ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
  • สนง.ส่งเสริมพระกรรมฐาน
แสดงกระทู้
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.
  Messages   Topics   Attachments  

  Topics - นัยนา
หน้า: 1 [2]
41  เรื่องทั่วไป / แนะนำเว็บไซท์ สายธรรมะ กันหน่อยจ้า / http://www.bodhiyalai.org โพธิยาลัย วัดจากแดง เมื่อ: กรกฎาคม 23, 2011, 09:47:12 am




http://www.bodhiyalai.org
โพธิยาลัย วัดจากแดง



42  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ผมสอนลูกเสมอว่าคนเรามี 2 ประเภท ในการสืบต่อพระพุทธศาสนา เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2011, 08:33:28 am
ผมสอนลูกเสมอว่าคนเรามี 2 ประเภท 

ประเภทแรกสามารถแจกแจงความผิดพลาดของคนอื่นได้หมด  รู้ว่าคนอื่นไม่ดีอย่างไร  ควรปรับปรุงอย่างไร  แต่ความผิดของตนไม่เห็น  ไม่แก้ไข

กับประเภทที่สองที่ไม่สนความผิดคนอื่นเท่ากับมุ่งมั่นในการปรับปรุงตัวเอง

มีคนอย่างประเภทแรกมากๆ สังคมไม่เจริญขึ้น เพราะไม่มีใครแก้ไข  มัวแต่หวังให้คนอื่นแก้ไข

ผมสอนให้ลูกเป็นประเภทที่สองครับ  ไม่ต้องรอให้ใครแก้ไขอะไร  เราทำอะไรได้  ทำเองเลย  เพิ่มคุณแค่ให้ทั้งตนเองและสังคม

ที่เขียนอย่างนี้เพราะเห็นคนหลายคนชอบเพ่งโทษพระ  แล้วก็มาสรุปว่าศาสนาพุทธเสื่อม

พระพุทธเจ้าท่านฝากศาสนาของท่านไว้กับพุทธบริษัทสี่นะครับ
นอกจากภิกษุและภิกษุณีแล้ว  อุบาสกและอุบาสิกาก็มีหน้าที่นะครับ

สำหรับ ผม  ต่อให้ภิกษุสวนใหญ่ไม่ทำหน้าที่  ถ้าอุบาสกและอุบาสิกายังรู้และปฏิบัติหน้าที่พุทธศานิกชนที่ดี  ศาสนายังไม่สาบสูญไปง่ายๆ หรอกครับ

แต่การชี้นิ้วออกนอกตัว  ไม่เห็นในหน้าที่ตนเองอย่างนี้ต่างหาก  ที่ทำให้ศาสนาเสื่อม

จากคุณ \\ : Pee Kay

43  เรื่องทั่วไป / สอบถามปัญหาชีวิต เปิดใจคุยกัน / ขับรถชน สุนัข ทำอย่างไรดีคะ ที่จะไม่มีเวร ต่อกัน เมื่อ: เมษายน 27, 2011, 07:07:20 am
คือขณะไปทำงาน มีสุนัชวิ่งออกมาตัดหน้ารถยนต์ แล้วได้รับการชนอย่างแรง ทำให้กันชนพัง ส่วนสุนัขนั้น

ก็วิ่งกระเผลก เข้าไปข้างทาง รู้สึกว่าใจเป็นบาป ไม่อยากให้มีเวรกรรม มาผูกพันกันเลยคะ

ต้องทำอบ่างไรคะ ? แล้วการชนโดยไม่เจตนา นี้เป็นบาปหรือไม่คะ ?
  :smiley_confused1:
44  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ไม่ค่อยได้ทำทาน หรือ รับศีล จะภาวนากรรมฐาน ได้หรือไม่คะ เมื่อ: เมษายน 27, 2011, 07:01:04 am
ตอนนี้ เป็นบุคคลที่มีทรัพย์น้อย จึงไม่ค่อยได้ทำทาน หรือไปวัดรับศีล คะ

การปฏิบัติกรรรมฐาน จำเป็นต้องทำทาน รับศีล ด้วยหรือไม่คะ

 :'(
45  กรรมฐาน มัชฌิมา / ถามตอบ ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับ กรรมฐาน / ควรทำิวิปัสสนา ตอนไหน และ ควรทำอย่างไรใน วิปัสสนา คะ เมื่อ: เมษายน 27, 2011, 06:59:10 am
ควรทำิวิปัสสนา ตอนไหน และ ควรทำอย่างไรใน วิปัสสนา คะ

ถ้าจิตเราประกอบด้วย ความทุกข์ เมื่อจะภาวนาให้เห็นความทุกข์

ควรจะใช้ระยะเวลาขั้นตอนไหนเืพื่อเจริญวิปัสสนา เพื่อละความทุกข์ได้คะ

และควรเจริญวิปัสสนา อย่างไร ที่เป็นธรรมชาติ

ขอช่วยอธิบายแบบ ไม่ต้องยกศัพท์เลยนะคะ คือต้องการวิปัสสนา แบบที่เข้าใจง่าย ๆ คะ

 :c017:
46  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / ใครทราบที่มาของบทชุมนุมเทวดา บ้างคะ เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2011, 10:15:37 am
ไปอ่านเรื่องการตั้งศาล พระภูมิ แล้วนึกถึง บทสวด ชุมนุมเทวดา ที่ก่อนจะสวดบทพระปริตร นั้น

ที่มาของบทชุมนุมเทวดา และตำนานการสวดเป็นอย่างไรคะ

 และบทส่งเทวดา ที่เรียกว่าบท อุยโย... อะไรนี้คะ

 ใครพอจะถ่ายทอดความรู้นี้ได้บ้างคะ

 :c017: :c017: :c017:
47  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / วิธีทำให้แก่ไว ขึ้น คะ เมื่อ: มกราคม 16, 2011, 02:40:03 pm
พบวิธีทรมานสังขารให้เสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว สำหรับผู้ที่อยากแก่
 
โดยประพฤติสิ่งที่เป็นภัยแก่สุขภาพ 4 อย่างด้วยกันครบถ้วน ตั้งแต่กินเหล้าสูบบุหรี่ กินข้าวปลาตามใจชอบ และไม่ยอมออกกำลังจะทำให้ร่างกายแก่ลงได้ทันตา ฮวบเดียว 1 รอบ

ทั้งนี้ วารสารวิชาการ "อายุรแพทย์" ของสหรัฐฯ เปิดเผยผลรายงานการศึกษาด้านสุขภาพ ทำกับชาวอังกฤษที่เป็นผู้ใหญ่ 314 คน ที่มีความประพฤติปล่อยเนื้อปล่อยตัวตามใจตนเอง ด้วยการประพฤติที่เป็นโทษแก่ สุขภาพตนเอง ตั้งแต่กินเหล้าสูบบุหรี่จัด กินอยู่ตามใจชอบ และไม่เคยออกกำลัง

ปรากฏว่าพวกเหล่านี้พากันตายลง ในระหว่างช่วงเวลาของการศึกษาไป 91 คน หรือร้อยละ 29 เทียบกับกลุ่มพวกที่แข็งแรงที่สุด คอยรักษาเนื้อรักษาตัวอยู่เป็นประจำ ตายเพียง 32 คน หรือร้อยละ 8 เท่านั้น นอกนั้น กลุ่มที่ไม่รักษาสุขภาพ จะมีรูปร่างหน้าตาชราลงยิ่งกว่ากลุ่มที่สุขภาพดีกว่ากัน มากถึง 12 ปี

นักวิจัย อลิซาเบธ กวาวิก มหาวิทยาลัยออสโลหัวหน้านักวิจัย ได้บอกแนะนำว่า ความจริงแล้วการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงนั้น ไม่จำเป็นจะต้องปฏิบัติตัวอย่างเข้มงวดเกินไปนักก็ได้.

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ
48  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / การบวชอยู่ที่บ้าน เมื่อ: มกราคม 13, 2011, 01:52:02 pm
การบวชอยู่ที่บ้าน
 
 ( คำสอนท่านพุทธทาสภิกขุ)
 
 
มีศรัทธา
 
เชื่อมั่นในสิ่งที่ตนถือเอาเป็นที่พึ่ง
 
คือการปฏิบัติหรือคำสอนนั่น
 
แล้วก็เชื่อมั่นว่าตัวเองทำได้
 
เราทำได้ ไม่เหลือวิสัย เราทำได้
 
แล้วก็ปล่อยให้ทำไปด้วยศรัทธา

มีวิริยะ
 
คือความกล้าหาญ ความพากเพียร
 
ความบากบั่น สนุกสนานในการทำ
 
พอใจในการทำ เป็นสุขเสียเมื่อกำลังทำ
 
ไม่ต้องรอต่อผลงานที่ได้มา กำลังทำอยู่
 
มันก็พอใจ และเป็นสุข อิ่มอยู่ด้วยความสุข
 
ได้ความสุขโดยไม่ต้องเสียเงิน

มีสติ
 
 เฝ้าระวังรักษาป้องกันไม่ให้เกิด
 
ความผิดพลาดขึ้น ในความคิด
 
ความนึก หรือในการกระทำ
 
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมีผัสสะ
 
ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น
 
ทางการและทางใจเอง
 
มีสมาธิ
 
คือจิตแน่วแน่ต่อพระนิพพาน
 
เป็นอารมณ์อยู่ตลอดเวลา
 
ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้าออก
 
มีจุดมุ่งหมายต่อพระนิพพาน
 
เรียกว่ามีเอกัคคตาจิตมุ่งพระนิพพาน
 
อยู่ตลอดเวลา แล้วก็ทำทุกอย่าง
 
ที่รักษาจิตชนิดนั้นไว้ ก็คือแบบ
 
สมาธิวิธีต่างๆ มันจะต่างกันอย่างไร
 
มันก็อยู่ที่มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ทั้งนั้น
 
คือมีความหลุดพ้นจากความทุกข์
 
เป็นอารมณ์ด้วยกันทั้งนั้น
 
มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา
 
มีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา คือความรู้
 
อย่างถูกต้องชัดเจนในสิ่งที่ต้อง
 
กระทำหรือควรกระทำ อย่าให้
 
ความอยาก เช่น กิเลสตัณหา
 
เพื่อ ตัวกู-ของกู เข้ามาแทรกแซง
 
นั้นมันจะทำให้เสียหมด
 
บวชอยู่ที่บ้าน
 
ที่ชะเง้อหาบวชที่วัด บวชในป่านั้น
 
บางทีจะเป็นความโง่ ลำบากมากกว่า
 
คนที่บวชอยู่ที่บ้านก็ได้ ระวังให้ดี
 
ถ้ามีความตั้งใจจริง ระมัดระวังจริง
 
บวชอยู่ที่บ้าน จะได้ผลมากกว่าบวช
 
อยู่ที่วัดหรือในป่า ก็ยังเป็นไปได้

 :25: :25: :25:
49  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / ว่าแล้วเชียวว่า ขนาดGoogleยังไม่เจอเลย แล้วฉันจะเจอยังงัย เมื่อ: ธันวาคม 23, 2010, 04:28:54 pm


นึกแล้ว ใคร ๆ ก็บอกฉันว่า หาอะไรไม่เจอ ให้หาใน google

ผลสรุปฉันก็รู้แล้ว ว่าฉันทำไมหาไม่เจอ

 เพราะผลการหา อัจฉริยะ ยังไม่เจอ แล้ว ฉันจะเจอไหมนี่
50  ธรรมะสาระ / สนทนาธรรม ทั่วไป ตามความชอบใจของท่าน / ความเกิด ดับ ในการภาวนานั้น มีวิธีการกำหนดอย่างไร เมื่อ: ธันวาคม 20, 2010, 01:33:44 pm
ความเกิด ดับ ในการภาวนานั้น มีวิธีการกำหนดอย่างไร

เห็นหลายท่าน บอกให้เวลาปฏิบัติ ให้กำหนดความเกิด ความดับ

อยากทราบว่า วิธีการกำหนดความเกิด ความดับ นั้นกำหนดอย่างไรคะ
 :25:
51  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / เวลาจัดงานศพ ที่บ้านหนู นิยม เผาเสื้อผ้า ที่นอนของคนตายเพื่อให้คนตาย เมื่อ: ธันวาคม 19, 2010, 03:15:18 pm
เวลาจัดงานศพ ที่บ้านหนู นิยม เผาเสื้อผ้า ที่นอนของคนตายเพื่อให้คนตาย อยากทราบว่า

การเผา สิ่งของเครื่องใช้ เช่นบ้านกระดาษ เป็นต้นนั้น คนตายจะได้สิ่งเหล่านี้ หรือป่าวคะ

 :25:
52  เรื่องทั่วไป / ส่งจิตออกนอก (นั่งเล่นคุยกัน) / จีวรพระที่มีพุทธานุญาต มีกี่สี คะ เมื่อ: ธันวาคม 17, 2010, 11:19:28 am








คือสงสัยเรื่อง สีจีวรของพระ ทำไมมีมากสี บางครั้งก็ยังเจอสีม่วงด้วย ผิดถูกวินัย หรือ ป่าวคะ

อยากให้ คุณลุง คุณป้า ช่วยขยายอธิบายให้ หนู ทราบหน่อยคะ
 :25:
53  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / รักษาใจไม่ส่งออกข้างนอก เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2010, 10:37:50 am

รักษาใจไม่ส่งจิตออกนอก อยู่กับผู้รู้ รู้ด้วยใจที่เป็นกลาง
เมื่อกี้มีคนมาถามว่า ตอนอยู่กับหลวงปู่เทสก์ เมื่อปี 2526 หลวงปู่เคยแนะนำสั้นๆ ให้รักษาศีลข้อเดียว คือ รักษาใจ แปลว่าอะไร ก็คือเวลาหูกระทบเสียงดูที่ใจ ไม่กระโจนไปปรุงแต่งหรือตอบโต้ รู้เท่าทันมัน ตอนสร้างวัดใหม่ๆ มีปัญหามากเลย หาว่าหลวงพ่อเป็นพระเถื่อน ส่งคนมาไล่จับ เวลาที่ได้ยินเสียงที่หูให้ดูที่ใจ ใจมันยิ้ม ไม่เอา คือ ไม่เอาไปปรุงแต่ง รักษาใจดีกว่า ตาเห็นรูป เขาขับรถมามีปืนมาเต็มเลย พระนั่งฉันเพลอยู่เงียบๆ เขาตกใจว่าทำไมไม่กลัวเลย เราดูใจเรา ไม่ทำร้ายหรือตอบโต้เขา ไม่ข้ามเส้นศีล ศีลแปลว่าปกติ อะไรจะมากระทบทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความยินดียินร้ายเกิดที่จิตมีสติรู้ทัน ถ้ามันเห็นเป็นโทษ เป็นทุกข์ มันก็ไม่เอา เกิดละอายใจ สะดุ้งกลัวต่อบาป เกิดหิริโอตัปปะ ไม่กล้าไปเบียดเบียนใครด้วย กาย วาจา ใจ ให้ดูที่ใจ ถ้าใจปกติ ศีลจะกี่ข้อมันครบหมด รักษาศีลก็คือรักษาใจ อยู่กับผู้รู้เสมอ ไม่ส่งจิตออกนอก รู้ด้วยใจที่เป็นกลาง ถ้าส่งออกจะเอาไปปรุงแต่งนำมาซึ่งความทุกข์ ไม่เกิดประโยชน์อะไร การอยู่กับผู้รู้ คือ  ความรู้สึกตัวอยู่ เรียกว่าผู้รู้ คือรู้อยู่ในฐานทั้งสี่ กาย เวทนา จิต ธรรม อาศัยฐานทั้งสี่ เป็นที่ตั้งแห่งรู้ เป็นที่ตั้งความระลึกรู้ ตัวสติ ตัวรู้เป็นตัวกุศล อกุศลก็ทำงานไม่ได้ ทุกข์ไม่ได้ รู้ในกาย ใจ เป็นปัญญาเห็นตามความเป็นจริง การส่งจิตออกนอก เปิดโอกาสให้มีการปรุงแต่ง การปรุงแต่งเป็นเรื่องสมมติบัญญัติ เป็นของปลอม อาการของมันเป็นพลังที่แฝงตัวอยู่ในความว่าง เนื้อหามันเหมือนความฝัน เคยฝันไหม ตอนเราฝันมีทุกอย่างเหมือนจริง นั่นคือ เป็นรูปถอดของกระบวนการสะสมจิต การปรุงแต่งเรียกว่าจิตสังขารเช่นเดียวกันกับความฝัน การนั่งคิดฟุ้งซ่าน ถ้าไม่รู้เมื่อไหร่กระบวนการที่มันทำงาน มันจะสับสนมากเลย คิดไม่เป็นระเบียบ เหมือนความฝันที่ไร้แก่นสาร สังขารหรือการปรุงแต่งนั้นเกิดจากความไม่รู้ว่ากาย ใจ ไม่ใช่เรา ทำให้คิดอยากเป็นโน่น อยากได้นี่ คิดไปตามความคิดเห็น ต่างคนต่างทฤษฎี คิดอยู่แค่จากฐานทั้งสี่เรื่องนี้แล้วทำให้เกิดวิญญาณ เข้าไปรับรู้ สะสมเป็นกองทุน ถ้าใครสะสมดีก็เป็นบุญญาภิสังขาร ถ้าปรุงแต่งไม่ดีก็เป็นอบุญญาภิสังขาร  เป็นเหตุปัจจัยให้วิญญาณดูดซับรับรู้ส่งผลสู่รูป นาม
 
          จะขอเล่าให้เห็นถึงการทำงานของกระบวนการตามธรรมชาติ อย่างตอนที่เราคิดโกรธอาฆาตเขา ลองถอยออกมาดูว่า เราคิดอย่างนี้เพราะอะไร ถอยแล้วจะเห็นเลยว่าหูกระทบเสียงแล้วมันเผลอ เกิดความไม่ชอบเก็บเอาไว้แล้วยังไม่หาย เอามาคิดเป็นพยาบาทนิวรณ์ การมีสติจะทำให้รู้ที่มา แต่ถ้าคนที่ไม่เคยมันจะกระโจนไปตามพฤติกรรมที่การปรุงแต่ง สร้างก่อเรื่องราว หาที่จบไม่เจอเพราะไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร ไม่รู้กระบวนการเหตุปัจจัย เราต้องหัดบ่อยๆ จนชำนาญในทุกอิริยาบถ ต่อไปมันจะชินทำได้ทุกสถานที่ในชีวิตประจำวัน แต่ว่าเราต้องจับหลักให้ได้ก่อน ถ้าอยู่กับผู้รู้เสมอจะครบสติปัฏฐานสี่หมด คือ มันจะตามรู้ที่กาย เวทนา จิต สภาวธรรม ตามเก็บข้อมูลจนเห็น ความจริงในที่สุดว่า กาย ใจ ไม่ใช่เรา ไม่หลงเปลือกสมมติของความปรุงแต่ง (สมมติบัญญัติ) อีกต่อไป ก็จะพบกับธรรมชาติเดิมที่บริสุทธิ์ประภัสสร
 
อีกคำถามหนึ่ง ถามมาว่า จะต้องทำสมาธิแบบใด จิตจึงสงบ
         ไม่ต้องคิดฟุ้งซ่าน หลวงพ่อว่า บางทีถ้าจิตมันชอบไปคิด ก็พามันมาคิดในสิ่งดีๆ สวดมนต์บ้าง มันก็สงบ อกุศลทำงานไม่ได้ ถ้าสวดมนต์แล้วความคิดในทางอกุศลมันก็ค่อยๆ เสื่อมไป เพราะมันไม่มีเวลาไปคิด อันนี้เป็นสมถะ บางทีผัสสะมันมีหลายอย่างหลายระดับ เราต้องรู้จักมีปฏิภาณไหวพริบของการเจริญสติ เป็นจอมยุทธ์ที่ไม่ใช่อาวุธเดียว ต้องพลิกแพลงสถานการณ์ ช่วงนี้ควรจะสวดมนต์ นั่งสมาธิ พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนวิธีเดียว ทำได้ทั้งสมถะและวิปัสสนา แต่ต้องทำด้วยปัญญา อยู่ที่เราเลือกใช้แล้วแต่สถานการณ์ บางคนจุดอ่อนไม่เหมือนกันนะ ความฟุ้งซ่าน เหมือนกับพัดลม ถ้าเรากดเบอร์สาม เผลอไปแล้วรู้สึกว่ามันหมุนแรงไป ก็กดเบอร์ศูนย์ มันยังเกิดแรงเฉื่อยอยู่ ถ้ามันยังเฉื่อยแล้วเรารู้สึกว่าเรารับแรงสั่นสะเทือนของมันไม่ไหว มาสวดมนต์แทนดีกว่า จิตเป็นกุศลกับสิ่งที่เป็นกุศล พักผ่อนด้วยจิตที่สงบจากการตามรู้อารมณ์เดียวที่ต่อเนื่องเป็นสมถะ แต่วิปัสสนาคือรู้ความเป็นจริง คนละเป้าหมายกัน วิปัสสนาแปลว่า รู้แจ้งรู้จริง อย่างเมื่อกี้ที่ผัสสะมาแรงๆ ที่เราเอาไม่อยู่พอเริ่มสวดมนต์ อุณหภูมิมันค่อยๆ เปลี่ยนไป รู้เท่าทัน รู้สภาวะมันได้  ถ้าเผื่อรู้ว่ามันจะส่งออกอีกแล้ว จะกลับไปคิดใหม่อีก ก็มีสติรู้เท่าทันอาการของมัน วิปัสสนาคือการเห็นความเป็นจริง จน เห็นไตรลักษณ์ของรูป นาม เห็นมันเปลี่ยนแปลง ทุกข์ไม่ใช่ตัวตน ส่วนทำสมถะให้จิตตั้งมั่นมีกำลังเหมือนเทียนที่ตั้งมั่นสว่างไสวแล้วเอามาดู ความจริง คือ วิปัสสนา สมถะกับวิปัสสนาทำแล้วมันเสริมกัน

คัดลอกมาจาก..ที่นี่ครับ
54  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / rope เชือกจาก หมื่นตา เมื่อ: พฤศจิกายน 27, 2010, 08:17:15 pm









55  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / 13 นิสัยเสียๆ ที่ทำให้ปวดหลังไม่เลิกรา เมื่อ: ตุลาคม 22, 2010, 10:18:19 am

13 นิสัยเสียๆ ที่ทำให้ปวดหลังไม่เลิกรา
 
นักแสดงสาว Yvonne Yung Hung มีอาการปวดหลังอย่างรุนแรงอันมีสาเหตุมาจากอุบัติเหตุ ขณะซ้อมเต้นรำเมื่อครั้งยังเยาว์วัยจนถึงขั้นต้องหยุดการแสดงไปอย่างน่า เสียดาย

          ส่วนนักร้องสาว ลิลี่ อัลเลน ก็เคยพลาดล้ม โดยเอาด้านหลังลงจนต้องขึ้นเวทีด้วยน้ำตา แม้เธอจะยืนกรานว่า The show must go on แต่น้ำตาที่รินไหลทำให้เธอต้องโกหกแฟน ๆ ไปว่าเธอตื้นตันใจกับการแสดงในครั้งนี้มาก

          เรื่องอาการปวดหลังนี้มีใช่เรื่องที่อยู่ห่างตัวเราเสียทีเดียว เพราะแค่นั่งผิดท่าหรือเกิดอุบัติเหตุหกล้มก็สามารถทำเรื่องเล็กให้เป็น เรื่องใหญ่ได้ ฉะนั้น เราลองมาเช็กสุขภาพกันหน่อยดีมั้ยว่านอกจากอุบัติเหตุแล้ว พฤติกรรมอะไรบ้างที่อาจผลักดันให้มีอาการปวดหลังเช่นเดียวกัน…

 1.ติดแหง็กอยู่กับโต๊ะทำงาน

          สาว ๆ ที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์อยู่ทั้งวี่ทั้งวัน แถมบางคนยังมีเดตไลน์มาจ่อคอหอยอยู่มิได้ขาด อย่างนี้อาการปวดหลังอาจเริ่มแสดงออกมา เพราะทั้งวันสาวเจ้าเล่นพิมพ์งานไม่ได้หยุดหย่อน ครั้นจะยืดเส้นยืดสายให้กล้ามเนื้อได้ผ่อนคลายก็กลัวจะเสียเวลา ทั้ง ๆ ที่พฤติกรรมแบบนี้นี่เองล่ะที่ทำให้เราทุกข์ทรมานกับอาการปวดหลังในระยะยาว

          ทำยังไงดี : พนักงาน ออฟฟิศทั้งหลาย รวมทั้งคนที่นั่งทำงานอยู่ในท่าเดิมนาน ๆ โปรดจัดท่านั่งเสียใหม่ โดยนั่งให้หลังตรง และนั่งในท่าที่แผ่นหลังด้านล่างแนบชิดกับเก้าอี้ เพื่อช่วยรองรับแผ่นหลังไม่ให้โค้งงอ นอกจากนั้น ลำตัวและศีรษะต้องตั้งตรงไม่โน้ม

เอียงมาข้างหน้า แต่ถ้าเวลาพูดโทรศัพท์หรือเมาท์กับเพื่อนร่วมงาน สามารถพิงหลังติดกับพนักได้ เพื่อความผ่อนคลาย

          อย่างไรก็ดี ควรจะหาเวลาพักสายตาทุก ๆ ครึ่งชั่วโมง โดยการเดินไปเข้าห้องน้ำหรือไปหยิบเอกสารยังเครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ เพื่อให้กล้ามเนื้อหลังได้ผ่อนคลาย เพราะท่านั่งจะเพิ่มแรงกดดันให้แผ่นหลังมากกว่าท่ายืนถึง 40%

2.ขับรถผิดท่า

          ชีวิตคนเมืองหลวงบ่อยครั้งต้องขับรถนานถึง 2-3 ชั่วโมงกว่าจะถึงที่ทำงานหรือบ้าน ฉะนั้น ท่านั่งที่เอียงไปข้างหน้ามากเกินไปหรือเอนหลังมากเกินไปจะทำให้เกิดอาการ ปวดหลังได้

          ทำยังไงดี : ควร พยายามนั่งหลังตรง ๆ 90 องศา และยืดแขนได้ตามสะดวก ไม่ใช่แขนหดเกร็ง เพราะพนักเก้าอี้อยู่ชิดพวงมาลัยมากเกินไป และถ้าเราทำท่านี้ได้เหมือนเป็นวิถีชีวิตประจำวัน รับรองว่าอาการปวดหลังจะไม่ถามหาอย่างแน่นอน

 3.ไม่ออกกำลังกาย

          บ่อยครั้งที่อาการปวดหลังทำให้เราไม่อยากเดินเหินไปไหนไกล ๆ ยิ่งต้องใช้พละกำลังอย่างการออกกำลังกายด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ไม่อยากทำ แต่ตามหลักของงานวิจัยแล้ว เชื่อหรือเปล่าว่าคนที่แอ็กทีฟอยู่ตลอดเวลาจะช่วยให้กล้ามเนื้อหลังผ่อนคลาย มากถึง 40%

          ทำยังไงดี : การ ออกกำลังกาย โดยเฉพาะการเดินจะช่วยให้สะโพกและเอ็นร้อยหวายทำงานได้อย่างเต็มที่ ยิ่งออกกำลังกายมากเท่าไหร่ กล้ามเนื้อจะไม่หดเกร็ง จึงช่วยลดอัตราความเจ็บปวดจากแผ่นหลังได้มากขึ้นเท่านั้น

 4.ละเลยการเล่นโยคะ

          นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวอชิงตันได้ทดสอบกลุ่มคนไข้ 101 คนที่มีอาการปวดหลัง โดยแบ่งพวกเขาออกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน กลุ่มแรกให้เข้าคลาสเรียนโยคะทุก ๆ สัปดาห์ ต่อด้วยการกลับไปฝึกเองที่บ้าน ส่วนกลุ่มที่สองให้นักกายภาพบำบัดมาช่วยสอนเรื่องการออกกำลังกายเป็นเวลา หนึ่งสัปดาห์ แล้วให้กลับไปฝึกเองที่บ้าน และกลุ่มสุดท้ายให้แค่หนังสือที่ช่วยเหลือตัวเองในเรื่องอาการปวดหลัง ผลปรากฏว่ากลุ่มแรกหายปวดหลัง เพราะได้เล่นโยคะคลายกล้ามเนื้อ ฉะนั้น ใครที่มีอาการปวดหลังอยู่ลองหันมาเล่นโยคะดูก็ดีนะคะ

          ทำยังไงดี : ใคร ที่ออกกำลังกาย แต่เมินเฉยต่อการเล่นโยคะ โปรดรับรู้ไว้ว่ากีฬาประเภทนี้ เหมือนยาวิเศษที่ช่วยรักษาโรคปวดหลังได้ยังไงยังงั้นเลย ฉะนั้น ควรหาหนังสือหรือวิธีดี สอนโยคะ รวมทั้งเข้าคลาสเรียนโยคะอย่างจริงจัง ก็ดีเหมือนกันนะคะ

 5.บริหารกล้ามเนื้อหน้าท้องมากเกินไป

          ซึ่งท่ากายบริหารอย่างชิตอัพและครันช์ นอกจากจะไม่ช่วยให้แผ่นหลังแข็งแรงแล้ว ยังส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังเจ็บปวดขึ้นมาได้ด้วย

          ทำยังไงดี : ถ้า จะชิตอัพหรือทำท่าครันช์ควรทำช้า ๆ และทำอย่างถูกต้อง ไม่เช่นนั้นหากกล้ามเนื้อหน้าท้องที่มีหน้าที่พยุงกล้ามเนื้อหลังเกิดอักเสบ หรืออ่อนแอขึ้นมา จะส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังเจ็บปวดตามไปด้วย

 6.กินแต่ของไม่มีประโยชน์

          นักวิจัยชาวฟินแลนด์บอกว่าอาหารที่ดีและมีประโยชน์ จะช่วยให้หลอดเลือดลำเลียงสิ่งมีประโยชน์เข้าสู่ร่างกาย และช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ในทางกลับกันคนที่ชอบกินอาหารขยะ จะทำให้เส้นเลือดอุดตัน ยิ่งถ้าไปอุดตันบริเวณกระดูกสันหลังด้วยแล้วละก็จะทำให้เกิดอาการปวดหลังได้

          ทำยังไงดี : หลีก เลี่ยงอาหารที่มีกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ และหลีกหลี่ยงอาหารที่ผ่านการปรุงมาแล้วหลายขั้นตอน เช่น อาหารจำพวกแช่แข็ง และอาหารที่ใส่สารกันบูด แต่ควรหมั่นกินอาหารจำพวก ธัญพืช นมถั่วเหลือง ถั่ว และโปรตีน และผักสด และผลไม้สด
 7.ถือกระเป๋าไซส์ใหญ่ยักษ์

          ในความกิ๊บเก๋นั้นพ่วงมากับภัยจากการทำร้ายกล้ามเนื้อไหล่ และลามไปสู่แผ่นหลัง โดยเราอาจไม่เคยเฉลียวใจแม้แต่น้อย

          ทำยังไงดี : แค่เปลี่ยนทรงกระเป๋าหรือใส่ของให้น้อยลงหน่อย ทางที่ดีถ้าแบ่งเป็นสองกระเป๋าได้ก็ยิ่งดีใหญ่

 
8.ใช้ฟูกเก่ายับเยิน

          ถ้าฟูกบนเตียงมีอายุการใช้งานนานเกิน 10 ปี ก็ควรหาฟูกใหม่มาเปลี่ยนได้แล้วล่ะ ซึ่งฟูกที่ดีควรเป็นฟูกที่ไม่แข็งหรืออ่อนยวบจนเกินไป แต่ควรเลือกฟูกที่นอนแล้วทำให้หลับสบาย

          ทำยังไงดี : เมื่อ ได้ฟูกที่ไม่แข็งหรืออ่อนมากเกินไปแล้ว เวลานอนราบควรใช้หมอนหนุนใต้เข่า เพื่อให้แผ่นหลังแนบชิดกับตัวฟูก เพื่อป้องกันอาการปวดหลังที่จะเกิดขึ้นได้ ส่วนใครที่ชอบนอนตะแคงก็เอาหมอนข้างมาเสียบกลางหว่างขา เพื่อความสะดวกสบายในการนอนของคุณ

 9.ใส่ส้นสูงเดินทั้งวัน

          จะทำให้หลังโค้งงอและกระดูกสันหลังทำงานหนักมากขึ้น นอกจากนั้นการยืนบนส้นสูงแบบเขย่งเท้าอยู่ตลอดเวลา จะทำให้แผ่นหลังมีอาการปวดได้

          ทำยังไงดี : ควร หารองเท้าแตะมาเปลี่ยนเวลาอยู่ในที่ทำงาน รวมทั้งหาแผ่นรองเท้านุ่ม ๆ มาเสริมรองเท้าคัตชู หรือรองเท้ากีฬาเพื่อช่วยลดอาการปวดหลังที่มีอยู่ได้

 10.ฝืนคิดว่าตัวเองยังสบายดีอยู่ ทั้ง ๆ ที่มีอาการปวดหลังเหลือเกิน

          ทั้งนี้ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโรสซาลินด์ แฟรงคลินระบุว่าคนที่ยอมรับความเจ็บปวดด้วยใจชื่นบาน มีแนวโน้มจะจัดการกับอาการปวดหลังได้ดีกว่าคนที่พร่ำบอกตัวเองว่ายังไหวอยู่

          ทำยังไงดี : พยายามคิดในแง่ดีว่าอาการปวดหลังที่เป็นอยู่นี้จะค่อย ๆ หายไปในที่สุด แม้ตอนนี้จะเจ็บปวดและไม่สบายเนื้อสบายตัวเป็นที่สุดก็ตาม

 11.เป็นคนประเภทแค้นฝังหุ่น

          ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้กล้ามเนื้อทั่วร่างกายเกร็ง เพราะความเครียดความทุกข์ และความชิงชังแล้ว แต่ยังทำให้กล้ามเนื้อหลังเจ็บปวดด้วย

          ทำยังไงดี : ก็แค่ให้อภัย เพราะการให้อภัยและปล่อยวางความแค้น จะช่วยให้ร่างกายและจิตใจเบาสบาย รวมทั้งกล้ามเนื้อทั่วร่างกายผ่อนคลายตามไปด้วย

 12.เครียดมาราธอน

          ดูเหมือนวิถีชีวิตคนเราในปัจจุบัน จะพ่วงมากับความเครียดอยู่ตลอดเวลา ไหนจะรถติด มีประชุม งานกองสุมเป็นพะเนิน ทั้งหมดจะส่งผลให้กล้ามเนื้อตึงเครียดอยู่ตลอดโดยไม่เคยได้ผ่อนคลาย จึงทำให้ปวดหลังได้ง่าย ๆ

          ทำยังไงดี : ก็ แค่หมั่นหัวเราะให้จิตใจเบาสบาย กล้ามเนื้อจะได้ผ่อนคลาย ส่วนคนที่มีเวลาหน่อยก็ไปออกกำลังกาย ไม่ก็หาหนังสือดี ๆ มาอ่าน ที่สำคัญควรหาเพลงสบาย ๆ มาฟัง เพราะการฟังเพลง จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย และส่งผลให้อาการปวดหลังทุเลาลงไปได้

 13.ดูทีวีทั้งวี่ทั้งวัน

          บางคนอาจจะใช้เวลาจ้องหน้าจอได้ถึงครึ่งวันโดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน และการทำอย่างนี้จะทำให้แผ่นหลังของเราโค้งงอ เพราะนั่งในท่าที่ไม่ถูกสุขลักษณะเป็นเวลานาน ๆ

          ทำยังไงดี : ควรจำกัดเวลาในการดูทีวีของตัวเองแล้วหาเวลาออกกำลังกายและสูดอากาศ บริสุทธิ์ข้างนอกบ้านบ้าง
56  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / คติธรรมคำสอน ของ หลวงปู่ทวด เมื่อ: กันยายน 11, 2010, 10:43:21 am


ธรรมประจำใจ
พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์

ละได้ย่อมสงบ
ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ
 


สันดาน
ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได้ แต่สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก
 


ชีวิตทุกข์
การ เกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ จะเห็นได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำ จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ เมื่อเราจะออกจากบ้านก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย

บรรเทาทุกข์
การ ที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม เราต้องเป็นตัวของเราเองและเราจะต้องวินิจฉัย ในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่าส่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ

ยากกว่าการเกิด
ในการที่เราเกิดมา ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย

ไม่สิ้นสุด
แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น

ยึดจึงเดือดร้อน
ทุก วันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโน่น ยึดนี่ ยึดพวกยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะ ยึดประเทศเป็นสรณะ โดยไม่คำนึงถึงธรรม สากลจักรวาลโลกมนุษย์นี้ ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก สัตว์โลกทุนคนต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน เกิดการฆ่าฟันกัน เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ

อยู่ให้สบาย
ใน ภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์ เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง

ธรรมารมณ์
การ อยู่อย่างมีธรรมารมณ์คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ในการงาน คือรู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆแล้ว ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจ เป็นทุกข์

กรรม
ถ้า เรามีชีวิตอยู่อย่างที่ว่า เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์ มีความรื่นเริง

มารยาทของผู้เป็นใหญ่
ผู้ใหญ่ ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ


โลกิยะหรือโลกุตระ
คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้ คนที่เดินทางโลกิยะย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ?
ถ้า คนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ ?
แต่มันเป็นไปไม่ ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน เราต้องตัดสินใจ ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง


ศิษย์แท้
พิจารณากาย ในกาย พิจารณาธรรม ในธรรม พิจารณาวิญญาณ ในวิญญาณ นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

รู้ซึ้ง
ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา

ใจสำคัญ
การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ จะต้องทำด้วยความศรัทธา ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้น เกินความคาดหมาย

หยุดพิจารณา
คน เรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว จิตมันจะฟุ้งซ่าน และถ้าภาวะนั้นตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือหยุดพิจารณาแล้วค้นสัจจะของ ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้

บริจาค
ทำ บุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอน การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอน นี่คือเรื่องของนามธรรม

ทำด้วยใจสงบ
เรา จะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเราไปสู่หายนะ เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จงอย่าทำ นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้วปัญญาก็เกิด เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก

มีสติพร้อม
จะ ทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม คือ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผลมาอยู่เหนือความจริง

เตือนมนุษย์
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีงานทำในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า

พิจารณาตัวเอง
คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใคร ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ ว่าที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร คือให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้ มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของ หลวงปู่ทวด


-- ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม
57  เรื่องทั่วไป / forward mail หรือ จดหมายส่งถึงกัน / หมดโอกาสแก้ตัว เมื่อ: กันยายน 11, 2010, 10:28:29 am

สายน้ำผึ้งไปเดินเที่ยวตลาดนัดจัตุจักรในเช้าวันเสาร์หนึ่ง ขณะที่เดินผ่านร้านขายนก เธอเห็น
นกแก้วตัวงามอยู่ในกรงที่มีป้ายเขียนว่า "ขายถูก 100 บาท เท่านั้น"
 
สายน้ำผึ้ง : นกแก้วพูดได้หรือยัง ?
 
คนขาย : พูดได้ พูดเก่งด้วย
 
สายน้ำผึ้ง : แล้วทำไมขายถูก มันมีปัญหาอะไรหรือ ?
 
คนขาย : ผมต้องบอกความจริง นกตัวนี้เคยถูกเลี้ยงอยู่ในซ่องโสเภณี มันจะพูดจาไม่ค่อยน่า
ฟังเท่าไรนัก คนที่ซื้อไปมักจะเอามาขายคืน
 
เนื่องจากนกราคาถูกมาก สายน้ำผึ้งคิดว่าเธอสามารถสอนให้นกเปลี่ยนพฤติกรรมได้จึงซื้อกลับ
มาบ้าน เธอนำนกไปแขวนอยู่ที่มุมบ้านข้างห้องรับแขก เธอตกใจเมื่อได้ยอนเสียงร้องของนก
 
นกแก้ว : บ้านใหม่ มาม่าใหม่ บ้านใหม่ มาม่าใหม่
 
เธอพยายามอดกลั้นแล้วสอนให้นกแก้วพูดแต่สิ่งดีๆและไพเราะ จนกระทั่งตอนบ่าย เมื่อลูก
สาววัยรุ่นทั้งสองคนของเธอกลับจากโรงเรียน และเดินเข้ามาในบ้าน
 
นกแก้ว : บ้านใหม่ มาม่าใหม่ เด็กก็ใหม่ บ้านใหม่ มาม่าใหม่ เด็กก็ใหม่
 
แม้ลูกสาวทั้งสองคนจะไม่พอใจแต่สายน้ำผึ้งก็ปลอบใจว่า ควรให้โอกาสนกแก้วฝึกพูดแต่สิ่ง
ดีๆดูสักพักหนึ่งก่อน หลังจากนั้นไม่นาน บุญประทีปสามีของเธอกลับมาจากเล่นกอล์ฟ

 
นกแก้ว : สวัสดี คุณบุญประทีป วันนี้มาแต่หัววันเลยนะ
หน้า: 1 [2]