ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: ใครเคยอ่านหนังสือเล่มนี้ บ้างครับ มาเล่าเนื้อความให้หน่อยครับ  (อ่าน 1839 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

nonestop

  • กำลังจะพ้นจากน้ำ
  • *
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 87
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0

ที่มาภาพหนังสือครับ
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=171717586287144&set=o.250184051660380&type=1&theater

สนใจอ่านเหมือนกันครับ แต่ยังไม่แน่ใจในเนื้อหา ครับ

 :s_hi: :c017:
บันทึกการเข้า
nonestop  หยุดทำ้ร้าย หยุดเบียดเบียน หยุดการกลับมาเกิด กันเถิดครับ

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28499
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0


ธาตุจักรวาลวิปริต!เหตุ'อกุศลจิตของมนุษย์'
ธาตุจักรวาลวิปริต!เหตุเกิดจาก "อกุศลจิตของมนุษย์" : เรื่อง / ภาพ ไตรเทพ ไกรงู

     พระพุทธเจ้าได้ตรัสแสดงใน “อัคคัญญสูตร” ว่า "โลก จักรวาล และสรรพสิ่งทั้งปวง ถือกำเนิดขึ้นด้วยธาตุ และถูกทำลายลงด้วยธาตุจนนับครั้งไม่ถ้วน โดยจะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกไม่รู้ว่าสิ้นสุดเมื่อไร"
 
     คำว่า “ธาตุ” ในความหมายทางวิทยาศาสตร์ เรารู้จักกันมาเพียงไม่กี่ร้อยปี ที่หมายถึง “สารเชิงเดี่ยว”
 
     ส่วนความหมายของคำว่า “ธาตุ” ตามแบบโบราณ หมายถึง “สภาพ หรือลักษณะอันเป็นที่รวม” นั้น เรารู้จักกันมากว่าสองพันปีแล้ว
 
     ทางศาสนาพราหมณ์ นั้นกล่าวเอาไว้ว่า “เวลาโลกพินาศ จะเกิดจากอำนาจแห่งไฟ  ทุกอย่างสูญสิ้นไปในไฟ จะเหลืออยู่ก็แต่ ผู้รู้ เทวะ และธาตุทั้ง ๔ (ดิน น้ำ ไฟ ลม) ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่ประจำโลก แม้พระพรหมผู้สร้างก็หมดสิ้นไปด้วย และทุกสิ่งจะรวมกันอยู่ในธาตุทั้ง ๔
 
     ส่วนแนวทางพุทธ ก็คงเป็นที่ทราบกันในหมู่ของพระกรรมฐานอยู่แล้วว่า การพิจารณาในธาตุทั้งหลายให้เห็นเป็นสักแต่ว่าธาตุนั้น เป็นแนวทางการเข้าถึงซึ่ง “สัจธรรม” อันเป็นแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้และนำมาบอกแก่ชาวโลก ทำให้เกิดความเห็นแจ้งและปล่อยวางในมหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ นั่นเอง
 
     จากข่าวคราวภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มนุษย์กำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุแผ่นดินไหว สึนามิ ไฟใต้เปลือกโลกปะทุ ฯลฯ นั้น สอดคล้องกับแนวคิดทางภูมิปัญญาโบราณ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นไปที่ความสำคัญของจิตใจมากกว่าวัตถุซึ่งกล่าวว่า “สาเหตุที่วัตถุและสิ่งภายนอกทั้งหลายวิปริตแปรปรวนก็เนื่องมาจากศีลธรรมในจิตใจมนุษย์เสื่อมลงนั่นเอง”
   
     ในปรินิพพานสูตร พระพุทธองค์ได้ตรัสบอกถึงเหตุแห่งแผ่นดินไหวแก่พระอานนท์ว่า เกิดจากสาเหตุ ๘ ประการคือ
        ๑.ลมกำเริบ
        ๒.ท่านผู้มีฤทธิ์บันดาล
        ๓.พระโพธิสัตว์จุติจากดุสิตลงสู่พระครรภ์
        ๔.พระโพธิสัตว์ประสูติ
        ๕.พระตถาคตเจ้าตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
        ๖.พระตถาคตเจ้าแสดงธัมมจักกัปปวัตนสูตร
        ๗.พระตถาคตเจ้าปลงอายุสังขาร
        ๘.พระตถาคตเจ้าปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ

   
     มูลเหตุจากข้อ ๓ ถึง ๗ นั้น ย่อมไม่มีอันตรายแก่สัตว์โลกแต่อย่างใด จะมีก็แต่เรื่องลมกำเริบกับผู้มีฤทธิ์บันดาลเท่านั้น เรื่องของลมกำเริบนี้ พระครูบาอาจารย์ผู้มีญาณหยั่งรู้ท่านเล่าว่าไม่ใช่แค่ลมหรือพายุที่พัดให้เห็นบนโลกนี้เท่านั้น แม้แต่ใต้พื้นโลกลึกลงไปก็เต็มไปด้วยลมร้อนที่มีแก๊สแรงดันสูงอยู่มากมายมหาศาลเคลื่อนตัวอยู่
 
     อีกหนึ่งพระสูตร (ธัมมิกสูตร) ที่บ่งบอกชี้ชัดถึงความเปลี่ยนแปลงของโลกได้กล่าวไว้ว่า
     “ครั้นชาวบ้านชาวเมืองประพฤติไม่เป็นธรรม ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ก็โคจรไม่สม่ำเสมอ 
      ครั้นดวงจันทร์ดวงอาทิตย์โคจรไม่สม่ำเสมอ ดาวนักษัตรทั้งหลายก็เดินไม่เที่ยงตรง
      ครั้นดาวนักษัตรทั้งหลายเดินไม่เที่ยงตรง คืนและวันก็เคลื่อนไป
      ครั้นคืนและวันเคลื่อนไป เดือนและปักษ์ก็คลาดไป
      ครั้นเดือนและปักษ์คลาดไป ฤดูและปีก็เคลื่อนไป
      ครั้นฤดูและปีเคลื่อนไป ลมก็พัดผันแปรไป
      ครั้นลมพัดผันแปรไป ลมนอกทางก็พัดผิดทาง
      ครั้นลมนอกทางพัดผิดทาง เทวดาทั้งหลายก็ปั่นป่วน
      ครั้นเทวดาทั้งหลายปั่นป่วน ฝนก็ไม่ตกตามฤดูกาล
      ครั้นฝนไม่ตกตามฤดูกาล ข้าวกล้าทั้งหลายก็สุกไม่ดี

      ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มนุษย์ทั้งหลายบริโภคข้าวที่สุกไม่ดี ย่อมอายุสั้น ผิวพรรณก็ไม่งาม กำลังก็ลดถอยและมีอาพาธมาก"
 
      ธาตุ จึงมีความสำคัญทั้งในทางโลกและทางธรรม เพราะเป็นสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกัน พระครูบาอาจารย์ผู้ฝึกฝนปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง จึงต้องเรียนรู้และฝึก “ธาตุกรรมฐาน”

      คนรุ่นหลังอาจเคยได้ยินได้ฟังกันมาบ้างว่า ในอดีต มีครูบาอาจารย์หลายท่านที่เชี่ยวชาญวิชาธาตุ เช่น
      ทางภาคเหนือก็มี ครูบาเจ้าศรีวิชัย หลวงพ่อเดิม หลวงพ่อเงิน หลวงพ่ออภิชิโต หลวงพ่อสุมโนดาบส
      ทางอีสานก็มี สมเด็จลุน ครูบาสีทัตถ์ หลวงตาจันทร์พี
      ภาคกลางก็มี หลวงปู่ศุข หลวงพ่อโอภาสี หลวงพ่อกบ หลวงพ่อเนื่อง
      ทางภาคใต้ก็มี หลวงปู่สุภา

 
      ในสมัยปัจจุบันเท่าที่สืบทราบก็มี
          พระอาจารย์มนัส แห่งทุ่งจันดำ จันทบุรี
          พระอาจารย์สุรศักดิ์ ศิษย์หลวงปู่แจ้ง วัดประดู่ สมุทรสงคราม
          พระอาจารย์รักษ์ วัดสุทธาวาสฯ อยุธยา
          พระอาจารย์ภูไท ฯลฯ
      อันที่จริงแล้วยังมีอีกมากมาย แม้พระเกจิอาจารย์ดังๆ ที่ท่านปลุกเสกมงคลวัตถุทั้งหลายแทบทั้งหมดก็มักจะเคยเรียนรู้วิชาธาตุมาแล้วทั้งนั้น นอกจากนี้ยังมีผู้รู้ที่ไม่ได้เปิดเผยตัวทั้งที่เป็นนักบวชและฆราวาสก็มีอีกมากมาย




      ธาตุกรรมฐานในมุม "พระอาจารย์รักษ์"
     จากประสบการณ์ของพระอาจารย์รักษ์ อนาลโย เจ้าอาวาสวัดสุทธาวาส วิปัสสนา ต.ลาดบัวหลวง อ.ลาดบัวหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา เกจิอาจารย์ชื่อดัง ได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับการฝึกฝนวิชาธาตุว่า

      เมื่อตอนเป็นเด็กท่านจะนอนกับคุณตา ทุกคืนจะได้ยินเสียงคุณตาสวดมนต์ให้ฟังไปจนหลับ พอโตมาหน่อยก็เริ่มรู้จักและเรียนรู้ความกลัว คือ กลัวผีตามประสาเด็ก
      พอเกิดความกลัวก็ถามคุณตาว่า “มีคาถาอะไรกันผี”
      คุณตาตอบว่า “นะ โม พุท ธา ยะ”


      ทั้งที่ไม่เคยรู้เลยว่าคาถานี้ หมายถึงอะไร ดีอย่างไร รู้แต่ว่าถ้ากลัวผีก็ต้องว่าคาถา "นะ โม พุท ธา  ยะ" จึงกลายเป็นคาถา "นะ โม พุท ธา ยะ" ที่ท่องประจำไม่เคยขาด พอโตมาถึงได้เข้าใจว่า นี่เอง คือ พ่อแม่ของคาถาทั้งหมดทั้งปวง
 
      ส่วนการฝึกเดินธาตุนั้นเมื่อเริ่มสนใจฝึกก็ค้นจากตำรับตำราที่มีอยู่โดยทั่วไป ผู้ที่ถ่ายทอดวิชาให้เป็นคนแรกนั้นคือ คุณตาบัว คงแย้ม ท่านเป็นฆราวาส ต่อมาก็ศึกษาตามตำราของ หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี  จนมีความรู้ความเข้าใจและเห็นผลในเบื้องต้น
   
      ในตำราเดินธาตุได้บอกเอาไว้ว่า ถ้าเจริญธาตุได้เป็นประจำทุกวันจะบังเกิดผลมิให้เกิดการป่วยไข้และมีอานิสงส์อีกมากมาย
      ท่านจึงได้ยึดถือปฏิบัติมาอย่างเคร่งครัดไม่เคยขาด คือ
      ทุกวันทั้ง เช้า-เย็น จะต้อง ชุมนุมธาตุ ตั้งธาตุ บริกรรมภาวนาอาการ ๓๒
      และใช้คาถาธาตุครอบเอาไว้ไม่ให้เคลื่อนหาย
      ผลที่เกิดขึ้นย่อมรู้ได้ด้วยตัวเองเพราะเป็นปัจจัตตัง
      แต่เรื่องที่สามารถยืนยันได้ก็คือ เป็นผลดีต่อสุขภาพกายและใจอย่างแน่นอน เพราะปีหนึ่งจะไปโรงพยาบาลเพียงแค่ครั้งเดียว คือไปตรวจสุขภาพ (ไม่ได้เจ็บป่วย)

 
      อย่างไรก็ตาม ท่านไม่ได้หมายความว่าบุคคลจะล่วงพ้นอำนาจของกรรมไปได้ เมื่อถึงคราวเจ็บป่วย ท่านยังได้อธิบายในแง่พุทธศาสตร์ด้วยว่า คนเราควรจะคำนึงถึงหลักธรรมชาติบำบัด คือ กรรม จิต อุตุ และอาหาร อันเป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิต
 
      สำหรับเรื่องการฝึกฝนวิชาเดินธาตุนี้ ในแง่ของพุทธศาสตร์ท่านเห็นว่า เป็นความรู้จริงที่เปิดเผยได้เป็นสากล ซึ่งคนเราทุกคนสามารถจะฝึกฝนและเข้าถึงกันได้ทุกคน แม้จะศึกษาเอง ฝึกเองก็ย่อมได้รับอานิสงส์เช่นกัน

      ส่วนในแง่ของไสยศาสตร์นั้น ท่านบอกถึงเคล็ดลับที่ปฏิบัติตามพิธีกรรมแต่โบราณมา คือก่อนจะฝึกเดินธาตุนั้น ท่านจะอาบ “น้ำมนต์ธรณีสาร” ก่อน เพื่อล้างอาถรรพ์หรือสิ่งไม่ดีอันอาจจะมีตกค้างอยู่ในตัวตนออกไป

    ซึ่งโดยความเห็นส่วนตัวนั้น ท่านบอกว่าการบูชาครูเป็นธรรมเนียมอย่างหนึ่ง
     โดยผู้ที่คิดจะฝึกเองนั้น ขอแนะนำให้นำตำราที่เราศึกษาไปวางไว้บนพานหน้าหิ้งพระ ระลึกถึงคุณพระครูบาอาจารย์ และกล่าวคำขออนุญาตท่านก่อน



ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก
www.komchadluek.net/detail/20120515/130355/ธาตุจักรวาลวิปริต!เหตุอกุศลจิตของมนุษย์.html
http://watsutthawat.com/webboard/index.php?PHPSESSID=2fde4cf738c182bf83bd2373fec6627c&topic=19.0
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ