หัวข้อ: อย่างนี้เป็นฌาน หรือ ยังคะ เริ่มหัวข้อโดย: Lux ที่ มิถุนายน 04, 2011, 04:40:42 pm นั่งสมาธิแล้วเห็นพระใสภายในกายเบาจิตเบาแบบธรรมกายนั่นแหละครับ
แบบนี้เรียกว่าอยุ่ฌาณไหนแล้วครับถ้ายังเกิดปิติขนลุกนี่แสดงว่ายังอยุ่ที่ ฌาณ1อยู่ไช่ไมครับแล้วถ้านั่งไปแล้วหายทั้งตัวนี่ฌาณ4ใช่ไม๊ครับ ถ้าได้ฌาณ4แล้วซักวันละ1ชม.ตายไปจะเป็นพรหมใช่ไม๊ครับ แล้วพรหม,อรูปพรหม,นิพานนี่ต่างกันังไงครับแล้วถ้ากลัวความว่างเนี่ยต้องทำอย่างไรครับ จากคุณ : YoHoAhoY หัวข้อ: Re: อย่างนี้เป็นฌาน หรือ ยังคะ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 04, 2011, 09:09:01 pm นั่งสมาธิแล้วเห็นพระใสภายในกายเบาจิตเบาแบบธรรมกายนั่นแหละครับ ผมจะตอบเพียงบางส่วน พรหม เกิด จากการเจริญรูปฌาน อรูปพรหม เกิดจากการเจริญอรูปฌาน แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องตายในขณะที่ฌานยังไม่เสื่อม ส่วนนิพพาน ไม่ได้อยู่ในสังสารวัฏ การเข้าสู่นิพพาน คือ การไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้ ไม่เป็นอรูปพรหม รูปพรหม เทวดา มนุษย์ เดรัจฉาน สัตว์นรก เปรต อสุรกาย ผมแบบไฟล์หนังสือ "ภพภูมิ" มาให้อ่าน อยากทราบรายละเอียด ไปอ่านเองนะครับ :welcome: ;) :49: หัวข้อ: Re: อย่างนี้เป็นฌาน หรือ ยังคะ เริ่มหัวข้อโดย: raponsan ที่ มิถุนายน 04, 2011, 09:10:11 pm มีอีกเล่มครับ :s_good: หัวข้อ: Re: อย่างนี้เป็นฌาน หรือ ยังคะ เริ่มหัวข้อโดย: ban ที่ มิถุนายน 05, 2011, 02:52:18 pm นั่งสมาธิแล้วเห็นพระใสภายในกายเบาจิตเบาแบบธรรมกายนั่นแหละครับ ส่วนนี้ตอบแบบตรง ๆ ไม่เกรงใจนะครับ ถ้ายังอยู่แค่ ปีติ นี่ยังไม่ได้ ฌาน ครับ อุปจาระฌาน ก็ยังไม่ได้เลยครับ ส่วนการเห็นภาพนั้น ผู้ที่อยู่ในปีติ ก็มีภาพได้ครับ แต่เป็นภาพ อุปาทานจิต ที่สร้างขึ้นครับ อ้างถึง ถ้านั่งไปแล้วหายทั้งตัวนี่ฌาณ4ใช่ไม๊ครับ ก็ถ้าได้ ฌาน 4 ก็เป็นพรหม ครับ แต่ ฌาน 4 นั้นเสื่อมได้นะครับ ไม่ใช่ว่าได้แล้วจะอยู่ได้ตลอดจนตาย ถ้าเสื่อมแล้ว ก็ไม่ใช่พรหม นะครับ พระเทวฑัต ฌานไม่ได้เสื่อมนะครับ ก็ อยู่ในอเวจี นะครับ ดังนั้นจะกล่าวว่าผู้ได้ ฌาน จะได้เป็นพรหมเลยหรือไม่ ยังไม่ได้ครับ ..... :67: :67: :67: หัวข้อ: Re: อย่างนี้เป็นฌาน หรือ ยังคะ เริ่มหัวข้อโดย: ธัมมะวังโส ที่ มิถุนายน 05, 2011, 08:45:31 pm 1.นั่งสมาธิแล้วเห็นพระใสภายในกายเบาจิตเบาแบบธรรมกายนั่นแหละครับ 1.ไม่รู้สินะจ๊ะว่าเป็นฌานไหน แต่น่าจะมีนิมิต เพราะทุกฌาน กำหนดรูป ได้ทั้งหมด ไม่ว่า จะเป็น บริกรรมนิมิต อุคคหนิมิต และ ปฏิภาคนิมิต ผู้เริ่มภาวนาก็มีได้ ตามอุปาทานจิตก็มีมากด้วย ซึ่งมีทั้งนิมิตแท้ และ เทียม พึงระวังอย่าไปหลงติดกับภาพมาก นะจ๊ะ 2.ถ้ายังอยู่ในปีติ จนถึงจิตตั้งมั่น ก็เป็นทั้ง อุปจาระฌาน และ ปฐมฌาน องค์แห่ง ฌาน 1 มี วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคตา ระคนอยู่เป็นส่วน ๆ ฌาน 2 ปีติ สุข เอกัคตา ฌาน 3 สุข เอกัคตา ฌาน 4 เอกัคตา อุเบกขา ฌาน 5 อุเบกขา ทั้งหมดนี้เป็น รูปฌาน จากนั้นเป็น อรูปฌาน ดังนั้น ถ้าเกิดปีติ ขนลุก นี่ เป็นได้ถึง ฌาน 2 นะจ๊ะ ถ้าเป็นไปตามลำดับจิตนะจ๊ะ 3.หายทั้งตัว อะไรหาย ละจ๊ะ จะเป็น ฌาน 4 ก็ต้องจิตรวมเป็นหนึ่งเดียว กับ วางอุเบกขา 4.ถ้าระหว่างที่อยู่ใน อุปจาระฌาน ถึง ฌาน 8 ตายขณะนั้นก็เป็นพรหม แต่ ฌาน เสื่อมได้ ถ้าตายนอก ฌาน ก็ไม่แน่นะจ๊ะ 5.พรหม อรูปพรหม นิพพาน ( คงต้องยกหัวข้อออกไปอีก ) เพราะเป็นเรื่องที่กล่าวเยอะมาก 6.ถ้ากลัวความว่าง ก็แสดงว่า ยังไม่มีสัก ฌาน นะจ๊ะ เพราะผลของ ฌาน นั้นผลจากความสะดุ้งและ และหวาดกลัว นะจ๊ะ ว่าแต่ความว่างน่ากลัวด้วยหรือจ๊ะ ปกติมีแต่คนพยายามทำจิตให้ว่าง ..... เจริญธรรม เท่านี้ก่อน ;) Aeva Debug: 0.0005 seconds. หัวข้อ: Re: อย่างนี้เป็นฌาน หรือ ยังคะ เริ่มหัวข้อโดย: bangsan ที่ มิถุนายน 08, 2011, 06:30:38 pm อ่านแล้ว ก็เข้าใจได้ว่า เป็นได้ ฌาน และ ไม่เป็นฌาน ครับ
แต่ที่ผมสงสัย คือเรื่อง ฌานเสื่อม ครับ สาเหตุของฌานเสื่อม นี่มีกี่สาเหตุครับ เดี๋ยวผมตั้งกระทู้ใหม่ก็แล้วกันนะครับ :13: หัวข้อ: Re: อย่างนี้เป็นฌาน หรือ ยังคะ เริ่มหัวข้อโดย: sakol ที่ มิถุนายน 08, 2011, 07:30:35 pm นิมิตทำให้บ้า
มีเรื่องที่จะทำให้บ้าอีกเรื่องหนึ่งคือ นิมิต นิมิตคือภาพ ที่ปรากฏให้เห็นเพราะเมื่อกำลังสมาธิเข้าถึงระยะอุปจารสมาธินี้ จิตใจเริ่มสะอาดจากกิเลสเล็กน้อย เมื่อจิตเริ่มสะอาดจากกิเลสพอสมควรตามกำลังของ สมาธิที่กดกิเลสไว้ ยังไม่ใช่การตัดกิเลส อารมณ์ใจเริ่มเป็นทิพย์นิด ๆ หน่อย ๆ ยังไม่มีความเป็นทิพย์ทรงตัวพอที่จะเป็นทิพจักขุญาณได้ จิตที่สะอาดเล็กน้อยนั้นจะเริ่มเห็นภาพนิด ๆ หน่อย ๆ ชั่วแว้บเดียว..คล้ายแสงฟ้าแลบคือ ผ่านไปแว้บหนึ่งก็หายไป ถ้าต้องการให้เกิดใหม่ก็ไม่เกิดเรียกร้องอ้อนวอนเท่าไรก็ไม่มาอีก ท่านนักปฏิบัติต้องเข้าใจตามนี้ว่า ภาพอย่างนี้เป็นภาพที่ผ่านมาชั่วขณะจิตไม่สามารถบังคับภาพนั้นให้กลับมาอีก ได้ หรือบังคับให้อยู่นานมาก ๆ ก็ไม่ได้เหมือนกันภาพที่ปรากฏนี้จะทรงตัวอยู่นานหรือไม่นาน อยู่ที่สมาธิของท่านเมื่อภาพปรากฏ ถ้ากำลังใจของท่านไม่ตกใจพลัดจากสมาธิ ภาพนั้นก็ทรงตัวอยู่นานเท่าที่สมาธิทรงตัวอยู่ ถ้าเมื่อภาพปรากฏท่านตกใจ สมาธิก็พลัดตกจากอารมณ์ ภาพนั้นก็จะหายไป ส่วนใหญ่จะลืมความจริงไปว่า เมื่อภาพจะปรากฏนั้นเป็นอารมณ์สงัดไม่มีความต้องการอะไรจิตสงัดจากกิเลสนิด หน่อยจึงเห็นภาพได้ ครั้นเมื่อภาพปรากฎแล้ว เกิดมีอารมณ์อยากเห็นต่อไปอีก อาการอยากเห็นนี้แหละเป็นอาการฟุ้งซ่านของจิต จิตตกอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส จิตมีความสกปรกเพราะกิเลส อย่างนี้ต้องการเห็นเท่าไรก็ไม่เห็น เมื่อไม่เห็นตามความต้องการก็เกิดความกลุ้ม ยิ่งกลุ้มความฟุ้งซ่านยิ่งเกิด เมื่อความปรารถนาไม่สมหวังในที่สุดก็เป็นโรคประสาท (บางรายบ้าไปเลย) ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่เชื่อตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้า ที่ทรงแนะนำไว้ว่า จงอย่ามีอารมณ์อยากหรืออย่าให้ความอยากได้เข้าครอบงำบังคับบัญชาจิต |