ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ปะการังฟอกขาวฝั่งอ่าวไทย วิกฤตหนักซ้ำหอยมือเสือ ฟอกขาวด้วย  (อ่าน 3116 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

เจมส์บอนด์

  • กำลังแหวกกระแส
  • **
  • ผลบุญ: +9/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • เพศ: ชาย
  • กระทู้: 186
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
นักวิชาการเตือนชะลอการท่องเที่ยว ในพื้นที่ปะการังฟอกขาว  เพื่อรอเวลาให้ปะการังฟื้นตัว  เผยปีนี้วิกฤตหนัก  โดยเฉพาะสัตหีบ ชลบุรี  สำรวจพบการฟอกขาวกินพื้นที่ 50-70% ของแนวปะการังทั้งหมด  ซ้ำยังเกิดฟอกขาวในหอยมือเสือด้วย

           ผศ.ดร.สุชนา  ชวนิชย์  ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล  คณะวิทยาศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  และนักวิจัยด้านปะการังโครงการ BRT เปิดเผยหลังจากการลงพื้นที่สำรวจแนวปะการังในบริเวณอำเภอสัตหีบ จังหวัดชลบุรี ว่าพบปะการังมีการฟอกขาวจำนวนมากประมาณ 50-70% ของแนวปะการังทั้งหมด  ซึ่งนับเป็นการเกิดปรากฏการณ์ปะการังฟอกขาวที่กินพื้นที่มากที่สุดเท่าที่ เคยเกิดขึ้นในทะเลฝั่งอ่าวไทย

           “ทีมวิจัยได้มีการศึกษาและติดตามสถานการณ์ปรากฏการณ์ฟอกขาวปะการังอย่างต่อ เนื่องตั้งแต่เริ่มเกิดปะการังฟอกขาวขึ้นที่แนวปะการังอันดามันและติดตามมา ด้วยพื้นที่ในทะเลฝั่งอ่าวไทยเมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั้น  พอว่าการฟอกขาวของปะการังในบริเวณอำเภอสัตหีบ  มีการขยายพื้นที่มากขึ้น  และเกิดขึ้นกับแนวปะการังทุกแห่งในบริเวณดังกล่าว  จากเดิมที่มักจะมีการฟอกขาวเป็นหย่อมๆ เท่านั้น  นอกจากนี้ยังเกิดการฟอกขาวขึ้นในหอยมือเสืออีกด้วย”

           
  ผศ.ดร.สุชนา  กล่าวต่อว่า  จากกการวิเคราะห์ปัจจัยการเกิดปรากฏการณ์ดังกล่าว  ดาดว่าสาเหตุน่าจะเกิดจากอุณหภูมิของน้ำทะเลที่ขึ้นสูงกว่าปกติ  จากเดิมที่มีอุณหภูมิ 30-31 องศาเซลเซียส ขณะนี้เพิ่มขึ้นเป็น 32-33 องศาเซลเซียส  โดยอาจจะเป็นผลมาจากอากาศที่ค่อนข้างร้อนจัดในช่วงที่ผ่านมา  หรืออาจมีกระแสน้ำที่อุ่นพัดเข้ามาในอ่าวไทย  ซึ่งเป็นสาเหตุเดียวกับการเกิดปรากฏการณ์ฟอกขาวในทะเลฝั่งอันดามัน

“อุณหภูมิน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผงให้สาหร่ายซูแซนเทลลีที่อาศัยอยู่ใน ปะการังและทำให้ปะการังมีสีสันหนีออกมาจากปะการัง  ทำให้ปะการังกลายเป็นสีขาว เช่นเดียวกับกรณีของหอยมือเสือ  ซึ่งเป็นหอยที่มีสาหร่ายซูแซนเทลลีฝังตัวอยู่ในเนื้อเยื่อของหอย  เมื่ออุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น  สาหร่ายชนิดนี้จะทนอยู่ไม่ได้และหนีออกมาจากเนื้อเยื่อหอย  ทำให้เนื้อเยื่อหอยกลายเป็นสีขาว”
อย่างไรก็ดี  เมื่อเกิดการฟอกขาวแล้ว  ปะการังจะยังไม่ตายทันที  แต่จะอ่อนแอและมีชีวิตอยู่ได้อีก 2-3 สัปดาห์  หากอุณหภูมิน้ำทะเลหรือสภาพแวดล้อมกลับคืนสู่สภาพปกติ  ปะการังจะสามารถปรับสภาพและฟื้นตัวได้  ดังนั้น  หากในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้าอากาศมีอุณหภูมิลดลง หรือมีฝนตกลงมาเล็กน้อยจะช่วยให้อุณหภูมิน้ำทะเลลดลง  และมีโอกาสที่ปะการังจะกลับมามีชีวิตและสีสันได้อีกครั้ง  นอกจากนี้  สำหรับในพื้นที่ที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยว  ควรลดหรืองดกิจกรรมท่องเที่ยวทางทะเล  เพื่อช่วยลดมลพิษที่จะถูกปล่อยลงสู่ทะเล และให้เวลาปะการังในการฟื้นตัวกลับคืนสู่สภาพเดิม
บันทึกการเข้า
ps2 psx nds n64 rom nes play1 play2 gamepc xbox wii castlevania finalfantasy nds ps1 sega
ผมชอบเล่นเกมส์ แต่ ก็แบ่งเวลานั่ง กรรมฐาน ครับ คนรุ่นใหม่ไม่กลัวกรรมฐาน

prayong

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 72
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
กรมอุทยานฯกร้าวไม่ปิดอันดามันฟื้นปะการัง
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: มกราคม 22, 2011, 01:39:37 am »
0
วันนี้ (19 ม.ค.)  นายสุนันต์ อรุณนพรัตน์ อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ทส.) ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากที่ทางกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.)ได้ส่งข้อมูลเรื่องปะการัง ฟอกขาวในบริเวณทะเลอันดามันมาให้ รวมทั้งเสนอให้ปิดอุทยานแห่งชาติทางทะเลเกือบทั้งหมด เพื่อให้ปะการังที่ฟอกขาวได้ฟื้นตัวนั้น ตนได้สั่งให้เจ้าหน้าของกรมอุทยานเข้าไปสำรวจเพิ่มเติมในส่วนของพื้นที่ที่ ทางทช.แจ้งมา และในวันที่ 20 มกราคม เจ้าหน้าที่จะมารายงานผลการไปสำรวจในที่ประชุมของกรมอุทยานฯ ซึ่งตนได้เรียกหัวหน้าอุทยานทางทะเลทั้งหมดมาประชุมร่วมกับนักวิชาการ มหาวิทยาลัย เพื่อร่วมหารือในเรื่องนี้ว่าจะดำเนินการอย่างไรดี
   
“เบื้องต้นแล้ว ผมเห็นว่า เรายังไม่จำเป็นถึงขั้นต้องปิดอุทยานทางทะเล เพราะถึงปิดก็ไม่ได้ทำให้ปะการังฟอกขาวฟื้นขึ้นมาได้ในเวลานี้ แต่ควรจะหามาตรการที่จะลดผลกระทบ ไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนมากกว่า การปิดอุทยานทางทะเลจะเกิดให้เกิดผลกระทบหลายอย่าง”นายสุนันต์ กล่าว
   
เมื่อถามว่า แสดงว่ากรมอุทยานจะไม่ทำตามที่ทางทช.เสนอให้ปิดอุทยานใช่หรือไม่ นายสุนันต์ กล่าวว่า ต้องรอฟังจากที่ประชุมในวันที่ 20 ม.ค.ก่อน ว่าทั้งเจ้าหน้าที่และนักวิชาการจะว่าอย่างไร แต่ตนเห็นว่า การหามาตรการที่เข้มงวดและเหมาะสมในการป้องกันไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าไป รบกวน พื้นที่ที่มีความวิกฤตเรื่องปารังฟอกขาวน่าจะเป็นเรื่องที่ควรทำมากกว่าปิด อุทยานทั้งหมด อย่างไรก็ตามพื้นที่ที่วิกฤตมากๆอาจต้องปิดบางส่วนก็ได้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ส่วนอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ได้นำสื่อมวลชนลงพื้นที่ เกาะเฮ และเกาะแอล จ.ภูเก็ต โดยสื่อมวลประจำกระทรวงทรัพยากรฯ  ได้ดำน้ำลงไปสำรวจปาการังรอบเกาะดังกล่าว พบว่า มีปะการังกิ่ง ปะการังก้อน ปะการังเขากวาง ปะการังโขด ฟอกขาวทั้งหมดมากกว่า 90% โดยบริเวณเกาะแอลนั้น ไม่มีนักท่องเที่ยวเข้าไปดูปะการังเลย เพราะไม่มีปะการังสวยงามให้ดูอีกต่อไป ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้บริเวณดังกล่าวมีนักท่องเที่ยวจำนวนมาก
   
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับบริเวณเกาะเฮ ซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนักนั้น เกาะดังกล่าวมีรีสอร์ทของเอกชนตั้งอยู่ มีบริษัททัวร์แห่งหนึ่งได้นำนักท่องเที่ยวชาวจีน เกาหลี และญี่ปุ่น ประมาณ 500 คน มาดำน้ำชมปะการังน้ำตื้น  ปรากฏว่านักท่องเที่ยวต่างทั้งดำน้ำละเดินดูปะการัง โดยมีการเหยียบย่ำบนปะการังอย่างสนุกสนาน โดยรู้เท่าไม่ถึงการ นอกจากนี้มีนักท่องเที่ยวหลายคนได้หยิบก้อนปะการังซึ่งเป็นปะการังดอกเห็ด ที่ยังมีชีวิตซึ่งเหลือเป็นส่วนน้อยขึ้นมาอวดกันและถ่ายรูปด้วยความสนุกสนาน ต่อหน้าต่อตาสื่อมวลชนและทีมงานของทช. ทั้งนี้กลุ่มสื่อมวลชนพยายามห้ามปราม ซึ่งได้ผลในระดับหนึ่ง

นาย นิพนธ์ พงศ์สุวรรณ นักวิชาการประมงชำนาญการพิเศษ ทช. กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเกิดจากบริษัททัวร์ ไม่ได้อธิบายให้ลูกทัวร์ รู้ว่าข้อควรปฏิบัติในการดำน้ำดูปะการังควรทำอย่างไร ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำเร่งด่วนคือ จัดอบรมสร้างความเข้าใจให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด โดยเฉพาะการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.)และผู้ประกอบการบริษัทดำน้ำ ในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค. นี้ ใน4 จุด คือภูเก็ต ทับละมุ จ.พังงา เกาะพีพี จ.กระบี่ และเกาะไข่นอก เพราะเป็นพื้นที่ที่ทัวร์จำนวนมาก

“ยอมรับ ว่าตกใจที่เห็นนักท่องเที่ยวจำนวนมากเกินไปที่ดำน้ำไปดูปะการังในช่วงน้ำ ทะเลกำลังลด โดยหลายรายขึ้นไปยืนบนปะการัง บางรายหยิบมาถ่ายรูปเล่น เราได้แต่ยืนมอง เพราะไม่มีอำนาจตามกฏหมาย เพราะกฎหมายของทช.ยังไม่แล้วเสร็จ  ทั้งนี้พื้นที่ดังกล่าวเป็นของเอกชน แต่โดยหลักการทรัพยากรทางทะเลนั้นอยู่ในความดูแลของทช.ก็จริง แต่เมื่อเห็นจะจะแบบนี้เราทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากได้แต่อึ้ง” นายนิพนธ์ กล่าว
 
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=561&contentID=116417
บันทึกการเข้า