ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ทำไม หอยสังข์ จึงนำมาใช้ในงานมงคลสมรส คะ  (อ่าน 4067 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

sunee

  • มีเหตุมีผล
  • ****
  • ผลบุญ: +1/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: หญิง
  • กระทู้: 301
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
ทำไม หอยสังข์ จึงนำมาใช้ในงานมงคลสมรส คะ

อยากรักษาวัฒนธรรมไทยไว้ คะ แต่ก็อยากรู้ด้วยคะ

ขอบคุณล่วงหน้า คะ

  :c017: :c017: :c017:
บันทึกการเข้า

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออนไลน์ ออนไลน์
  • กระทู้: 28448
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
Re: ทำไม หอยสังข์ จึงนำมาใช้ในงานมงคลสมรส คะ
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2011, 12:02:08 pm »
0


ตำนานสังข์

   สังข์ (หอยสังข์) นั้น ประชาชนชาวไทย ต่างก็มีความนับถือกันว่า เป็นของที่เป็นอุดมมงคลอย่างสูงยิ่ง ซึ่งมักพบเห็นได้ในงานพระราชพิธีต่าง ๆ เช่น พระราชพิธีราชาภิเษก คือ ตอนที่พระมหาราชครูผู้เป็นประธานคณะพราหมณ์ได้ถวายน้ำมหาสังข์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ องค์ปัจจุบัน
 

     และในงานพิธีมงคลต่าง ๆ ซึ่งจัดขึ้นในบ้านเรือนของประชาชนชาวไทยเรา เช่น งานมงคลสมรส เป็นต้น เราก็มักจะได้พบหอยสังข์ ซึ่งใช้เป็นที่รดน้ำแก่คู่บ่าวสาว เพื่อจะให้อยู่เย็นเป็นสุข หอยสังข์นั้นนอกจากจะใช้เป็นเครื่องรดน้ำ เพื่อให้มีความสุขความเจริญแล้ว ยังใช้เป่าเพื่อให้ได้ยินเสียง เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลอีกด้วย ซึ่งมักจะได้พบเห็นอยู่ในงานพิธีกรรมต่าง ๆ มีงานวางศิลาฤกษ์แล้วก็จะมีการเป่าสังข์ไกวบัณเฑาะว์


     ส่วนประวัติและความเป็นมาของหอยสังข์ ซึ่งนิยมนับถือว่าเป็นอุดมมงคลอย่างสูงนั้น มีเรื่องเล่าเป็นปรัมปราต่อ ๆ กันมาว่า ภายหลังจากพระพรหมที่ได้สร้างโลก ร่วมกับพระเป็นเจ้าองค์อื่น ๆ เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ได้รับความเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างยิ่ง จึงได้บรรทมหลับไป ในขณะที่พระพรหมบรรทมหลับอยู่นั้น พระเวทต่าง ๆ ได้หลั่งไหลออกมาจากโอษฐ์ของพระพรหมนั้น

   ในขณะนั้นได้มียักษ์ตนหนึ่งมีชื่อว่า หัยครีพ ได้ผ่านมาพบเห็นเข้า จึงได้ขโมยเอาพระเวทนั้นไปจนหมด เมื่อเรื่องนี้ได้ทราบถึงพระนารายณ์เข้า จึงได้ติดตามหัยครีพนั้นไป เพื่อจะนำเอาพระเวทนั้นกลับคืนมา เมื่อหัยครีพเห็นเป็นการจวนตัว จึงได้กลืนพระเวทต่าง ๆ นั้น เข้าไว้เสียในท้องของตน พระนารายณ์จึงได้ฆ่าหัยครีพนั้น แล้วผ่าท้องเอาพระเวทนั้นกลับคืนมาจนได้

     อีกเรื่องหนึ่งมีใจความเป็นตำนานมาว่า ยักษ์ตนหนึ่งมีชื่อว่า สังข์อสูร เมื่อได้พบพระพรหม ซึ่งกำลังบรรทมหลับอยู่ และได้มีพระเวทต่าง ๆ ไหลออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพรหมดังนั้น ก็ให้เกิดมีความอิจฉาขึ้นจึงได้ขโมยเอาพระเวทต่าง ๆ นั้นไปเสีย

     เพื่อจะไม่ให้พวกพราหมณ์ได้มีพระเวทเป็นเครื่องสวดอ้อนวอนพระพรหมและเทพเจ้าองค์อื่น ๆ ได้อีกต่อไป แต่ในขณะเดียวกันนั้นเอง พระนารายณ์ผู้เป็นเจ้า ได้ทอดพระเนตรเห็นการกระทำของยักษ์สังข์อสูรนั้นทุกประการ จึงได้ติดตามไปเพื่อจะเอาพระเวทนั้นกลับคืนมาเสีย

   เมื่อยักษ์สังข์อสูรนั้นเห็นพระนารายณ์ติดตามตนมาในระยะที่กระชั้นชิดเช่นนั้น ก็เห็นว่าเป็นการจวนตัว จึงได้กลืนพระเวททั้งหมดนั้นลงไปไว้ในท้องของตนเสีย แล้วก็กระโดดลงไปในน้ำมหาสมุทร ดำน้ำหายไปในทันที เมื่อพระนารายณ์ทรงทราบดังนั้น จึงได้เนรมิตร่างของพระองค์ให้เป็นปลาใหญ่เที่ยวค้นหาตัวยักษ์สังข์อสูร เพื่อจะจับตัวไว้ให้ได้ ก่อนที่ยักษ์สังข์อสูรนั้นจะทำลายพระเวทต่าง ๆ ให้หมดไปจากโลก


   แต่ในที่สุด พระนารายณ์ก็ทรงจับตัวยักษ์สังข์อสูรเอาไว้ได้ แล้วจึงทวงถามเอาพระเวทคืน แต่ยักษ์สังข์อสูรนั้นไม่ได้มีการเจรจาโต้ตอบแต่ประการใด ได้แต่นิ่งเฉยอยู่เท่านั้น เมื่อพระนารายณ์ผู้เป็นเจ้าพิจารณาดูไปก็ได้ทราบว่ายักษ์สังข์อสูรได้กลืนเอาพระเวทเข้าไว้ในท้องของตน จึงได้เอาพระหัตถ์บีบที่ปากของยักษ์สังข์อสูร จนเนื้อที่ปากนั้นปริออกมาตามระหว่างนิ้วพระองค์

   แต่เมื่อทรงเห็นว่ายักษ์สังข์อสูรนั้นยังไม่ยอมคืนพระเวทอีก จึงได้ทรงเอานิ้วพระหัตถ์ล้วงเข้าไปในท้องของสังข์อสูรนั้น แล้วทรงค้นหาพระเวทซึ่งอยู่ในท้องของสังข์อสูรนั้น ในที่สุดก็ได้พบพระเวทนั้น จึงได้เอานิ้วพระหัตถ์จับพระเวทนั้น ดึงลากออกมาทางปากของยักษ์สังข์อสูร เมื่อทรงเอาพระเวทกลับคืนออกมาจากท้องของยักษ์สังข์อสูร ได้จนหมดเรียบร้อยทุกพระคัมภีร์แล้ว

   พระนารายณ์ผู้เป็นเจ้าจึงได้ทรงสาปยักษ์สังข์อสูรนั้นว่า “ขอให้เจ้าจงมีสภาพร่างกายเป็นอย่างนี้ และจงอยู่แต่ในน้ำสืบไป อย่าได้ขึ้นมาบนบกอีกต่อไปเลยเมื่อชาวมนุษย์จะทำการมงคลใด ๆ จึงค่อยมาจับเอาตัวเอ็งไปร่วมในงานพิธีมงคลนั้น ๆ ด้วย” เมื่อทรงสาปแล้ว จึงได้ทิ้งร่างของยักษ์สังข์อสูรนั้นลงไปในมหาสมุทรทันที แล้วจึงได้เอาพระเวทนั้นมาส่งคืนให้แก่พระพรหม ผู้เป็นเจ้าของเดิมทันที

   เมื่อยักษ์สังข์อสูรนั้นอยู่ในน้ำมหาสมุทรนั้นนาน ๆ เข้าจึงได้กลับกลายมาเป็นหอยสังข์ และมีสภาพเหมือนกับคำที่พระนารายณ์ท่านได้สาปไว้ทุกประการ และได้เที่ยวเร่ร่อนไปในทะเลลึก เมื่อถึงเวลาจะทำพิธีมงคลต่าง ๆ พวกพราหมณ์จึงได้ไปจับเอาตัวไปเข้าอยู่ในพิธีมงคลนั้น ๆ เหตุผลที่พวกพราหมณ์ผู้ทำพิธีต่าง ๆ จะนำหอยสังข์นั้นมาเข้าร่วมอยู่ในงานพิธีมงคลต่าง ๆ นั้น ก็เพราะ พราหมณ์มีความเห็นว่า

    ๑.หอยสังข์นั้นเคยเป็นที่บรรจุพระเวทต่าง ๆ ไว้ในท้องของตนจนครบทุกประการ
    ๒.ตามบริเวณร่างกายของหอยสังข์นั้น ได้มีรอยนิ้วพระหัตถ์ของพระนารายณ์ผู้เป็นเจ้า


     ยังปรากฏอยู่ในขณะที่พระองค์ทรงบีบปากเพื่อค้นหาคัมภีร์พระเวทเมื่อครั้งแรกนั้น ที่ปากของหอยสังข์นั้นจึงเป็นรอยยาวออกมานั้น ก็เพราะพระนารายณ์ท่านลากคัมภีร์พระเวทต่าง ๆ ออกมาทางปากนั้น

     ด้วยเหตุดังที่ได้กล่าวแล้วทั้งหมดนี้เอง จึงได้นับถือว่าหอยสังข์นั้นเป็นของที่สูงและศักดิ์สิทธิ์ จึงได้นำเข้ามาร่วมในพิธีมงคลต่าง ๆ ตลอดมา





ราชประเพณี พระราชทานน้ำสังข์ และ ใบมะตูม
     หอยสังข์มีถิ่นกำเนิดในมหาสมุทรอินเดีย ตั้งแต่ชายฝั่งทะเลทางตะวันออกของทวีปแอฟริกามาทางมหาสมุทรแปซิฟิก แถบหมู่เกาะอินเดียตะวันออกจนถึงโปลินีเซีย พราหมณ์ในพระเทศอินเดียใช้บรรจุน้ำเทพมนตร์ และเป่าในพิธีกรรมของพราหมณ์ เมื่อพราหมณ์เดินทางมาสู่ดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็ได้นำลัทธิประเพณีและการประกอบพิธีกรรมต่าง ๆ มาปฏิบัติและเผยแพร่

   ราชสำนักไทยคงรับคติความเชื่ออย่างพราหมณ์มาใช้ตั้งแต่สมัยสุโขทัยจนถึงปัจจุบัน พระมหากษัตริย์พระราชทานน้ำจากสังข์ ใบมะตูม และทรงเจิม เพื่อเป็นสิริมงคลแก่ผู้ที่ได้รับ สังข์ที่ทรงใช้ในการพระราชพิธี พิธีต่าง ๆ นั้น มีลำดับการใช้ตามฐานันดรศักดิ์และเกียรติของผู้รับ

      มูลเหตุที่ใช้สังข์รดน้ำและพระราชทานใบมะตูมนั้น มีตำนานกล่าวไว้ในหนังสือเทวปางของพราหมณ์ ในปางพระนารายณ์ปราบสังข์อสูร ว่า มีอสูรผีเสื้อน้ำตนหนึ่งไปลักคัมภีร์ไตรเพทของพระพรหม ซึ่งนอนหลับอยู่ริมมหาสมุทรเพื่อรอเวลาเข้าเฝ้าพระอิศวร แล้วนำคัมภีร์ไปให้อสูรมัจฉา พระอิศวรรู้เหตุจึงให้พระนารายณ์อวตารไปปราบ เพื่อตามคัมภีร์ไตรเพทออกมาได้ แล้วจึงสาปสังข์ว่า

     ถ้ามนุษย์จะทำการมงคลพิธีก็จงเอาสังข์เข้าไปอยู่ในการพิธีนั้น ถ้าผู้ใดรดน้ำในอุทรสังข์ก็ให้เป็นมงคลกันอุบาทว์ เสนียดจัญไร ทั้งนี้เนื่องด้วยปรากฏรอยนิ้วพระหัตถ์ของพระนารายณ์กดติดอยู่ตรงที่นั้น พราหมณ์จึงนำสังข์มาบรรจุน้ำเทพมนตร์ในพิธีกรรมของพราหมณ์



     ส่วนประเพณีการใช้น้ำพระพุทธมนต์บรรจุในสังข์ก็โดยเหตุที่พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย พระมหากษัตริย์ทรงเป็นพุทธมามกะ น้ำพระพุทธมนต์ที่พระราชทานนั้นก็เนื่องด้วยคติในพระพุทธศาสนา โดยประเพณีทำน้ำพระพุทธมนต์นี้ พระสงฆ์วัดชนะสงคราม จำนวน ๕ รูป เข้าไปเจริญพระพุทธมนต์เสกน้ำ ณ หอศาสตราคม ในพระบรมมหาราชวังเป็นประจำทุกวันพระ ในเวลา ๑๓ นาฬิกา ครั้งหนึ่ง และ เวลา ๑๘ นาฬิกา อีกครั้งหนึ่ง 

     พระสงฆ์ชุดแรกเมื่อเจริญพระพุทธมนต์เสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ตำรวจวัง ๒ นาย จะนำน้ำพระพุทธมนต์ส่วนหนึ่งใส่ในบาตร ๒ ใบ พร้อมกำหญ้าคา แล้วเดินนำพระสงฆ์ ๒ รูป ประพรมน้ำพระพุทธมนต์ไปรอบพระมหามณเฑียร คือ พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระที่นั่งไพศาลทักษิณ และ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย โดยเข้าทางประตูดุสิตศาสดาไปออกประตูสนามราชกิจ

     พระสงฆ์ชุดที่ ๒ เข้าไปเจริญพระพุทธมนต์เสร็จแล้วกลับ น้ำพระพุทธมนต์นี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายราชูปโภคเก็บรักษาไว้สำหรับเชิญไปถวายพระมหากษัตริย์ เป็นน้ำสรงพระพักตร์ประจำวันเป็นราชประเพณีสืบมา และใช้บรรจุในพระมหาสังข์ถวายเพื่อพระราชทานในพระราชพิธีต่าง ๆ ดังกล่าวมาแล้ว

     สำหรับใบมะตูมนั้นตามตำนานเทวปางของพราหมณ์ได้กล่าวไว้ว่า พรหมองค์หนึ่งจุติเป็นช้างชื่อ เอกทันต์ มีอิทธิฤทธิ์กำลังมหาศาล ไม่ยอมปฏิบัติการใด ๆ ตามที่พระนารายณ์มีโองการ พระนารายณ์ทรงกริ้วมาก จึงนำเอารุกขเจ็ดประการ คือ เถาไม้ต่าง ๆ เจ็ดชนิด ทรงร่ายมนต์แล้วฟาดลงที่รอยเท้าอันเป็นทางเดินของช้างเอกทันต์ ด้วยอำนาจมนต์ของพระนารายณ์ ทำให้ช้างเอกทันต์ปวดหัวแทบจะแตกเป็นเจ็ดภาคจนทนไม่ไหว วิ่งมาด้วยความโกรธตรงเข้าต่อสู้

    แต่สู้ฤทธิ์พระนารายณ์ไม่ได้จึงบ่ายหน้าหนี พระนารายณ์จึงทรงเชือกบาศก์ซัดผูกมัดเท้าขวาของช้างเอกทันต์ แล้วทรงนำพระแสงตรีซึ่งเป็นอาวุธประจำพระองค์ปักลงที่พื้นดินอธิษฐานให้เป็นต้นมะตูม จากนั้นเอาปลายเชือกบาศก์กระหวัดผูกไว้กับต้นมะตูมช้างเอกทันต์ จึงพ่ายแพ้ต่อพระนารายณ์ พราหมณ์ถือว่า ใบมะตูม ซึ่งมีลักษณะเป็น ๓ แฉก คล้ายพระแสงตรีเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะและเป็นมงคล จึงถวายพระมหากษัตริย์ ทรงใช้ในโอกาสพระราชทานน้ำสังข์เป็นราชประเพณีสืบมา


ที่มา  http://www.rmutphysics.com/CHARUD/oldnews/146/religion/story10.htm
ขอบคุณภาพจาก www.rmutphysics.com,http://www.n3k.in.th,http://i211.photobucket.com,http://picdb.thaimisc.com,
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 03, 2011, 12:10:29 pm โดย nathaponson »
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

sakol

  • พอพึ่งพาได้
  • ***
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 242
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
Re: ทำไม หอยสังข์ จึงนำมาใช้ในงานมงคลสมรส คะ
« ตอบกลับ #2 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2011, 06:04:03 pm »
0
ไม่ผิดหวังกับคำตอบ สำหรับ คุณ ปุ้ม ผู้ช่วยเหลือด้านข้อมูล

อนุโมทนา ชอบคุณ สุนีย์ ถามครับ....เป็นคำถามที่ใกล้ตัว มากครับ

 :25: :25: :25:
บันทึกการเข้า