยขึ้นไปยังเชียงใหม่ โดยให้พักกับพระครูเจ้าคณะเมืองเชียงใหม่ที่วัดเชตวัน เสร็จแล้วจึงมอบตัวให้พระครูสุคันธศีล รองเจ้าคณะเมืองเชียงใหม่ ที่วัดป่ากล้วย (ศรีดอนไชย)

    ในระหว่างที่ครูบาศรีวิชัยถูกควบคุมอยู่ที่วัดป่ากล้วย ก็ได้มีพ่อค้าใหญ่เข้ามารับเป็นผู้อุปฐากครูบาศรีวิชัยคือหลวงอนุสารสุนทร (ซุ่นฮี้ ชัวย่งเส็ง)และพญาคำ แห่งบ้านประตูท่าแพ ตลอดจนผู้คนทั้งในเชียงใหม่และใกล้เคียงต่างก็เดินทางมานมัสการครูบาศรี วิชัยเป็นจำนวนมาก ทางฝ่ายผู้ดูแลต่างเกรงว่าเรื่องจะลุกลามไปกันใหญ่เนื่องจากแรงศรัทธาของชาว เมืองเหล่านี้ เจ้าคณะเมืองเชียงใหม่และเจ้าคณะมณฑลพายัพจึงส่งครูบาศรีวิชัยไปรับการไต่ สวนพิจารณาที่กรุงเทพฯ ซึ่งผลการพิจารณาไม่พบว่าครูบาศรีวิชัยมีความผิด และให้ครูบาศรีวิชัยเลือกเป็นเจ้าอาวาสหรืออาศัยอยู่ในวัดอื่นก็ได้ เมื่อครูบาศรีวิชัยกลับจากกรุงเทพฯแล้ว ชนทุกกลุ่มของล้านนาก็ได้เพิ่มความเคารพยกย่องในตัวครูบา ดังจะเห็นได้จากความสนับสนุนในการบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่าง ๆ ทั่วไปในล้านนาซึ่งต้องใช้ทั้งเงินและแรงงานอย่างมหาศาล

    อธิกรณ์ระยะที่สาม (ช่วง พ.ศ. ๒๔๗๘ - ๒๔๗๙)

    การ ต้องอธิกรณ์ช่วงที่สามของครูบาศรีวิชัยเกิดขึ้นในช่วงที่ได้มีการสร้างถนน ขึ้นสู่พระธาตุดอย สุเทพเพราะขณะก่อสร้างทางอยู่นั้นเอง ปรากฏว่ามีพระสงฆ์ในจังหวัดเชียงใหม่รวม ๑๐ แขวง ๕๐ วัด ขอลาออกจากการปกครองคณะสงฆ์ไปขึ้นอยู่ในปกครองของครูบาศรีวิชัยแทน เมื่อเห็นการที่วัดขอแยกตัวไปขึ้นกับครูบาศรีวิชัยเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนั้น ทางคณะสงฆ์จึงสั่งให้กลุ่มพระสงฆ์ในวัดที่ขอแยกตัวออกดังกล่าวเข้ามอบตัวและ พระสงฆ์ที่ครูบาศรีวิชัยเคยบวชให้ก็ถูกสั่งให้สึก อธิกรณ์ครั้งที่ ๓ นี้ได้ดำเนินมาจนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๗๙ ครูบาศรีวิชัยได้ให้คำรับรองต่อคณะสงฆ์ว่าจะปฏิบัติตามพระราชบัญญัติลักษณะ การปกครองคณะสงฆ์ทุกประการ ท่านจึงได้รับอนุญาตให้เดินทางกลับลำพูนเมื่อวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๗๙ รวมเวลาที่ต้องสอบสวนและอบรมอยู่ที่วัดเบญจมบพิตรเป็นเวลาถึง ๖ เดือน ๑๗ วัน

    กรณีความขัดแย้งระหว่างครูบาศรีวิชัยกับคณะสงฆ์ฝ่ายปกครองได้ดำเนินมาเป็นระยะเวลาเกือบ ๓๐ ปี นับตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๕๑ เป็นต้นมา ตราบกระทั่งวาระสุดท้ายในชีวิตของครูบาศรีวิชัย แต่ในช่วงเวลานั้น ครูบาศรีวิชัยก็ยังคงดำเนินการช่วยเหลือประชาชน เป็นที่พึ่งทางใจและดำเนินการบูรณะ ปฏิสังขรณ์วัดวาอารามต่างๆ ตลอดจนสาธารณะประโยชน์ตามคำอาราธนาอยู่เรื่อยมา

    การปฏิสังขรณ์วัดและปูชนียวัตถุทางพุทธศาสนากับการสร้างสิ่งสาธารณประโยชน์

    ครู บาศรีวิชัยได้ชื่อว่าเป็นผู้ถือปฏิบัติเคร่งมาตั้งแต่เป็นสามเณร ดังเห็นว่าท่านเป็นผู้ที่มักน้อย ถือสันโดษ และเว้นอาหารที่มีเนื้อสัตว์เจือปน ตลอดจนงดกระทั่งหมาก เมี่ยง และบุหรี่ ทำให้คนทั่วไปเห็นว่าครูบาเป็นผู้บริสุทธิ์ที่มีลักษณะเป็น"ตนบุญ" คนทั้งปวงต่างก็ประสงค์จะทำบุญกับครูบาเพราะเชื่อว่าการถวายทานกับภิกษุผู้ บริสุทธิ์เช่นนั้นจะทำให้ผู้ถวายทานได้รับอานิสงส์มาก เงินที่ประชาชนนำมาทำบุญก็นำไปใช้ในการก่อสร้างสาธารณประโยชน์และบูรณะศาสน สถานและศาสนวัตถุ งานก่อสร้างดังกล่าวเริ่มขึ้นเมื่อปี ฉลู พ.ศ.๒๔๔๒ เดือน ๓ แรม ๑ ค่ำ ครูบาได้แจ้งข่าวสารไปยังศรัทธาทั้งหลายรวมทั้งชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ว่าจะวัดบ้านปางขึ้นใหม่ ซึ่งก็สร้างเสร็จภายในเวลาไม่นานนัก ให้ชื่อวัดใหม่นั้นว่า "วัดศรีดอยไชยทรายมูล" ซึ่งคนทั่วไปนิยมเรียกว่า "วัดบ้านปาง"

    ขั้น ตอนปฏิบัติในการไปบูรณะปฏิสังขรณ์วัดมีว่า เมื่อครูบาได้รับนิมนต์ให้ไปบูรณะปฏิสังขรณ์วัดใดแล้ว ทางวัดเจ้าภาพก็จะสร้างที่พักของครูบากับศิษย์และปลูกปะรำสำหรับเป็นที่พัก ของผู้ที่มาทำบุญกับครูบา คืนแรกที่ครูบาไปถึงก็จะอธิษฐานจิตดูว่าการก่อสร้างครั้งนั้นจะสำเร็จหรือ ไม่ ซึ่งมีน้อยครั้งที่จะไม่สำเร็จเช่นการสร้างสะพานศรีวิชัยซึ่งเชื่อมระหว่าง อำเภอหางดง เชียงใหม่ กับอำเภอเมือง ลำพูน จากนั้นครูบาก็จะ "นั่งหนัก" คือเป็นประธานอยู่ประจำในงานนั้น คอยให้พรแก่ศรัทธาที่มาทำบุญโดยไม่สนใจเรื่องเงิน แต่มีคณะกรรมการช่วยกันรวบรวมเงินไปเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ครูบาไป "นั่งหนัก" ที่ไหน ประชาชนจะหลั่งไหลกันไปทำบุญที่นั่นถึงวันละ ๒๐๐-๓๐๐ ราย คับคั่งจนที่นั้นกลายเป็นตลาดเป็นชุมชนขึ้น เมื่อก่อสร้างเสร็จแล้วก็จะมีงาน "พอยหลวง-ปอยหลวง" คืองานฉลอง บางแห่งมีงานฉลองถึงสิบห้าวัน และในช่วงเวลาดังกล่าวก็มักจะมีคนมาทำบุญกับครูบามากกว่าปกติ เมื่อเสร็จงาน"พอยหลวง-ปอยหลวง" ในที่หนึ่งแล้ว ครูบาและศิษย์ก็จะย้ายไปก่อสร้างที่อื่นตามที่มีผู้มานิมนต์ไว้ โดยที่ท่านจะไม่นำทรัพย์สินอื่นใดจากแหล่งก่อนไปด้วยเลย ช่วงที่ครูบาศรีวิชัยต้องอธิกรณ์ครั้งที่สองและถูกควบคุมไว้ที่วัดศรีดอนชัย เชียงใหม่ เป็นเวลา ๓ เดือนกับ ๘ วันนั้น ผู้คนหลั่งไหลไปทำบุญกับครูบาไม่ต่ำกว่าวันละ ๒๐๐ ราย เมื่อครูบาได้ผ่านการพิจารณาอธิกรณ์ที่กรุงเทพฯ ซึ่งใช้เวลาอีก ๒ เดือนกับ ๔ วันแล้วครูบาก็เดินทางกลับลำพูนเมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม พ.ศ.๒๔๖๓ หลังจากนั้นผู้คนก็มีความศรัทธาในตัวครูบามากขึ้น ครูบาศรีวิชัยเริ่มต้นการบูรณะวัดขณะที่ท่านอายุ ๔๒ ปี โดยเริ่มจากการบูรณะพระเจดีย์บ่อนไก้แจ้ จังหวัดลำปาง ถัดจากนั้นได้บูรณะเจดีย์และวิหารวัดพระธาตุหริภุญชัย ต่อมาได้ไปบูรณะเจดีย์ดอยเกิ้ง ในเขตอำเภอฮอด เชียงใหม่ จากนั้นไปบูรณะวัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา กล่าวกันมาว่าในวันที่ท่านถึงพะเยานั้น มีประชาชนนำเงินมาบริจาคร่วมทำบุญใส่ปีบได้ถึง ๒ ปีบ หลังจากนั้นมาบูรณะวัดพระสิงห์ เชียงใหม่ เป็นอาทิ รวมแล้วพบว่างานบูรณะปฏิสังขรณ์วัดวาอารามของครูบาศรีวิชัยมีประมาณ ๒๐๐ แห่ง

    ในขณะที่ครูบาศรีวิชัยกำลังบูรณะวัดสวนดอกเชียงใหม่ใน พ.ศ.๒๔๗๕ อยู่นั้น หลวงศรีประกาศได้หารือกับครูบาศรีวิชัยว่าอยากจะนำไฟฟ้าขึ้นไปใช้บนดอยสุเทพ แต่ครูบาศรีวิชัยว่าหากทำถนนขึ้นไปจะง่ายกว่าและจะได้ไฟฟ้าในภายหลัง ทั้งนี้ทางการเคยคำนวณไว้ในช่วง พ.ศ.๒๔๖๐ ว่าหากสร้างทางขึ้นดอยสุเทพนั้นจะต้องใช้งบประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ บาท แต่ครูบาศรีวิชัยได้เริ่มสร้างทางเมื่อวันที่ ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๗๗ และเปิดให้รถยนต์แล่นได้ในวันที่ ๓๐ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๘ โดยไม่ต้องใช้งบประมาณเลย ครั้นเสร็จงานสร้างถนนแล้ว ครูบาศรีวิชัยก็ถูกนำตัวไปสอบอธิกรณ์ที่กรุงเทพฯอีกเป็นครั้งที่สอง และงานชิ้นสุดท้ายของท่านที่ไม่เสร็จในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ก็คือสะพานศรีวิชัยอนุสรณ์ ทอดข้ามน้ำแม่ปิงเชื่อมอำเภอหางดง เชียงใหม่ กับอำเภอเมืองจังหวัดลำพูน

    ในการก่อสร้างต่าง ๆ นับแต่ พ.ศ.๒๔๖๓ ถึง ๒๔๗๑ มีผู้ได้บริจาคเงินทำบุญกับท่าน ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ รูปี คิดเป็นเงินไม่น้อยกว่าสามหมื่นห้าพันบาท รวมค่าก่อสร้างชั่วชีวิตของท่านประมาณสองล้านบาท นอกจากนั้นท่านยังได้สร้างคัมภีร์ต่าง ๆ อีกไม่น้อยกว่า ๓๐๐๐ ผูก คิดค่าจารเป็นเงิน ๔,๓๒๑ รูปี(รูปีละ ๘๐ สตางค์) ทั้งนี้ แม้ครูบาศรีวิชัยจะมีงานก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่และมากมาย แต่บิดามารดาคือนายควายและนางอุสาก็ยังคงอยู่ในกระท่อมอย่างเดิมสืบมาตราบจนสิ้นอายุ

    ครูบาศรีวิชัยซึ่งเป็นคนร่างเล็กผอมบางผิวขาว ไม่ใช่คนแข็งแรง แม้ท่านจะไม่ต้องทำงานประเภทใช้แรงงาน แต่การที่ต้องนั่งคอยต้อนรับและให้พรแก่ผู้มาทำบุญกับท่านนั้น ท่านจะต้อง"นั่งหนัก"อยู่ตลอดทั้งวัน ด้วยเหตุนี้ท่านจึงอาพาธด้วยโรคริดสีดวงทวารซึ่งสะสมมาแต่ครั้งการตระเวนก่อสร้างบูรณะวัดในเขตล้านนา และการอาพาธได้กำเริบขณะที่สร้างสะพานข้ามแม่น้ำปิง ครูบาศรีวิชัยถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๑ ที่วัดบ้านปาง ขณะมีอายุได้ ๖๐ ปี ๙ เดือน ๑๑ วัน และตั้งศพไว้ที่วัดบ้านปางเป็นเวลา ๑ ปี บางท่านก็ว่า ๓ ปี จากนั้นได้เคลื่อนศพมาตั้งไว้ที่วัดจามเทวี ลำพูน จนถึงวันที่ ๒๑ มีนาคม พ.ศ.๒๔๘๙ จึงได้รับพระราชทานเพลิงศพ เมื่องานพระราชทานเพลิงศพเสร็จสิ้นจึงได้มีการแบ่งอัฐิของท่านไปบรรจุไว้ตามที่ต่าง ๆ เช่น ที่วัดจามเทวีจังหวัดลำพูน วัดสวนดอก จังหวัดเชียงใหม่ วัดพระแก้วดอนเต้า จังหวัดลำปาง วัดศรีโคมคำ จังหวัดพะเยา วัดพระธาตุช่อแฮ จังหวัดแพร่ และที่วัดบ้านปาง จังหวัดลำพูนอันเป็นวัดดั้งเดิมของท่าน เป็นต้น

    วัตถุมงคลของครูบาเจ้าศรีวิชัย

    ใน ยุคที่ครูบาศรีวิชัยยังไม่ถึงแก่มรณภาพนั้น ผู้ที่ทำบุญกับครูบาศรีวิชัยจะได้รับความอิ่มใจที่ได้ทำบุญกับท่านเท่านั้น ส่วนการสร้างวัตถุมงคลนั้น ระยะแรก พวกลูกศิษย์ที่นับถือครูบาศรีวิชัยได้จัดทำพระเครื่องคล้ายพระรอดหรือพระคง ของลำพูน โดยเมื่อครูบาปลงผมในวันโกน ก็จะเก็บเอาเส้นผมนั้นมาผสมกับมุกมีส่วนผสมกับน้ำรักกดลงในแบบพิมพ์ดินเผา แล้วแจกกันไปโดยไม่ต้องเช่าในระหว่างศิษย์ กล่าวกันว่าเพื่อป้องกันภยันตรายต่าง ๆ ซึ่งก็ลือกันว่ามีอิทธิฤทธิ์เป็นที่น่าอัศจรรย์

    ส่วน เหรียญโลหะรูปครูบาศรีวิชัยนั้น พระครูวิมลญาณประยุต (สุดใจ วิกสิตฺโต) ชาวจังหวัดอ่างทองได้ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดลำพูนสร้างขึ้นให้เช่าเพื่อนำ เงินมาช่วยในการปลงศพครูบาศรีวิชัย โดยให้เช่าในราคาเหรียญละ ๕ สตางค์ ทั้งนี้ สิงฆะ วรรณสัย ยืนยันจากประสบการณ์ที่ท่านรู้จักครูบาดีและได้คลุกคลีกับเรื่องพระเครื่อง มาตั้งแต่ครูบายังไม่มรณภาพนั้นระบุว่าไม่มีเหรียญรุ่นดอยสุเทพ ไม่มีเหรียญที่ครูบาศรีวิชัยสร้าง หรือวัตถุมงคลอื่นใดที่ครูบาจะสร้างขึ้น นอกจากการให้พรและความอิ่มใจในการทำบุญกับท่านเท่านั้น แต่ในระยะหลังก็พบว่ามีการสร้างวัตถุมงคลของครูบาอยู่เป็นจำนวนมาก ในรูปแบบต่างๆ โดยผู้ที่ครอบครองวัตถุมงคลเหล่านั้นมีความศรัทธาในความดีของ "ตนบุญ"เป็นสำคัญ

    อุดม รุ่งเรืองศรี

    (เรียบเรียงจากงานของ วิลักษณ์ ศรีป่าซาง, ประวัติครูบาศรีวิชัยร่วมกับหลวงศรีประกาศ ตอนสร้างทางขึ้นดอยสุเทพ ของ ส.สุภาภา ๑๐ พค.๒๕๑๘, สารประวัติครูบาศรีวิชัย นักบุญแห่งลานนาไทย ของสิงฆะ วรรณสัย ศูนย์หนังสือเชียงใหม่ พฤศจิกายน ๒๕๒๒, และ ตำนานครูบาศรีวิชัยแบบพิศดารและตำนานวัดสวน-ดอก สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ๒๕๓๗

ขอบคุณที่มาเนื้อหา
http://www.lannaworld.com/person/svchai.htm
57  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / ครูบาอุ่น อรุโณ เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 10:33:06 am


ครูบาอุ่น อรุโณ ท่านเป็นคนกรุงเก่าโดยกำเนิด เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ ม.ค.๒๔๖๖ ที่ อ.มหาราช
จ.พระนครศรีอยุธยา โยมบิดาชื่อ คำ โยมมารดาชื่อ เติม นามสกุลเดิมคือ กลิ่นเกษร มีพี่น้อง ๓ คน

ในวัยเยาว์ โยมบิดามารดาได้ส่งท่านเรียนหนังสือจนจบชั้น ม.๒ เมื่อมีอายุครบเกณฑ์ทหาร ได้ถูกเกณฑ์ไปเป็น
ทหารบกในหน่วยปืนกลเล็ก (ป.ก.น.๑๑) ที่ อ.บางปะอิน อยู่ ๒ ปี

หลังจากปลดประจำการแล้ว มีอายุได้ ๒๔ ปี ในปี ๒๔๙๐ จึงได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดปากคลอง ต.หัวไผ่
อ.มหาราช จ.พระนครศรีอยุธยา

โดยมี พระครูพรหมสมาจารย์ วัดประดู่ (ตะบอง) ต.ปากกระทุ่ง อ.มหาราช เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์ช้อย
วัดปากคลอง เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระมหาสมุทร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา "อรุโณ"

เมื่ออุปสมบทแล้ว ท่านได้ตั้งใจศึกษาพระธรรมวินัยและเรียนนักธรรมจนสอบได้นักธรรมชั้นตรีและโทตามลำดับ

นอกจากนี้ท่านยังสนใจในด้านพุทธาคมและกัมมัฏฐาน จึงได้ไปฝากตัวเรียนวิชากับครูบาอาจารย์หลายรูป
ทั้งที่เป็น พระสงฆ์และฆราวาส

อาทิ หลวงตาบุญ เรียนวิชาคงกระพันชาตรี ครูโปร่ง เรียนด้านเมตตามหานิยม หมอปาน
เรียนวิชาแก้คุณไสยและปราบผี พระอาจารย์พัด เรียนด้านคงกระพันชาตรีและแคล้วคลาด ครูโล เรียนวิชาคงกระพัน
ครูรอด เรียนวิชาทำน้ำมนต์ พระอุปัชฌาย์เฟื่อง วัดหนองอึ่ง เรียนสูตรสนธิและกัมมัฏฐาน หลวงพ่อหน่าย
วัดบ้านแจ้ง เรียนวิชาทำตะกรุด และหลวงพ่อโอภาสี เรียนวิชากสิณไฟ

พ.ศ.๒๔๙๖ ได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาสวัดหันสังข์ ต.น้ำสังข์ อ.บางปะอิน อยู่จำพรรษาในฐานะ
เจ้าอาวาสได้ ๙ พรรษา

พ.ศ.๒๕๐๓ ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะตำบลอยู่อีก ๒ พรรษา

พ.ศ.๒๕๑๗ ได้รับแต่งตั้งให้เป็น พระอุปัชฌาย์ รุ่นเดียวกับ หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช

พ.ศ.๒๕๑๘ ได้รับการแต่งตั้งเป็นพระครูสัญญาบัตรท ี่ พระครูอรุณวรกิจ

ในช่วงที่ครูบาอุ่นอยู่ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมาก
เป็นพระอาจารย์ที่เข้มขลังในด้านเมตตามหานิยม

เมื่อครั้งอยู่ที่วัดปากคลอง ท่านได้สร้างพระเนื้อผงแบบพระวัดปากบาง พระพิมพ์เล็บมือ พระพิมพ์ชินราช
พระพิมพ์สมเด็จ และเหรียญรูปเหมือนรุ่นแรกของท่านไว้

เพราะการเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ทำให้มีชาวบ้านเข้าหาท่านไม่ขาดสาย ท่านเห็นว่า
โอกาสที่จะ ปฏิบัติธรรมหาความวิเวกทำได้ยาก

ในปี ๒๕๒๐ ท่านจึงได้ออกจากวัดปากคลอง มุ่งหน้าสู่ภาคเหนือ เพื่อที่จะหา สถานที่สงบปฏิบัติธรรม
โดยจุดมุ่งหมายของท่านจะมุ่งไปที่ จ.เชียงราย

จนกระทั่งได้พบวัดที่มีความสงบและ เป็นวัดที่พุทธบริษัท พระสงฆ์ และชาวบ้านร่วมกันปฏิบัติกัมมัฏฐาน
วัดนั้นคือ วัดป่าแดง ตั้งอยู่ใน หมู่บ้านป่าสักขวาง ต.สันกำแพง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่

ปัจจุบันอยู่ทางทิศเหนือของที่ว่าการอำเภอสันกำแพง ท่านได้เข้าพำนักที่วัดป่าแดงตั้งแต่นั้น
ในฐานะพระลูกวัด เสมือนหลวงตารูปหนึ่ง มีกุฏิหลังเล็กๆ อยู่ด้านหลัง
โดยไม่แพร่งพรายฐานะอันแท้จริงของท่านให้ใครทราบว่า ท่านเป็นถึงพระครูสัญญาบัตรมาก่อน
และมีชื่อเสียงโด่งดัง จากภาคกลางมาแล้ว

ต่อมา พระอธิการบุญมี เจ้าอาวาสรูปก่อนมรณภาพ คณะกรรมการวัดและศรัทธาชาวบ้าน
จึงพร้อมใจกันขอให้ท่านรับตำแหน่งเจ้าอาวาสสืบมา

ถึงแม้ ครูบาอุ่น ท่านจะหลบลี้หนีหน้าญาติโยม เพื่อหาความสงบในการปฏิบัติธรรม จนกระทั่งชื่อเสียงค่อยๆ
ลบเลือนหายไปกับกาลเวลา

แต่เพชรก็ยังคงเป็นเพชร ชื่อเสียงของท่านเริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง

เมื่อศิษย์ของท่านได้ทำ ปฏิทินรูปครูบาอุ่น ขึ้น เพื่อแจกในเทศกาลปีใหม่ ได้เกิดเหตุการณ์บังเอิญขึ้นคือ


ขณะที่ชาวบ้านกำลังเผากองขยะอยู่นั้น ปรากฏว่า มีแผ่นกระดาษไม่ไหม้ไฟอยู่แผ่นหนึ่ง เมื่อไปดูก็ปรากฏว่า
เป็น ปฏิทินรูปครูบาอุ่น

เมื่อข่าวแพร่ออกไป ชาวบ้านจึงพากันแตกตื่นหาเก็บรูปปฏิทินใส่กรอบบูชากันเป็นการใหญ่ ชาวบ้านต่างพา
กันมากราบไหว้บูชาท่านจนมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่ว

ในช่วงที่ครูบาอุ่นมาจำพรรษา ณ วัดป่าแดงนี้ ท่านได้จัดสร้างวัตถุมงคลขึ้น อาทิ เหรียญรูปเหมือนรุ่น ๒
ในปี ๒๕๓๗ และผ้ายันต์นารายณ์กลืนจักร ต่อมาในปี ๒๕๔๔ ท่านได้จัดสร้าง พระปิดตารุ่นแรก ขึ้นพร้อมกับ
ล็อกเกต อีกจำนวนหนึ่ง เพื่อหาทุนสร้างอุโบสถวัดป่าแดง

พระปิดตารุ่นแรกนี้ สร้างจากวัสดุมวลสารต่างๆ ที่ท่านได้เก็บรวบรวมไว้ อาทิ ผงพุทธคุณต่างๆ
ผงปถมังที่ท่าน ได้ลบผงเองเก็บไว้ ดินสังเวชนียสถานจากประเทศอินเดีย จากเขาคิชกูฏ ดินโป่ง ๗ โป่ง ดิน ๗
ป่าช้า และผงวิเศษอื่นๆ อีกมากมาย

ลักษณะของพระปิดตา เป็นรูปทรงกลมขนาดใกล้เคียงกับเหรียญ ๑๐ บาท ด้านหน้าเป็นรูปพระปิดตา
นั่งเต็มองค์บนก้อนเมฆ หมายถึงการหลุดพ้นจากโลกแห่งกิเลสทั้งปวง

ขอบรอบนอกเป็นลายกนกหลายชั้น มีดวงแก้ววงกลมอยู่ ๗ ดวง หมายถึงหัวใจพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ส่วนด้านหลัง
ตรงกลางเป็นรูปเทวดาและนางฟ้านั่ง พนมมืออำนวยพร

มีอักขระธรรมล้านนา เป็นบทพระคาถาทางด้านแคล้วคลาด คงกระพัน เมตตามหานิยม และโชคลาภ ล้อมอยู่ ๒ ชั้น
ใต้รูปเทวดามีอักษรอันเป็นชื่อของพระปิดตารุ่นนี้ว่า "ดีนักแล"
หมายถึงมีพุทธคุณดีทุกประการแล้วแต่อธิษฐาน

พระปิดตารุ่นนี้ ครูบาอุ่นได้ปลุกเสกเดี่ยวตลอดพรรษา จัดสร้างเป็น ๒ พิมพ์ คือ
๑.พระปิดตาพิมพ์ใหญ่ แบบฝังตะกรุด จำนวน ๑๐๐ องค์ แบบไม่ฝังตะกรุด จำนวน ๑,๐๐๐ องค์
๒.พระปิดตาพิมพ์เล็ก แบบฝังตะกรุด จำนวน ๒๐๐ องค์ แบบไม่ฝังตะกรุด จำนวน ๑๐,๐๐๐ องค์

ครูบาอุ่น มรณภาพลงด้วยโรคชรา เมื่อวันที่ ๒๓ ธ.ค.๒๕๔๔ สิริรวมอายุได้ ๗๙ ปี พรรษา ๕๕

ในวันมรณภาพนั้น ได้เกิดเหตุการณ์มหัศจรรย์คือ ขณะที่ศิษยานุศิษย์และแพทย์ได้ช่วยกันตกแต่งสรีระ
ทำความสะอาดร่างและครองผ้าจีวรใหม่ให้กับท่าน

ปรากฏว่า ที่ศีรษะของครูบามีรอยนูนเล็กๆ เริ่มจากท้ายทอยและเพิ่มมากขึ้นๆ
ลักษณะเป็นรูปตารางสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนเท่าๆ กัน

โดยรอยนูนนั้นชัดเจนมาก คล้ายๆ กับเศียรพระพุทธรูป อีกทั้งใบหูของท่านก็ยาวขึ้นด้วย

เป็นที่ปลื้มปีติแก่ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ครั้งนั้นมาก

ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๖ ม.ค.๒๕๔๕ อันเป็นวันที่จะประกอบพิธีบรรจุสรีระของครูบาลงในหีบแก้ว
เหตุการณ์เดิมก็บังเกิดขึ้นอีก

นอกจากนี้ร่างกายของท่านยังอ่อนนุ่มเหมือนคนนอนหลับไปเฉยๆ ไม่แข็งกระด้างเหมือนคนที่เสียชีวิตทั่วไป
และไม่มีกลิ่นเหม็น

ทั้งๆ ที่มรณภาพมาแล้วถึง ๒๕ วัน เป็นที่ประจักษ์ของชาวบ้านและศิษยานุศิษย์จำนวนมาก

ขอบคุณที่มาเนื้อหา
http://www.212cafe.com/freewebboard/view.php?user=tofriend&id=257
58  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / พระธาตุลำปางหลวง เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 10:29:02 am


วัดพระธาตุลําปางหลวง เป็นวัดที่มีสถาปัตยกรรมที่งดงาม และมีความสําคัญทางด้านประวัติศาสตร์ วัดพระธาตุลําปางหลวงเป็นวัดเก่าแก่คู่บ้านคู่เมืองลําปาง ตามตํานานกล่าวว่า มีมาตั้งแต่สมัยพระนางจามเทวี ราวพุทธศตวรรษที่ 13 ตัววัดตั้งอยู่บนเนิน มีบันไดนาคทอดขึ้นสู่ตัววัด
วัดพระธาตุลําปางหลวง ตั้งอยู่ที่ ต.ลําปางหลวง ห่างจากตัวเมืองลําปาง ระยะทางประมาณ 18 กิโลเมตร ตามทางหลวงสายลําปาง-เถิน ถึงหลักกิโลเมตรที่ 586 เลี้ยวเข้าไปจนถึงที่ว่าการอําเภอเกาะคา
จากนั้นเลี้ยวขวาเข้าไปอีก 2 กิโลเมตร



วัดพระธาตุลําปางหลวง มีพุทธสถานที่น่าสนใจได้แก่ วิหารหลวง ซึ่งเป็นวิหารขนาดใหญ่ เปิดโล่ง มีกู่บรรจุพระเจ้าล้านทอง เป็นประธานของพระวิหาร หลังพระวิหารมีเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่รั้วทองเหลือง
รอบองค์พระเจดีย์มีรูกระสุนปืนที่หนานทิพย์ช้างยิงท้าวมหายศปรากฎอยู่ ด้านขวาองค์เจดีย์เป็นวิหารน้ำแต้ม (แต้ม แปลว่าภาพเขียน) เป็นวิหารเปิดโล่ง ปัจจุบันภาพเขียนลบเลือนไปมาก ด้านซ้ายของพระเจดีย์เป็นวิหารพระพุทธ เป็นอาคารปิดทึบ มีพระประธานแบบเชียงแสนองค์ใหญ่อยู่เต็มอาคาร หน้าบันของวิหารพระพุทธเป็นลายดอกไม้ติดกระจกสี และพิพิธภัณฑ์ของวัด ซึ่งรวบรวมศิลปวัตถุจากที่ต่างๆ ที่หาชมได้ยาก เช่น สังเค็ดธรรมาสนเทศน์ คานหาบ ตู้พระไตรปิฎก เป็นต้น
นอกจากนี้ วัดพระธาตุลําปางหลวง ยังเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วดอนเต่า ซึ่งเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของจังหวัดลําปาง ทุกปีจะมีงานประจําปีในวันเพ็ญเดือน 12










ขอบคุณเนื้อหา แหล่งที่มาของภาพบนความภูมิใจของชาวลำปาง
http://www.guidetourthailand.com/lampang/places-wat-phra-that-lampang-luang.php
59  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับ วัด พระสงฆ์ พระธาตุ พระเครื่อง / หลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน พระเกจิเถราจารย์ทางด้านธุดงค์วัตร เมื่อ: ธันวาคม 31, 2010, 10:23:12 am

หลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน พระเกจิเถราจารย์ทางด้านธุดงค์วัตร ปลีกวิเวก พุทธศาสนิกชนในจังหวัดลำปางและชาวไทยเคารพนับถือว่าท่านเป็นพระเถราจารย์ปูชนียบุคคลรูปหนึ่งของประเทศไทย และมีผู้มีความเคารพศรัทธาเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน อีกทั้งท่านยังเป็นเจ้านายใน"ราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์ (เจ้าเจ็ดตน)" ที่ออกผนวชอีกด้วย
[แก้] ประวัติ

หลวงพ่อเกษม เขมโก เดิมมีนามว่า เจ้าเกษม ณ ลำปาง ประสูติ เมื่อ วันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๕๕ ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ.131 เป็นบุตรใน เจ้าหนูน้อย ณ ลำปาง ภายหลังเปลี่ยนนามสกุลใหม่เป็น มณีอรุณ รับราชการเป็นปลัดอำเภอ กับ เจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง และเป็นราชปนัดดา ในมหาอำมาตย์โท พลตรีเจ้าบุญวาทย์วงศ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปางองค์สุดท้าย

เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ได้บรรพชาเป็นสามเณร ซึ่งเป็นการบรรพชาหน้าศพ (บวชหน้าไฟ) ของเจ้าอาวาสวัดป่าดั๊ว 7 วันได้ลาสิกขาและท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรอีกครั้งเมื่ออายุ 15 ปีและจำวัดอยู่ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ท่านได้ศึกษาด้านพระปรัยัติธรรมจนสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ในปี พ.ศ. 2474 และได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุในปีถัดมา โดยมี พระธรรมจินดานายก เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร อดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า "เขมโก" แปลว่า ผู้มีธรรมอันเกษม โดยพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ได้ศึกษาภาษาบาลีที่สำนักวัดศรีล้อม ต่อมาได้ย้ายมาศึกษาแผนกนักธรรมที่สำนักวัดเชียงราย

พ.ศ. 2479 ท่านสามารถสอบได้นักธรรมชั้นเอก ท่านเรียนรู้ภาษาบาลีจนสามารถเขียนและแปลได้ รวมทั้งสามารถแปลเป็นภาษามคธได้ เป็นอย่างดี แต่ท่านไม่ยอมสอบเอาวุฒิ จนครูบาอาจารย์ทุกรูปต่างเข้าใจว่าพระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก ไม่ต้องการมีสมณะศักดิ์สูง ๆ เรียนเพื่อจะนำเอาวิชาความรู้มาใช้ในการศึกษาค้นคว้าพระธรรมคำสอนของพระบรม ศาสดาเท่านั้น

เมื่อสำเร็จทางด้านปริยัติธรรมแล้ว ท่านแสาะแสวงหาครูบาอาจารย์ที่มีความรู้และมีความเชี่ยวชาญในด้านวิปัสสนา จนกระทั่ง ท่านทราบข่าวว่ามีพระเกจิรูปหนึ่งมีชื่อเสียงในด้านวิปัสสนา คือ ครูบาแก่น สุมโน ท่านจึงฝากตัวเป็นศิษย์ ท่านได้ตามครูบาแก่น สุมโน ออกท่องธุดงค์ไปแสวงหาความวิเวกและบำเพ็ญเพียรตามป่าลึก จนถึงช่วงเข้าพรรษาซึ่งพระภิกษุจำเป็นต้องยุติการท่องธุดงค์ชั่วคราวท่านจึง ต้องแยกทางกับพระอาจารย์ และกลับมาจำพรรษาที่วัดบุญยืนตามเดิม พอครบกำหนดออก ก็ติดตามอาจารย์ออกธุดงค์บำเพ็ญภาวนา

ต่อมา เจ้าอธิการคำเหมย เจ้าอาวาสวัดบุญยืน มรณภาพลง ทางคณะสงฆ์ได้ประชุมกันเพื่อหาเจ้าอาวาสรูปใหม่และต่างลงความเห็นพ้องต้อง กันเก็นควรว่า พระภิกษุ เจ้าเกษม เขมโก มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อท่านได้รับเลือกเป็นเจ้าอาวาสวัดบุญยืน ท่านก็ไม่ยินดียินร้าย แต่ท่านก็ห่วงทางวัดเพราะท่านเคยจำวัดนี้ ท่านเห็นว่าถือเป็นภารกิจทางศาสนาเพราะท่านเองต้องการให้พระศาสนานี้ดำรง อยู่ จึงยอมรับตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดบุญยืน หลังจากนั้นท่านก็ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งเจ้าอาวาสหลายครั้งเนื่องจาก ท่านอยากจะออกธุดงค์ แต่ไม่เป็นผลสำเร็จ ดังนั้น ท่านจึงออกจากวัดบุญยืนไปที่ศาลาวังทานพร้อมเขียนข้อความลาออกจากการเป็น เจ้าอาวาสไว้ด้วย

หลวงพ่อเกษม เขมโก เป็นพระสายวิปัสสนากรรมฐาน ไม่ยึดติดแม้แต่สถานที่ ท่านได้ปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ตลอดชนชีพ เป็นพระที่เป็นที่เคารพสักการะของคนในจังหวัดลำปางและทั่วประเทศ ท่านปฏิบัติศีลบริสุทธิ์ตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโดยไม่ ติดยึดในกิเลสทั้งปวง หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้ถึงแก่พิราลัย ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง จังหวัดลำปาง เมื่อเวลา 19.40 น. ของวันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ซึ่งตรงกับวันแรม 11 ค่ำ เดือน 2 ยังความอาลัยเศร้าโศกเสียใจมายังหมู่สานุศิษย์ทั่วประเทศ ส่วนสรีระของท่านนั้นก็ยังความอัศจรรย์ด้วยเนื่องจากไม่เน่าเปื่อยเหมือน อย่างสังขารทั่วไป ทั้งยังเขียนป้ายบอกผู้ที่มาเคารพสรีระ ท่านด้วยว่าให้พนมมือไหว้ที่หน้าอกเพียงครั้งเดียวแล้วไม่ต้องกราบแบบ เบญจางคประดิษฐ์อย่างศพของพระเถระทั่วไปนับว่าท่าน นั้นถือสมถะเป็นอย่างมาก ๒๘ พฤศจิกายน ๒๔๕๕ ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ.131
60  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / เวลาเราปฏิบัติ กรรมฐาน ต้องมีพระคุณเจ้ามาคอยพูดเตือนว่า ระวังติดสุข นะ เมื่อ: ธันวาคม 30, 2010, 12:00:48 pm
ในสาย วิปัสสนา สติปัฏฐาน พอทางเราพูดถึงกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

และความก้าวหน้าในทางกรรมฐาน แล้วแทนที่จะได้รับคำอนุโมทนา หรือ คำชี้แนะที่ดี

กับได้รับคำเตือนว่า

  "ระวัง ติดสุข ไม่สามารถไปนิพพานได้ นะควรปฏิบัติ สติปัฏฐาน 4 ไม่ใช่ พุทธานุสสติ หรือ อานาปานสติ"

ซึ่งเราฟังเองก็งง ๆ  อยู่กับคำแนะนำของ สายวิปัสสนาที่เรานับถือ ที่ลำปาง

  รู้สึกว่า ท่านไม่เห็นด้วยกับการฝึก กรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ

  พยายามชักจูง ให้ปฏิบัติ สติปัฏฐาน เท่านั้น

  คำถามที่อยากถามพระอาจารย์ คือ


   การปฏิบัติ ตามกรรมฐาน มัชฌิมา แบบลำดับ นั้นทำให้ติดสุข หรือ คะ

   :25:
61  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / ประเพณีตานข้าวจี่ข้าวหลาม ข้าวใหม่ วันพุธที่ 19 มกราคม 2554 ลำปาง เมื่อ: ธันวาคม 29, 2010, 01:59:47 pm

สำหรับประเพณีตานข้าวจี่ข้าวหลาม ข้าวใหม่ หิงหลัวพระเจ้าเดือน 4 เป็ง

ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 2 ใต้เดือน 4 เหนือของทุกปี

ซึ่งปีนี้ตรงกับวันพุธที่ 19 มกราคม 2554

ก็ขอเจินจาวล้านนาเฮาฮ่วมกั๋นอนุรักษ์ฮักษาป๋าเพณีอันดีงามของบ้านเฮาไว้ เน้อ


ที่มา
http://www.watsalamo.com/index.php?mo=5&qid=604086
62  กรรมฐาน มัชฌิมา / ธรรมะสัญจร / ทีมมัชฌิมา สระบุรี มีรายละเอียด ของทุ่งทานตะวันบ้างหรือป่าวคะ เมื่อ: ธันวาคม 28, 2010, 03:40:12 pm




อยากไปเที่ยวทุ่งทานตะวัน ชมเขื่อนป่าสัก ที่สระบุรีสักครั้งคะ

 :25:
63  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / เครื่องดื่ม นี้ท่านดื่มหรือยัง ฉี่วัว เครื่องดื่มชนิดพิเศษ.... เมื่อ: ธันวาคม 24, 2010, 12:11:29 pm

กลุ่ม นักเคลื่อนไหวชาวฮินดูในประเทศอินเดีย สร้างปรากฏการณ์ให้โลกของนักดื่มได้ตะลึงงัน กับสูตรใหม่ของเครื่องดื่มที่เชื่อว่าคงไม่ซ้ำใครและไม่มีใครเหมือน เนื่องจากว่าเครื่องดื่มชนิดนี้นั้น มีวัตถุดิบที่ใครก็คาดไม่ถึง เพราะว่ามันทำมาจากปัสสาวะของวัวนั่นเอง



แผนก คุ้มครองวัวของราชตรียา สวายามเสวก สิงห์ อันเป็นองค์กรชาตินิยมฮินดูที่เก่าแก่และเข้มแข็งที่สุดของประเทศอินเดีย ได้เปิดเผยเครื่องดื่มสูตรใหม่ที่พวกเขาพึ่งคิดค้นขึ้นมา โดยหัวหน้ากลุ่ม อุม ประกาศ ได้เรียกเครื่องดื่มชนิดนี้ว่า "เกายาล" หรือ "น้ำวัว" ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการตรวจสอบในห้องแลบ และเชื่อว่าบางทีในปลายปีนี้อาจจะนำออกจำหน่ายในท้องตลาดต่อไป

เขากล่าวว่า "ไม่มีอะไรต้องกังวลเลย นอกจากไม่มีกลิ่นเหมือนฉี่แล้ว มันยังมีรสชาติที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย แถมยังส่งผลดีต่อสุขภาพผู้ดื่ม คล้ายๆกับเครื่องดื่มประเภทคาร์โบเนต อันมีสรรพคุณในการล้างพิษออกจากร่างกาย" นอกจากนั้น คุณอุม ประกาศ ยังกล่าวว่า ส่วนผสมหลักสำคัญของเครื่องดื่มชนิดนี้นั้น นอกจากปัสสาวะของวัวแล้ว ยังมีสมุนไพรต่างที่มีประโยชน์ผสมลงไปอีกด้วย

อย่างไรก็ตาม คุณอุม ประกาศ ก็ปฏิเสธว่าทางกลุ่มมิได้มีแนวคิดที่จะนำเครื่องดื่มชนิดนี้ออกแข่งขันสู่ ท้องตลาดเหมือนกับโคคา โคลา หรือว่า เป๊ปซี่ เพียงแต่ต้องการใช้เครื่องดื่มชนิดนี้ เพื่อทำให้ชาวต่างชาติรวมถึงคนทั่วไป ได้รู้จักกลุ่มฮินดูให้มากขึ้นกว่านี้

เก็บมาฝาก

ภาพนี้ เป็นอีกหนึ่งกรณีเมาแล้วขับ ที่นำเสนอเพื่อเตือนสติเหล่าบรรดานักดื่มที่ยังคิดว่าตัวเองขับได้ โดยเหตุการณ์นี้เกิดที่ประเทศสวิส เพื่อชายแก่วัย 67 ปีคนหนึ่งที่เมากรึ่มมาอย่างเต็มที่ ก่อนจะเมาได้ที่และเข้าใจผิดว่า แพลตฟอร์มชานชะลาของสถานีรถไฟเป็นลาดจอดรถซะอย่างนั้น ก็จะเลี้ยวว้าบเข้ามาแบบไม่ลืมหูลืมตา จนสุดท้ายก็เป็นอย่างที่เห็น คือ รถจมดิ่งลงไปในรางรถไฟในที่สุด โชคดีก็คือขณะเกิดเหตุยังไม่มีรถไฟวิ่งเข้ามา ไม่งั้นคุณปู่ที่เมาแล้วขับผู้นี้ มีหวังคงจะได้บทเรียนการเมาแล้วขับเป็นวาระสุดท้ายของชีวิตแน่นอน
64  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / มีเทคนิคอย่างไร ที่งูฉกเด็กไม่ตาย เมื่อ: ธันวาคม 22, 2010, 10:12:35 am


มีเทคนิคอย่างไร ที่งูฉกเด็กไม่ตาย

ใครรู้ช่วยเฉลย ให้หน่อยสิคะ

 :c017:
65  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / งานเททองหล่อพระประธาน วัดสามัคคีบุญญาราม ลำปาง 1 - 2 มกราคม 2554 เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 11:16:10 am
งานเททองหล่อพระประธาน วัดสามัคคีบุญญาราม ลำปาง

     ขอเชิญร่วมทำบุญเททองหล่อพระประธานปางสมาธิ เนื้อทองสัมฤทธิ์ หน้าตัก 90 นิ้ว ใน วันอาทิตย์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2554 เพื่อประดิษฐาน ณ อุโบสถ วัดสามัคคีบุญญาราม (วัดหลวงปู่หลวง) ต.พระบาท อ.เมือง จ.ลำปาง มีกำหนดการดังนี้

เสาร์ที่ 1 มกราคม 2554
     09.00 น. จัดเครื่องบวงสรวง และเครื่องไทยทานตลอดวัน
     19.00 น. สวดพุทธมนต์สมโภชน์

อาทิตย์ที่ 2 มกราคม 2554
     07.30 น. ถวายภัตตาหาร
     08.00 น. พิธีบวงสรวง
     10.39 น. พิธีเททองหล่อพระ โดยพระเถรานุเถระพระสงฆ์ร่วมเจริญพระพุทธมนต์
     11.20 น. ถวายภัตตาหารเพล
     13.00 น. ถวายผ้าป่าสามัคคี พระสงฆ์อนุโมทนาให้พรเป็นอันเสร็จพิธี
66  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อาการฮิตของสาวๆ เมื่อถูกแฟนทิ้ง เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 10:54:25 am
อาการฮิตของสาวๆ เมื่อถูกแฟนทิ้ง
นั่ง – นอน - ร้องไห้ : ร้องจนไม่มีน้ำตาจะไหล จากนั้นให้ตั้งสติ คิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้น

ออกไปเที่ยวกับเพื่อน : ออกไปช้อปปิ้ง ดูหนัง พูดคุย สักพักจะเริ่มสำนึกได้ว่า มีเพื่อนสนุกกว่า มีแฟนเป็นไหนๆ

เชื่อใจเพื่อน :
หยุดฟังเพื่อนพูดปลอบใจ ถึงแม้จะเป็นคำพูดเพื่อเอาใจเรา แต่เชื่อเถอะว่า เพื่อนอยากให้เราหายเศร้า

เหล่หนุ่มน่ารักๆ ซักคน : เปิดใจให้กว้างมองคนอื่นมั่ง แล้วจะรู้ว่าหนุ่มในโลกนี้ยังมีดีๆ น่ารักๆ อีกตั้งแยะ

พูดกับตัวเอง : ไม่ได้ให้กลายเป็นบ้านะ ก็ลองนึกทบทวนดูสิว่า ก่อนหน้าที่เรายังไม่มีเขา เราก็มีความสุขดีนี่นา

กินช็อคโกแล็ตหรือไอศครีม : หรือกินอะไรก็ได้ที่ชอบ พูดง่ายๆ ทำทุกอย่างที่ชอบ

ฟังเพลง : เปิดเพลงฟัง ทั้งเต้นทั้งร้องให้ บ้าบอคอแตกไปเลย แต่อย่าฟังเพลงเศร้านะ

พยายามอย่าคิดถึงเขา : เขี่ยทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ นึกถึงเขาออกให้หมด

นึกทบทวนถึงเขา : ตรงกันข้ามเลยล่ะ การที่คุณคิดถึงเรื่องดีๆ ที่น่าจดจำระหว่างเราสอง เปิดอ่านข้อความเก่าๆ ที่มีความหมายจากวันนั้น แล้วทบทวนดูซิว่าเราทำอะไรผิดไป ต่อไปจะได้ไม่ทำอีก

เขียนข้อความแทนใจ : ไม่ว่าจะเป็นบทกลอน หรือ ระบายความรู้สึกทั้งหมดที่มี เกี่ยวกับเขา

ข้อความจากเมล มีเท่านี้คะ ต่อไปนี้เติมอีกคะ


นั่งสมาธิ : นั่งให้นาน กำหนด พุทโธ ที่ฐานจิต พุท โธ ช้า ๆ 

เข้าค่ายธรรมะ : ให้รู้กันไป ว่าจะลืมกันไม่ได้ เผื่อจะได้เห็นสัจจะธรรม มากขึ้น

ทำบุญตักบาตร กรวดน้ำ คว่ำขัน อุทิศส่วนกุศล ให้ 7 วัน : แบบว่าอยากลืม ชาติต่อไป จะได้ไม่ต้องเจอกันอีก

 :25: :25: :happybirthday3:
67  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เตรียมตัว Count down เมื่อ: ธันวาคม 14, 2010, 10:35:26 am
รอบนี้มา Trend ติดฮิต กับคำว่า Count down เพราะต้องการทำอะไรบางอย่างเพื่อตนเอง

พูดถึงเรื่อง การนับถอยหลัง เพื่อเตรียมส่งท้ายปีเก่า เริ่มต้นปีใหม่ มีธรรมเนียมมาแต่ไหนไม่ชัดเจน

แต่สำหรับ เราท่านที่อยู่ในไทย แล้ว มีการส่งเมล์ พอจะสรุป สถานที่ เคาน์ดาวน์ กันดังนี้

1.บ้านเพื่อน (รวมแฟนด้วย ) หรือ บ้านตนเอง
   ก็นับว่าเป็นกระชับไมตรี กับ ญาติ สนิท มิตร สหาย ที่นับถือกัน ถึงมารวมกันที่บ้าน


2.ผับ สวนอาหาร ร้านอาหาร  คาเฟ่
   เป็นการออกไปท่องราตรี ปล่อยชีวิต พบปะผู้คน ทั้งที่รู้จัก และ ไม่รู้จัก ซึ่งมีความเสี่ยงสูง

3.สถานที่ท่องเที่ยว

   3.1  ผูกไว้กับอดีต และความสำคัญ ต้องสนามหลวง รำลึกความเป็นไทย สิคะ
         

   3.2  ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ทั้งสะพานพุทธ สะพานพระราม 8 ดูแสง สีไฟ กับ พลุ พันดวง
         

   3.3 เวิลดเทรด ซึ่งมีกิจกรรม เคาน์ดาวน์ ทุกครั้ง ไม่รู้ปีนี้จะคึกคักหรือป่าว หวั่นเรื่องการชุมนุมฟื้นฟูหรือยัง
       ไม่ทราบ
         
     

   3.4. พัทยา กับ งานกิจกรรมชายหาด
       
68  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ร็อตไวเลอร์ กัดเด็ก 3 ขวบเย็บ 25 เข็ม ส่วนสุนัขหนีรอดไปได้ (ไอเอ็นเอ็น) เมื่อ: ธันวาคม 09, 2010, 01:16:26 pm

ร็อตไวเลอร์ กัดเด็ก 3 ขวบเย็บ 25 เข็ม  ส่วนสุนัขหนีรอดไปได้ (ไอเอ็นเอ็น)

         เกิดเหตุสุนัขล็อตไวเลอร์กัด น้องชลกานต์ เด็กหญิงวัย 3 ขวบ เมื่อเย็นวันที่ 7 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่บ้านเลขที่ 41/ 2 หมู่ 3 ต.พรานกระต่าย อ.พรานกระต่าย จ.กำแพงเพชร  ล่าสุดน้องปลอดภัยแล้ว แต่ยังอยู่ในอาการหวาดผวากลัวอยู่ตลอดเวลา ร้องไห้ไม่ยอมหยุด

         ด้านนายประชุม อนุสนธิ์ พ่อของน้องชลกาลต์ กล่าวว่า เมื่อเวลาประมาณ 18.00 น. วันที่ 7 ธันวาคม เห็นสุนัขพันธ์ร็อตไวเลอร์ เดินป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณข้างบ้าน แต่ก็ไม่ได้ไล่ไป สักพักก็ยินเสียงลูกสาวร้องเสียงดัง หันไปดูเห็นสุนัขพันธ์ร็อตไวเลอร์ กำลังกัดลูกสาวอยู่ แม่ของน้องชลกานต์และตนจึงวิ่งไล่ออกไปและนำลูกสาวส่งโรงพยาบาล

         ทั้งนี้แพทย์กล่าวว่า น้องชลกานต์ มีแผลที่บริเวณหน้าผาก ยาวประมาณ 7 เซนติเมตร เย็บ 15 เข็ม ส่วนบริเวณเปลือกตาด้านบน มีบาดแผลยาว 2 เซนติเมตร เปลือกตาด้านล่าง ยาว 1.50 เซนติเมตร เย็บ อีก 10 เข็ม พร้อมกันนี้แพทย์ยังต้องให้ยาฆ่าเชื้อฉีดเข้าหลอดเลือดดำ ยาฆ่าเชื้อ และยาลดอาการไข้ อยู่ตลอดเวลา ทำความสะอาดแผลเช้าเย็น ตอนนี้ต้องให้น้องชลกาลต์ รักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกำแพงเพชร เพื่อรอดูอาการอีก 7 วัน 

         ส่วนสุนัขที่ก่อเหตุไม่รู้ว่าหลุดมาจากไหน และเป็นสุนัขของใคร เพราะหลังกัดน้องชลกานต์สุนัขดังกล่าวก็หลบพนีไป ไม่สามารถจับได้

ที่มาข่าว Inn
รูปจาก กระปุก
http://hilight.kapook.com
69  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / วิถีชีวิต พระสงฆ์ สามเณร ในประเทศพม่า เมื่อ: ธันวาคม 03, 2010, 11:00:22 am
ใครต้องการอ่าน วิถีพุทธในประเทศพม่า แบบที่.....

บางท่านยกย่องว่าเลิศกว่า พระไทย นั้นจริงหรือไม่ ?

ไปตามอ่านได้ในที่นี้นะจ๊ะ

http://www.oknation.net/blog/supawan/2010/09/03/entry-1








70  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / สอนลูก ให้สวดมนต์ กับ เปิดสวดมนต์ให้ลูกฟัง แทนเพลง โมสาร์ต ดีกว่านะคะ.. เมื่อ: ธันวาคม 03, 2010, 09:58:25 am

ก่อนนอนทุกคืนเราจะต้องสวดมนต์ด้วยกันทุกครั้งและก็จะจบท้ายด้วยการนั่ง สมาธิ อย่างน้อย 5-10 นาที ทำให้เขาเห็นว่าเรานั่งสมาธิจริงๆ แม้ว่าเขาจะไม่อยากนั่งหรือทำตามในช่วงแรก เขาจะรอให้แม่ทำเสร็จและจึงจะนอนพร้อมกัน (คุณพ่อ คุณแม่อาจจะนั่งสมาธินานกว่าหรือมากกว่านั้นหลังจากที่ลูกหลับแล้ว)  ก่อนจะนอนสิ่งสำคัญคือจะเปิดเพลงบรรเลง เป็นบทสวดมนต์

จากการวิจัยพบแล้วว่าการใช้เพลงบรรเลง บทสวดมนต์ได้ผลดีเทียบเท่าหรืออาจจะดีกว่า ใช้เพลงพวกโมสาร์ต อีกนะคะ ทำให้เพิ่มรอยหยักของสมอง เด็กมีสมาธิและหลับฝันดีทุกๆ คืน

คำเตือนคือ อะไรก็ตามที่เราไม่เคยทำและกำลังจะฝึกเขาให้ทำเป็นนิสัย อย่าบังคับเขาทำโดยเด็ดขาด หากว่าเขาไม่เต็มใจ หน้าที่ของคุณแม่คือชวนเขาทำเป็นประจำทุกคืนก่อนนอน และทำเป็นตัวอย่างให้เขาเห็น เขาจะเริ่มเห็นว่า นี่คือสิ่งที่เขาควรจะทำพร้อมกับคุณแม่ทุกวัน บางวันอุ้มลืมสวดมนต์ กราบพระก่อนนอน เพราะเหนื่อยจากการทำงาน อังดาจะเตือนว่า “คุณแม่คะยังไม่สวดมนต์คะ”

ขออนุโมทนา สาธุ กับทุกๆท่านที่สวดมนต์ก่อนนอนและก่อนนั่งสมาธิที่ชาวพุทธควรปฏิบัติทุกวันเป็นประจำสม่ำเสมอ และหมั่นทำเป็นกิจวัตร สืบสานอายุให้พุทธศาสนาของเราให้ยาวนาน สาธุ สาธุ สาธุ



ทีมา

http://www.sutthirada.com/?p=68
71  เรื่องทั่วไป / ข่าวสารเพื่อนถึงเพื่อน / ขอเชิญชมภาพยนต์เทิดพระเกียรติ "ปิดทองหลังพระ" เมื่อ: ธันวาคม 01, 2010, 05:18:23 pm
ขอเชิญชมภาพยนต์เทิดพระเกียรติ "ปิดทองหลังพระ" ฉายแล้ววันนี้ ที่ SF Central World
ดูย่อๆ

ขอเชิญชมภาพยนต์เทิดพระเกียรติ "ปิดทองหลังพระ" ฉายแล้ววันนี้ ที่ SF Central World
http://www.oknation.net/blog/swongviggit/2010/12/01/entry-1

อ่านเรืองและดูภาพได้ที่นี่ (ชมฟรี เพียงโทรไปสำรองที่นั่ง) คลิ๊กที่นี่




ขอเชิญชมภาพยนต์เทิดพระเกียรติ "ปิดทองหลังพระ" ฉายแล้ววันนี้ ที่ SF Central World
http://www.oknation.net/blog/swongviggit/2010/12/01/entry-1
72  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / มารู้จักและช่วยเด็กสมาธิสั้นกันเถอะ เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 11:20:09 am
มารู้จักและช่วยเด็กสมาธิสั้นกันเถอะ

ผศ.นพ.ชาญวิทย์  พรนภดล

หน่วยจิตเวชเด็กและวัยรุ่นภาควิชาจิตเวชศาสตร์

 

โรคสมาธิสั้นคืออะไร?

       โรคสมาธิสั้นคือ กลุ่มอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก (ก่อนอายุ 7 ขวบ) ที่เกิดจากความผิดปกติของสมองซึ่งมีผลกระทบต่อพฤติกรรม อารมณ์ การเรียน และการเข้าสังคมกับผู้อื่นของเด็ก กลุ่มอาการนี้ประกอบด้วย

     - อาการขาดสมาธิ (attention deficit)

     - อาการหุนหันพลันแล่น วู่วาม (impulsivity)

     - อาการซน อยู่ไม่นิ่ง (hyperactivity)

       เด็ก บางคนอาจจะมีอาการซน และอาการหุนหันพลันแล่น วู่วาม เป็นอาการเด่น ซึ่งมักพบได้บ่อยในเด็กผู้ชายมากกว่า (อย่างกรณีของน้องเจ็ท) แต่เด็กที่ เป็นโรคสมาธิสั้นบางคนก็อาจจะไม่ซน แต่มีอาการขาดสมาธิเป็นปัญหาหลัก ซึ่งมักพบได้ทั้งในเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชาย (อย่างกรณีของน้องดรีม)

 

 

ทำไมในปัจจุบันถึงพบเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นกันเยอะ?

       จริงๆ แล้วได้มีการค้นพบโรคนี้มานานกว่าร้อยปีแล้ว แต่เมื่อก่อนยังไม่เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในกลุ่มครูและผู้ปกครอง เกณฑ์ที่ใช้ในการวินิจฉัยก็ไม่แน่นอน ในปัจจุบันครูและผู้ปกครองมีความรู้เกี่ยวกับโรคนี้ดีขึ้น ประกอบกับแพทย์เริ่มมีการกำหนดเกณฑ์ที่ใช้ในการวินิจฉัยแน่นอนและชัดเจนมาก ขึ้น ทำให้เด็กที่มีอาการเข้าข่ายโรคสมาธิสั้นถูกค้นพบและได้รับการวินิจฉัยมาก ขึ้น เลยทำให้ดูเหมือนเป็นการแพร่ระบาดหรือเป็นแฟชั่นของสังคม สภาพสิ่งแวดล้อม สังคม ครอบครัว การเลี้ยงดู และความคาดหวังจากพ่อแม่ยุคใหม่ ที่แปลี่ยนแปลงไปจากสภาพในอดีตก็มีอิทธิพลต่อจำนวนเด็กที่ป่วยเป็นโรคสมาธิ สั้น

 

 

มีเด็กกี่เปอร์เซ็นต์ที่ป่วยเป็นโรคสมาธิสั้น?

       โรคสมาธิสั้นนี้พบได้บ่อยในทุกประเทศทั่วโลก ในประเทศไทยพบว่า ประมาณ  5% ของเด็กในวัยเรียนป่วยเป็นโรคสมาธิสั้น หมายความว่า ห้องเรียนห้องหนึ่งถ้ามีนักเรียนอยู่ประมาณ 50 คน จะมีเด็กที่ป่วยเป็นโรคสมาธิสั้นอยู่ในห้องเรียนประมาณ 2-3 คน

 

จะสังเกตได้อย่างไรว่าเด็กเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่?

 อาการที่บ่งชี้ว่าเด็กอาจมีโรคสมาธิสั้น ได้แก่: -

     1. อาการขาดสมาธิ (attention deficit): เด็ก จะมีลักษณะวอกแวกง่าย ขาดความตั้งใจในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่ต้องใช้ความคิด เด็กมักจะแสดงอาการเหม่อลอยบ่อยๆ ฝันกลางวัน ทำงานไม่เสร็จ ผลงานมักจะไม่เรียบร้อย ตกๆหล่นๆ ดูเหมือนสะเพร่า ขาดความรอบคอบ เด็กมักจะมีลักษณะขี้ลืม ทำของใช้ส่วนตัวหายเป็นประจำ มีลักษณะเหมือนไม่ฟังเวลาพูดด้วย เวลาสั่งให้เด็กทำงานอะไรเด็กมักจะลืมทำ หรือทำครึ่งๆ กลางๆ อาการขาดสมาธินี้มักจะมีต่อเนื่อง ติดตัวจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่

     2. อาการซน (hyperactivity): เด็ก จะมีลักษณะซน อยู่ไม่สุข ยุกยิกตลอดเวลา นั่งนิ่งๆ ไม่ค่อยได้ ต้องลุกเดิน หรือขยับตัวไปมา ชอบปีนป่าย เล่นเสียงดัง เล่นผาดโผน หรือทำกิจกรรมที่เสี่ยงอันตราย มักประสบอุบัติเหตุบ่อยๆ จากความซน และความไม่ระมัดระวัง พูดมาก พูดไม่หยุด ชอบแกล้งหรือแหย่เด็กอื่น

     3. อาการหุนหันพลันแล่น (impulsivity): เด็ก จะมีลักษณะวู่วาม ใจร้อน อารมณ์หุนหันพลันแล่น ทำอะไรไปโดยไม่คิดก่อนล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นตามมา ขาดความระมัดระวัง เช่น วิ่งข้ามถนนโดยไม่มองรถดีๆ ซุ่มซ่าม ทำข้าวของแตกหักเสียหาย เวลาต้องการอะไรก็จะต้องให้ได้ทันที รอคอยอะไรไม่ได้ เวลาอยู่ในห้องเรียนมักจะพูดโพล่งออกมาโดยไม่ขออนุญาตครูก่อน มักตอบคำถามโดยที่ฟังคำถามยังไม่ทันจบ ชอบพูดแทรกเวลาที่คนอื่นกำลังคุยกันอยู่ หรือกระโดดเข้าร่วมวงเล่นกับเด็กคนอื่นโดยไม่ขอก่อน

แพทย์ใช้อะไรเป็นเกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคสมาธิสั้น?

       เกณฑ์ในการวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นที่แพทย์ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันคือ เกณฑ์ที่กำหนดขึ้นและประกาศใช้โดยสมาคมจิตแพทย์อเมริกัน (DSM-IV) โดยแบ่งกลุ่มอาการออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่

   

     ก. อาการขาดสมาธิ (attention deficit):  โดยเด็กจะมีอาการต่อไปนี้

1. ไม่สามารถทำงานที่ครูหรือพ่อแม่สั่งจนสำเร็จ

2. ไม่มีสมาธิในขณะทำงานหรือเล่น

3. ดูเหมือนไม่ค่อยฟังเวลาพูดด้วย

4. ไม่สามารถตั้งใจฟัง และเก็บรายละเอียดได้  ทำให้ทำงานผิดพลาดบ่อยๆ

5. ไม่ค่อยเป็นระเบียบ

6. มีปัญหาหรือพยายามหลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้ความคิดหรือสมาธิ

7. วอกแวกง่าย

8. ทำของใช้ส่วนตัว หรือของใช้ที่จำเป็นสำหรับงานหรือการเรียน หายอยู่บ่อยๆ

9. ขี้ลืมบ่อยๆ

 

     ข. อาการซน อยู่ไม่นิ่ง (hyperactivity) และอาการหุนหันพลันแล่น วู่วาม (impulsivity) โดยเด็กจะมีอาการต่อไปนี้

1. ยุกยิก อยู่ไม่สุข

2. นั่งไม่ติดที่ ลุกเดินบ่อยๆ ขณะอยู่ที่บ้านหรือในห้องเรียน

3. ชอบวิ่ง หรือปีนป่ายสิ่งต่างๆ

4. พูดมาก พูดไม่หยุด

5. เล่นเสียงดัง

6. ตื่นตัวตลอดเวลา หรือดูตื่นเต้นง่าย

7. ชอบโพล่งคำตอบเวลาครูหรือพ่อแม่ถามโดยที่ยังฟังคำถามไม่จบ

8. รอคอยไม่เป็น

9. ชอบขัดจังหวะหรือสอดแทรกเวลาผู้อื่นกำลังพูดอยู่

หากเด็กคนใดมีลักษณะอาการใน ข้อ ก หรือ  ข้อ ข รวมกันมากกว่า 6 อาการขึ้นไป เด็กคนนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นโรคสมาธิสั้น

 

แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นได้อย่างไร?

       แพทย์ สามารถวินิจฉัยโรคสมาธิสั้นได้โดยอาศัยประวัติที่ละเอียด การตรวจร่างกาย การตรวจระบบประสาท และการสังเกตพฤติกรรมของเด็กเป็นหลัก ในปัจจุบันยังไม่มีการตรวจเลือด หรือเอ็กซเรย์สมอง ที่สามารถนำมาใช้ในการวินิจฉัยโรคสมาธิสั้น ในบางกรณี แพทย์จำเป็นต้องอาศัยการตรวจอื่นๆ เช่น การตรวจสายตา (vision test) การตรวจการได้ยิน (hearing test) การตรวจคลื่นสมอง (EEG) การตรวจเชาวน์ปัญญา (IQ test) และความสามารถทางการเรียน เพื่อช่วยวินิจฉัยแยกโรคลมชัก ความบกพร่องทางสายตา การได้ยิน หรือภาวะการเรียนบกพร่อง (learning disorder) ออก จากโรคสมาธิสั้น นอกจากนี้ โรคออทิสติก โรคจิตเภท ภาวะพัฒนาการล่าช้า และโรคทางจิตเวชอื่นๆ ในเด็ก เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า สามารถทำให้เด็กแสดงอาการหรือมีพฤติกรรมคล้ายกับเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น

 

อะไรเป็นสาเหตุของโรคสมาธิสั้น?

       การวิจัยในปัจจุบันพบว่า เด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้นมีความบกพร่อง หรือมีปริมาณสารเคมีที่สำคัญบางตัว (dopamine, noradrenaline) ในสมองน้อยกว่าเด็กปกติ โดยมีกรรมพันธุ์เป็นปัจจัยที่สำคัญ ประมาณ 30 - 40 % ของ เด็กสมาธิสั้นจะมีสมาชิกในครอบครัวคนใดคนหนึ่งเป็นโรคสมาธิสั้นด้วยหรือมี ปัญหาอย่างเดียวกัน ปัจจัยจากการเลี้ยงดูหรือสิ่งแวดล้อมเป็นเพียงปัจจัยเสริมที่ทำให้อาการหรือ ความผิดปกติดีขึ้นหรือแย่ลงแต่ไม่ใช่สาเหตุหลัก มารดาที่ขาดสารอาหาร ดื่มสุรา สูบบุหรี่ หรือถูกสารพิษบางชนิด (เช่น ตะกั่ว) ในระหว่างตั้งครรภ์ จะมีโอกาสมีลูกเป็นโรคสมาธิสั้นสูงขึ้น การวิจัยในปัจจุบันไม่พบว่าการบริโภคน้ำตาล หรือ ชอกโกแลต มากเกินไปทำให้เด็กซนมากขึ้น การดูทีวีหรือเล่นวิดีโอเกมมากเกินไปก็ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เด็กเป็นโรคสมาธิสั้น

 

เด็กสามารถนั่งดูทีวี หรือเล่นวิดีโอเกมได้นานเป็นชั่วโมง ทำไมหมอถึงยังบอกว่า เด็กเป็นโรคสมาธิสั้น?

       เพราะในขณะที่เด็กดูทีวี หรือเล่นวิดีโอเกม เด็กจะถูกกระตุ้นอย่างต่อเนื่อง โดยภาพบนจอทีวีหรือวิดีโอเกมที่เปลี่ยนทุก 2 - 3 วินาที  จึง สามารถดึงดูดความสนใจของเด็กได้ สมาธิของเด็กมีขึ้นได้จากสิ่งเร้าภายนอก ซึ่งตรงกันข้ามกับสมาธิที่เด็กต้องสร้างขึ้นมาเอง ระหว่างการอ่านหนังสือหรือทำงานต่างๆ  เด็กที่เป็น โรคสมาธิสั้นจะขาดสมาธิอันนี้ ดังนั้นถึงแม้ว่าเด็กจะสามารถดูทีวีหรือเล่นวิดีโอเกมได้นานๆ เด็กก็มีสิทธิที่จะเป็นโรคสมาธิสั้นได้

 

วิธีการรักษาโรคสมาธิสั้นมีอะไรบ้าง?

       การรักษาเด็กสมาธิสั้นที่มีประสิทธิภาพดีที่สุด คือ การผสมผสานการรักษาหลายๆด้าน ดังต่อไปนี้เข้าด้วยกัน:

ก. การรักษาด้วยยา

ข. การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และการช่วยเหลือทางด้านจิตใจสำหรับเด็กและครอบครัว

ค. การช่วยเหลือทางด้านการเรียน

 

ยาอะไรที่ใช้รักษาโรคสมาธิสั้น และยาจะช่วยเด็กอย่างไร?

       ยาที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับโรคสมาธิสั้น คือ ยาในกลุ่ม Psychostimulants ซึ่งได้แก่ methylphenidate (Ritalin®), long-acting methylphenidate (Concerta®), dextroamphetamine (Dexedrine®), Adderall และ pemoline (Cylert®) ยา เหล่านี้เป็นยาที่ปลอดภัย มีผลข้างเคียงน้อยและมีประสิทธิภาพในการรักษาสูง ยาจะช่วยให้เด็กมีสมาธิดีขึ้น ซนน้อยลง ดูสงบลง มีความสามารถในการควบคุมตัวเองดีขึ้น และอาจช่วยให้ผลการเรียนดีขึ้น ผลที่ตามมาเมื่อเด็กได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี คือ เด็กจะมีความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง (self-esteem) เพิ่มขึ้น และมีความสัมพันธ์กับเพื่อนหรือคนรอบข้างดีขึ้น

 

ยาเข้าไปทำอะไรกับสมองของเด็ก?

       พ่อแม่ และครูหลายท่านมีความเข้าใจผิดคิดว่า ยาที่แพทย์ใช้ในการรักษาเด็กสมาธิสั้นออกฤทธิ์โดยการไป “บีบ” หรือ “กด” สมอง เพื่อให้เด็กนิ่งขึ้น หรือซนน้อยลง ดังนั้นความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นกับพ่อแม่เมื่อแพทย์บอกว่าเด็กควรจะได้รับ การรักษาด้วยยาคือ วิตกกังวล ลังเลไม่แน่ใจ ไม่อยากให้เด็กรับประทานยา

     แต่แท้จริงแล้วยาจะออกฤทธิ์โดยการไป “กระตุ้น” เซลล์สมองให้หลั่งสารเคมีธรรมชาติ (ตัวที่เด็กมีน้อยกว่าเด็กปกติ) ออกมามากขึ้นในระดับที่เด็กปกติควรจะมี สารเคมีตัวนี้เป็นตัวที่ช่วยให้เด็กสามารถควบคุมตัวเองได้ดีขึ้น มีสมาธิยาวนานขึ้น เรียนหนังสือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ผลข้างเคียงของยามีอะไรบ้าง?

      ผล ข้างเคียงของยาในกลุ่มนี้ที่พบบ่อย ได้แก่ อาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด นอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ปวดท้อง และอารมณ์ขึ้นลง หงุดหงิดง่าย ใจน้อย เจ้าน้ำตา อาการข้างเคียงเหล่านี้มักจะไม่รุนแรงและหายไปเองได้เมื่อเด็กรับประทานยา ติดต่อกันไปสักระยะหนึ่ง

หากเด็กมีอาการเบื่ออาหารมากหลังจากรับประทานยาจะทำอย่างไร?

       เด็ก บางรายอาจจะมีอาการเบื่ออาหารระหว่างที่ยากำลังออกฤทธิ์ ดังนั้นจึงควรให้เด็กรับประทานอาหารให้เรียบร้อยก่อนให้รับประทานยา โดยปกติแล้วความอยากอาหารจะกลับเป็นปกติ (หรือมากกว่าปกติในบางราย) เมื่อยาหมดฤทธิ์ จึงไม่แปลกที่เด็กบางคนบ่นว่าหิว หรืออาจจะร้องขอรับประทานอาหารเมื่อใกล้เวลาจะเข้านอน พ่อแม่ควรอนุญาตให้เด็กรับประทานอาหารได้ทุกเวลาที่เขาต้องการแม้จะเป็นตอน ค่ำ เพื่อชดเชยกับมื้อเช้าหรือมื้อเที่ยงที่เด็กอาจจะรับประทานอาหารไม่ได้มาก มีเด็กเพียงไม่กี่รายที่อาการเบื่ออาหารมีมากจนแพทย์ต้องลดขนาดยาให้น้อยลง หรือให้อาหารเสริม ในบางรายแพทย์อาจให้ยากระตุ้นให้อยากอาหารร่วมด้วย

 

มีคนบอกว่าเด็กกินยาแล้วจะ “ซึม” จริงหรือไม่?

       เด็ก สมาธิสั้นที่ตอบสนองดีต่อการรักษาด้วยยาอาจจะดูนิ่ง สงบ เงียบ เรียบร้อยผิดจากเดิมไปมาก จึงมักทำให้พ่อแม่ หรือคุณครูที่คุ้นเคยกับอาการซน เสียงดัง และความวุ่นวายของเด็ก บังเกิดความประหลาดใจปนกับความกังวลว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเด็ก หลายคนเหมาเอาว่าเด็ก “ซึม” จากยา แต่ในความเป็นจริงเด็กเพียงแต่มีอาการ “สงบ” เหมือนพฤติกรรมของเด็กปกติทั่วไป เด็กจะมีอาการ  “ซึม” เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้รับยาในขนาดที่สูงเกินไปเท่านั้น

วิธีแยกระหว่างอาการ “ซึม” กับ “สงบ” อาศัยสมาธิและความสามารถในการคิดของเด็ก ระหว่างที่เด็กมีอาการ “ซึม” เด็กจะไม่สามารถใช้สมองหรือคิดอะไรไม่ออก เวลาถามอะไรก็ไม่ตอบหรือตอบไม่ได้ แต่ระหว่างที่เด็ก “สงบ” เด็ก จะกระตือรือร้นหากมีการนำงานมาให้เด็กทำหรือคิด เด็กจะตอบได้ไวและถูกต้อง ดังนั้นพ่อแม่จึงควรสังเกตและแยกให้ได้ว่าจริงๆแล้วเด็กรับประทานยาแล้ว “ซึม” หรือ “สงบ” กันแน่ ก่อนที่จะเหมาเอาว่าเด็กรับประทานยาแล้ว “ซึม”

 

เด็กจำเป็นต้องรับประทานยาไปนานแค่ไหน?

       ขึ้น อยู่กับเด็กแต่ละราย เด็กบางคนที่อาการไม่รุนแรง ไม่มีโรคแทรกซ้อน พ่อแม่ ครูเข้าใจและให้ความช่วยเหลือเต็มที่ มีการฝึกฝนทักษะต่างๆให้เด็ก เช่น ทักษะการควบคุมตัวเอง ทักษะในการจัดระเบียบของการทำงาน สิ่งของ ทักษะการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างเหมาะสม ฯลฯ เด็กกลุ่มนี้อาจจะมีโอกาสหายจากโรคนี้ได้และไม่จำเป็นต้องรับประทานยาตลอด ชีวิต แต่จะมีเด็กอยู่ประมาณ 50% ที่มีอาการรุนแรง มีภาวะแทรกซ้อน เด็กกลุ่มนี้อาจมีอาการติดตัวจนกระทั่งเป็นผู้ใหญ่และจำเป็นต้องรับประทานยา อย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไป พ่อแม่มักจะให้ลูกหยุดรับประทานยาช่วงโรงเรียนปิดเทอมหากเด็กไม่มีกิจกรรม ที่ต้องใช้สมาธิและอยู่บ้านเฉยๆ แพทย์มักจะใช้โอกาสนี้ประเมินเด็กว่า อาการเป็นอย่างไรเมื่อหยุดยา หากหลังจากหยุดยาแล้วพบว่าเด็กยังคงอยู่ไม่นิ่ง มีพฤติกรรมรบกวนผู้อื่น หรือยังขาดสมาธิ แสดงว่าเด็กยังไม่หายและควรรับประทานยาต่อไป มีความเป็นไปได้น้อยที่เด็กจะหายจากสมาธิสั้นก่อนอายุ 12 ปี ดังนั้นเด็กในวัยประถมควรได้รับการรักษาด้วยยาอย่างต่อเนื่อง

 

ยาจะมีผลในระยะยาวต่อร่างกายและสมองของเด็กหรือไม่?

       พ่อ แม่หลายท่านมักจะกังวล เกรงว่าจะมีผลเสียกับเด็กหากเด็กรับประทานยาติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ เช่น เกรงว่าเด็กจะไม่โต ตัวเล็ก สมองเสื่อม ไม่ฉลาด เป็นต้น ยาที่แพทย์ใช้รักษาสมาธิสั้นมากที่สุดคือ ยาในกลุ่ม psychostimulants ซึ่งเป็นยาที่มีใช้กันมานานกว่า 60 ปีแล้ว มีการวิจัยมากมายที่ยืนยันความปลอดภัยของยาในกลุ่มนี้ โดยพบว่า เด็กสมาธิสั้นที่รับประทานยาในกลุ่มนี้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ มี การเจริญเติบโตเท่ากับเด็กปกติ และมีพัฒนาการทางสมองเป็นปกติ

 

เด็กรับประทานยาไปนานๆมีโอกาสติดยาหรือไม่?

       ยัง มีผู้ที่เข้าใจผิด วิตกกังวลและไม่แน่ใจว่าหากเด็กรับประทานยารักษาโรคสมาธิสั้นไปนานๆแล้วจะทำ ให้เด็กมีโอกาสติดยาหรือสารเสพติดอื่นๆสูงขึ้นหรือไม่ การวิจัยจากหลายประเทศพบว่าโอกาสที่เด็กจะติดยาที่ใช้รักษาโรคสมาธิสั้น หรือนำไปใช้เสพในทางที่ผิดมีน้อยมากหากอยู่ในความดูแลของแพทย์ นอกจากนี้การวิจัยล่าสุดพบว่า เด็กสมาธิสั้นที่ได้รับการรักษาด้วยการรับประทานยาสม่ำเสมอมีโอกาสติดยาเสพ ติดน้อยกว่าเด็กสมาธิสั้นที่ไม่ได้รับการรักษาด้วยยาถึง 5 เท่า ดังนั้นการรักษาเด็กสมาธิสั้นด้วยยาอย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นการป้องกันและลดความเสี่ยงของเด็กที่จะไปติดสารเสพติดในอนาคต

 ผล อันนี้อธิบายได้จากการที่เด็กสมาธิสั้นเมื่อได้รับการรักษาด้วยยามักจะประสบ ความสำเร็จด้านการเรียนมากขึ้น เป็นที่ยอมรับของเพื่อนและคนรอบข้างมากขึ้น เด็กจึงเกิดความรู้สึกที่ดีต่อตัวเอง มีความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง (self-esteem) สูง ขึ้น นำไปสู่การคบเพื่อนที่ดี ทำให้โอกาสที่จะไปใช้ยาเสพติดลดลง เม็ดของยาชนิดที่รับประทานเพียงครั้งเดียวตอนเช้าแต่ฤทธิ์ของยาอยู่ได้ถึง ช่วงเย็น (long-acting methylphenidate - Concerta®) มีลักษณะเป็นแคปซูลที่ทำให้แตกได้ยาก ดังนั้นโอกาสที่เด็กจะนำยาตัวนี้ไปใช้ในทางที่ผิดยิ่งมีน้อยกว่ายาที่ออกฤทธิ์เร็วและสั้น

 

เด็กไม่ยอมกินยา อ้างว่าลืมบ่อยๆจะทำอย่างไร?

       อันดับ แรกพ่อแม่ควรพูดคุยกับเด็ก ว่าเขารู้สึกอย่างไรกับการรับประทานยา เช่น รู้สึกไม่พอใจ ไม่คิดว่าตัวเองมีอะไรผิดปกติที่ทำให้จำเป็นต้องรับประทานยา หรือรู้สึกอายเพื่อน ฯลฯ พ่อแม่ควรพูดคุยกับเด็กว่าเขาจะได้รับประโยชน์อะไรบ้างจากการรับประทานยา หากเป็นเด็กเล็ก พ่อแม่อาจขอความร่วมมือจากคุณครูประจำชั้นให้ช่วยดูแลเรื่องการรับประทานยา มื้อเที่ยงของเด็ก หากเป็นเด็กโตอาจให้รับประทานยาชนิดที่รับประทานเพียงครั้งเดียวตอนเช้าแต่ ฤทธิ์ของยาอยู่ได้ถึงช่วงเย็นเช่น ยา long-acting methylphenidate (Concerta®) เป็นต้น

 

จะพูดกับเด็กอย่างไรว่าทำไมเขาจึงต้องรับประทานยา?

       พ่อแม่ไม่ควรโกหกเด็กเวลาให้เด็กรับประทานยารักษาสมาธิสั้น บางท่านหลอกเด็กว่าเป็นวิตะมิน บางท่านใช้ยามาขู่เด็กว่า   หากทำตัวไม่ดีต้อง “กินยาแก้ดื้อ” ทำให้เด็กเกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อการรับประทานยา วิธีที่เหมาะสมควรพูดกับเด็กตรงๆว่า  พ่อแม่ต้องการให้เด็กรับประทานยาเพื่ออะไร โดยเน้นประโยชน์ที่เด็กจะได้รับจากการรับประทานยา ตัวอย่างคำพูด ได้แก่ “หนูจำเป็นต้องรับประทายานี้ เพราะยานี้จะช่วยให้หนูคุมตัวเองได้ดีขึ้น น่ารักมากขึ้น มีสมาธิยาวนานขึ้น” พูดถึงยาในแง่บวก เช่น

 เป็นยา “เด็กเรียบร้อย เพราะเวลาที่หนูกินยานี้แล้ว หนูเรียบร้อยขึ้นเยอะเลย”

 เป็นยา “เด็กดี  เพราะเวลาที่หนูกินยานี้แล้ว หนูเป็นเด็กดี..น่ารัก..ว่านอนสอนง่ายขึ้นเยอะเลย ”

 เป็นยา “เด็กเรียนเก่ง เพราะเวลาที่หนูกินยานี้แล้ว แม่สังเกตว่าหนูเรียนดีขึ้น รับผิดชอบทำการบ้านดีกว่าแต่ก่อนเยอะเลย”

 

นอกจากการรักษาด้วยยาแล้ว มีวิธีอื่นอีกหรือไม่ที่จะช่วยเด็กสมาธิสั้นได้?

       พ่อแม่ไม่ควรพึ่งการรักษาด้วยยาอย่างเดียว เนื่องจากการรักษาด้วยยาเป็นการรักษาตามอาการเท่านั้น แต่ไม่ใช่เป็นการช่วยให้เด็ก “หาย” จาก การเป็นโรคสมาธิสั้น ดังนั้นเด็กควรได้รับการฝึกและช่วยเหลือด้านอื่นๆร่วมกับการรับประทานยาเสมอ เด็กสมาธิสั้นควรมีโอกาสได้คุยกับแพทย์ เพื่อแพทย์จะได้ช่วยให้ความรู้เกี่ยวกับข้อจำกัดที่ตัวเด็กมี และช่วยแนะนำแนวทางปฏิบัติตัวเพื่อให้เด็กได้ใช้ความสามารถด้านอื่นทดแทนใน ส่วนที่บกพร่อง ในบางรายครอบครัวบำบัดก็มีความจำเป็นสำหรับครอบครัวที่มีปัญหาความสัมพันธ์ ระหว่างบุคคลในครอบครัว เพื่อลดความวิตกกังวลและความเครียดของเด็ก

การ ปรับพฤติกรรมเด็กโดยการปรับวิธีการเลี้ยงดูของพ่อแม่ และการช่วยเหลือในห้องเรียนโดยคุณครูเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำควบคู่ไปกับการ รักษาด้วยยาเสมอ

 

พ่อแม่ควรปฏิบัติตัวอย่างไรในการช่วยเหลือเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น?

     1. พ่อ แม่ควรปรับทัศนคติที่มีต่อเด็กให้เป็นบวก พ่อแม่ต้องเข้าใจก่อนว่าโรคสมาธิสั้นเป็นความผิดปกติของการทำงานของสมอง พฤติกรรมที่ก่อปัญหาของเด็กไม่ได้เกิดขึ้นจากความตั้งใจที่จะก่อกวนให้เกิด ปัญหา แต่เกิดขึ้นเนื่องจากเด็กไม่สามารถควบคุมตนเองได้

     2. พ่อแม่ควรใช้เทคนิคการปรับพฤติกรรมที่ไม่ทำลายความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเองของเด็กให้ลดลง

     3. มีการจัดทำตารางเวลาให้ชัดเจนว่า กิจกรรมในแต่ละวันที่เด็กต้องทำมีอะไรบ้าง ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งเข้านอน

     4. จัดหาสถานที่ที่เด็กสามารถใช้ทำงาน ทำการบ้าน อ่านหนังสือ โดยไม่มีใครรบกวน และไม่มีสิ่งที่จะมาทำให้เด็กเสียสมาธิ เช่น  ทีวี วิดีโอเกม หรือของเล่นอยู่ใกล้ๆ

     5. ถ้า เด็กวอกแวกง่ายมากหรือหมดสมาธิง่าย อาจจำเป็นที่เด็กต้องมีผู้ใหญ่นั่งประกบอยู่ด้วย ระหว่างทำงาน หรือทำการบ้าน เพื่อให้งานเสร็จเรียบร้อย

     6. พ่อ แม่ และบุคคลอื่นในบ้าน ต้องพยายามควบคุมอารมณ์ อย่าตวาดตำหนิเด็ก หรือลงโทษทางกายอย่างรุนแรงเมื่อเด็กกระทำผิด ควรมีการตั้งกฎเกณฑ์ไว้ล่วงหน้าว่า เมื่อเด็กทำผิดจะมีการลงโทษอย่างไรบ้าง การใช้ความรุนแรงกับเด็กสมาธิสั้น มีโอกาสทำให้เด็กสมาธิสั้นเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กที่ก้าวร้าว และใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา

     7. การลงโทษควรใช้วิธีจำกัดสิทธิต่างๆ เช่น งดดูทีวี งดเที่ยวนอกบ้าน งดขี่จักรยาน หักค่าขนม เป็นต้น

     8. ควรให้คำชม รางวัลเล็กน้อยๆ เวลาที่เด็กทำพฤติกรรมที่พึงประสงค์ เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้เด็กทำพฤติกรรมที่ดีต่อไป

     9. ทำ ตัวเองให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่เด็ก เช่น ความมีระเบียบ รู้จักรอคอย ความสุภาพ รู้จักกาละเทศะ หลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงต่างๆ เป็นต้น

   10. เวลา สั่งให้เด็กทำงานอะไร ควรให้เด็กพูดทวนคำสั่งที่พ่อแม่เพิ่งสั่งไปทันที เพื่อให้มั่นใจว่าเด็กได้ฟังคำสั่งและเข้าใจว่าพ่อแม่ต้องการให้เขาทำอะไร

   11. พยายามสั่งทีละคำสั่ง ทีละขั้นตอน ใช้คำสั่งที่สั้น กระชับ และตรงไปตรงมา

   12. ไม่ควรบ่นจู้จี้จุกจิกถึงพฤติกรรมที่ไม่ดีของเด็กในอดีต

   13. หากเด็กทำผิด พ่อแม่ควรเด็ดขาด เอาจริง คำไหนคำนั้น ลงโทษเด็กตามที่ได้ตกลงกันไว้โดยไม่ใจอ่อน มีความคงเส้นคงวาในการปรับพฤติกรรม

   14. พยายาม มองหาข้อดี ปมเด่นของเด็ก และพูดย้ำให้เด็กเห็นข้อดีของตัวเองเพื่อให้เด็กเกิดกำลังใจที่จะประพฤติตัว ดี และเกิดความรู้สึกมีคุณค่าในตัวเอง

   15. พยายามสอนให้เด็กคิดก่อนทำ เช่น ให้เด็ก “นับถึง 5” ก่อนที่จะทำอะไรลงไป “หยุด....คิดก่อนทำนะจ๊ะ...” พูดให้เด็กรู้ตัว รู้จักคิดถึงผลที่จะตามมาจากการกระทำต่างๆของเด็ก สอนให้เด็กรู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราก่อนที่จะทำอะไรลงไป

   16. หากเด็กมีพฤติกรรมดื้อไม่เชื่อฟัง หลีกเลี่ยงการบังคับหรือออกคำสั่งตรงๆกับเด็ก แต่ใช้วิธีบอกกับเด็กว่าเขามีทางเลือกอะไรบ้าง  โดย ทางเลือกทั้งสองทางนั้นเป็นทางเลือกที่พ่อแม่กำหนดขึ้น เช่น หากต้องการให้เด็กเริ่มต้นทำการบ้าน แทนที่จะสั่งให้เด็กทำการบ้านตรงๆ อาจพูดว่า “เอาละได้เวลาทำการบ้านแล้ว...หนูจะทำภาษาไทยก่อน หรือว่าจะทำเลขก่อนดีจ๊ะ”

   17. กำหนดช่วงเวลาในแต่ละวันที่จะฝึกให้เด็กทำอะไรเงียบๆที่ตัวเองชอบอย่าง “จดจ่อและมีสมาธิ” โดย พ่อแม่ต้องหาห้องหรือมุมใดมุมหนึ่งในบ้านที่สงบ ไม่มีสิ่งเร้ามากนัก ให้เด็กได้เข้าไปทำงานหรือทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิคนเดียวเงียบๆ โดยในวันแรกอาจเริ่มที่ 15 นาทีก่อน แล้วจึงเพิ่มเวลาให้นานขึ้นเรื่อยๆ ให้คำชม และรางวัลเมื่อเด็กทำได้สำเร็จพ่อแม่ของเด็กที่เป็นโรคสมาธิสั้น จำเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคที่ถูกต้อง เพื่อช่วยในการจัดการกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมบางอย่างของเด็ก การตีหรือการลงโทษทางร่างกายเป็นวิธีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ไม่ได้ผล และจะมีส่วนทำให้เด็กมีอารมณ์โกรธหรือแสดงพฤติกรรมดื้อ ต่อต้าน และก้าวร้าวมากขึ้น วิธีการที่ได้ผลดีกว่า คือ การให้คำชมหรือรางวัลเมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมที่ถูกต้องและเหมาะสม รวมถึงการควบคุมพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม โดยการงดกิจกรรมที่เด็กชอบ หรือตัดสิทธิต่างๆ

 

คุณครูจะช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้นได้อย่างไรบ้าง?

       เด็ก สมาธิสั้นส่วนใหญ่จะมีปัญหาการเรียนหรือเรียนได้ไม่เต็มศักยภาพร่วมด้วย ดังนั้นครูจึงมีบทบาทสำคัญเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้นให้ เรียนได้ดี แนวทางการให้ความช่วยเหลือเด็กสมาธิสั้นขณะอยู่ในห้องเรียนมีดังต่อไปนี้

     1. จัด เด็กให้นั่งหน้าชั้น หรือใกล้ครูให้มากที่สุด เพื่อครูจะได้เตือนเด็กให้กลับมาตั้งใจเรียน เมื่อสังเกตว่าเด็กเริ่มขาดสมาธิ นอกจากนี้ควรให้เด็กนั่งอยู่ในตำแหน่งที่ถูกแวดล้อมด้วยเด็กเรียบร้อย ที่ไม่คุยในระหว่างเรียน

     2. จัดให้เด็กนั่งอยู่กลางห้อง หรือให้ไกลจากประตูหน้าต่าง เพื่อลดโอกาสที่เด็กจะถูกทำให้วอกแวกโดยสิ่งต่างๆ ที่อยู่นอกห้องเรียน

     3. เมื่อ เด็กหมดสมาธิจริงๆ ควรจัดกิจกรรมที่เปลี่ยนอิริยาบท และเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ให้เด็กทำ เช่น มอบหมายหน้าที่ให้ช่วยครูเดินแจกสมุดให้เพื่อนๆในห้อง ลบกระดานดำ เติม

น้ำใส่แจกัน เป็นต้น ก็จะช่วยลดความเบื่อของเด็กลง และทำให้เรียนได้นานขึ้น

     4. ให้คำชมเชย หรือรางวัลเล็กๆ น้อยๆ เมื่อเด็กปฏิบัติตัวดี หรือทำสิ่งที่เป็นประโยชน์

     5. คิดรูปแบบวิธีเตือน หรือเรียกให้เด็กกลับมาสนใจบทเรียนโดยไม่ทำให้เด็กเสียหน้า

     6. เขียนการบ้าน หรืองานที่เด็กต้องทำในชั้นเรียนให้ชัดเจนบนกระดานดำ พยายามสั่งงานด้วยวาจาให้น้อยที่สุด

     7. หากจำเป็นต้องสั่งงานด้วยวาจา ควรหลีกเลี่ยงการสั่งพร้อมกันทีเดียวหลายๆ คำสั่ง ควรให้เวลาให้เด็กทำเสร็จทีละอย่างก่อนให้คำสั่งต่อไป    หลังจากให้คำสั่งแก่เด็ก ควรถามเด็กด้วยว่า ครูต้องการให้เด็กทำอะไร เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าเด็กรับทราบ และเข้าใจคำสั่งอย่างถูกต้อง

     8. ตรวจสมุดงานของเด็กเพื่อให้แน่ใจว่าเด็กจดงานได้ครบถ้วน

     9. ใน กรณีที่เด็กมีสมาธิสั้นมาก ควรลดระยะเวลาการทำงานให้สั้นลง โดยให้เด็กพยายามทำงานให้เสร็จทีละอย่าง และแต่ละอย่างใช้เวลาไม่นานมากนัก พยายามเน้นในเรื่องความรับผิดชอบ ทำงานให้เสร็จ

   10. หลีก เลี่ยงการใช้วาจาตำหนิ ประจาน ประณาม ที่ทำให้เด็กอับอายขายหน้า และไม่ลงโทษเด็กด้วยความรุนแรง (เช่นการตี) หากเป็นพฤติกรรมจากโรคสมาธิสั้น เช่น ซุ่มซ่าม ทำของเสียหาย หุนหันพลันแล่น เพราะเด็กมีความลำบากในการคุมตัวเองจริงๆ แต่ควรจะเตือน และสอนอย่างสม่ำเสมอว่าพฤติกรรมใดไม่เหมาะสม และพฤติกรรมที่เหมาะสมคืออะไร เปิดโอกาสให้เด็กได้แก้ไขด้วยตนเอง เช่น เก็บของเข้าที่ใหม่ ชดใช้ของที่เสียหาย

   11. ใช้การตัดคะแนน งดเวลาพัก ทำเวร หรืออยู่ต่อหลังเลิกเรียน (เพื่อทำงานที่ค้างอยู่ให้เสร็จ) เมื่อเด็กทำความผิด

   12. พยายามมีทัศนคติเชิงบวกต่อเด็ก มองหาจุดดีของเด็ก และสนับสนุนให้เด็กได้แสดงออกถึงข้อดี หรือความสามารถของตัวเอง

   13. พยายามสร้างบรรยากาศที่เข้าใจ และเป็นกำลังใจให้เด็กพยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น

   14. ให้ความช่วยเหลือด้านการเรียนเป็นพิเศษ เนื่องจากเด็กที่เป็นสมาธิสั้น จะมีความบกพร่องทางด้านการเรียน (learning  disorder) ร่วมด้วยประมาณร้อยละ 30-40 เช่น ด้านการอ่าน การสะกดคำ การคำนวณ เป็นต้น ซึ่งต้องการความเข้าใจและความช่วยเหลือจากคุณครูเพิ่มเติม

แนวการสอนควรมีลักษณะดังนี้

14.1 มีการแบ่งขั้นตอนเริ่มจากง่ายและจำนวนน้อยก่อน แล้วจึงเพิ่มความยากและจำนวน ขึ้นในเวลาต่อมาเมื่อเด็กเรียนรู้ขั้นต้นได้ดีแล้ว

     14.2 ใช้คำอธิบายง่ายๆสั้นๆ พอที่เด็กจะเข้าใจ และให้ความสนใจฟังได้เต็มที่ ซึ่งหากมีการสาธิตอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม จะช่วยให้เด็กเข้าใจได้ง่ายกว่าคำพูดอธิบายอย่างเดียว

   15. ควรสอนทีละเรื่อง หรือเปรียบเทียบเป็นคู่ แต่ไม่ควรสอนเชื่อมโยงหลายเรื่องพร้อมๆกัน

   16. เด็กที่เป็นสมาธิสั้น ควรได้รับการสอนแบบ  “ตัวต่อตัว“ เนื่องจากครูสามารถคุมให้เด็กมีสมาธิ และสามารถยืดหยุ่นการเรียนการสอนให้เข้ากับความพร้อมของเด็กได้ดีกว่า

   17. ครูควรให้เวลาที่ใช้ในการสอบสำหรับเด็กที่เป็นสมาธิสั้น นานกว่าเด็กปกติ

   18. เด็ก อาจมีปัญหาการปรับตัวเข้ากับเพื่อน เพราะเด็กมักจะใจร้อน หุนหัน เล่นแรง ในช่วงแรกอาจต้องอาศัยคุณครูช่วยให้คำตักเตือน แนะนำด้วยท่าทีที่เข้าใจ เพื่อให้เด็กปรับตัวได้ และเข้าใจกฎเกณฑ์การอยู่ร่วมกับผู้อื่น

   19. เด็ก ที่มีสมาธิสั้นบางครั้งเพียงใช้การบอก เรียก หรืออธิบายอย่างเดียวเด็กอาจไม่ฟังหรือไม่ทำตาม คุณครูควรเข้าไปหาเด็กและใช้การกระทำร่วมด้วย เพื่อให้เด็กมีพฤติกรรมตามที่คุณครูต้องการ เช่น เมื่อต้องการให้เด็กเข้ามาในห้องเรียน หากใช้วิธีเรียกประกอบกับการโอบหรือจูงตัวเด็กให้เข้าห้องด้วย จะได้ผลดีกว่าเรียกเด็กอย่างเดียว

 

หากพาเด็กไปฝึกนั่งสมาธิจะมีประโยชน์ไหม?

       ยัง ไม่มีการวิจัยที่ยืนยันประโยชน์อย่างชัดเจนของการฝึกนั่งสมาธิโดยการให้เด็ก นั่งหลับตาแล้วทำจิตให้สงบว่าจะมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคสมาธิสั้นในเด็ก หรือไม่ การฝึกสมาธิโดยให้เด็กนั่งหลับตาทำสมาธิมักจะทำให้เด็กเบื่อ เด็กสมาธิสั้นจะไม่ค่อยชอบที่ถูกให้นั่งนิ่งๆและมักไม่ให้ความร่วมมือ แต่มีรายงานจากต่างประเทศอ้างว่า การฝึกสมาธิแบบ Transcendental Meditation (TM) สามารถช่วยให้เด็กนั่งนิ่งขึ้น มีสมาธิในการเรียน การทำงานยาวนานขึ้น

การ ฝึกสติให้เด็กรู้จักคิดก่อนทำ หรือให้รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่โดยวิธีกำหนดอิริยาบถ อาจจะมีประโยชน์ในการฝึกให้เด็กรู้จักควบคุมพฤติกรรมของตนเอง เด็กสมาธิสั้นมักจะชอบและร่วมมือดีต่อกิจกรรมการฝึกที่มีการเคลื่อนไหวร่าง กาย แต่การฝึกนี้ต้องกระทำอย่างต่อเนื่องจึงจะเกิดประโยชน์

 

การให้เด็กเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายจะช่วยให้เด็กหายจากการเป็นโรคสมาธิสั้นหรือไม่?

       ยัง ไม่มีการวิจัยยืนยันว่าการให้เด็กเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายมากๆช่วยให้เด็ก หายจากโรคสมาธิสั้น แต่พ่อแม่ควรส่งเสริมให้เด็กสมาธิสั้นไ
73  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ดอกบัวเปรียบกับพระนิพพาน เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2010, 02:18:12 pm
ดอกบัวเปรียบกับพระนิพพาน

ใน คัมภีร์มิลินทปัญหา พระยามิลินท์ ทรงโต้แย้งพระนาคเสน๕๓ที่กล่าวว่า พระนิพพานเป็นสุขโดยส่วนเดียวนั้นตนไม่เชื่อ พระนิพพานนั้นเจือด้วยทุกข์ เพราะบุคคลผู้แสวงหาพระนิพพานนั้น มีอันต้องทำกายและจิตให้ร้อนรุ่ม ต้องกำหนดการยืน กำหนดการเดิน กำหนดการนอนและกำหนดอาหาร ต้องกำจัดความโงกง่วง ต้องบังคับอายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ต้องสละทั้งกายทั้งชีวิตและยังต้องละทิ้งทรัพย์สนและญาติมิตรอันเป็นที่รัก

พระนาคเสนจึงได้ถวายพระพรว่า พระนิพพานเปรียบเหมือนดอกบัว ดังนี้

พระนิพพานนั้นเป็นสุขโดยส่วนเดียวโดยมิได้เจือด้วยทุกข์ เปรียบเหมือนพระราชาเมื่อกำจัดข้าศึกได้แล้วก็ได้เสวยสุขโดยส่วนเดียว บุคคลก็เช่นกัน เมื่อต้องกำหนดการยืน การเดิน การนั่ง การนอนและอาหาร ต้องกำจัดความโงกง่วงแล้ว จึงได้เสวยพระนิพพานอันเป็นสุขโดยส่วนเดียว

เมื่อได้อธิบายโดยแจ่มแจ้งแล้ว พระนาคเสนยังได้เปรียบคุณของดอกบัวกับพระนิพพานว่า

ธรรมชาติ ของดอกบัว น้ำย่อมไม่ซึมติดอยู่ได้ฉันใด พระนิพพานอันกิเลสทั้งปวงไม่ซึมติดได้ฉันนั้น นี้แล คุณแห่งดอกบัวประการหนึ่ง ซึ่งควรคู่กับพระนิพพาน เปรียบเหมือนว่า น้ำฉาบติดดอกปทุมมิได้ ฉันใด ขอถวายพระพร กิเลสทั้งหลายทั้งปวง ก็ฉาบติดพระนิพพานมิได้ ฉันนั้นเหมือนกัน ขอถวายพระพร นี้คือคุณอย่างหนึ่งของดอกปทุมที่เทียบกันได้กับพระนิพพาน
74  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / 8 เซียน ของจีน "เซียนองค์ที่ 1 หลีทิก๊วย" เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2010, 09:46:11 am
   
เซียนองค์ที่ 1 หลีทิก๊วย
            หลีทิก๊วย เกิดเมื่อประมาณ พ.ศ.200 เดิมชื่อ หลีเหียน เมื่อเป็นหนุ่มเป็นชายรูปงาม กำพร้าบิดามารดา มีความสนใจในการท่องบทคัมภีร์และมีใจฝักใฝ่ในธรรมะ ไม่เสพเนื้อสัตว์ เป็นคนรักสันโดษ ต่อมาได้ละเคหสถานพำนักรักษาศีลตามโรงเจ เมื่อมีผู้มาขอทรัพย์สินและบ้านที่เคยอยู่อาศัยก็สละให้หมด และออกบำเพ็ญตบะตามถ้ำ ต่อมาได้เดินทางไปยังเขาฮั่วซัวฝากตัวเป็นศิษย์ของ หลีเล่ากุล อาจารย์ใหญ่ พร้อมกับศึกษาธรรมบำเพ็ญภาวนาจนสำเร็จ มีผู้นับถือและสมัครเป็นศิษย์มากมาย มีศิษย์ก้นกุฏิคนหนึ่งชื่อ เอี้ยวจื้อ อยู่มาวันหนึ่งหลีเหียนได้ถอดวิญญาณออกจากร่างไปหาอาจารย์ โดยบอกให้เอี้ยวจื้อดูแลร่างไว้ให้ดีครบ 7 วัน จะกลับมา พอวันที่ 6 มารดาของเอี้ยวจื้อเจ็บหนัก และเอี้ยวจื้อคิดว่าอาจารย์ได้ตายแล้ว จึงเผาร่างอาจารย์และรีบเดินทางไปหามารดา แต่มารดาได้ตายเสียก่อน ส่วนหลีเหียนหลังจากถอดวิญญาณไปแล้วอาจารย์หลีเล่ากุลได้พาไปศึกษาวิชาเซียน 36 สำนัก เมื่อกลับมาไม่พบร่างของตน พบแต่กองขี้เถ้า วิญญาณหลีเหียนจึงเที่ยวล่องลอยหาร่างใหม่อาศัย เมื่อไปพบศพขอทานขาพิการสกปรกมีไม้เท้าและถุงข้าวสารอยู่ข้างๆ จึงเข้าไปอาศัยร่างและได้เสกไม้เท้าเป็นไม้เท้าเหล็ก เสกถุงข้าวสารเป็นน้ำเต้า ส่วนข้าวสารก็เสกเป็นยารักษาโรค และได้เรียกตนเองว่า หลีทิก๊วย จากนั้นก็รีบไปชุบชีวิตมารดาของเอี้ยวจื้อให้ฟื้นขึ้น แล้วหลีทิก๊วยก็กลับไปอยู่สำนักหลีเล่ากุลเป็นเซียนองค์ที่หนึ่ง ผู้ใดปรารถนาจะให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บทั้งปวง ให้จุดธูปบูชาและอธิษฐานถึง เซียนหลีทิก๊วย
75  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ที่มาของตัวละคร ที่เป็น พระ เณร ใน การ์ตูนเรื่องชุมชนนิมนต์ยิ้ม เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2010, 09:41:45 am
พระราชธรรมนิเทศ (พระพยอม กัลยาโณ), พระมหาวุฒิชัย (ว. วชิรเมธี), และพระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต  เผยหลังรูปแบบการเผยแพร่ธรรมะของทั้ง 3 ท่านกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้ บริษัท โฮมรันเอ็นเทอร์เทนเมนท์ จำกัด นำคาแรคเตอร์ไปผลิตการ์ตูนแอนิเมชั่น 3 มิติ เรื่อง “ชุมชนนิมนต์ยิ้ม”  ที่กำลังออกอากาศอยู่ทุกเย็นวันศุกร์ เวลา 18:00 น.–18:30 น. ทางไทยทีวีสีช่อง 3 ทั้งนี้ พระพยอม  ว. วชิรเมธี  และพระมหาสมปอง ได้เสวนาธรรม เบื้องหลังความร่วมมือเพิ่มช่องทางเผยแพร่ธรรมะใน “ชุมชนนิมนต์ยิ้ม”  ได้น่าสนใจอย่างยิ่ง





พระพยอม กัลยาโณ  “อาตมาคิดว่า การเผยแพร่ธรรมะออกมาในรูปแบบการ์ตูนให้เด็กๆ นั้น เป็นการนำจินตนาการภาพมาใส่ธรรมะให้เข้ากับวัยเด็ก เพื่อลดช่องว่างระหว่างพระกับเด็กให้แคบลง รายการนี้จะทำให้เกิดไทยเข้มแข็งของจริง ถ้าศีลธรรมไม่เข้มแข็งไทยก็อ่อนแอแน่นอน สำหรับสถานการณ์ปัจจุบัน อยากฝากว่าสังคมเราต้องลดความเกลียดลง ‘มีสุขเพราะลดเกลียด’ เหมือนแม่ผัวเกลียดลูกสะใภ้ก็ให้เกรงใจลูกชายบ้างเพราะเขารักของเขา ใครจะเกลียดอภิสิทธิ์ก็ให้เกรงใจคนที่เขารักอภิสิทธิ์บ้าง ใครจะเกลียดทักษิณก็ให้เกรงใจคนที่รักทักษิณบ้าง และใครที่เกลียดพระพยอมก็เกรงใจคนรักพระพยอมบ้าง แล้วสังคมเราก็จะอยู่ร่วมกันได้”


 
พระมหาวุฒิชัย (ว. วชิรเมธี) “ชุมชนนิมนต์ยิ้ม  เป็นนิมิตหมายที่ดีมาก  ทางช่อง 3 นี่สามารถมากที่ทำเรื่องนี้ขึ้นมา ไม่ใช่เพราะเอาพระมาทำการ์ตูน แต่ถือเป็นประวัติศาสตร์ของประเทศนี้ ที่มีปรากฏการณ์อย่างนี้เกิดขึ้น  คือเอาพระทั้ง 3 รูปมาอยู่ในทีมเดียวกัน  เราคือตัวอย่างของการสมานฉันท์ที่เป็นรูปธรรมที่สุด เพราะพระทั้ง 3 รูปแตกต่างกันมาก แต่เขาก็เอาความหลากหลายมาเขย่าๆ และกลายมาเป็น ชุมชนนิมนต์ยิ้ม ขณะที่สังคมไทยที่มีปัญหาเพราะขาดความพอเพียงให้ความโลภนำพา ก็อยากให้ดูว่าทำไมต้องเป็น ‘หลวงพี่พอเพียง’ แล้วทำไมต้องเป็น ‘เณรปัน’ เราอยู่กันมาด้วยการแบ่งปัน เดี๋ยวนี้เราไม่ให้ เราไม่แบ่งปันกันแล้ว  ทำไมต้องเป็น ‘เณรธีร์’ ซึ่งแปลว่าปัญญา ทุกวันนี้เราใช้ความรู้สึกมากเกินไป ใช้ความเชื่อมากเกินไป คนไทยอยากรู้อะไรทุกวันนี้ไม่คิดเอง ส่วนใหญ่ตามไปดูว่าคนนั้นคนนี้ว่าใครในอินเตอร์เน็ท ไม่ได้ใช้ปัญญากันแล้ว “ชุมชนนิมนต์ยิ้ม” ก็คือการเอาธรรมะหว่านลงที่เด็ก ถ้าเด็ก ๆ มีธรรมะเขาก็เป็นเมล็ดพันธุ์ แห่งคุณธรรม เมื่อโตขึ้นก็กลายเป็นต้นกล้าที่แข็งแกร่ง แข็งแรง  เราก็จะเก็บดอกเก็บผลตอนที่เขาเป็นผู้ใหญ่ได้”
   
พระมหาสมปอง ตาลปุตฺโต  “ปลื้มใจ ดีใจ แล้วก็สุขใจมาก บรรยากาศเหมือนครอบครัว ไม่ใช่ครอบครัวข่าว แต่เราเป็นครอบครัวธรรมะ ช่อง 3 เป็นทีวีรักษ์โลกแล้วก็เป็นทีวีรักธรรมะด้วย การ์ตูนเรื่องนี้จะเป็นพลังของครอบครัว เป็นพลังของสังคมและเป็นพลังของแผ่นดินต่อไป พระอาจารย์ทั้ง 2 รูป อาตมาเคยฝันอยากทำงานกับพระพยอมซึ่งเป็นเสมือนพ่อ และพระอาจารย์ ว. ซึ่งเป็นเสมือนพี่ แต่เพื่อนๆ บอกว่าฝันไปเหอะ คิดอะไรเป็นการ์ตูนไปได้ ก็ไม่คิดว่าที่เพื่อนพูดจะเป็นจริง เรามาเจอกันในการ์ตูนจริงๆ  สุดท้ายอยากฝากไว้ว่า ความเกรงใจเป็นสมบัติของผู้ดี  แต่ทำความดีไม่ต้องเกรงใจใคร ฟังธรรมะแล้วเอิบอิ่ม เปิดดู ชุมชนนิมนต์ยิ้ม ก็จะอิ่มเอิบด้วยธรรมะและอารมณ์ดีมีความสุข เจริญพร...”

 

ติดตามชม “ชุมชนนิมนต์ยิ้ม” ทุกเย็นวันศุกร์ เวลา 18:00 น. – 18:30 น. ทางช่อง 3


++++++++++++++++++++++
อัพเดตโดย : กองบรรณาธิการ
วันที่ 14 พฤษภาคม 2553

ที่มาของเรื่อง
http://www.dooqo.com/detail_page.php?sub_id=2749
editor@dooqo.com
76  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รณรงค์ หยุดทำร้ายผู้หญิง เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2010, 09:35:58 am


กระทรวงยุติธรรม, ยูนิเฟม (UNIFEM) และบริษัทเซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่นจำกัด ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการแก้ปัญหานี้จนกลายมาเป็นโครงการแคร์ นาว, เซย์ โน  ทู ไวโอเลนซ์ อเกนส์ท วูเมน เพื่อให้เกิดความตระหนักถึงปัญหาความรุนแรงต่อผู้หญิง พร้อมเผยแพร่ความรู้ข้อกฎหมายให้ประชาชนได้ทราบกัน

ภายในงานนอกจากการร่วมเพ้นท์เสื้อยืดเพื่อยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงของ ผู้ร่วมงานแล้ว งานนี้พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาทรงได้ประทานเสื้อยืด CARE NOW ที่ทรงเพ้นท์สีร่วมแสดงจุดยืนมาแสดงโชว์ในวันนี้ด้วย

 ดร.กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า จากการที่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ในฐานะทูตสันถวไมตรีในการต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิงของกองทุนการพัฒนา เพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ(ยูนิเฟม) ทรงปฏิบัติพระภารกิจอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทุกภาคส่วนในสังคมเกิดความตื่นตัวและให้ความสำคัญเรื่องการต่อต้าน ความรุนแรงต่อผู้หญิง และยังได้ทรงดำเนินกิจกรรมอื่นๆ รวมทั้งได้ทรงโปรดให้จัดทำสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆเพื่อเชิญชวนให้ประชาชนคน ไทย ร่วมกันต่อต้านความรุนแรงต่อผู้หญิงด้วย

 ด้าน บุษบา จิราธิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัทเซ็นทรัลรีเทล คอร์ปอเรชั่นจำกัด กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของการเข้าร่วมโครงการนี้ว่า ทางเซ็นทรัลได้ติดต่อกับยูนิเฟม เพราะต้องการช่วยสังคมยุติดความรุนแรง ทางบริษัทรู้สึกเต็มใจและแน่วแน่ที่จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่ จากการสำรวจพบว่า ปัญหาส่วนใหญ่ของพนักงาน คือปัญหาครอบครัว หลังจากที่นำพนักงานเข้าร่วมในโครงการพบว่า ผลที่ออกมา ถือว่าค่อนข้างดี พนักงานมีความตื่นตัวและเข้าใจในสิทิตามกฎหมายที่ควรจะได้ เชื่อว่าจะสามารถยุติความรุนแรงได้ในที่สุด นอกจากนี้ทางบริษัทยังมีการอบรมสอนศิลปะป้องกันตัวพื้นฐานให้แก่พนักงานหญิง เป็นแนวทางเอาตัวรอดไว้ใช้หากเกิดเหตุการณ์ที่ร้ายแรงต่อตน

 พร้อมกันนี้ยังเชิญชวนร่วมกันแสดงพลังด้วยการลงนามผ่านสมุดลงนามที่ตั้ง อยู่บริเวณเคาน์เตอร์บริการร้านค้าในเครือเซ็นทรัลทั่วประเทศหรือผ่านเว็บไซ ต์  www.saynotoviolence.com และ www.centralretail.com นอกจากนี้ยังสามารถบริจาคเงินทุนสนับสนุนโครงการนี้ผ่านกล่องรับบริจาค 30 สาขาทั่วประเทศ เพื่อนำเงินบริจาคทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภาในฐานะที่เป็นองค์ทูตสันถวไมตรีของโครงการนี้ในวัน ที่ 25 พฤศจิกายน 2553 หรือ วันสากลแห่งความยุติความรุนแรงต่อสตรี

 ปัญหาความรุนแรงไม่ได้กลายเป็นปัญหาของใครคนเดียวอีกต่อไป แต่เป็นปัญหาสังคมที่ทุกคนต้องร่วมกันแก้ไข ทุกวันนี้ผู้หญิงต้องรู้จักวางแผนการดำเนินชีวิต รู้จักหาทางรอดในยามคับขันที่สำคัญต้องใช้สติ สามารถศูนย์ประชาบดี 1300
77  กรรมฐาน มัชฌิมา / เกี่ยวกับหลวงปู่สุก ไก่เถื่อน / ธารพระกร คู่ บารมี เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2010, 07:33:18 pm
มาช่วยโพสต์ ตำนานลำดับ พระกรรมฐาน คะ



ธารพระกร คู่พระบารมี
คู่พระกรรมฐาน เกิดแก่ท่านพระราหุลเถรเจ้า
เมื่อท่านพระราหุลเถรเจ้า มีพระชนมายุได้ ๓๑ พรรษา ๑๑  ย่างเข้าสู่พระภิกษุผู้เถรแล้ว ขณะเมื่อท่านประทับนั่งบำเพ็ญสมณะธรรม อยู่ที่ป่าอันธวัน นอกกรุงสาวัตถี 
ครั้งนั้นมีเทวดาตนหนึ่ง อันนับเนื่องในหมู่พรหม ชั้นสุทธาวาส ได้มาสิงสถิตคอยท่า ท่านพระราหุลเถร อยู่ ณ ที่ต้นโพธิตรัสรู้ ของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ได้ทราบด้วยใจแห่งตนว่า  บารมีวิมุตติธรรม ของท่านพระราหุลเถรแก่กล้าแล้ว  ก็สมัยนั้นแล  ธารพระกร คู่พระบารมีธรรม คู่พระกรรมฐานมัชฌิมา  ของท่านพระราหุล ได้เกิดขึ้นแล้ว แก่เต็มที่แล้ว  ณ ป่าอันธวัน  ในดงไม้ไผ่ยอดตาล
เทวดา อันนับเนื่องในหมู่พรหม ชั้นสุธาวาส ที่สิงสถิตคอยท่า ท่านพระราหุลอยู่ ณ ต้นโพธิตรัสรู้นั้น  ได้เข้าไปหา ท่านพระราหุลเถรเจ้า  แล้วกล่าวว่า  ข้าพระองค์เป็นเทพดาที่สิงสถิตอยู่ ณ ควงไม้พระศรีมหาโพธิ  ตรัสรู้ของพระบรมครู   
บัดนี้ธารพระกร คู่พระบารมี คู่พระกรรมฐานมัชฌิมา ของท่านพระราหุลเถร ได้เกิดขึ้นแล้ว แก่กล้าแล้ว ขออาราธนานิมนต์  ท่านพระราหุลไปนำเอา ไม้ธารพระกร ที่ดงไผ่ยอดตาล ในป่าอันธวันนี้เถิด
ท่านพระราหุล ได้เสด็จไปที่ดงไผ่ยอดตาลนั้น ถึงแล้ว เทวดาตนนั้น แสดงให้ท่านราหุลทราบว่า ธารพระกรไผ่ยอดตาลอยู่ ที่ต้นไผ่ยอดตาลนี้  เป็นต้นที่แก่สูงที่สุดใน ดงไผ่ยอดตาลนี้
ขณะนั้นท่านพระราหุล มีความวิตกแห่งใจว่า  จะตัด ต้นไผ่ยอดตาลอย่างไร เทวดาตนนั้นทราบความปริวิตกแห่งใจของท่านพระราหุล  จึงบรรดาลให้ คนตัดฟืนในที่ไกล้ป่านี้ มา ณ ที่แห่งนี้ ครั้นคนตัดฟืนอันเทวดาดลใจมาถึงที่แห่งนี้  เห็นท่านพระเถร  ทราบอาการของพระเถรว่า ต้องการ ปลายยอดของไผ่ยอดตาลนั้น จึงตัดมาถวายท่านพระราหุล ประมาณหนึ่งวา   ตัดแล้วเทวดาประจำต้นไผ่ยอดตาลก็มา สิงสถิตประจำอยู่ ที่ไม้ธาร พระกร  และไม้ธารพระกรนี้ได้เป็นไม้ที่มีอานุภาพมาก
ครั้งนั้นท่านพระราหุลเถร ได้ธารพระกรคู่บารมีแล้ว ก็เสด็จไปบำเพ็ญสมณธรรมต่อ ณ ป่าอันธวัน ไม้ธารพระกรไผ่ยอดตาลนี้  ถือเป็นเสมือน รัตนเจ็ดประการ ประจำพระองค์ของพระเจ้าจักรพรรดิ์ หรือเสมือนเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ของพระเจ้าแผ่นดิน  ส่วนไม้ธารพระกร ไผ่ยอดตาล ของท่านพระราหุลเถร หรือของพระอริยเจ้าทั้งหลาย  แสดงถึงบารมีธรรม ของพระอริยเจ้าแต่ละองค์  ซึ่งนับว่าสูงกว่า แก้วเจ็ดประการ ของพระเจ้าจักรพรรดิ์ หรือเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ของพระราชา หรือพระเจ้าแผ่นดิน  เพราะเป็นของพระอริยเจ้าผู้พ้นโลก เหนือโลก เหนือโลกิยะธรรมทั้งปวง  พระอริยะที่จะได้ ไม้เท้าเบิกไพร ไผ่ยอดตาล ต้องเป็นผู้มีจักรธรรม ๔ ประการคือ ๑.ปฎิรูปเทสวาสะ อยู่ในถิ่นที่เหมาะ   ๒. สัปปุริสูปัสสยะ   สมาคมกับคนดี มีพระอริยเจ้าเป็นต้น  ๓. อัตตสัมมาปณิธิ  ตั้งตนไว้ชอบ สิ่งสำคัญประการสุดท้ายคือ ข้อ ๔ ปุพเพกตปุญญตา ได้กระทำความดีไว้แต่ปางก่อน จึงจะได้ จักรรัตน คือไม้เท้าประกอบบารมีธรรมนี้

78  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / อาหลง เด็กชาวจีนติดเอดส์ ใช้ชีวิตลำพัง เมื่อ: พฤศจิกายน 19, 2010, 11:08:32 am

อาหลง เด็กชาวจีนติดเอดส์ ใช้ชีวิตลำพัง


เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก  news.sznews.com ,  hdjwww.com

           เชื่อว่า หลายคนคงเคยได้อ่านเรื่องราวของ "อาหลง" หนูน้อยวัย 6 ขวบที่เป็นเอดส์ ซึ่งอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็ก ๆ ตามลำพังอย่างโดดเดี่ยว ในเมืองหลิ่วโจว มณฑลกว่างซี ประเทศจีน โดยที่อาหลงต้องช่วยเหลือตัวเองทุกอย่าง ทั้งหุงข้าว หาฟืน ทำกับข้าว ล้างจาน ซักผ้า แม้งานหลายอย่างดูจะเกินความสามารถของเด็กชายวัยเพียงแค่ 6 ขวบ

          นั่นเพราะพ่อแม่ของอาหลงเสียชีวิตไปก่อนหน้าด้วยโรคเอดส์ ส่วนญาติ ๆ ของอาหลง เมื่อทราบว่าหนูน้อยเป็นเอดส์เช่นเดียวกับพ่อแม่ ก็ค่อย ๆ หายหน้าหายตาไป แทบจะไม่มีใครมาสนใจใยดีเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนนี้เลย มีเพียงคุณยายวัย 84 ปีของอาหลงที่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนอาหลงอยู่บ้าง

          อย่างไรก็ตาม หลังจากเรื่องราวสุดรันทดของอาหลงได้ถูกเผยแพร่ออกไปในประเทศจีน ก็ทำให้ชาวเมืองหลิ่วโจวจำนวนมากรู้สึกสงสารอาหลง เขียนส่งข้อความให้กำลังใจอาหลง บางคนได้นำข้าวของเครื่องใช้ ข้าวปลาอาหาร ขนม ฝากมากับนักข่าว เพื่อให้นำมามอบให้อาหลง


อาหลง เด็กชาวจีนติดเอดส์ ใช้ชีวิตลำพัง


อาหลง เด็กชาวจีนติดเอดส์ ใช้ชีวิตลำพัง

          ขณะที่อีกหลายคนถึงกับขับรถมาหาอาหลงถึงบ้าน เพื่อมอบของเล่น อุปกรณ์ทำครัว หนังสือ ฯลฯ ให้หนูน้อยเก็บไว้ใช้ และยังเล่นกับหนูน้อยโดยไม่รู้สึกรังเกียจแม้แต่นิดเดียว เรียกเอารอยยิ้มของอาหลงกลับคืนมาอีกครั้ง แน่นอนว่า เมื่อคนเหล่านั้นได้มาเห็นหน้าตาไร้เดียงสาที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของอาหลง ที่ดูช่างขัดกับสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ของหนูน้อย ก็ถึงกับกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ เพราะรู้สึกสงสารเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนนี้

          ไม่เพียงแค่นั้น เพราะหลังจากนั้นก็ยังมีชายแซ่โจวคนหนึ่งได้โทรศัพท์มาถามนักข่าว ว่าที่บ้านของอาหลงมีโทรทัศน์หรือยัง ถ้ายังไม่มีเขาจะซื้อไปให้ทันที และอีก 1 ชั่วโมงต่อมา ชายแซ่โจวคนดังกล่าวก็มาติดตั้งโทรทัศน์ และกล่องรับสัญญาณให้อาหลงถึงที่บ้าน ทำให้หนูน้อยดีใจเป็นอย่างยิ่งที่จะสามารถดูรายการโปรดได้แล้ว

          นอกจากนี้  ก็ยังมีเด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่ง นัดกันมาเยี่ยมเยียนอาหลง และทำอาหารแสนอร่อยให้อาหลงทานด้วย ซึ่งแม้จะเป็นอาหารที่ดูแสนธรรมดา แต่อาหารที่มาพร้อมกับกำลังใจเหล่านี้ กลับเป็นอาหารที่ดีที่สุดที่อาหลงเคยรับประทานมาเลยทีเดียว และพวกเธอก็ไม่มีท่าทีรังเกียจที่ต้องทานอาหารร่วมกับอาหลงเลยแม้แต่น้อย

          ขณะเดียวกัน อาหลง ก็ยังได้รับข่าวดีว่า โรงเรียนที่อาหลงเคยเข้าเรียนอนุญาตให้อาหลงกลับเข้ามาเรียนใหม่ตามความใฝ่ ฝันของอาหลงได้แล้ว ซึ่งข่าวนี้ทำให้อาหลงดีใจเป็นอย่างมาก ที่จะได้เรียนหนังสือเหมือนเพื่อน ๆ เพราะโรงเรียนคือสถานที่ที่จะช่วยคลายความเหงา ความเศร้า และช่วยให้อาหลงไม่โดดเดี่ยว มีเพื่อน มีกำลังใจมากยิ่งขึ้น

          ณ วันนี้ บ้านของอาหลงเต็มไปด้วยข้าวของที่ชาวเมืองนำมามอบให้จนวางซ้อนกันเป็นกอง พะเนิน แน่นอนว่า ข้าวของพวกนี้ เป็นสัญลักษณ์ของน้ำใจและกำลังใจที่ชาวเมืองส่งมาให้อาหลง และบอกให้เด็กชายตัวน้อยรู้ว่า วันนี้เขาไม่ได้โดดเดี่ยว ไม่ได้ต่อสู้กับโรคร้ายอยู่ตามลำพังอีกแล้ว เพราะมีคนอีกจำนวนมากคอยดูแล และให้ความช่วยเหลือเขาอยู่

















======================================================

เรื่องของน้ำใจ และ ความช่วยเหลือ กันยังมีอยู่ในโลก

คุณธรรม ความดี จึงไม่หายไปจากใจ ของมนุษย์








79  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การทำสมาธิช่วยให้มีสุขภาพดีเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 01:18:07 pm

การทำสมาธิช่วยให้มีสุขภาพดีเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น

       ประโยชน์ทางสุขภาพที่ได้จากการทำสมาธินั้นมีอยู่มากมาย ไม่เพียงเฉพาะแต่ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจะบรรเทาอาการได้เท่านั้น ในผู้ที่ฝึกทำสมาธิเป็นประจำยังช่วยป้องกันปัญหาสุขภาพได้ และป้องกันโรคต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นได้ การทำสมาธินั้นได้ถูกนำมาใช้กันในวงกว้างกับโรคร้ายแรงหลาย ๆ โรค โดยเฉพาะโรคที่ประสบความสำเร็จและมีการบันทึกไว้ก็คือเกี่ยวกับปัญหาทางด้าน จิตใจ เช่น อาการสะเทือนใจและอื่น ๆ แล้วการทำสมาธิช่วยเรื่องสุขภาพได้อย่างไร??

ต่อไปนี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นขณะที่ทำสมาธิ:

*คุณจะรับออกซิเจนน้อยลง

*คุณจะหายใจได้ดีขึ้น

*การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง

*ร่างกายจะแข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของหัวใจของผู้ป่วย

*ร่างกายจะพักผ่อนได้ลึกขึ้น

*ทำให้ความดันเลือดที่สูงลดต่ำลง

*ลดความกังวล

*ลดความตึงของกล้ามเนื้อ และลดอาการปวดศีรษะ

*เพิ่มความมั่นใจในตัวเอง

*การผลิตฮอร์โมน serotonin ช่วยให้ทำให้จิตใจดีขึ้น

*ช่วยทำให้อาการก่อนมีประจำเดือนในผู้หญิงลดลง

*ช่วยให้ผู้ที่เข้ารับการผ่าตัดหายได้เร็วขึ้น

*กระตุ้นการสร้างระบบภูมิคุ้มกัน

*ช่วยให้อารมณ์คงที่ไม่แปรปรวน

ชนะความเครียด

        ทุก ๆ คนล้วนมีแนวโน้มที่จะเกิดความเครียดได้จากชีวิตประจำวัน อาจเป็นจากที่ทำงานหรือที่บ้าน ขึ้นอยู่กับความสามารถของแต่ละคนในการจัดการกับปัญหา ความเครียดและความกังวลนั้นมีผลทำให้ระดับความดันเลือดสูงขึ้น และอาจทำให้เป็นโรคหัวใจ เมื่อทำสมาธิ ความเครียดก็จะไม่ค่อยเกิดขึ้น ดังนั้นปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพจิตก็จะไม่เกิดขึ้น

สิว

      เมื่อเราจัดการกับความเครียดได้ การผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันก็จะลดลง การอุดตันก็จะน้อยลง นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำไมสิวถึงน้อยลง หน้ามันน้อยลงเมื่อเรานั่งสมาธิอยู่เป็นประจำ

ความเจ็บปวด

       ผู้ที่ได้รับความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลาก็จะค่อย ๆ กลายเป็นความวิตกกังวล และทำให้ความอดทนต่อความเจ็บปวดน้อยลง โชคดีที่การทำสมาธิสามารถช่วยบรรเทาความกังวลได้ จึงช่วยลดความเจ็บปวดได้ด้วย

ป่วยเรื้อรัง

       มีหลาย ๆ โรงพยาบาลที่แพทย์ใช้วิธีการให้ผู้ป่วยทำสมาธิเพื่อช่วยอาการป่วยเรื้อรัง เช่นมะเร็ง ซึ่งจะช่วยลดความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากยาที่ใช้ในการรักษา สำหรับผู้ป่วยที่ป่วยในระยะสุดท้าย การทำสมาธิก็จะช่วยลดความกังวลและความหดหู่และเพิ่มความรู้สึกดี ๆ ขึ้นมาได้

ความดันโลหิตสูง       การทำสมาธิจะให้ผลดีกับกรณีนี้มากในการช่วยลดระดับความดันโลหิตในผู้ป่วย ด้วยโรคนี้ ก็จะทำให้ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจสำหรับกลุ่มนี้

         มีหลาย ๆ ปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพที่สามารถใช้วิธีการทำสมาธิเพื่อบรรเทาอาการต่าง ๆ เช่น โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ, อาการลำไส้ปั่นป่วน, Fibromyalgia (โรคกล้ามเนื้อตึง นอนไม่หลับ) เป็นต้น       


เมื่อความวิตกกังวลลดลง ก็จะทำให้ผู้ป่วยมีความมั่นใจมากขึ้น และควบคุมสถานการณ์ได้ และช่วยให้รับมือกับสถานการณ์นั้น ๆ ได้ดีขึ้น

ที่มา - มายด์ไซเบอร์
80  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ลูกสาวของดิฉันเป็นโรคสมาธิสั้น จึงอยากเรียนถามพระคุณเจ้าค่ะว่า เมื่อ: พฤศจิกายน 17, 2010, 01:14:21 pm
เพื่อนครูฝากถาม คะ
=======================================================
ลูกสาวของดิฉันเป็นโรคสมาธิสั้น จึงอยากเรียนถามพระคุณเจ้าค่ะว่า

1. กรรมใดส่งผลให้เค้าต้องเกิดมาเช่นนี้

2. มีธรรมะข้อใดบ้างไหมคะที่จะสามารถช่วยให้ลูกสาวหายจากโรคที่เป็นได้

3. ถ้าอยากทำบุญให้แก่ลูกสาวจะต้องทำด้วยวิธีไหน หรือจะต้องให้ลูกสาวทำบุญอย่างไรคะ
(ขณะนี้เขาอายุได้ 12,14 ขวบค่ะ)
 :25: :25: :25:
หน้า: 1 [2] 3 4