ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน

ผู้เขียน หัวข้อ: การสวดมนต์ช่วยอะไรได้.? มีประโยชน์แท้จริงอย่างไร.?  (อ่าน 1191 ครั้ง)

0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้

raponsan

  • มารยิ่งมี บารมียิ่งแก่กล้า
  • ผู้ดูแลบอร์ด
  • โยคาวจรผล
  • ********
  • ผลบุญ: +61/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 28446
  • Respect: +11
    • ดูรายละเอียด
0



การสวดมนต์ช่วยอะไรได้.? มีประโยชน์แท้จริงอย่างไร.?

การสวดมนต์จะได้อะไร หรือช่วยให้เป็นสุขร่ำรวยได้อย่างไร ถือเป็นหนึ่งคำถามสำคัญ แต่ก่อนจะตอบว่าการสวดมนต์มีประโยชน์แท้จริงอย่างไร ก็ควรจะทราบก่อนว่าการสวดมนต์มีความเป็นมาแท้จริงอย่างไร ความจริงแล้วมนต์เกิดขึ้นจากประเพณีการศึกษาเล่าเรียนธรรมะที่สืบเนื่องมาแต่ครั้งพุทธกาล ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ เหล่าพระสงฆ์จะฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าแล้วจำไว้ จากนั้นก็จะทำการแบ่งกลุ่มกันจำพระพุทธวจนะเป็นกลุ่ม

พระอานนท์ผู้มีความจำเป็นเลิศก็จะจำพระสูตรที่พระพุทธเจ้าแสดงต่อสรรพสัตว์และเทวดาต่างๆ ในแต่ละวัน พระสารีบุตรจะจดจำธรรมอันยิ่งที่เกินกว่าความเข้าใจของปุถุชนนั่นคือ พระอภิธรรม ส่วนพระอุบาลีก็จะจำในพระวินัย ซึ่งพระสงฆ์ที่เป็นหัวหน้าสายก็จะมีศิษยานุศิษย์มากมายที่ช่วยกันท่องจำพุทธวจนะ ศิษย์จำต่อจากครู วันรุ่งขึ้นก็จะนำสิ่งที่ท่องจำได้ไปท่องให้ครูฟัง

เมื่อเหล่าครูบาอาจารย์เห็นว่าศิษย์จำได้แล้วก็จะมอบพุทธพจน์บทต่อๆ ไปให้กลับไปท่องจำและปฏิบัติกันต่อไป และเพิ่มปริมาณในสิ่งที่ท่องจำมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนการเพิ่ม LEVEL ความยาก ในการเรียนธรรมวินัยจึงเรียกวิธีการนี้ว่า “การต่อหนังสือ” ต่อมาจึงกลายเป็นที่มาของการสวดมนต์


 :25: :25: :25: :25:

พระพุทธวจนะ เรียกสั้นๆ ว่าพุทธมนต์ การท่องมนต์จึงเรียกว่า “การสวดมนต์” และการสวดมนต์หากกระทำเป็นประจำทำบ่อยๆ จนมีเวลาลงตัวที่แน่ชัดก็เรียกกันว่าเป็นข้อปฏิบัติที่เป็น “วัตร” ที่พระท่านเรียกว่า “ทำวัตรสวดมนต์” การที่เราต้องสวดมนต์ให้เป็นภาษาบาลี ก็เพราะมนต์นั้นคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์สอนด้วยภาษาบาลี เมื่อเราท่องจำนำเอามนต์ซึ่งจำไว้ด้วยภาษาบาลีมาสวด ก็เป็นธรรมดาที่เราต้องสวดมนต์เป็นภาษาบาลีซึ่งรับมาแต่เดิม ซึ่งจะเป็นการดีและทำให้ธรรมะจากพุทธวจนะซาบซึ้งกินใจมากขึ้น หากเราทราบความหมายหรือคำแปล

ประโยชน์ของการสวดมนต์ก็มีมากมาย เป็นการสืบต่อพุทธวจนะหรือ คำสอนของครูบาอาจารย์ต่างๆ ไว้ไม่ให้เสื่อมสูญ และเป็นการถ่ายทอดคำสอนนั้นให้เผยแผ่ขจรขจายออกไป เป็นการศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าและเหล่าพระอริยสงฆ์ในรูปแบบบทสวด เป็นการฝึกจิตภาวนาให้จิตนิ่ง พัฒนาปัญญาที่ได้จากบทสวดให้รู้แจ้งมากขึ้น จึงเป็นการเกิดบุญทางหนึ่ง เพราะจิตเกิดปัญญาที่เห็นถูกต้องตรงความเป็นจริงแล้ว ย่อมนำไปสู่การคิดดี พูดดี และทำดี

 st12 st12 st12 st12

อย่างพระคาถาหัวใจเศรษฐี ที่สวดสั้นๆ ว่า “อุอากาสะ” ก็เป็นการสวดเพื่อน้อมนำไปปฏิบัติสู่ความร่ำรวย ขยันหา รักษาดี มีกัลยาณมิตร เลี้ยงชีวิตให้เหมาะสม เมื่อปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดแล้วความร่ำรวยจึงจะมาเยือนได้ ไม่ใช่การเอาแต่นั่งสวดแล้วหวังว่ามันจะรวยขึ้นซึ่งเป็นไปไม่ได้เลย

ความจริงแล้วการสวดมนต์มีประโยชน์อย่างมากมาย เพราะการสวดมนต์เป็นการกล่าวถึงคุณงามความดี ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ท่านมีคุณวิเศษอย่างไร พระธรรมคำสอนของพระองค์มีคุณอย่างไร และพระสงฆ์อรหันต์อริยะเจ้ามีคุณเช่นไร การสวดมนต์ด้วยความตั้งใจจนจิตเป็นสมาธิ แล้วใช้สติพิจารณาจนเกิดปัญญาและความรู้ความเข้าใจ ประโยชน์สูงสุดของการสวดมนต์นั่นคือ จะทำให้ท่านเป็นผล จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์





มีหลักฐานปรากฏในพระธรรมคำสอนที่กล่าวไว้ว่า โอกาสที่จะบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์มี 5 โอกาสด้วยกันคือ

• เมื่อฟังธรรม
• เมื่อแสดงธรรม
• เมื่อสาธยายธรรม นั่นคือ การสวดมนต์
• เมื่อตรึกตรองธรรม หรือเพ่งธรรมอยู่ในขณะนั้น
• เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณ

 st11 st11 st11 st11

การสวดมนต์ในตอนเช้าและในตอนเย็นเป็นประเพณีที่ปฏิบัติกันมา ตั้งแต่สมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาบรรดาพุทธบริษัททั้งหลาย ต่างพากันมาเข้าเฝ้าพระพุทธองค์ โดยแบ่งเวลาเข้าเฝ้าเป็น 2 เวลา นั่นคือ ตอนเช้าเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อฟังธรรม ตอนเย็นเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อฟังธรรม การฟังธรรมเป็นการชำระล้างจิตใจ ที่เศร้าหมองให้หมดไปเพื่อสำเร็จสู่มรรคผลพระนิพพาน การสวดมนต์นับเป็นการดีพร้อมซึ่งประกอบไปด้วยองค์ทั้ง 3 นั่น คือ

• กาย มีอาการสงบเรียบร้อยและสำรวม
• ใจ มีความเคารพนบนอบต่อคุณพระรัตนตรัย
• วาจา เป็นการกล่าวถ้อยคำสรรเสริญถึงพระคุณอันประเสริฐ ในพระคุณทั้ง 3 พร้อมเป็นการขอขมา ในการผิดพลาดหากมีและกล่าวสักการะเทิดทูนสิ่งสูงยิ่ง ซึ่งเราเรียกได้ว่าเป็นการสร้างกุศล ซึ่งเป็นมงคลอันสูงสุดที่เดียว


 ans1 ans1 ans1 ans1

ถ้าหากบุคคลใดได้สวดมนต์เช้าและเย็นไม่ขาดแล้ว บุคคลนั้นย่อมเข้าสู่แดนพระอรหันต์อย่างแน่นอน การสวดมนต์นี้ ควรสวดมนต์ให้มีเสียงดับพอสมควร ย่อมก่อให้เกิดประโยชน์แก่จิตตน และประโยชน์แก่จิตอื่น *ที่ว่าประโยชน์แก่จิตตน คือ เสียงในการสวดมนต์จะกลบเสียงภายนอกไม่ให้เข้ามารบกวนจิต ก็จะทำให้เกิดความสงบอยู่กับบทสวดมนต์นั้น ๆ ทำให้เกิดสมาธิและปัญญา เข้ามาในจิตใจของผู้สวด  *ที่ว่าประโยชน์แก่จิตอื่น คือ ผู้ใดที่ได้ยินได้ฟังเสียงสวดมนต์จะพลอย ได้เกิดความรู้เกิดปัญญา มีจิตสงบลึกซึ้งตามไปด้วย ผู้สวดก็เกิดกุศลไปด้วยโดยการให้ทานโดยทางเสียง เหล่าพรหมเทพที่ชอบฟังเสียงในการสวดมนต์ มีอยู่จำนวนมาก ก็จะมาชุมนุมฟังกันอย่างมากมาย เมื่อมีเหล่าพรหมเทพเข้ามาล้อมรอบตัวของผู้สวดอยู่เช่นนั้น ภัยอันตรายต่าง ๆ ที่ไหนก็ไม่สามารถกล้ำกลายผู้สวดมนต์ได้ตลอดจนอาณาเขตและบริเวณบ้านของผู้ที่สวดมนต์ ย่อมมีเกราะแห่งพรหมเทพและเทวดา ทั้งหลายคุ้มครองภัยอันตราย ได้อย่างดีเยี่ยม

การสวดมนต์เป็นการระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเมื่อจิตมีที่พึ่งคือ คุณพระรัตนตรัย ความกลัวก็ดี ความสะดุ้งกลัวก็ดี และความขนพองสยองเกล้าก็ดี ภัยอันตรายใด ๆ ก็ดีจะไม่มีแก่ผู้สวดมนต์นั่นแล



ขอบคุณภาพและบทความจาก
http://horoscope.sanook.com/103057/
บันทึกการเข้า
ปัญจะมาเร ชิเนนาโถ ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง จตุสัจจัง ปะกาเสติ มหาวีรัง นะมามิหัง ปัญจะมาเร ปลายิงสุ

บุญเอก

  • โยคาวจรมรรค
  • *****
  • ผลบุญ: +2/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 516
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st12 st12 st12 like1
บันทึกการเข้า
ทำงานอาสา หวังช่วยคนตกยาก แม้จะลำบาก แต่ก็จะทำโดยความไม่หนักใจ
อาสากตัญญู พัทยา ยินดีรับใช้

Admax

  • ผู้อุปถัมภ์
  • โยคาวจรผล
  • ****
  • ผลบุญ: +0/-0
  • ออฟไลน์ ออฟไลน์
  • กระทู้: 1063
  • Respect: 0
    • ดูรายละเอียด
0
 st12 st12 st12
บันทึกการเข้า
ความติดข้องใจเสพย์อารมณ์ความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น สมุทัย
ผลของการดำเนินไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี เป็น ทุกข์
รู้สัจธรรมและปรมัตถ์ ดำรงอยู่ในกุศล สติ ศีล สมาธิ พรหมวิหาร๔ คิดดี พูดดี ทำดี เป็น มรรค
การดับไปแห่งความพอใจยินดี และ ความไม่พอใจยินดี ถึง อัพยกตธรรม เป็น นิโรธ